ท่ามกลางกระแสดนตรีที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่เพลงร็อกยังคงมีความเป็นอมตะที่ครองใจผู้ฟังเพลงมาอย่างยาวนาน Rock Alarm เทศกาลดนตรีที่รวบรวมวงร็อกชั้นนำของเมืองไทยไว้บนเวทีเดียวกัน กำลังจะกลับมาสร้างความสั่นสะเทือนอีกครั้งในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้ ที่โกดังสเตเดียม คลองเตย

ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นก่อนวันงาน เราได้มีโอกาสพูดคุยกับ สมเมย์ มือกลองจากวงลาบานูน และ โอ๊ค มือเบสจากวง Big Ass ผู้คร่ำหวอดในวงการดนตรีร็อกที่ผันตัวมาเป็นผู้จัดงานคอนเสิร์ตที่กำลังจะเนรมิตให้วันเสาร์ที่กำลังจะมาถึงเป็นวันที่พลังเสียงของวงการร็อกไทยจะกลับมาดังกึกก้องอีกครั้ง พวกเขาเล่าถึงความฝัน แรงบันดาลใจ และความท้าทายในการสร้างเทศกาลดนตรีที่หวังจะเป็นมากกว่าแค่งานคอนเสิร์ต แต่เป็นจุดนัดพบของคนรักเพลงร็อกในไทย

จากเวทีเล็กๆ สู่ความฝันที่ยิ่งใหญ่ อะไรคือสิ่งที่พวกเขาไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาและผลักดันให้ Rock Alarm กลายเป็นหนึ่งในเทศกาลดนตรีที่ทั้งคนไทยและต่างชาติต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต มาหาคำตอบกันได้ในบทความนี้

ดราฟต์แรกของ Rock Alarm

ทั้งสองคนมาร่วมงานกันได้ยังไง

สมเมย์: พี่โอ๊คจริงๆ เจอกันแรกๆ ตอนที่ลาบานูนทำอัลบั้ม N.E.W.S เป็นอัลบั้มแรกที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่จีนี่ ในเครือแกรมมี่ ได้เจอพี่โอ๊คเพราะพี่โอ๊คช่วยเป็นล่ามให้กับมิกเซอร์ซึ่งเป็นคนออสเตรเลีย ก็เลยได้รู้จักกัน

เลยเป็นที่มาของการตั้งค่าย Vom Record ด้วยไหม

โอ๊ค: จริงๆ มันเริ่มมาจากการจัดงานก่อน แล้วค่ายมาทีหลัง ตอนที่ได้รู้จักกับสมเมย์ มีช่วงที่สมเมย์จัดงาน Rock Alarm ตอนนั้นยังเป็นงานเล็กๆ อยู่ จัดที่ Parking Toys ตอนนั้นสมเมย์กำลังหาคนทำโปสเตอร์งาน ทำ Artwork สมเมย์ก็ชักชวนให้มาร่วมทำงาน มาช่วยดูภาพรวมของงาน

สมเมย์: ตอนนั้นเราอยากได้สักคนที่มาออกแบบโปสเตอร์ แล้วเรารู้อยู่แล้วว่าพี่โอ๊คจบงานศิลปะมา เราก็เลยโทรไปปรึกษาพี่โอ๊คให้มาช่วยออกแบบโปสเตอร์งาน หลังจากนั้นทำงานมาเรื่อยๆ พี่โอ๊คไม่ได้มาเป็นแค่คนออกแบบ แต่ยังเติมเต็มให้ผมทั้งเรื่องให้คำปรึกษาและเรื่องวงที่จะเชิญมาเล่นในงาน มันก็เลยกลายเป็นพี่โอ๊คได้มาเป็นส่วนหนึ่งของการทำ Rock Alarm ด้วยกันเลย

