เชื่อว่าในตู้เสื้อผ้าของหลายๆ บ้านต้องมียืดเปล่าติดตู้กันอยู่บ้าง
Yuedpao คือ แบรนด์เสื้อยืดที่ตอนนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ด้วยคุณภาพของเสื้อยืดที่เคลมตรงๆ ว่า “ไม่ย้วย” โดยถูกพูดถึงในหมู่ลูกค้าและนักรีวิวว่าใส่สบายและดีจริง! หรือภาพลักษณ์สนุกๆ จากการทำการตลาดออนไลน์ที่โคตรซนทั้งแอดหรือคอนเทนต์ในเพจ ก็บอกตรงๆ เลยว่ายืดเปล่าเองก็มีคาแรคเตอร์ของตัวเองที่ชัดมาก และภาพจำที่ดีจากลูกค้าอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้เราเพิ่งเห็นคลิปรับสมัครนักศึกษาฝึกงานของยืดเปล่าอยู่ใน TikTok และพบว่ามันได้รับความสนใจและถูกพูดถึงอย่างมากบนโลกออนไลน์ ซึ่งเราก็มารู้ทีหลังว่าแบรนด์ที่เปิดมา 4 ปี เพิ่งรับนักศึกษาฝึกงานไป 2 คน!
และยิ่งเมื่อเรารู้อีกว่านักศึกษาฝึกงานของยืดเปล่าได้เป็นตัวตั้งตัวตีสำคัญในการปั้นอีเวนต์ให้กับแบรนด์อย่างมนต์รักเสื้อยืด Yuedpao Festival ที่เพิ่งไปจัดไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ณ Venice di Iris วัชรพล ซึ่งก็ประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
เมื่อ Rhythm ได้ข่าวงานนี้ เราจึงยกหูเพื่อนัดหมายสองบุคคลสำคัญที่เป็นหัวหอก และที่ปรึกษาสำคัญของงานนี้คือ ตอน-ทนงศักดิ์ แซ่เอี้ยว Founder ของยืดเปล่า และมี่-พุทธิชา เต็งสุวรรณ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาการสื่อสารการตลาดิจิทัล มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มานั่งเปิดฉบับร่างของงานนี้ตั้งแต่การได้อนุมัติทำงานนี้ อุปสรรคที่นักศึกษาฝึกงานคนหนึ่งได้เรียนรู้ผ่านการลงสนามจริง และวิธีคิดของผู้บริหารยุคนี้ที่มองเห็นว่า คนรุ่นใหม่ต้องได้พื้นที่ในการปล่อยของ ปล่อยไอเดีย ปล่อยความคิด
และลงมือทำจริงแบบไม่ต้องกลัวว่ามันจะผิด

ความคิดสร้างสรรค์เท่านั้นที่ Knock Everything
ก่อนจะไปคุยถึงเนื้องาน Yuedpao Festival เพราะเราเห็นความสนุกในการทำคอนเทนต์ออนไลน์ของยืดเปล่าไม่ว่าจะบนเพจหรือ TikTok เราเลยชวนตอนคุยก่อนเลยว่า ความคิดสร้างสรรค์สำคัญกับแบรนด์ยังไงบ้าง
“ในมุมของผม ผมให้เป็นอันดับหนึ่งเลยแล้วกัน” ตอนตอบเราอย่างไม่ลังเล
“ต้องบอกว่าเราเคยทำมาตอนแรกในช่วงที่แบรนด์ยังไม่ติด เพราะการทำเสื้อยืดมันก็เหมือนกันหมด พอเป็นเสื้อยืดเหมือนกันหมด พอเวลาเล่าเรื่อง ถ้ามันธรรมดา มันทำให้ลูกค้าจดจำยาก มันเลยเริ่มต้นตั้งแต่แรกในเรื่องของครีเอทีฟเป็นหลักเลย
