หลายคนมักเปรียบเปรยว่าเด็กๆ เป็นดั่งผ้าขาวที่พร้อมเปื้อนสี
แต่สำหรับเรา เด็กเปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์น้อยๆ ที่พร้อมจะเติบโต ซึ่งการเติบโตนั้นหากได้ดินดี ปุ๋ยดีและได้รับการรดน้ำพรวนดินอย่างเหมาะสม เมล็ดพันธุ์น้อยๆ เหล่านั้นจะเติบใหญ่เป็นเป็นไม้ที่หยั่งรากอย่างแข็งแรงและสง่างาม
และแน่นอนว่า การศึกษา คือหนึ่งในสิ่งประกอบสร้างให้ต้นกล้าน้อยๆ เหล่านี้เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง
พ่อแม่มักอยากให้ลูกได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพตั้งแต่ยังเล็ก และเราเชื่อว่าพ่อแม่หลายคนคงทำการบ้านกันอย่างหนัก เพื่อเฟ้นหาโรงเรียนที่เหมาะสมกับลูกให้ได้มากที่สุด ซึ่งสองคุณสมบัติที่โรงเรียนเหล่านั้นควรมีสำหรับลูกคือ คุณภาพการศึกษาและสภาพแวดล้อมในโรงเรียนที่เป็นมิตร
วันนี้เราจึงอยากพาเหล่าคุณพ่อคุณแม่มาเปิดใจทำความรู้จักกับโรงเรียนนานาชาติแห่งใหม่อย่าง Oakbury International School โรงเรียนสำหรับเด็กปฐมวัยที่ใส่ใจการเป็นอยู่ของเด็กๆ ตั้งแต่โภชนาการของอาหารการกิน ยันการเรียนการสอนที่เน้น ‘การเรียนเพื่อเล่นให้สนุก’
เราได้มีโอกาสไปพูดคุยกับสองผู้ก่อตั้งโรงเรียนสตาร์ทอัพแห่งนี้อย่างคุณคมสันต์ เชษฐโชติศักดิ์ และ ดร.อีว่า ฮอเรีย มาทำความเข้าใจถึงแนวคิดและความตั้งใจของพวกเขาที่อยากสร้างเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ให้เติบโตอย่างแข็งแรงไปด้วยกัน
ไม่แน่ว่า คุณพ่อคุณแม่ที่เข้ามาอ่านบทความนี้จบแล้ว อาจจะรู้สึกประทับใจโรงเรียนนี้เสียจนอยากจดชื่อ Oakbury เอาไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับโรงเรียนในฝันของลูกก็เป็นได้ค่ะ

ดินที่พร้อมหว่านเมล็ดพันธุ์
ภูมิหลังก่อนการเตรียมดินที่ดี
คุณคมสันต์เล่าให้ฟังว่า แท้จริงแล้วเขาเรียนจบ MBA (Master of Business Administration) จากสหรัฐอเมริกาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว โดยพื้นฐานเขาจึงคุ้นชินแล้วเชี่ยวชาญในเรื่องภาคธุรกิจ
หลังเรียนจบด้านธุรกิจ คุณคมสันต์ทำธุรกิจกับที่บ้าน โดยทำเกี่ยวกับธุรกิจสื่อบันเทิงทั้งด้านวิทยุ ทีวี และสิ่งพิมพ์ ทำอยู่ได้ไม่นานเขาก็ออกมาทำธุรกิจสื่อของตัวเองซึ่งทำอยู่นานหลายปีจนรู้สึกอิ่มตัว สุดท้ายเลยตัดสินใจลาออกเพื่อมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
“หลังจากนั้นผมก็คุยกับภรรยา แล้วบังเอิญเธอมีความคิดที่จะเปิดโรงเรียน โดยใช้บ้านหลังเดิมของคุณพ่อคุณแม่ที่พวกท่านกำลังจะย้ายออกทำเป็นโรงเรียน ผมเลยคิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีนะ ผมเองก็เคยทำงานภาคธุรกิจอยู่แล้วด้วย เพราะงั้นผมน่าจะช่วยในเรื่องการดำเนินงานของโรงเรียน กำหนดกลยุทธ์ กำหนดแผนการตลาดได้”