จุดเริ่มต้นของ Rock Alarm

สมเมย์: ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมตีกลองให้ลาบานูน และเป็นช่วงที่ลาบานูนทัวร์มายาวมาก แล้วเป็นช่วงพักของวงพอดี ประมาณ 1 เดือน ผมรู้สึกคิดถึงเพลงในยุค 2000 เพลงหนัก เพลงอีโม เพลงเมทัล แล้วเราก็เคยเล่นกับวงเก่าที่ชื่อ Oblivious เราคิดถึงเพื่อนๆ ก็เลยอยากจัดงานเล็กๆ สักงานเพื่อย้อนความหลัง คิดถึงเพื่อนเก่า มันจึงเกิดเป็น Rock Alarm ที่เรานำวงเก่าๆ ที่เราคิดถึงมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็น Oblivious, Tazzmanian, Bomb At Track

โอ๊ค: ปีแรกตอนนั้นมีน้องใหม่ด้วย มี Paper Planes

สมเมย์: ตอนนั้นสเกลที่เราวางไว้ ถ้ามีคนมา 200 คนเราก็ดีใจสุดๆ แล้ว แต่ปรากฏว่าไม่ใช่แค่ผมกับพี่โอ๊คที่คิดถึงเท่านั้น เพื่อนๆ ทุกคนก็คิดถึงบรรยากาศงานแบบนี้เหมือนกัน กลายเป็นว่าครั้งแรกมีคนมาเกือบ 700 คน ทำให้ผมรู้สึกว่า โห ทุกคนคิดถึงงานนี้จริงๆ พองานครั้งแรกสำเร็จ ผมกับพี่โอ๊คก็กอดคอดีใจกัน แล้วถามกันว่าเรามาลองจัดทุกปีไหม มันก็เลยมีงานครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ตามมาเรื่อยๆ

ความยากจากการเป็นศิลปินมาสู่ผู้จัดคอนเสิร์ต

โอ๊ค: ต้องปรับมายด์เซ็ตใหม่เลย เรารู้ว่าโอเค การเป็นศิลปิน ความสบายในการทำงานมันเป็นอีกแบบหนึ่ง ถึงเวลาเล่นเราก็โดดลงไปเล่นเลย แต่พอเป็นส่วนของการจัดงาน เราต้องเตรียมการตั้งแต่ก่อนจัดงาน ทีมงาน คอนเซปต์ของงาน ระบบเครื่องเสียง ระบบซาวด์ต่างๆ ต้องเรียนรู้ทั้งหมด เราต้องเตรียมตัวอย่างไร ต้องให้ทีมไปดีลกับศิลปินอย่างไร รวมถึงการดูแลศิลปิน มันกลายเป็นว่าเรากลับมามองตัวเองและเข้าใจแล้วว่าศิลปินต้องการอะไร เราก็จะปฏิบัติให้ตรงจุดและนำมาใช้ในงานของเรา

Rock Alarm จำกัดไหมว่าต้องเป็นแค่วงร็อกอย่างเดียว

สมเมย์: จริงๆ เราคาดหวังให้เป็นอย่างนั้นตลอดไป และให้มันเติบโตมากขึ้น แต่ ณ ตอนนี้ ด้วย mood and tone ที่เราเคยทำมา เรายังอยากให้คงความร็อก ความเมทัล ความหนักหน่วงของงานอยู่ แต่ถามถึงอนาคต เราคิดกันไว้แล้วว่าอยากเปิดไม่ใช่แค่ร็อกอย่างเดียว เราอยากให้มันมากกว่าคำว่าร็อกอยู่แล้ว

Undying Spirit

จากคอนเสิร์ตครั้งแรกในปี 2018 จนถึงปีนี้ มีความยากหรือมีเรื่องอะไรที่ท้าทายเพิ่มขึ้นในแต่ละปี

สมเมย์: จริงๆ ทุกครั้งที่จบงาน เรากับพี่โอ๊คและทีมงานจะมานั่งคุยกันว่า “เราพลาดอะไรบ้าง?” เราทบทวนกันเสมอ แล้วเอาจุดที่พลาดหรือบกพร่องมาปรับปรุงในปีต่อไป

เราดูว่าควรเพิ่มโปรดักชั่นตรงไหน ให้คนรู้สึกว่าคุ้มค่ากับการมาดูคอนเสิร์ต ซื้อตั๋วในราคานี้ แล้วได้ดูวงดีๆ แบบนี้ในงานเรา เราจึงพยายามพัฒนาอยู่ตลอด

