ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 10 นาทีจากออฟฟิศ Rhythm ก็มาถึงธรรมดาคลินิก Aesthetic Clinic ซึ่งใกล้ออฟฟิศเราเสียจนแอบปลีกเวลาตอนพักเที่ยงมาแวะใช้บริการกันได้สบายๆ

ก่อนหน้านี้เราคุยกับเพื่อนบ่อยๆ เรื่องเข้าคลินิกไปทำสวยด้วยกันสักวัน มีหลากหลายคลินิกที่เรากับเพื่อนช่วยกันมองหา จนกระทั่งมาบรรจบที่ธรรมดาคลินิกเพราะโปรโมชันต่างๆ ช่างดูคุ้มค่า ราคาดีงามจนเราต้องหาพิกัดว่าร้านตั้งอยู่ที่ไหน

เฉลยที่ทำให้เราตกใจคือธรรมดาคลินิกตั้งอยู่ใกล้ๆ MRT สุทธิสาร และใกล้กับออฟฟิศเราด้วย วิธีการบริการและแพ็กเกจต่างๆ ที่แปลกใหม่ทำให้เรารู้สึกคาอกคาใจ ว่าอะไรที่ทำให้ธรรมดาคลินิกสามารถขายคอร์สความสวยความงามในเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีได้ และยังก่อตั้งธุรกิจที่เอาใจคนรุ่นใหม่ได้ดีขนาดนี้ จนในที่สุดโอกาสก็ได้นำพาให้วันนี้เราได้มานั่งคุยกับคุณจิ๊บ-บุษราบรินทร์ บวรโชตินิติวาณิช และ คุณอุ้ย-ดร.ธีรวัฒน์ ธวัลรัตน์โภคิน สองผู้ริเริ่มก่อตั้งธรรมดาคลินิก เราชวนทั้งคู่มาพูดคุยและกางแผนโมเดลการทำธุรกิจ แนวคิดการทำธุรกิจที่ยั่งยืน และแพสชันที่มีต่อธรรมดาคลินิกของทั้งคู่

ธรรมดาตั้งไข่

ต้องเล่าก่อนว่าอุ้ยได้รู้จักกับจิ๊บจากรุ่นพี่ที่อุ้ยเคารพรักมากคนหนึ่ง การเจอกันของจิ๊บและอุ้ยในครั้งแรกเป็นความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนร่วมงานอยู่ระยะหนึ่ง กระทั่งความลงตัวหลายๆ อย่างทำให้ทั้งคู่ตกลงมาทำธุรกิจร่วมกัน และจิ๊บเป็นคนที่ยกหูโทรศัพท์ไปหาอุ้ยแล้วเริ่มพูดคุยเรื่องความฝันและเป้าหมายสู่กันฟัง

หลังจากต่อสายหาและแชร์เรื่องราวของความฝันสู่กันฟังของทั้งคู่ อุ้ยและจิ๊บก็เริ่มเห็นปลายทางของความฝันที่ตรงกันมากขึ้น จนได้ลงมือปั้นธรรมดาคลินิกอย่างเป็นขึ้นรูปร่างอย่างจริงจังภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน

“จุดเริ่มต้นของเราเกิดจากการพูดคุย เราอยากจะกลัดกระดุมเม็ดแรกให้สมบูรณ์ที่สุด พี่จิ๊บบอกผมว่า ทำยังไงให้ธุรกิจของเรามีมูลค่า เป้าหมายของเราคือการเข้าไปจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ เราก็เลยนั่งคุยกันว่าทำยังไงดี ผมว่าพี่จิ๊บเลยต้องดูเรื่องการสร้างมาตรฐานระบบงาน ทำให้ทุกระบบงานเป็นมาตรฐาน ซึ่งมาตรฐานนั้นต้องเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ในอนาคตด้วย ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือเราให้ความเป็นธรรมกับลูกค้า”