ความคิดที่อยากจะเปิดโรงเรียนของ ดร.อีว่า ผู้ที่มีความรักในการศึกษา ซึ่งการสอนเด็กๆ ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีเริ่มต้นมาจากการเรียนจบในด้านวิทยาศาสตร์อาหารและโภชนาการ เป็นด็อกเตอร์ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้จนได้ทำงานเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก่อนที่จะได้ไปทำงานเป็นนักโภชนาการ ที่ Mead Johnson (ผู้ผลิตนมผงเด็กยี่ห้อหนึ่ง-บรรณาธิการ) เกี่ยวกับการผลิตอาหารเด็กอ่อนและโภชนาการทางเลือก
“เพราะแบบนั้นเราเลยความหลงใหลในเรื่องพัฒนาการของเด็กมากๆ เพื่อให้เขาเติบโตอย่างเหมาะสม ซึ่งด้วยงานเดิมของเราเอง เมื่อก่อนเรามองว่าโภชนาการเป็นวิธีหลักในเรื่องพัฒนาการของเด็ก
แต่พอเรามีลูกของตัวเอง เราเลยมาเข้าใจอีกเรื่องว่า การศึกษาก็เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับลูกเหมือนกัน”
ภูมิหลังการเป็นนักธุรกิจและนักโภชนาการของทั้งคู่ ทำให้คุณคมสันต์และดร. อีว่าตัดสินใจก่อตั้ง โรงเรียนสตาร์ทอัพในประเทศไทย ที่อยากเน้นการศึกษาภาคสนามและให้ความสำคัญกับเรื่องโภชนาการเป็นหลักด้วย

โภชนาการของเด็กคือสิ่งสำคัญ
ดร. อีว่าอธิบายให้เราฟังว่า ครอบครัวของเธอคลุกคลีอยู่กับวงการวิทยาศาสตร์สุขภาพมาตลอดอยู่แล้ว
“จริงๆ แล้วครอบครัวของเรามีคุณพ่อเป็นแพทย์ พอโตขึ้นเราเองก็สนใจในเรื่องสุขภาพของคนเสมอ เราชอบที่ได้เห็นว่าร่างกายคนเราทำอะไรได้บ้าง และอะไรคือสิ่งที่ช่วยให้คนมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงได้”
เธอเล่าว่าสมัยที่เธอเรียนอยู่ เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับโภชนาการสำหรับโรคมะเร็ง และได้เห็นว่าสิ่งที่คนเรากินกันอยู่ทุกวันนี้ส่งผลกระทบต่อร่างกายของคนเรามากน้อยเพียงใด
“สิ่งที่เรากินไม่ได้ส่งผลต่อเราเฉพาะในตอนนี้ แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพในอนาคตด้วย เพราะงั้นสำหรับเด็ก ๆ แล้ว สิ่งที่พวกเขากินในช่วงหกปีแรกของชีวิต มันจึงส่งผลต่อสุขภาพของพวกเขามากๆ ในอนาคต”
หลักจากนั้นเธอจึงมุ่งศึกษาเรื่องอาหารและโภชนาการสำหรับทารกและเด็กมากขึ้น กลายเป็นแรงบันดาลใจที่อยากช่วยให้เด็กได้มีวิชีวิตที่ดีและเห็นแนวทางการใช้ชีวิตที่ทำให้สุขภาพแข็งแรงได้ตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเด็ก
การมองเห็นโอกาสของธุรกิจบนดินเดิม
ด้วยสถานการณ์โรคระบาดช่วงที่ผ่านมา เรามองว่าการเริ่มต้นธุรกิจในช่วงนี้ไม่ง่ายเลยทีเดียว แต่ทั้งคู่ยังคงมุ่งมั่นที่จะเปิดโรงเรียนสตาร์ทอัพด้วยบ้านหลังนี้ขึ้นมา
“จริงๆ แล้วมูลค่าตลาดของธุรกิจโรงเรียนนานาชาติก่อนโควิดมีการเติบโตเกือบ 10 เปอร์เซ็นต่อปี เป็นแบบนี้ติดต่อกันมาประมาณ 8 ปีแล้ว ซึ่งตีเป็นมูลค่าประมาณ 60 ถึง 70 พันล้านต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างมากเลย พวกเราเลยยังเชื่อว่า มันยังมีช่องว่างให้เติบโตสำหรับธุรกิจนี้”
“อีกความบังเอิญคือเราศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจโรงเรียนในละแวกนี้ก็พบว่า พื้นที่นี้มีโรงเรียนนานาชาติอยู่ไม่มากนักโดยเฉพาะโรงเรียนเด็กเล็กหรือโรงเรียนอนุบาล ผมเลยมองว่านี่เป็นโอกาสที่ดีมากครับ” คุณคมสันต์อธิบาย