โอ๊ค: แต่ปัญหาที่น่ากังวลที่สุดคือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เช่น เรื่องดินฟ้าอากาศ ปีที่แล้วเราเจอฝนตกหนัก ปีนี้เราก็เลยเตรียมการไว้ให้พร้อมมากขึ้น ถ้าฝนตกจริงๆ เราจะทำยังไงให้เล่นต่อได้ อันนี้คือตัวอย่างหนึ่งของการเตรียมตัว

ที่มาของคอนเซ็ปต์ในงานคอนเสิร์ตปีนี้ “Undying Spirit”

โอ๊ค: ปีนี้เป็นปีที่ห้า เรามองว่า… ทำไมหลายๆ วงที่เราพูดถึง เช่น วง Underground วงที่ผลิตผลงานมา โดยที่ผลงานเค้าอาจจะไม่โด่งดังหรือมีกลุ่มคนรู้จักไม่เยอะ แต่หลายๆ วงที่เราเชิญมานี่ยังผลิตผลงานต่อเนื่อง ทั้งที่สิ่งที่เค้าทำไม่ได้สร้างรายได้อะไรเลย เค้ากลับต้องเอารายได้ของตัวเองมาช่วยสนับสนุน

หลายวงที่ยังทำอยู่อายุประมาณ 30 ปีเป็นอย่างต่ำ เรามองว่ามีบางอย่างในความรู้สึกของนักดนตรีเหล่านี้ เหมือนจิตวิญญาณบางอย่างที่ไม่เคยตาย และยังอยากโลดแล่น อยากทำ อยากใช้พลังงานตรงนี้อยู่ พอคุยกับทีมแล้วทุกคนเห็นด้วยว่าถ้าขึ้นต้นด้วยคำว่า Spirit มันจะสื่อถึงจิตวิญญาณบางอย่างที่เอาไปต่อยอดได้ จึงตั้งชื่อว่า Undying Spirit ซึ่งรวมถึงพวกเราด้วยในการจัดงานร็อก ทีมงานก็เช่นกัน วงพวกเราเองก็โตมากับดนตรีแนวเมทัล แนวร็อก หนักๆ ซึ่งไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เรายังไม่เคยลืมเลือนในสิ่งที่เราทำ หรือจิตวิญญาณที่เราเคยเป็น

เห็นว่างานปีนี้มีถึง 4 เวที 45 วง มีวิธีในการคัดเลือกวงที่จะมาเล่นอย่างไร?

สมเมย์: จริงๆ หลักๆ ด้วย target ของวงดนตรีแนว Underground บ้านเรามันเยอะมาก เรามี list อยู่แล้วว่าวงไหนที่น่าสนใจและน่าจับตามอง เราวางไว้คร่าวๆ ก่อนที่จะประกาศ Lineup แล้วเราอยากเสริมความใหม่เข้าไปด้วย

อย่างปีนี้ สำหรับผม Paper Planes เป็นตัวอย่างที่ดี เพราะเขาเคยมาเล่นตอนที่ยังไม่มีชื่อเสียง แล้ววันนี้เขาก็ยังไม่หยุดเดินต่อในแนวดนตรีนี้ จนวันนี้เขามีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของเด็กวัยรุ่น

เราได้ไปคุย ไปเชิญชวน และเขาก็ยินดีมากที่จะมาเล่นในงานนี้ เรารู้สึกว่าเป็นสิ่งใหม่สำหรับเรา ส่วนเด็กรุ่นใหม่เวลาส่งเพลงมา เราก็จะคัดเลือก แล้วไปดูผลงานการแสดงสดของเขาตามที่ต่างๆ ก่อนจะทาบทามมาเล่นในงาน