“พูดง่าย ๆ คือเราเน้นความจริงใจเป็นงานสำคัญที่สุดของเรา แต่เราตีความคำว่าจากความจริงใจว่า เราต้องการให้มันออกมาในรูปแบบไหน เรามองว่า ไม่ว่าลูกค้าจะท้วงติงอะไร เราก็ยินดีน้อมรับทุกคำติชมเลย เรารับมาปรับปรุงให้ดีที่สุด เราตั้งใจจะพัฒนาเรื่อยๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุดค่ะ ซึ่งตลอดเวลาที่ทำงาน ทุกเช้าเราก็ยังมี Morning Brief กับทีมงานตลอด เพราะตอนนี้เรายังเป็นครอบครัวขนาดเล็ก ซึ่งเราก็ต้องช่วยกันแก้ปัญหาทุกอย่างให้ดีที่สุด และในตอนนี้เองเราก็มีแผนขยายธุรกิจด้วย เราเลยอยากปลูกฝังให้ทีมงานของเราทุกคนในตอนนี้ มีความรู้และมีวิธีการทำงานที่เป็นมาตรฐานเหมือนๆ กัน เพื่อที่จะให้คนเหล่านี้ไปเป็นหัวหน้าสาขาย่อยไปเรื่อยๆ เราอยากโตแบบใยแมงมุม และตอนนี้เราก็อยู่ในช่วงสร้างวัฒนธรรมองค์กรของเราด้วย”

การที่เป็นคนรู้จักกันแบบเพื่อนต่อเพื่อนของอุ้ยและจิ๊บ ทำให้เรานึกสงสัยว่าอะไรที่ทำให้ทั้งคู่เชื่อใจ มาจับมือก่อตั้งคลินิกด้วยกัน และวาดฝันภาพของบริษัทได้ก้าวไปถึงการอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ให้ได้

“จริง ๆ ทีมงานเราที่สำคัญไม่ได้มีแค่เราสองคน เรามีกัน 5 คนตั้งแต่วันแรกที่เปิดตรงนี้ เพราะถ้าพูกถึงเราสองคน ต้องเรียกว่าเราสองคนเป็นจุดเริ่มของไอเดียมากกว่า เราทำงานกันแค่ 2 เดือนก่อนเปิดคลินิกด้วย ซึ่งถือว่ามีกันน้อยมาก เราเลยทำงานหนักกันมาก คือกลับถึงบ้านตอนเช้าตลอดเลย แต่ถ้าให้พูดถึงความเป็นทีมเวิร์ค หมอพลอยใช้คำนี้เลยว่า ทีมเวิร์กมาด้วย 4 อย่าง ซึ่งเรามีทั้งหมดเลย หนึ่งคือเรื่องของ Passion เรามี Passion เหมือนกัน เป้าหมายเหมือนกัน สองคือเรามีความขยันที่เหมือนกันมาก เราทำงานหนักทุกคนเลย สามคือเรามีกัลยาณมิตรที่ดี เรามีช่วงเวลาที่เราร้องไห้ด้วยกัน มีเวลาที่เราเครียด มีเวลาที่เราเจอปัญหา ถ้าเราเป็นทีมเวิร์กและมีกัลยาณมิตรที่ดี ไม่ว่าเราจะเจออะไรก็จะผ่านไปได้ และข้อสุดท้าย ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไรเรามักมองให้เป็นเรื่องที่ดี เราทำงานทุกวัน ก็เจอปัญหาทุกวันแน่นอน แต่เรามองว่ามันเป็นเรื่องที่ดี เพราะเราเชื้่อว่าเราพัฒนามากขึ้นเมื่อจากปัญหาค่ะ สี่ข้อนี้ที่เรามีเหมือนกันทำให้เราเชื่อใจกันได้”

จิ๊บอธิบาย ซึ่งนอกจาก 4 หลักนี้แล้วอุ้ยยังเล่าให้เราฟังอีกว่า ทั้ง 5 คนคือความกลมกล่อมและเชื่อในความเป็นมืออาชีพ เพราะธรรมดาคลินิกมีคนเฉพาะทางหลายสาขาอาชีพมาอยู่รวมกันตั้งแต่นักธุรกิจ ทีมการตลาด ทีมแพทย์ และอุ้ยที่เป็นฝ่ายดูแลเรื่องการเงินโดยเฉพาะ ทุกคนจึงเปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ที่มาต่อกันแล้วสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้  และทำงานร่วมกันด้วยความเชื่อเดียวกันได้ ซึ่งความเชื่อและการเป็นทีมเวิร์กตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้น ทำให้ธรรมดาคลินิกเริ่มต้นปักหลักลงฐานในธุรกิจได้ตั้งแต่ 2 เดือนแรกอย่างไม่น่าเชื่อ