“ถ้าย้อนกลับไปตอนเปิดเพจแรกๆ มันมีคลิปหนึ่งที่เป็นไวรัลเลย เป็นคลิปฟาดเสื้อที่ให้น้องเป็นคนฟาด เราก็เขียนบทแล้วก็ให้น้องอีกคนถ่าย คือเมื่อก่อนเราก็เล่าเรื่องทั่วไปนะ แต่พอเราได้ประสบการณ์จากตรงนั้นมันก็กลายเป็นว่ามันปัง มันเป็นจุดเริ่มต้นในหลายๆ งาน มันก็เป็นไวรัลเล็กๆ ให้คนรู้จักเยอะ เราก็เลยเริ่มชอบ” ตอนอธิบายต่อ
ตอนเล่าเพิ่มอีกว่า ก่อนหน้านี้ยืดเปล่าก็เคยจัดประกวดหนังสั้นที่ให้นักศึกษาส่งผลงานเข้ามาในชื่อธีม “ไม่ย้วยยังไง” ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี และตอกย้ำความ “ซน” ของแบรนด์ยืดเปล่า ที่มันก็เป็นตัวตนส่วนหนึ่งของตอนด้วยเช่นกัน


YXZ
ก่อนที่เราจะถามต่อถึงเรื่องงานมนต์รักเสื้อยืด Yuedpao Festival เราเลยชวนตอนย้อนกลับไปเล่าถึงโปรเจคต์ที่เป็นการร่วมงาน Collaboration กับศิลปินตัวเล็กๆ ซึ่งมีศักยภาพและควรไปไกลกว่าที่ควรจะเป็นในชื่อโปรเจคต์ YXZ
“ต้องบอกว่าเสื้อผ้า ศิลปะ เพลง ไลฟ์สไตล์ มันเชื่อมโยงกันหมด เราก็เลยไม่ได้ปิดกั้น แล้วผมเป็นไทยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และก่อนหน้านี้ไม่มีต้นทุนในการทำธุรกิจเลย เราเลยรู้สึกว่าเราอยากสนับสนุนกลุ่มเล็กๆ ที่เขาควรได้รับโอกาสที่จะไปไกลกว่านั้น เลยเป็นวัตถุประสงค์ที่ตั้งชื่อนี้ขึ้นมา แต่โปรเจกต์เราไม่ได้ทำแค่ออกแบบลายเสื้ออย่างเดียว เราทำทั้งดนตรี ศิลปะ และอะไรหลายๆ อย่าง”
ชื่อของโปรเจคต์ YXZ มีที่มาจากการนำ Y ที่ย่อมาจากชื่อแบรนด์ยืดเปล่า มา X (ร่วม) กับ Z ที่หมายถึงตัวอักษรภาษาอังกฤษ์ A-Z ที่หมายถึงคนทุกวัย และทุกมิติ
ตอนมองว่าการร่วมงานกับศิลปินเบอร์ใหญ่ๆ มันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยหวือหวาและเกิดขึ้นได้ง่ายอยู่แล้ว YXZ จึงเป็นการร่วมงานระหว่างศิลปินตัวเล็กๆ ที่มีฝีมือน่าจับตา ซึ่งมีทั้งช่างภาพ ศิลปินกราฟฟิตี้ ดนตรี ศิลปะ และอื่นๆ
“การร่วมงานกับเบอร์ใหญ่ๆ มันธรรมดา เขาเข้าถึงแหล่งเงินได้อยู่แล้ว เราไม่ได้สร้างคุณค่าอะไรมาก ก็เลยมาร่วมงานกับกลุ่มย่อยๆ ก่อน อย่างปีที่แล้วก็จะมีร่วมงานกันในเรื่องของลาย เรื่องของงานคอนเสิร์ตเยอะ มันก็เลยเป็น Core Value ที่เรากำลังสนใจอยู่ในตอนนั้น ปีนี้เลยได้ทำจริงๆ ด้วย แล้วก็ต่อมาคือเรื่องของมันได้สิ่งใหม่ ถ้าเสนอมาแล้วทำแบบเดิมๆ ผมก็คงไม่เอา เพราะเขาทำไปกันหมดแล้ว เราจะทำไปทำไม” ตอนอธิบายถึงคุณค่าที่เกิดขึ้นเมื่อลงมือทำ YXZ