โมเมนต์ที่ประทับใจที่สุด

สมเมย์: ที่ชอบที่สุดเลยคือปีที่แล้ว เพราะเกิดเหตุการณ์ที่น่าจดจำมาก ฝนตกหนักมาก เป็นคอนเสิร์ต out door เวทีหลักเราอยู่กลางแจ้ง เครื่องเสียงต่างๆ ก็แพงมาก พอพายุเข้าจริงๆ พวกเราต้องปรับแผนกันหมด ตอนนั้นวง Big Ass ขึ้นโชว์ แล้วสิ่งที่พิเศษสำหรับผมคือ ลิสต์เพลงที่เล่นไม่เคยเล่นที่ไหนมาก่อน เป็นเซ็ตลิสต์ใหม่สำหรับงานนี้โดยเฉพาะ

โอ๊ค: พอขึ้นเพลง “ทางหนีไฟ” ฝนก็เทลงมาแบบกระหน่ำมาก

สมเมย์: พี่ๆ Big Ass ต้องหยุดโชว์ เพราะเครื่องเสียงเปิดไม่ได้ เราก็มานั่งคุยกันและตัดสินใจย้ายไปเล่นที่เวที Young Blood ซึ่งเป็นเวทีเล็กในร่มที่เราเตรียมไว้ให้วงรุ่นใหม่ พี่ๆ ทุกคนใน Big Ass น่ารักมาก ย้ายโดยไม่เอาอุปกรณ์ของตัวเองมาเลย ใช้เครื่องของเวทีนั้นหมด ทั้งตู้เบส ตู้กีตาร์ กลอง เล่นสดล้วนๆ ไม่มีแบ็คแทร็ค ไม่มีอะไรทั้งนั้น เป็นโชว์ที่เรียลมาก เหมือนเป็น back to basic ได้เห็น Big Ass ย้อนกลับไปสมัยวัยรุ่น

โอ๊ค: แฟนเพลงก็ยังอยู่กันเต็ม คนแน่นจนแทบหายใจไม่ออก แต่ทุกคนเต็มใจอยู่ต่อ มันทำให้ผมรู้สึกอินมาก เป็นภาพประทับใจที่จำไม่ลืมเลย

มองภาพของ Rock Alarm ในอนาคตว่าอยากให้มันไปถึงไหน

สมเมย์: จริงๆ เราวางเป้าหมายไว้ใหญ่มากครับ เราอยากให้มันเป็นงานที่ทุกคนรู้จัก

โอ๊ค: ปีที่แล้วเราพยายามดึงวงต่างประเทศเข้ามาร่วมงานด้วย แต่ปีนี้ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลาและสถานที่ เราเลยตัดสินใจจัดแค่วันเดียว เพราะจัดหลายวันค่อนข้างเหนื่อย เราได้ลองมาแล้ว

แต่ถ้าวันหนึ่ง Rock Alarm กลายเป็นหมุดหมายของคนฟังเพลงร็อก แค่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ทุกคนมีไว้ในปฏิทินประจำปีว่า “ปีนี้มี Rock Alarm จะมีวงอะไรมาบ้าง” หรือถ้าวันหนึ่งเราสามารถเชิญวงต่างประเทศที่ทั่วโลกรู้จัก หรือวงในเอเชียที่มีชื่อเสียงมาร่วมงานได้ เราก็อยากให้มันเติบโตไปถึงจุดนั้น แต่มันต้องใช้ปัจจัยหลายอย่าง

สมเมย์: เรายังคงฝันที่จะทำให้ได้อย่างนั้นครับ เราคิดถึงเรื่องนี้ทุกปี แต่บางครั้งด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลาและโอกาสต่างๆ มันอาจจะยังไม่ถึงจุดนั้น แต่เรามีเป้าหมายชัดเจนว่าอยากทำให้ได้แบบนั้น อยากให้เป็นหนึ่งในงานที่ชาวต่างชาติคิดว่า “ถ้าจะมาประเทศไทย ต้องมาช่วงเทศกาลนี้ มาดูงานนี้”

ร็อกอยู่ในสายเลือด

เห็นการเปลี่ยนแปลงของยุคเพลงร็อกในไทยยังไงบ้าง

สมเมย์: จริงๆ วงการเพลงบ้านเรามันเติบโตมากๆ แนวดนตรีไม่มีขีดจำกัดจริงๆ มันเปลี่ยนไปทุกเจนทุกสมัย แต่ละปีในการจัดงานเราจะเห็นอะไรใหม่ๆ จากเด็กรุ่นใหม่เยอะมาก และจะได้เห็นการพัฒนาจากคนเก่าด้วย คนเก่าจะมีการพัฒนาสิ่งใหม่เพื่อให้ตอบโจทย์กับคนที่มาดูงานครั้งใหม่ๆ