“จิ๊บเคยเปิดคลินิกที่ไม่มีหมอมาเป็นพาร์ตเนอร์ เราก็ลองเปิดแบบผิดๆ ถูกๆ ขายแบบ Hard Sale จนต้องหาลูกค้าใหม่ไปเรื่อยๆ เป็นการตลาดหนักๆ และต้องสู้กับจำนวนคลินิกที่เยอะมากขึ้น แต่พอเรามีคอนเซปต์ มีทีมงานที่เป็นอภินิหารด้วยกัน เราก็ทำงานกันหนักมากกว่าเดิม บางทีเราคุยงานจนเหมือนทะเลาะกัน เราพัฒนาไปพร้อมกับปัญหาที่เจอทุกวัน จนเราเริ่มที่เราใช้ระบบการจัดการเข้ามาบริหารคลินิก ช่วงแรกๆพนักงานยังไม่เก่งเรื่องการใช้ระบบการจัดการเลย เราเลยลอง 20-30 คิว ซึ่งช่วงแรกๆ  ลูกค้าบ่นว่ารอนานมาก แต่มาจนถึงวันนี้เราทำทุกอย่างในมันเป็นระบบขึ้นมาได้ด้วยไอแพดเครื่องเดียวได้ แต่ทุกอย่างมีการวางบล็อกอย่างชัดเจน มีการทำคู่มือที่เขียนถึงคอร์สยาของหมอ อธิบายเรื่องสูตร และอัตราส่วน แล้วก็เอาคู่มือนั้นมาเทรนกับคนในทีม ทุกอย่างเลยเกิดขึ้นได้ใน 2 เดือน”

ทุกสิ่งดูเป็นไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วทันใจ แต่แน่นอนว่าทุกธุรกิจย่อมมีความเสี่ยง ซึ่งเรารู้กันดีว่า ทุกวันนี้มีคลินิกเสริมความงามเกิดขึ้นมากมาย จนตลาดคลินิกประเภทนี้กลายเป็น Red Ocean (สินค้าคู่แข่งมากราย) ที่ใครๆ ก็กระโดดเข้ามาเล่นในธุรกิจนี้ หนึ่งในนั้นเองคือธรรมดาคลินิกที่กล้ากระโดดเข้ามาใน Red Ocean แต่กลับสร้างเอกลักษณ์ของคลินิกโดยการยึดหลักทำธุรกิจแบบ Blue Ocean (สินค้าคู่แข่งน้อยราย) ได้อย่างลงตัว

“อย่างที่บอกเลยว่ากเรามองปัญหาเป็นเรื่องที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์ เรามองว่าคุณภาพคือความเสี่ยงของเรามากกว่า ตั้งแต่เรื่องการควบคุมระบบและบริการต่างๆ ให้ลูกค้าพึงพอใจ และต้องคงคุณภาพไว้ไม่ให้แย่ลง ความเสี่ยงเหล่านี้ทำให้เรามีแผนอุดทุกช่องโหว่ และจริงๆ เราไม่ได้เล่นในเรื่องของ Red Ocean เราเน้นกลุ่มที่เป็น Blue Ocean มากกว่าอยู่แล้ว  เพราะลูกค้า 80% ของเราเป็นคนที่ไม่เคยเข้าคลินิกเลย ดังนั้นกลุ่มลูกค้าของเราจะอยู่ที่ช่วงอายุ 25-29 ปี ฉะนั้นเราจะไม่ได้ไปแข่งขันกับกลุ่มที่เขามีเป้าหมายเป็นลูกค้าที่เป็นวัยทำงานค่ะ ธรรมดาคลินิกเป็นเป็นคลินิก Aesthetic มันไม่เหมือนกัน ศัลยกรรมคือการเปลี่ยนรูปหน้า แต่ Aesthetic คือการตกแต่งใบหน้าของเขา ปรับรูปหน้าโดยไม่เปลี่ยนโครงหน้า แต่เราทำให้เขาดีขึ้น มันเป็นการทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าหน้าเขาเป็นแบบเดิมแค่อายุน้อยลงเท่านั้นเอง ถึงจะมีคอนเซปต์แบบนี้แต่เราก็มีความเสี่ยงอยู่ อย่างที่หนึ่งเลยคือ เราเห็นคลินิกเกิดขึ้นเยอะมาก แต่ก็ปิดตัวกันเยอะมากเช่นกัน เพราะบ่อยครั้งที่เวลาทำธุรกิจต้องเอาเงินล่วงหน้ามาใช้เยอะมาก ถ้าไม่บริหารจัดการให้ดีก็มีความเสี่ยงที่จะต้องปิดตัวลงค่ะ”