“ถ้ามองจากมุมมองของพ่อแม่เอง แม้เศรษฐกิจจะฝืดเคือง แต่เราว่าพ่อแม่ยังอยากหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกเสมอ เชื่อว่าพ่อแม่จำนวนมากต้องการให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด เพราะงั้นโรงเรียนที่มีคุณภาพดี เป็นโรงเรียนที่ยังมีคนต้องการอยู่เสมอค่ะ” ดร. อีว่าเสริม
การก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติสตาร์ทอัพแห่งนี้ก็ไม่ได้สร้างบนพื้นที่กว้างใหญ่ที่ไหน แต่เป็นบ้านมรดกตกทอดจากพ่อแม่ของคุณคมสันต์เอง
“เราดูจำนวนห้องและสิ่งอำนวยความสะดวกที่บ้านหลังนี้มี ลูกๆ ของเราบอกว่าพวกเรามีความทรงจำดีๆ ในบ้านหลังนี้ ไม่อยากให้มันตกไปอยู่ในมือของคนอื่น แล้วลูกก็พูดกับเราอีกว่า มันคงดีไม่น้อยเลยถ้าได้ยินเด็กๆ หัวเราะและเล่นกันในบ้านหลังนี้” ดร. อีว่าเสริม
“เราต้องการให้นักเรียนมาเรียนด้วยความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ไม่ใช่โรงเรียน เราอยากให้เด็กๆ รู้สึกอบอุ่นและไว้ใจเราได้ ซึ่งจากที่คุณเห็นในบ้านของเรา บรรยกาศและการตกแต่งก็อบอุ่นมาก มีความสง่างามอีกด้วย เพราะราอยากให้เด็กๆ รู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน”


เริ่มหว่านเมล็ดพันธุ์ลงดิน
การหว่านเมล็ดพันธุ์สุดท้าทาย
แม้ว่าคุณคมสันต์ทำงานอยู่ในภาคธุรกิจมาก่อน แต่เป็นการทำธุรกิจในภาคสื่อ ฉะนั้นการทำธุรกิจโรงเรียนจึงถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับทั้งคู่ ก้าวแรกของเขาจึงท้าทายและมีหลากสิ่งที่ต้องควานขวายเรียนรู้
“ผมคุยกับเพื่อนที่ทำธุรกิจโรงเรียนอยู่บ้าง สิ่งแรกที่เขาบอกคือ การบริหารโรงเรียนต้องรอเวลาระยะหนึ่งเลยกว่าจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนกลับคืนมา อาจใช้เวลาถึง 3-4 ปีเลยก็ว่าได้ แต่เมื่อธุรกิจมันเริ่มสมบูรณ์และมีนักเรียนมากขึ้น โรงเรียนก็จะเติบโตได้มากขึ้นไปเรื่อยๆ”
ดร. อีว่าเสริม “คนมักมองว่าบริหารโรงเรียนมันท้าทายและมีภาระมากมาย อย่างทุกวันนี้เราเห็นข่าวครูลาออกจากงานเยอะมาก เพราะอาชีพครูเป็นอาชีพที่ใช้พลังใจสูง เขาต้องสร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเด็กๆ และเมื่อใดที่เกิดความผิดพลาด แม้จะเล็กน้อยแต่ก็เป็นปัญหาใหญ่ในฐานะครูได้เลย เพราะเด็กเหล่านั้นคือแก้วตาดวงใจของผู้ปกครอง ครูจึงเป็นบุคคลที่ผู้ปกครองอยากไว้วางใจและฝากฝังลูกๆ ให้คุณครูได้ดูแลอย่างดีที่สุดค่ะ โรงเรียนจึงเป็นความรับผิดชอบที่มีหน้าที่อันใหญ่หลวงเลย”
แม้เพื่อนๆ ของทั้งคู่จะโต้แย้งว่าการทำโรงเรียนสตาร์ทอัพมันยากมาก แต่ทั้งคู่ก็ยังยึดมั่นที่จะเดินหน้าต่อ
“มันเป็นความหลงใหลของเรา เป็นสิ่งที่เราอยากทำ ดังนั้นสิ่งที่เราทำคือ พยายามให้ครูที่ดีที่สุดมาอยู่กับเราด้วย ดังนั้นเราก็เริ่มค้นหาครูที่มีคุณสมบัติสูง และเมื่อเราได้ครูที่เราเชื่อว่าสามารถสนับสนุนเราได้ มันเลยช่วยให้เราบริหารโรงเรียนได้ง่ายขึ้นเยอะ”


เมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่
นอกจากความท้าทายระหว่างการก่อตั้งโรงเรียนแล้ว ทั้งคู่ยังได้พบกับอีกความท้าทาย ที่ต้องรับมือกับเด็กรุ่นใหม่ในยุคโควิด-19 ด้วย
“หลังโควิด-19 ปัญหาของเด็กหลายคนคือไอแพดและโทรศัพท์ ในยุคนี้เด็กๆ จึงไม่มีได้มีทักษะสังคมที่ดีเท่าไหร่ โทรศัทพ์และไอแพดจึงกลายเป็นเหมือนพี่เลี้ยงเด็กในยุคนี้เลย ความท้าทายคือการที่ต้องรับมือกับเด็กๆ ที่ไม่เคยได้รู้จักหรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนภายนอกว่าสังคมที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร และเราต้องสอนให้เรารู้ว่าการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมันเป็นยังไง”
ดร. อีว่าเล่าเราต่อว่ายังเป็นการดีที่นักเรียนรุ่นแรกของพวกเขาทั้ง 5 คนนี้ไม่ได้เป็นเด็กที่ติดโทรศัพท์หรือไอแพด แต่เป็นนักเรียนที่ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีในระดับหนึ่งเลย
เราเลยสงสัยว่า ทำไมเด็กรุ่นแรกถึงมีเพียง 5 คนถ้วน
“เราเริ่มโรงเรียนแบบไม่รีบร้อน เพราะเราอยากมั่นใจว่าโรงเรียนเราพร้อมจริงๆ ทั้งเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อการสอน คุณครูและหลายๆ อย่าง เรามีเวลาโปรโมตน้อยแล้วเราก็ได้นักเรียนมา 5 คน จากที่หวังไว้ประมาณ 8 คน ซึ่งไม่ห่างจากเป้าหมายเท่าไร ซึ่งเรามองว่าการเริ่มจากจำนวนน้อยๆ มันทำให้เราสามารถส่งผลักดันเด็กๆ และมอบแต่สิ่งที่ดีมีคุณภาพให้กับเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า”
คุณคมสันต์อธิบายต่อว่า “ผมคิดว่าโรงเรียนส่วนใหญ่ที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งประสบปัญหามีจำนวนนักเรียนค่อนข้างน้อยในช่วงเริ่มต้น เพราะผู้ปกครองอาจจะยังไม่ค่อยมั่นใจที่จะส่งลูกไปเรียนกับโรงเรียนที่เพิ่งเปิด แต่ผมมองว่าจำนวนนักเรียนไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่สำคัญมากกว่าเป็นเรื่องการสร้างมาตราฐานและคุณภาพของโรงเรียนให้ดี และสิ่งนี้เองจะทำให้เด็กที่มาเรียนกับเราและจบออกไปมีคุณภาพและประสบความสำเร็จในอนาคต”


พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ของเด็กๆ
นอกจากเป้าหมายของนักเรียนที่อยากพัฒนาให้สูงขึ้นไปแล้ว คุณครูที่เข้ามาช่วยพัฒนาก็ต้องมีคุณสมบัติที่สูงตามเกณฑ์เป้าหมายด้วย
“ครูของเราทุกคนต้องมีใบประกอบวิชาชีพครู และต้องมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการสอนเด็กเล็กด้วย เราโฟกัสที่เด็กเล็กช่วง 2-6 ขวบ ฉะนั้นเราจึงต้องการครูที่มีประสบการณ์การทำงานกับเด็กเล็กจริงๆ และต้องเก่งในเรื่องการพัฒนาแผนการสอนให้เด็กเล็กด้วย”
ยิ่งไปกว่านั้น นิสัยใจคอและบุคลิกของคุณครูก็ต้องเข้ากับความเป็น Oakbury ด้วย ซึ่งไม่ใช่ผู้มีประสบการณ์กับเด็กเล็กทุกคนที่จะตรงตามคอนเซปต์ของที่นี่
“นอกจากนี้ครูของเราต้องผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรทุกคนด้วยนะครับ” คุณคมสันต์เสริม