ตอนเล่าอีกว่า YXZ คาดหวังเพียงแค่สองสิ่งที่สำคัญมากๆ ในทรรศนะของเขาคือ การสร้างความแข็งแรงให้กับกลุ่ม Community ที่เขาร่วมงานด้วยทั้งในแง่การได้พื้นที่แสดงงานผ่านสินค้าที่ขายจริง รวมถึงการทำแบรนดิ้งที่สนับสนุนคนตัวเล็กๆ ให้เกิดคุณค่าอีกแบบหนึ่ง

หนูมาฝึกงานกับยืดเปล่าค่ะ
เราชวนมี่คุยถึงเหตุผลจริงๆ ที่เลือกฝึกงานที่ยืดเปล่า ซึ่งเราสนใจในเหตุผลที่เธอเลือกสถานประกอบการในการทำงานว่า
เธออยากเติบโตไปกับแบรนด์ ก็คือที่ฝึกงานที่เธอเลือก
“หนูเลือกที่ฝึกงานไว้ประมาณ 3-4 ที่ หนึ่งในนั้นมียืดเปล่าด้วย คือหนูไม่ได้เลือกที่ฝึกงานที่เป็นแบรนด์ที่โตอยู่แล้ว แต่หนูเลือกแบรนด์ที่อยากโตไปกับมัน ยืดเปล่ามีมาสี่ปี แล้วหนูคิดว่ามันโตได้มากกว่านี้ เห็นแล้วก็อยากโตไปด้วย หนูเลยยื่นฝึกงานมา
“ตอนแรกก็กลัวเหมือนกันว่าจะได้หรือเปล่า แต่พอเรายื่นมาแล้วเขารับเราเลย แบรนด์นี้เป็นแบรนด์แรกที่เขาตอบเรามาทันทีเลย ไม่เหมือนแบรนด์อื่นที่แบบว่ารอเจ็ดวัน หนูก็เลยแบบว่า ไหว้พระพิฆเนศเลยค่ะ แล้วมีที่อื่นเขาโทรติดต่อมา แต่เราเลือกยืดเปล่าแล้ว เราก็เลือกแล้วว่า เราจะโตกับที่นี่ เลยเลือกที่นี่เลย”
ส่วนตอนเองในฐานะผู้ประกอบการก็ตอบเราง่ายๆ ถึงการเลือกน้องฝึกงานสักคนเข้ามา “ฝึกงาน” ในองค์กรว่า ขอแค่เป็คนที่อยากทำงานจริงๆ มีไฟ มีความคิดเป็นของตัวเอง และกล้าเสี่ยง


“แล้วอีกเรื่องที่ชอบคือ ชอบคนที่กล้าผิดพลาด” พอฟังถึงตรงนี้แล้วเราก็สงสัยว่าทำไม
“ผมชอบคนที่กล้าเดินเข้ามาคุย มาเสนอว่ามีโปรเจกต์แบบนี้ๆๆ จริงๆ เราก็ดูความเป็นไปได้เหมือนกันว่าอะไรจัดได้ จัดไม่ได้ บางทีเราก็ปัดตกๆ เลย แต่น้องก็ยังมีความพยายามที่จะเสนองานใหม่ๆ เราก็เลยเห็นว่า คุณเราต้องมีความเป็นเจ้าของของงานว่าคุณทำงานนี้จริงๆ และกล้าผิดพลาด กล้าผิดพลาดคือกล้าเสนอ อันนี้ผมว่าสำคัญ
“ส่วนเรื่องการปิดกั้นความคิด ถ้าบอกว่าไม่ปิดกั้นเลยจะดูปลอมไปนิดหนึ่ง ผมก็เฟรมอยู่แล้ว แต่ผู้บริหารสำคัญที่สุดคือต้องออกไอเดียตอนสุดท้าย เราต้องฟังก่อน ฟังเยอะๆ เพราะถ้าเราตั้งธงเรื่องไอเดียตั้งแต่แรก คนจะไม่กล้าเสนออะไรเลย เราจะฟังก่อนแล้วมาดูว่ามันเป็นไปได้จริงไหม ถ้าอันไหนเป็นได้จริงเราจะซื้อไอเดียนั้นๆ” ตอนย้ำกับเรา
มี่เข้ามาฝึกงานที่ยืดเปล่าในตำแหน่ง Content Marketing เธอเล่าว่าการฝึกงานตำแหน่งนี้จะได้รับหน้าที่ให้คิดเพื่อสร้างสรรค์คอนเทนต์และแคมเปญต่างๆ โดยเธอยึดโยงกับเทศกาลที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน อย่างเช่นตรุษจีนในช่วงมกราคม วาเลนไทน์ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และสงกรานต์ในช่วงเมษายนที่เธอนำเสนอคอนเซปต์ “งานวัด” เข้าไป