“ด้วยความเสี่ยงตรงนั้นทำให้เราไม่มีการขายคอร์สล่วงหน้าเลย ซึ่งมันทำให้เรารู้ว่าแต่ละเดือนเรามีต้นทุนเท่าไร และคลินิกของเราขายไม่แพง เราไม่ได้เอากำไรเยอะ เราขายให้ลูกค้าแบบเป็น Ticket  เพราะเรารู้สึกว่าลูกค้าควรซื้อของได้ในราคาถูก อย่างสมัยก่อนคนที่จะฉีดโบท็อกซ์หรือทำหน้า คือคนที่มีเงินเดือนสูงๆ ซึ่งคนที่เพิ่งทำงานออฟฟิศกลับทำสวยไม่ได้ แต่สมัยนี้เราแค่มองว่าทำไมทุกคนจะทำสวยไม่ได้ เราเลยทำ Ticket ออกมาที่ทำให้เขารู้สึกว่า เขาจ่ายในราคาเท่ากันกับที่อื่นๆ แต่เขากลับได้ทำสวยหลายอย่างมากกว่าที่อื่นเยอะ ความคุ้มค่าที่ลูกค้าได้รับ เราเลยไม่ต้องลงทุนกับการทำ Marketing ให้มากมาย แต่ความเสี่ยงของเราคือเรื่องของการควบคุมระบบทุกอย่าง รวมถึงการเซอร์วิสมากกว่า ว่าเราจะยังคงคุณภาพเดิมที่ทำให้ลูกค้าประทับใจไว้ได้ไหม”

ความดูดีสะดวกซื้อ

เราเห็นภาพการเริ่มต้นตั้งไข่วันแรกของธรรมดาคลินิก เห็นแนวทางการทำธุรกิจที่ยึดความต้องการของลูกค้าเป็นหลักและมองลูกค้ากลุ่มเล็กๆ ที่ไม่ได้มีกำลังเงินสูง กว่าจะเป็นโมเดลธุรกิจ Blue Ocean ท่ามกลางธุรกิจ Red Ocean ได้ จิ๊บและอุ้ยต้องสร้างคอนเซปต์ธรรมดาคลินิกที่ชัดเจนเอาไว้ก่อนด้วย

“เรามองว่า ตอนนี้เทุกคนมีปัจจัย 5 ในการใช้ชีวิต เพราะฉะนั้นเลยพูดได้ว่าความสวยคือปัจจัยที่ 6 นะ ดังนั้นเราเลยอยากให้ความสวยทำให้คนมั่นใจขึ้น โดยที่เราไม่เปลี่ยนแปลงความเป็นเขา เหมือนการรักษาจิตใจของเขาได้ด้วย คอนเซปต์ของคลินิกเราจึงใช้คำว่าสะดวกซื้อ สะดวกสวย เพราะเราเห็นว่าบางครั้งการที่เราไปคลินิกความงาม คนมักเจอการ Hard Sale จนอึดอัดใจ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่ผ่อนคลาย แล้วราคาที่ลูกค้าถูกขายมันไม่แน่นอนเลย ไม่รู้ว่าจะไปสุดที่ตรงไหน เราเลยเอาโมเดลของร้านสะดวกซื้อเป็นพื้นฐานเลย ถ้าวันนี้คุณรู้สึกคุณหิว แล้วไม่รู้จะกินอะไร ก็ขอไปเดินพื่อความสบายใจก่อน ซึ่งเขาติดราคาไว้ชัดเจน เป็นราคาที่จับต้องได้ เราเลยอยากเป็นแบบนั้นเช่นกัน ที่เรามีราคาชัดเจน ราคาจับต้องได้ เป็นความสะดวกซื้อสะดวกสวย”

จากคอนเซปต์นี้จึงส่งต่อวิธีการทำงานของพนักงานในธรรมดาคลินิก พนักงานที่นี่ไม่เหมือนเซลล์ขายคอร์สแบบที่อื่น แต่ที่นี่ทุกคนเป็น Beauty Planner พนักงานจะเป็นคน แนะนำว่าลูกค้าต้องทำอะไรในคอร์สบ้าง และช่วยวางแผนว่าต้องใช้งบประมาณเท่าไร โดนไม่มีค่าใช้จ่ายอื่นๆ แอบแฝงเข้ามาเพิ่มทีหลัง ทำให้ลูกค้าที่มาที่นี่ ส่วนใหญ่มาจากการบอกต่อ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมธรรมดาคลินิกเติบโตได้ไว้และใช้งบ Marketing น้อยมาก