วัตถุดิบปุ๋ยของเมล็ดพันธุ์
การใส่ปุ๋ยให้เด็กๆ
การวางรากฐานการศึกษาที่ดีให้กับเด็กๆ เปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์ที่ถูกปลูกในดินดีและได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต ซึ่ง Oakbury เองก็มองเห็นถึงสิ่งนี้
“โดยพื้นฐานแล้วหลักสูตรที่เรานำมาเป็นหลักสูตรระดับชาติของสหราชอาณาจักร ชื่อว่า UK Early Years Foundation Stage (EYFS) เป็นหลักสูตรที่มีแค่ตัวโครงสร้างหรือแนวทางเท่านั้น มันเหมือนกับการที่เราซื้อโครงตึกเปล่ามา แต่ข้างในเราต้องดีไซน์มันออกมาเองทั้งหมด เพราะงั้นกิจกรรมทั้งหมดภายใน แผนการสอน และวิธีการนำเสนอ เป็นสิ่งที่ทุกโรงเรียนต้องคิดขึ้นมาเอง”
“ดังนั้นคุณครูจึงต้องเข้าใจโครงสร้างการจัดแผนการสอนของหลักสูตร EYFS อย่างดี แล้วก็ไม่ละทิ้งรูปแบบของเราที่อยากให้ Oakbury เป็นเหมือนบ้านที่มีความใกล้ชิดกัน มีความสัมพันธ์ที่ดี ให้ความรู้สึกอบอุ่น คุณครูต้องคาดเดาอารมณ์ของเด็กได้และใช้การสอนแบบเห็นอกเห็นใจกัน”
ดร.อีว่าบอกกับเราว่า เธออยากให้ที่นี่เต็มไปด้วยความเข้าใจและไม่เกิดการตัดสินวิพากษ์วิจารณ์ในตัวเด็ก หากเด็กๆ ทำผิดพลาด ก็ให้กำลังใจและกระตุ้นให้เขาได้ลองกล้าเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง อยากให้ที่นี่เป็นพื้นที่แห่งความเข้าใจในตัวเด็ก มากกว่าจะมาสอบสวนและลงโทษเด็กๆ ที่มุมห้อง
“หลักสูตรของเราเน้นการเล่นและเรียนไปพร้อมๆ กัน ผมว่าการที่เด็กได้เล่นอย่างเต็มที่คือการเรียนรู้อย่างหนึ่งของพวกเขา เมื่อเขาสนุกกับเล่นและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน พวกเขาจะต้องการเรียนรู้เพิ่มขึ้นไปอีก พวกเรามองว่าการเรียนรู้คือสิ่งที่พวกเขาต้องทำไปตลอดชีวิต เมื่อโตขึ้นเขาก็ต้องเรียนรู้ ดังนั้นการมาเรียนที่นี่ เราเลยอยากปลูกฝังให้เขารู้สึกว่าการเรียนรู้มันเป็นสิ่งที่สนุก” คุณคมสันต์เสริม

ใส่ปุ๋ยอย่างนักโภชนาการ
แน่นอนว่าความรู้เฉพาะทางในด้านโภชนาการต้องถูกนำมาใช้กับที่นี่ อย่างที่ดร. อีว่าได้เล่าให้เราฟังก่อนหน้าว่าโภชนาการของเด็กคือปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อการเติบโต
“เด็กวัย 2-6 ขวบ มีพัฒนาการของสมองที่เติบโตอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว ดังนั้นเราเลยต้องเน้นอาหารที่บำรุงสมองและกระดูกอย่างอาหารที่มีโปรตีนสูง ไขมันโอเมก้า 3 แคลเซียมสูงและโพรไบโอติกที่ช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหาร”
“วิธีการคือเราจะทำอาหารที่มีโพรไบโอติกสูงให้กับเด็กๆ 2 วันต่อสัปดาห์ และในทุกๆ วันเด็กทุกคนจะได้รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงแน่นอน ทั้งยังมีผักและผลไม้ที่เราเสริมเข้าไปด้วย” แน่นอนว่าไม่ใช่เด็กทุกคนที่จะชอบรับประทานอาหารคล้ายๆ กัน เด็กบางคนไม่รับประทานผักด้วยซ้ำ และอาหารที่มีคุณประโยชน์สูงแบบนี้เด็กๆ ที่นี่จะชอบกันหรือเปล่า ?