ไวเท่าความคิด มี่เลยนำเสนอไอเดียกับตอนเร็วๆ เลยว่า “ทำไมไม่ทำงานวัด”
และมันก็ได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็ว

ฝึกงานผ่านการทำอีเวนต์ใหญ่
เมื่อทุกอย่างได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็ว มี่เองก็ตั้งตัวไม่ถูกเลยว่าจะต้องรับมือหรือจัดการอะไรบ้าง เพราะการทำงานอีเวนต์สักงานหนึ่งมันมีองค์ประกอบที่หลากหลายมากๆ ซึ่งมันเกินศักยภาพของนักศึกษาฝึกงานที่ไม่เคยทำอีเวนต์มาก่อนเลย
และที่ยิ่งท้าทายศักยภาพของมี่เข้าไปอีกคือ เธอมีเวลาเตรียมงานนี้เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น
“ตอนแรกก็ตกใจค่ะ แบบว่า ‘พี่เอาจริงเหรอ มันเดือนเดียวนะ’ พอพี่ตอนบอกว่า ‘ใช่ เดือนเดียว’ ก็ลองทำ Proposal ออกมาก่อนว่าธีมของงานเราเป็นยังไง ประมาณไหน วัตถุประสงค์งานก็ส่งไปให้ทาง Frontman ที่เป็นค่ายเพลงที่ยืดเปล่าสนับสนุนงานบ่อยๆ ด้วย หนูก็รีบทำแล้วทุกๆ ขั้นตอน จะให้พี่ตอนดูตลอดว่ามันโอเคไหม อยากให้แก้อะไรหรือเปล่าอยู่ตลอดเลย”
มี่เสริมเราอีกว่า เธอได้รับหน้าที่ในการบริหารจัดการทุกองค์ประกอบในงานมนต์รักเสื้อยืดเช่น การหาร้านค้ามาลงในงาน ติดต่อทีมออร์แกไนเซอร์และ Suppliers เจ้าอื่นๆ ด้วยตัวเอง
ที่สำคัญคือ การเลือกสรรกิจกรรมเพื่อบรรจุลงไปในงานให้มีความหลากหลาย แต่ก็ยังคงธีมงานวัดเอาไว้ได้อย่างชัดเจน
“อันแรกคือ เพนต์เปล่า อันนี้หนูเป็นคนคิด เพราะหนูเห็นว่าเราขายเสื้อยืด เรามีเสื้อยืดที่มันเป็นสีพื้น แล้วหนูก็คิดต่อว่า ในเมื่อเราทำงานวัด มันก็ต้องมีระบายสีตุ๊กตา ถ้าเราจะระบายสีตุ๊กตา ไปดีลเขามาอาจจะติดต่อยากหรือเปล่า หนูเลยปิ๊งไอเดียว่าแบรนด์เราชื่อยืดเปล่า แต่อันนี้เราชื่อเพนต์เปล่า เขาซื้อเสื้อเราแต่เขาก็จะได้เพนต์เสื้อที่ไม่เหมือนใครกลับไป


ภาพ: Yuedpao
“แล้วก็ไฮไลท์งานจะมีอีกอันเป็นแลนด์มาร์กคือเป็นเจดีย์ค่ะ ด้วยความที่เราทำเป็นงานวัดเลยอยากให้มีเจดีย์ในนี้ หนูก็เลยทำเป็นเจดีย์เสื้อขึ้นมา มันก็ให้ความรู้สึกงานวัด แต่เราก็หมุนมันหน่อย มันจะได้อะไรใหม่ๆ ขึ้นมาเยอะเลย” มี่เล่าให้เราฟังด้วยรอยยิ้ม
ตอนเสริมเราอีกนิดนึงว่า เสื้อทั้งหมดที่ถูกแขวนในงานเป็นพร๊อพหรือแลนด์มาร์กไม่ใช่เสื้อใหม่ แต่เป็นเสื้อที่มีตำหนิและไม่สามารถนำไปวางขายได้ ถือเป็นการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนได้อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์มากๆ