“เวลาเราถามว่ารู้จักคลินิกเราได้ยังไง ส่วนใหญ่ก็จะตอบว่าเพื่อนแนะนำมาทำค่ะ เขารู้สึกว่าเขามาที่นี่แล้วสบายใจ และเราไม่ได้ไปแข่งกับตลาด Red Ocean เลย ส่วนใหญ่ลูกค้าเราจะเป็นคนเจนฯใหม่ เป็น Blue Ocean (สินค้าคู่แข่งน้อยราย) ที่กำลังที่จะต้องเริ่มหันมาดูแลตัวเอง แล้วเขาควรได้ความเป็นธรรม เพราะเด็กเจนใหม่คือเด็กที่ให้ความสำคัญกับความเป็นธรรม ดังนั้นคลินิกเราต้องไม่มีคำว่า Privilege เราถึงตั้งชื่อเป็นคำว่า ธรรมดาคลินิก เราต้องการให้ทุกคนเข้ามาแล้วรู้สึกถึงมาตรฐานและการดูแลที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ดูแลอย่างจริงใจและรับฟังทุกฟีดแบกของลูกค้าอย่างตั้งใจด้วย”

อย่างที่จิ๊บเคยบอกเราไปแล้วว่าธรรมดาคลินิกใช้วิธีการขายแบบ Ticket และขายแบบร้านสะดวกซื้อ ซึ่งจิ๊บและอุ้ยก็มองว่าโมเดลนี้ทำให้เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เกิดการตลาดแบบปากต่อปากขึ้นมาได้

“โมเดล Ticket เกิดมาจากการที่ได้ประทานร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ตอนแรกงงว่าทำไมถึงมีราคา 2 ราคาใน Price List  ซึ่งจริงๆ ราคาปกติมันก็ถูกอยู่แล้ว แต่ทำไมอีกราคามันดันถูกลงได้อีก เราก็รู้สึกว่าแล้วเขาได้กำไรจากตรงไหนมา ก็เลยมานั่งทบทวน Business Model ของเขา ก็เลยรู้ว่าจริงๆเขาไม่ได้อยากขายแพง แต่เขารู้อยู่แล้วว่าถ้ามีลูกค้ามาใช้บริการเขาในจำนวนมาก ซื้อ Ticket ทุกคน เขาไม่ต้องมีต้นทุนของสินค้าตัวนั้นเลย เพราะฉะนั้น Main Business เค้าไม่ใช่สินค้าแต่เป็น Ticket เพราะฉะนั้นในวันนี้เราถึงบอกว่า เราไม่ใช่ Red Ocean เลย เพราะเราไม่ได้ขายหัตถการและกำไรของเรามาจากตัว Ticket เท่านั้นเอง” 

“ในตำราธุรกิจเล่มไหนเขาก็บอกอยู่ว่า Mouth of Words คือการทำการตลาดที่ดีที่สุด ในตอนแรกเราก็หวังให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่สุดท้ายคนบอกต่อกันมากกว่าที่เราคิดไว้มาก ซึ่งช่วงแรกๆ คลินิกเราพอคนเริ่มเยอะมันก็เริ่มนัดกันได้ยากมาก รอคิวนาน เราก็พยายามจะแก้ปัญหาตรงนี้ด้วยการเอาระบบต่างๆ มาช่วย เราก็กลัวว่าพอมีปัญหาตรงนี้แล้วลูกค้าจะรู้สึกไม่ดีกับคลินิกเราไหม แต่เราก็มองว่ามันเป็นโอกาสอีก ถ้าเขาพูดต่อในแง่ที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าพูดในเชิงลบเราก็พยายามจะฟังฟีดแบกทุกช่องทางแล้วเอาโอกาสนั้นมาปรับปรุง ถึงจะเสียใจอยู่บ้านแต่เราไม่หยุดพัฒนา มันยากมากที่เราจะเอาใจคนทุกคน แต่เรามองว่า เราอยากที่จะเป็นหนึ่งในดวงใจของเขา ไม่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แม้พนักงานอาจจะคลีนหน้าไม่ประทับใจ”

มาตรฐานที่ดีและเป็นธรรมสำหรับลูกค้าไม่เพียงแค่เรื่องราคาและการบริการเท่านั้น แต่คุณภาพของตัวยาต่างๆ ในคลินิกเองก็มีคุณภาพเช่นกัน อุ้ยอธิบายให้เราฟังเพิ่มเติมว่า