“ที่จริงมีแม่ของนักเรียนคนหนึ่งบอกเราตั้งแต่แรกเลยนะคะว่าลูกเขาเลือกกิน กินยากมาก ลูกของเธอไม่ชอบอะไรเลย วิธีการของเราคือการถามเด็กคนนั้นเลยค่ะว่าเขาชอบอะไร ให้เขาเลือกมาหนึ่งอย่าง เราพยายามหาสิ่งที่เด็กชอบให้เขาได้กิน จนพอสิ้นสุดสัปดาห์นั้นแม่ของเด็กคนนี้ก็มาบอกเราว่าลูกกินได้เยอะขึ้นกว่าเดิมแล้ว หรือบางคนก็เดินมาบอกเราว่าลูกกินง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก เป็นความคุ้มค่าและความสำเร็จที่เรารู้สึกว่ามันได้สร้างความเปลี่ยนแปลงค่ะ”


การงอกเงยของเมล็ดพันธุ์
ครั้งแรกของการงอกเงย
จากที่ทั้งคู่เล่าให้เราฟังว่าการเกิดเริ่มต้นของโรงเรียนนี้เริ่มขึ้นอย่างช้าๆ แน่นอนว่าความรู้สึกของการเปิด Oakbury วันแรกยังคงความตื่นเต้นที่ทั้งคู่จะจดจำไปอีกนาน
“คืนแรกเราแทบไม่ได้นอนเลย เพราะวันแรกเราไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เราเตรียมตัวกันมาดีอยู่แล้ว คุณครูเองก็มีความเตรียมพร้อม พวกเราแค่ช่วยเติมเต็มบางส่วนเท่านั้นเอง”
คุณคมสันต์เล่าต่อว่า “เราตื่นเต้นและประหม่ากันเล็กน้อยเพราะนี่เป็นประสบการณ์ใหม่ของเราเลย เราเป็นทีมเล็กๆ แต่ใกล้ชิดกันมาก เราทุกคนรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร วันแรกมันเลยราบรื่นจนพอจบวันนั้นเรารู้สึกว่า โอ้โห นี่มันดีจังเลย ขอบคุณพระเจ้า”
ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ นับเป็นสัปดาห์ที่ 5 กับการเกิดขึ้นมาของ Oakbury แน่นอนว่าพวกเขายังคงพบกับความตื่นเต้นใหม่ๆ และพบกับความท้าทายเล็กๆ ที่ทั้งคู่ต้องเรียนรู้
“เราเห็นว่าผู้ปกครองตื่นเต้นมากเวลาที่ได้รู้ว่าลูกกำลังทำอะไรที่โรงเรียน เราอัปเดตสิ่งที่เด็กๆ ได้เล่น ได้กินและได้เรียนรู้ระหว่างวันให้คุณพ่อคุณแม่เสมอ พ่อแม่ก็จะตื่นเต้นกับทุกกิจกรรมที่ลูกได้ทำ บางครั้งเราโพสต์ภาพเด็กๆ กำลังทำกิจกรรมบนโซเชียลมีเดีย ไม่นานนักพ่อกับแม่ที่ทำงานกันอยู่ก็มากดไลก์กัน เพราะพวกเขาคิดถึงลูกและตื่นเต้นมากๆ กับการที่ลูกได้เข้าเรียนและได้ทำกิจกรรมที่สนุกสนานแบบนี้”
แต่ภายใต้ความราบรื่นนั้นก็มีเรื่องที่ต้องรับมืออยู่บ้างเล็กน้อย
“ผมว่ามันไม่ใช่อุปสรรคเท่าไรครับ เรากำลังพยายามทำให้เด็กๆ รู้สึกอยากตื่นมาเรียน อยากให้เขาบอกพ่อแม่ว่าอยากไปโรงเรียนเพราะโรงเรียนสนุก ซึ่งเราเจอนักเรียนคนหนึ่งที่ร้องไห้ตอนมาเรียนวันแรก”
“เอาการนั้นเรียกว่า ความวิตกกังวลในการพลัดพราก เพราะเกิดจากความกลัวที่เขาได้มาโรงเรียนเป็นวันแรก แต่เธอร้องไปประมาณ 3-4 วันเอง” ดร. อีว่าเสริม