เราแอบสงสัยว่า ที่เธอบอกว่าไม่เคยจัดงานอีเวนต์มาก่อน เธอได้วิชาการพูดคุยประสานงานและการบริหารจัดการมาจากใคร
“หนูได้วิชามาจากพี่มิ้ว-เลขาพี่ตอนเลย คือพี่มิ้วจะมาบอกเลยว่าแต่ละอย่างเราจะทำยังไงดี พอหาออแกไนซ์เสร็จ หนูก็จะปรึกษาทางออแกไนซ์ว่าเราทำแบบนี้ได้มั้ย พอดีลนี้เสร็จ Suppliers เจ้านี้ก็มาปรึกษาพี่เขาว่า หนูควรทำอะไรเพิ่มไหม หรือเราควรจะเติมไหม หนูจะถามพี่ๆ เสมอ เพราะเราไม่ได้เก่งขนาดนั้นในเรื่องนี้ เราก็จะรับทุกอย่าง เรียนรู้จากทุกคน” มี่ว่า
“แล้วอะไรยากที่สุดในการจัดงาน” เราถามต่อ
“อย่างแรกคือการโปรโมทค่ะ สำคัญมาก แต่จริงๆ ระยะเวลาหนูก็ว่าสำคัญ ถ้าเราได้ระยะเวลามากกว่านี้อีกนิดหนึ่ง หนูคิดว่าเราทำได้ใหญ่กว่านี้อีก แล้วสิ่งที่ยากที่สุดคือการคุยกับคน เรารู้อยู่แล้วว่าอีเวนต์ต้องคุยกับคน แต่หนูไม่ชอบการประสานงานที่สุด หนูไม่ชอบเลย เพราะหนูเคยประสานงานตอนทำค่ายจิตอาสาสมัยมัธยม แล้วตอนนั้นก็ด้วยความที่เด็ก มันก็มีปัญหา ตอนนั้นกลายเป็นว่าไม่ชอบงานประสานไปเลย แล้วมางานนี้เลยค่อนข้างที่จะกังวลมาก แต่มันต้องทำ เราต้องเรียนรู้ว่าต้องโตได้แล้ว ถ้าไม่โตวันนี้แล้วจะโตวันไหน” มี่ตอบคำถามของเรา


ทุกอย่างสำเร็จได้เพราะพี่ๆ ช่วยหนูค่ะ
เคล็ดลับอีกอย่างที่ทำให้เธอได้รับความช่วยเหลือจากพี่ๆ ในออฟฟิศซึ่งเธอมาเฉลยให้เราฟังทีหลังคือ การช่วยงานพี่ๆ ในออฟฟิศให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
หรือที่ตอนเรียกมันว่า การหยอดกระปุก
“พนักงานที่นี่จะมีสิ่งที่น่ารักอย่างหนึ่งคือ พอถึงเวลาที่มีโปรเจกต์มา ทุกคนก็จะช่วยๆ กัน สมมติถ้าเราขอร้องก็จะช่วยๆ กัน แต่มันจะเป็นโดยคำสั่งว่าผมเห็นด้วยหรือเปล่า เพราะบางทีถ้าเราไม่ได้ไปช่วยเป็นแบคอัพให้งานก็อาจจะเกิดยาก ก็คือผมเป็นแบคอัพให้น้องไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ให้เขารู้ว่าอันนี้คืองานของบริษัทอีกทีหนึ่งนะ เพราะไม่งั้นมันจะยากนิดหนึ่งในมุมมองผม คือถ้าเป็นองค์กรหนึ่งแล้วทำงานคนเดียวโดยไม่มีคนซัพพอร์ตนะ งานมันจะเกิดยากมาก แต่อย่างที่บอกเราเห็นด้วยว่าน้องมีไอเดียแล้วเราต้องการอะไรบางอย่าง ทุกอย่างเลยเกิดขึ้นมา” ตอนเสริม
พอเราย้อนกลับมาคุยกับตอนแล้ว ตอนแอบบอกเราว่างานมนต์รักเสื้อยืด Yuedpao Festival ครั้งนี้ใช้งบประมาณไปหลักล้าน!