“พี่จิ๊บบอกว่าบางอย่างเราต้องผลิตเอง อันนี้หมายความว่าเราไปทำ OEM กับบริษัทข้ามชาติ แล้วก็ผลิตในแหล่งที่ได้รับรองคุณภาพมาตรฐาน และนำเข้ามาขออย.ในประเทศไทยก่อนมาใช้กับลูกค้าครับ อย่างที่เราเห็นข่าวอื้อฉาวกันมา หลายบริษัทใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับรองคุณภาพมาตรฐาน แต่เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นกับเราเลยครับ เพราะเราใช้ทุกอย่างจากแหล่งที่สืบค้นได้ และได้รับรองมาตรฐาน นี่จึงเป็นอีกหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจ เป็นกระดุมเม็ดแรกและเป็นเม็ดเดียวกันที่เราใช้ในการเริ่มทำธุรกิจเลยครับ”

ธรรมดาที่แสนพิเศษ

ย้อนกลับไปช่วงแรกๆ ที่เรานั่งคุยกับจิ๊บและอุ้ย พวกเขาบอกว่าปลายทางของธรรมดาคลินิกคือการเข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขยาย 5 สาขาภายในสามปี และตั้งเป้าว่าจะแตะยอดขายไว้ที่ 100 ล้าน เราเลยแอบถามทั้งคู่ว่าอะไรทำให้ภาพฝันของคลินิก Aesthetic กล้ามองอนาคตในตลาดหลักทรัพย์ได้ไกลขนาดนี้

“การที่เรามารวมตัวกันแบบนี้นะครับ จริง ๆ เรามีเป้าหมายในการขยายสาขาเหมือนกัน โอกาสในการทำรายได้ก็ต้องขยายเหมือนกัน แต่การขยายสาขาเราก็นึกถึงคุณภาพของคลินิกเสมอด้วย ใน 3 ปีนี้ เราคาดไว้ว่าอยากเปิดสาขาอีกประมาณ 20 สาขาขยายไปด้วยโมเดลแบบใยแมงมุมนี่แหละ ในปีนี้เราคาดว่าจะมีอีก 3 – 4 สาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน ส่วนรายได้ เราก็ยังมองเห็นภาพว่าถ้าโอกาสยังคงมีประมาณนี้ รายได้ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นก็หลักร้อยล้านคงเกิดขึ้นได้ แต่ผลกำไรของเราก็อาจไม่ได้สูงมากเท่ากับธุรกิจประเภทเดียวกันในอุตสาหกรรมนี้ เพราะว่าเราไม่ได้มุ่งเน้นผลกำไรสูงสุดเพียงแต่อย่างเดียว แต่เราเน้นอารมณ์ความรู้สึกของลูกค้าเป็นสำคัญมากกว่า” อุ้ยอธิบาย

“เราทำให้เป็นเหมือนร้านสะดวกซื้อด้วย ผสมกับการเป็นคาเฟ่ด้วย คลินิกเราจึงให้ความรู้สึกอบอุ่น สบาย บางคนยังอยากนั่งทำงานที่คลินิกเราเลยค่ะ เพราะเรามีทั้งโซนที่เป็นบริการน้ำที่สามารถบริการตัวเองได้ และมีโซนชาร์จแบตด้วย และทุกวันนี้ลูกค้ามักเข้ามาถามว่าา ไม่ไปเปิดสาขาตรงนั้นตรงนี้บ้างหรอ เพราะว่าสาขาที่เรามีอยู่มันไกลสำหรับเขามากเลย”

อาจเรียกได้ว่าธรรมดาคลินิกเดินมาถูกทางได้ภายในสองเดือน ซึ่งเราเดาเอาไว้ว่าภาพของธรรมดาคลินิกในตอนนี้ เกินความคาดหมายของภาพธรรมดาคลินิกตอนก่อนตั้งไข่

“อุ้ยขอตอบในเชิงปริมาณก่อนเลย ผมตั้งไว้เท่าที่ตั้งมา 300% กับประมาณการที่ตั้งไว้ ว่าลูกค้าควรจะมี 20 ถึง 25 คนต่อวันโดยที่แต่ละคนใช้บริการไม่เกิน 5,000 บาทต่อหัว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือคนเขาปากต่อปากและเขาไว้ใจเรา จนตอนนี้ลูกค้าเข้ามาวันละ 50-100 คนแล้ว ซึ่งลูกค้าก็ฟีดแบกกลับมาด้วยว่าบางทีรถติด มาไม่ทัน เราก็เลยขยายเวลาปิดคลินิกจนถึงตอนนี้เราปิดสี่ทุ่ม ต่อไปจะเป็นเหมือนไก่ทอดเที่ยงคืนแล้วครับ” อุ้ยตอบพร้อมหัวเราะ ซึ่งเมื่อขายเวลาปิดคลินิกออกไป ธรรมดาคลินิกจึงต้องเพิ่มพนักงานขึ้นแบบคูณสองทุกตำแหน่ง กลายเป็นว่าตอนนี้ธรรมดาคลินิกมีพนักงานกว่า 40 คน เพราะจิ๊บและอุ้ยอยากให้ลูกค้าได้รับการบริการอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพที่สุด”