“ใช่ครับ หลังจากนั้นวันที่สี่ที่เธอมาโรงเรียน เธอก็ไม่ร้องไห้อีกเลย แม่เธอบอกกับเราแบบแปลกใจด้วยครับว่าลูกบอกว่าอยากมาโรงเรียนแล้ว เพราะงั้นความท้าทายอีกอย่างของเราคือการที่ทำให้เด็กๆ สนุกกับการเรียนและอยากที่จะเรียนครับ”
เมล็กพันธุ์ที่สนุกกับการเติบโต
คุยเรื่องเด็กๆ มาถึงตรงนี้เราเลยลองถามดูว่าเด็กๆ ชอบวิชาอะไรกันมากที่สุด
“เราว่าเด็กๆ ชอบทุกวิชาเลยค่ะ เพราะเรียนแบบเป็นการเล่นทุกอย่าง เด็กๆ จึงไม่มองว่านั่นคือวิชาพละ นั่นคือวิชาศิลปะ อันนั้นเป็นวิชาภาษาอังกฤษ เด็กๆ เห็นทั้งหมดเป็นการเล่นทั้งวัน เราเลยเห็นว่าเด็กๆสนุกกับทุกอย่าง พอเขาได้เล่นศิลปะ เขาก็สนุกกับศิลปะค่ะ”
ภรรยาเล่าต่อว่า “แต่สิ่งที่เด็กๆ ไม่อยากเลิกเล่นเลยก็คือตอนที่ได้ออกเล่นที่สนามเด็กเล่นค่ะ พอเราบอกเขาว่า หมดเวลาแล้วนะ พวกเขาก็จะตอบกลับมาแบบเสียดายนิดหน่อย แต่ก็หยุดกิจกรรมที่ทำกันอยู่ค่ะ เวลาที่พวกเขาอยู่ข้างนอก เรามักจะบอกให้เด็กๆ ลองปีนป่ายหลายแบบ ลองใช้สไลเดอร์อันนี้หรือลองเล่นอะไรกับทรายดูไหม เด็กๆ จะตื่นเต้นและไม่อยากหยุดเล่นเลยค่ะ เด็กๆ จะชอบสนามเด็กเล่นมาก จนไม่อยากกลับเข้ามาเล่นในห้องกันเลยค่ะ”

ต้นกล้าที่เติบโต
เมล็ดพันธุ์ที่มีความหมายต่อ Oakbury
แม้ว่าเราจะพูดถึงเรื่องการก่อตั้งโรงเรียนในแง่ธุรกิจตั้งแต่ต้นบทความ แต่แน่นอนว่าการเริ่มต้นนี้ย่อมเกิดจากแพสชั่นที่อยากสร้างเมล็ดพันธุ์ที่ดี ให้เติบโตไปสู่สังคมอย่างมีคูณภาพ แรงใจที่สร้างสิ่งนี้มากับมือ ทำให้เด็กๆ ของ Oakbury มีความหมายมากมายสำหรับทั้งคู่
“เมื่อเรานึกถึงนักเรียน เรามักคิดว่าพวกเขาเป็นลูกของเราจริงๆ ค่ะ แล้วการก่อตั้งโรงเรียนนี้ก็เกิดขึ้นเพราะลูกของเราด้วย เราอยากทำเพื่อเด็กๆ อยากนำสิ่งที่เราเคยได้จากการสอน การดูแลและอบรมลูกของเราไปสู่เด็กคนอื่นให้มากขึ้นด้วย เราไม่ได้มองว่าเด็กๆ ที่มาที่นี่เป็นแค่นักเรียน แต่เรามองว่าพวกเขาเป็นลูกคนที่สอง เพราะงั้นทั้งการเป็นอยู่ ความสุข การเติบโตและพัฒนาของเด็กๆ เหล่านี้จึงสำคัญพอๆ กับการที่เราได้ดูแลลูกของตัวเองเลยค่ะ”
“ชื่อโรงเรียนของเราคือ Oakbury เราได้มาจากต้นโอ๊ก มันเป็นต้นไม้ที่มีระบบรากที่แข็งแรงมาก แต่ต้นไม้จะงอกออกมาจากลูกโอ๊กเล็กๆ ซึ่งเป็นเมล็ดที่มีขนาดเล็กมาก เราจึงมองนักเรียนเหมือนลูกโอ๊กเล็กๆ ที่เราต้องการสร้างรากฐานที่แข็งแรง เช่นเดียวกับระบบรากที่ต้นโอ๊กมี และเราต้องการให้พวกเขาเติบโตได้ใหญ่และแข็งแรงเหมือนต้นโอ๊ก นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อของโรงเรียนของพวกเราครับ” คุณคมสันต์อธิบาย


Oakbury ที่มีความหมายต่อผู้หว่านเมล็ดพันธุ์
นอกจากเด็กๆ ที่มีความหมายต่อพวกเขาแล้ว แน่นอนว่า Oakbury ยิ่งมีความหมายมากมายจนทั้งคู่สามารถอุทิศตัวเอง เพื่อลงใจลงแรงไปกับโรงเรียนนี้เป็นระยะเวลากว่าหนึ่งปีเต็ม