โอ๊ค: ต้องบอกก่อนว่า Rock Alarm แตกต่างจากงาน Rock Festival ทั่วไป เพราะว่างาน Rock Alarm จะเน้นที่วงที่ไม่ค่อยได้ดู หรือวงที่เป็น Underground ซึ่งวงพวกนี้ไม่ค่อยมีที่เล่น หรือออกผลงานแต่ไม่มีโอกาสได้แสดง พวกเราทั้งสองคนฟังดนตรีแนวนี้อยู่แล้ว เรารู้ว่าอะไรจะเหมาะกับคอนเซ็ปต์ของงาน อย่างปีนี้เราได้พี่คิดจากวงดอนผีบิน ซึ่งเป็นรุ่นที่เราโตมา เรารู้สึกว่าถ้าเค้ามาเล่นในงานเรา มันจะแมตช์กับงานเรามาก หรือจะเป็นฝั่งของ Obvious, Tazzmanian ซึ่งเป็นวงที่มาเล่นงานเราประจำอยู่แล้ว กลุ่มคนเหล่านี้มีแฟนเพจที่เฉพาะทางจริงๆ เรารู้สึกว่างาน Rock Alarm มีบางอย่างที่ไม่เหมือนกับงานอื่น

สมเมย์: สำหรับคนที่ชอบเสพดนตรีใหม่ๆ หรืออยากเห็นอะไรแนว Underground ใหม่ๆ ผมว่าถ้ามางานนี้คุณจะได้เห็นอะไรมากมาย ทั้งวงรุ่นใหม่ วงไอดอล เราก็จะเอามาผนวกกับงานของเราด้วย หรือศิลปินใหม่ๆ ที่ยังไม่มีโอกาสเล่นในงานใหญ่ๆ เราก็จะชักชวนมา โดยเฉพาะวงที่มีแววและมีอนาคต

นิยามของคำว่า “ร็อก” หรือ “เพลงร็อก” 

สมเมย์: สำหรับผม “ร็อก” คือความอิสระ ความคิดที่ไม่เหมือนใคร เป็นการปลดปล่อยตัวตน มันไม่ได้หมายถึงความดุดันอย่างเดียว แต่ร็อกเป็น “มิตร” ด้วย คนที่ฟังร็อกมักเป็นคนอ่อนไหว และน่ารักมาก เท่าที่ผมสัมผัสมา

โอ๊ค: เวลาไปงานร็อก แค่เห็นคนใส่เสื้อวงเดียวกันก็คุยกันได้แล้ว มันเหมือนมีสายสัมพันธ์บางอย่างที่เชื่อมกันด้วยดนตรี ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันมาก่อน ดนตรีร็อกทำให้เราเปิดใจได้ง่ายขึ้น และมันไม่ซับซ้อน ความรู้สึกของคนเล่นมันออกมาจากใจจริงๆ

ดนตรีร็อกมีอิทธิพลต่อชีวิตของทั้งสองคนยังไง

สมเมย์: ผมว่าดนตรีร็อกคือสิ่งที่นำพาชีวิตเรามาถึงทุกวันนี้เลย เราเล่นดนตรี ฝึกฝน อยากเป็นแบบไอดอลที่เราชอบ แล้วทำทุกอย่างเพื่อไปถึงตรงนั้น ดนตรีร็อกมันคือเป้าหมายที่พาเรามาไกลขนาดนี้

โอ๊ค: ผมเหมือนกัน ไม่เคยใช้ชีวิตอย่างอื่นเลยนอกจากเล่นดนตรี ฟังเพลงร็อกมาตั้งแต่เด็ก ร็อกทำให้เราเห็นตัวตนของตัวเอง เห็นในมุมที่คนอื่นอาจไม่เคยเห็น มันชัดเจนในบุคลิกและแนวทางชีวิตไปเลย

อยากบอกอะไรกับเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังอยากจะฟอร์มวงดนตรีของตัวเอง 

สมเมย์: ทำเลยครับ อย่าหยุดทำ ถ้าคุณคิดจะทำแล้ว ก็เดินหน้าต่อไป ปล่อยให้ตัวเองเป็นในสิ่งที่อยากเป็น ทำในสิ่งที่คุณมี ให้ตัวเองมีความสุขก่อน แล้วค่อยรวบรวมเพื่อนมามีความสุขด้วยกัน และอย่าหยุดเดินครับ ทำไปเรื่อยๆ อย่าท้อ

โอ๊ค: ร็อกไม่มีวันตาย แต่ต้องอดทนครับ (หัวเราะ) ไม่ตายแต่ต้องอดทน จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นยุคไหน การทำวงร็อกหรือวงดนตรีขึ้นมาสักวง มันมีองค์ประกอบหลายอย่าง แต่ปัจจัยสำคัญคือความอดทนและความมุ่งมั่น

ถ้าอยากทำวงดนตรีให้ประสบความสำเร็จจริงๆ ต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดว่าเราจะไปไหน และระหว่างทางถ้าเจออุปสรรคก็อย่าท้อ บางครั้งเจอปัญหาจนรู้สึกว่า “เราพอแค่นี้ดีกว่า” แต่ต้องยึดมั่นในเป้าหมายให้ชัดเจน เพราะทุกอย่างไม่มีอะไรง่ายอยู่แล้วครับ

สุดท้ายนี้ ฝากโปรโมตคอนเสิร์ตที่กำลังจะเกิดขึ้นหน่อย

สมเมย์: ขอเชิญชวนทุกคนครับ วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคมนี้ ที่โกดังสเตเดียม คลองเตย ใครที่ยังไม่มีบัตรสามารถซื้อได้ที่ AllTicket หรือที่ 7-Eleven หรือจะซื้อหน้างานก็ได้ ตอนนี้บัตรยังมีเหลืออยู่นิดหน่อย เพราะรอบแรกขายหมดไปแล้ว ตอนนี้เป็นบัตรพรีเซลล์ที่ยังเหลืออยู่บ้าง

ไม่อยากให้สายร็อกหรือคนที่ชอบฟังเพลงร็อกพลาดงานนี้ เป็นอีกหนึ่งงานทางเลือกสำหรับคนฟังเพลงร็อกแน่นอนครับ

โอ๊ค: เตรียมร่างกายให้พร้อม เพราะวันนั้นอากาศน่าจะร้อน

สมเมย์: ร้อนทั้งอากาศ ร้อนทั้งวง วงประทุมากๆ (หัวเราะ)

โอ๊ค: ทุกเวที งานเริ่มประมาณ 11 โมงเช้า จบประมาณเที่ยงคืน คุณมีเวลาอยู่ในงานเกือบ 13 ชั่วโมง ต้องเตรียมตัวให้พร้อมจริงๆ แต่ถ้าคุณเหนื่อย เรามีพื้นที่ให้พัก มีอาหาร เครื่องดื่มเย็นๆ หลายโซนให้เลือก ทั้งโซนเมอร์ชันไดส์จากศิลปินทุกวง ของกินดังๆ ก็มีเพียบ ปีที่แล้วเวทีอยู่ในฮอลล์ ปีนี้เวทีอยู่ข้างนอก แต่มีโซนเย็นๆ ข้างในให้นั่งดื่ม นั่งพัก แล้วออกมาลุยกันต่อได้แบบเต็มที่ครับ

Contributors

อาร์ตไดผู้รักงานออกแบบที่เขียนคอนเทนต์ได้นิดหน่อย ชอบเล่าตัวเลขและข้อมูลด้วยภาพ ชอบกินเส้นมากกว่าข้าว ชอบดูหนัง ชอบแมว และชอบเธอ

มิวเมลผู้หลงไหลการเดินป่าและท่องโลกกว้าง เสียงเพลงคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจ แล้วเมื่อไหร่จะได้รักกัน