อุ้ยอธิบายต่อว่า สิ่งที่ธรรมดาคลินิกทำอยู่ไม่ใช่การทำ Marketing แบบล่าเหยื่อ ที่ลูกค้าเข้ามาแล้วหายไปในเวลาสั้นๆ แต่ธรรมดาคลินิกใช้ฟังก์ชันการดูแลแบบหมอ ซึ่งเป็นฟังก์ชันของผู้ช่วยดูแลความงามที่ไม่ใช่การดูแลแบบพนักงานเซลล์ 

“สำหรับจิ๊บตอนนี้ เรามองว่าทุกอย่างมันดีมาก ไม่ใช่ว่าดีเพราะยอดขายหรือจำนวนลูกค้า แต่มันดีมากทีมที่ดี เป็นดรีมทีมเราได้ทำงานร่วมกันแล้วมีความสุขมาก เพราะพวกเรามองภาพเดียวกัน มีความสุขทุกครั้งที่ได้เข้าคลินิก แบบนี้มันเกินความคิดของพี่แล้ว อันนี้ในความคิดพี่นะ ส่วนจำนวนลูกค้าหรือรายได้มันเป็นเหมือนของขวัญในสิ่งที่เราทำมา เพราะเราตั้งใจสร้างธรรมดาคลินิกจริงๆ เราสัมผัสทุกอย่างกับมือตั้งแต่ยกต้นไม้เอง จัดโต๊ะ จัดห้องยาเอง ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ธรรมดาคลินิกจึงมีคุณค่าสำหรับเรา และตอนนี้เราก็รู้สึกเหมือนว่ามันเกินฝันที่เราวาดไว้แล้ว”

ในเมื่อทีมตั้งใจลงมือสร้างธรรมดาคลินิกขนาดนี้ ก็อดแอบถามไม่ได้ว่า ถ้าหากตอนนี้ทั้งคู่ไม่ได้สร้างธรรมดาคลินิกอยู่ ทั้งคู่จะทำอะไรกันอยู่ คนที่ขอเริ่มตอบคนแรกคืออุ้ย

“ผมก็คงทำงานประจำอย่างเดียว เป็น Chief Financial Officer ครับ หรืออาจะทำงานอยู่ในองค์กรที่เป็นผู้บริหารระดับสูงครับ ทำงานแบบนั้นผมก็อยู่ได้นะครับ แต่สิ่งที่ทำตอนนี้มันไม่ใช่แค่อยู่ได้ แต่เรามีความสุขกับการอยู่ตรงนี้มากกว่าครับ” 

ถึงคราวส่งไม้ต่อคำถามให้จิ๊บบ้าง

“ส่วนจิ๊บก็มีทำธุรกิจเรื่องการขนส่งอยู่แล้ว อาจจะทำธุรกิจนั้นแหละค่ะ แต่ถ้าเลือกได้ก็อยากทำธรรมดาคลินิกนะคะ เพราะนี่คือแพสชันของเราจริงๆ ค่ะ เรามองว่าแพสชันมันสำคัญมากนะ เพราะจิ๊บเป็นคนนึงที่ทำธุรกิจมาเยอะมาก มีทั้งสิ่งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ เราก็หันกลับไปมองว่าสิ่งที่ทำแล้วไม่สำเร็จคืออะไร คำตอบคือ คือเราไม่สู้กับปัญหา เราไม่ไปต่อกับมัน เราเลยคิดว่า เราต้องทำอะไรสักที่เป็นแพสชันแล้วไปให้สุดเลย มาถึงวันนี้ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไรเราสู้หมด เพราะแพสชันทำให้เราไปต่อได้ ไม่ยอมหันหลังให้ปัญหาและเป้าหมายเลย”