“มันมีความหมายมากเลยค่ะ จะว่ายังไงดี เพราะคุณคมสันต์เองก็มีงานที่ดีอยู่แล้ว แต่เขาก็ตัดสินใจเดินออกมาเพื่อสนับสนุนโรงเรียนนี้ด้วยกัน ซึ่งเราก็มีทีมที่ดีด้วยและโรงเรียนนี้กลายเป็นโรงเรียนในฝันของพวกเรา เราวางแผนและทุ่มเทกันมาเป็นเวลาหลายปี ทุ่มเททั้งการเงินและด้านอารมณ์เราก็ทุ่มเททั้งหมดให้ที่นี่เลยค่ะ”
คุณคมสันต์เสริมอีกว่า “เราใส่เต็มที่ทุกอย่างให้โรงเรียนนี้จริงๆ ครับ เพราะจากประสบการณ์การทำงานของผม ผมตื่นไปทำงานด้วยการ ตื่นนอน อาบน้ำ และไปทำงานอยู่แบบนั้น แต่ที่นี่ ทุกๆ เช้าที่มาโรงเรียนผมจะได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ มันช่างคุ้มค่ากับสิ่งที่ลงทุนไป มันทำให้ผมได้เห็นรอยยิ้มและความสุขของเด็กๆ ที่กำลังเติบโตได้ทุกวันครับ”
“อีกเรื่องที่คาดไม่ถึงคือมันเกิดเรื่องดีๆ กับครอบครัวเราด้วยค่ะ เพราะเราได้ทำงานร่วมกันกับครอบครัว เราจึงสนิทกันมากขึ้นและเข้ากันได้ดีขึ้น เราสนุกมากกับการได้พูดคุยเรื่องต่างๆ ด้วยกัน อย่างลูกของเราอีกสองคนก็มีส่วนร่วมในการวาดรูปมาสคอตกระรอกให้โรงเรียนเราด้วย มันเหมือนเป็นตัวเชื่อมให้พาครอบครัวเรามาใกล้ชิดกันมากขึ้นค่ะ”
ในอนาคตอันใกล้ โรงเรียนนี้มีพื้นที่ที่พร้อมจะเปิดรับให้เด็กๆ ได้มาเติบโตเพิ่มขึ้นได้ถึง 160 คน ทั้งคู่วางแผนไว้ว่าอยากให้โรงเรียนนี้เน้นการศึกษาปฐมวัยเท่านั้น และยังไม่มีแผนที่จะขยับขยายรับเด็กวัยที่โตขึ้นกว่านี้ในอนาคต
บทเรียนจากการเติบโตที่ Oakbury ได้ฝากไว้
“เราคิดว่าเมื่อเราไล่ตามสิ่งที่เราเชื่อ มันจะมีเส้นทางที่เปิดกว้างให้เราเสมอ โดยเฉพาะถ้าเราทำงานหนัก ได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้อง และการได้เจอที่ปรึกษาที่ดี มันจะทำให้สิ่งที่คุณทำอยู่มันยั่งยืนมากๆ รวมไปถึงความคิดและทัศนคติในการทำงานที่ดีจะสามารถนำพาความฝันของคุณให้เป็นจริงได้”
และสิ่งที่คุณคมสันต์ได้รับคือ “การทำงานเป็นทีมสำคัญมากครับ เพราะทุกสิ่งที่คุณทำ คุณไม่สามารถคนเดียวได้ ถ้าคุณอยากจะทำให้สิ่งที่คุณทำอยู่มันยั่งยืน คุณต้องมีคนช่วยทำงานด้วย แล้วอย่างที่ภรรยาผมพูด คนเราควรเจอใครสักคนที่มีความฝันเดียวกัน และต้องการบางสิ่งเหมือนกัน เราจึงทำงานจะร่วมทำงานกันได้ดี ดังนั้นการทำงานเป็นทีมเป็นสิ่งสำคัญมาก”
“และสามีภรรยาสามารถสร้างทีมที่ยอดเยี่ยมได้” ดร. อีว่าเสริมต่อพร้อมกับเสียงหัวเราะ
“บางทีเราก็มีการทะเลาะกันบ้างครับ เช่น เธอชอบสิ่งนั้น ส่วนผมชอบสิ่งนี้ แต่ถ้าสุดท้ายแล้วพวกเราก็มีความฝันเดียวกัน มีจุดประสงค์และเป้าหมายเดียวกัน ดังนั้นพวกเราจึงพยายามหาทางออกที่ดีที่สุดเสมอ”