นอกจากแพสชันที่ทั้งคู่มีอย่างล้นหลามแล้ว เราชื่อว่าการเริ่มต้นธรรมดาคลินิกในแบบที่แตกต่างจากคลินิกเสริมความทั่วไป คงได้ให้บทเรียนมากมายให้กับทั้งคู่ทั้งในแง่การทำธุรกิจและในแง่ของจิตใจคนวัยทำงาน

“อยากเรียกว่านี่คือสิ่งที่เราค้นพบมากกว่าคำว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้ครับ เพราะสิ่งที่เราค้นพบจากที่นี่คือสิ่งใหม่ของพวกเราทั้งหมดเลย เป็นครั้งแรกที่เราได้รับสิ่งดีๆ มหาศาลจากการที่ลูกค้าไปบอกต่อและทำการตลาดแบบอีกมิติ ที่ลูกค้าเป็นคนเชื่อมโยงด้วยกันเอง เป้นสิ่งที่เหนือความคาดหมายมากเลยครับ เพราะเราเพียงแค่ใส่ข้อมูลทุกอย่างที่ตรงไปตรงมาและแน่นอนให้ลูกค้า ซึ่งเป็นข้อมูลที่ตอบโจทย์เขา สิ่งเหล่านี้ทำให้มันเกิดมิติใหม่ หรือเราเกิดน่านน้ำใหม่ที่เราอาจจะไม่ได้ไปชนกับคนอื่น อันนี้คือสิ่งที่เราค้นพบและเรียนรู้ครับ”  จิ๊บพยักหน้าเห็นด้วย พร้อมกับแสดงมุมมองในส่วนของตัวเองบ้าง

“จิ๊บมองว่าทุกเรื่องคือความใหม่ของจิ๊บหมดเลย ต้องบอกว่าทำด้วยแพสชันล้วน ๆ และเราอยากทำให้ทุกอย่างออกมาดี จิ๊บช้เวลาทั้งหมด 90 เปอร์เซ็นอยู่ที่คลินิก เพราะเรามีพลังงานความสุขตรงนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทุกคนที่เข้ามาใช้บริการ เขาต้องสัมผัสในสิ่งที่เรามอบความสุขตรงนี้ให้ เรามีสิ่งใหม่ที่ต้องเราต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับทุกคนในทุกๆ วันเลย”

คุยกันจนมาถึงคำถามสุดท้าย เราเลยให้ทั้งคู่ทิ้งทวนสรุปบทเรียนที่ทั้งคู่ได้จากการร่วมตั้งไข่ธรรมดาคลินิกได้คนละหนึ่งข้อ 

“ธรรมดาคลินิกคือ การสร้างทีมเพื่อการต่อยอดที่ยั่งยืน” อุ้ยตอบอบบกระชับและชัดเจน

“ธรรมดาคลินิกสอนให้รู้ว่าทุกปัญหาคือเป้าหมายสำหรับเรา เพราะทุกๆวันไม่ได้มีสิ่งที่ราบรื่นเสมอไป แต่การที่เราเจอปัญหาทุกวัน มันทำให้เรารู้ว่า เรามีทีมเวิร์คที่ดี และมองปัญหาเป็นเรื่องที่ดีไปด้วยกัน ซึ่งพี่เลยมองทุกอย่างมันพัฒนาไปได้เรื่อยๆ จริงๆ คำว่าปัญหาคือเรื่องที่เราต้องไปพัฒนา ถ้ามันไม่มีปัญหาเราก็ไม่สนุกสิ ปัญหาก็เหมือนเล่นเกม ถ้าไม่มีด่านที่ยากขึ้นไปเรื่อยๆ เกมจะสนุกตรงไหน ทุกเกมสนุกเพราะเราได้ผ่านปัญหา มันเกิดขึ้น และถ้าด่านมันยากจนผ่านไม่ได้สักที เราก็ต้อง Restart เกมกลับเข้ามาใหม่จนกว่าจะชนะ นี่คือสิ่งที่เราได้ได้จากธรรมดาคลินิกค่ะ”

Contributors

Contributors

เด็กมนุษย์ฯ ผู้ชื่นชอบการออกไปเดินเที่ยวคนเดียว เอนจอยกับการเต้นและการกิน ปัจจุบันกำลังพยายามใช้ชีวิตแบบ Slow Life อยู่

ผู้ที่ชื่นชอบการ Backpack เที่ยวคนเดียวพร้อมกับกล้องคู่ใจ ออกเดินทางเพื่อตามหาสถานที่และมิตรภาพใหม่ๆ