ย้ำอีกที นี่คือโปรเจคต์ที่นักศึกษาฝึกงานเป็นคนเสนอและได้รับการอนุมัติให้จัดจริง โดยการลงทุนเงินจริงๆ ด้วย
เราเลยสงสัยว่า นอกจาก “ใจ” ที่อยากทำงานจริงๆ ของน้องฝึกงานและพนักงาน ตอนใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการอนุมัติให้ทำโปรเจคต์แต่ละอย่างในนามยืดเปล่าบ้าง


“ถ้างานขายเรามองกำไรเป็นสำคัญ แค่ Marketing มันมองเป็นตัวเลขไม่ได้อยู่แล้ว แต่เราต้องมองว่า เราได้อะไรจากงานๆ นั้น หรือได้คุณค่าอะไรจากมันมากกว่า อย่างงานนี้มันมีหลายส่วน เราเอาหลายๆ อันมารวมกันแล้วมันเป็น Core Value ที่เราทำอยู่ ก็เลยให้ผ่านง่าย แล้วเราใช้อะไรเป็นเกณฑ์ หนึ่งสำคัญคือ มันตรงคอนเซปท์แบรนด์โดยรวมขององค์กร สมมติถ้างาน EDM ก็อาจจะไม่เหมาะกับยืดเปล่า คอนเซปต์ก็สำคัญ สองคือ คุณค่าก็สำคัญด้วย” ตอนตอบเรา
ซึ่งสุดท้ายเมื่องานถูกจัด มีผู้คนมาร่วมงานและสนุกไปกับมัน สิ่งที่ฝันในกระดาษถูกสร้างออกมาเป็นความจริง มี่ในฐานะนักศึกษาฝึกงานผู้เริ่มโปรเจคต์นี้มาตั้งแต่วันแรกเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองแทบจะทันทีเลยว่า เธอเติบโตขึ้นมาก
“หนูจะบันทึกเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตเลยค่ะ เพราะไม่คิดว่าการที่เราเป็นแค่เด็กฝึกงาน แล้วการมาที่นี่เราได้ทำอะไรที่ใหญ่ขนาดนี้ แล้วเราได้ถือเงิน ถือโปรเจกต์เป็นล้านขนาดนี้ มันทำให้หนูโตขึ้นจากเมื่อก่อนมาก อะไรหลายๆ อย่างมันได้รับที่หนูรู้สึกภูมิใจมาก หนูไม่คิดว่าพี่ตอนจะเชื่อใจเชื่อมั่นในตัวเราขนาดนี้ แล้วหนูก็รู้สึกว่า หนูได้อะไรจากงานนี้เยอะ ได้เรียนรู้ในสิ่งที่เราหาไม่ได้แน่ๆ ในห้องเรียน ในห้องเรียนอาจจะมีแต่ไม่ได้เท่านี้ ก็ต้องขอบคุณพี่ตอนและพี่ๆ ในออฟฟิศที่เขาซัพพอร์ตเราทุกอย่าง ไม่งั้นโปรเจกต์นี้ไม่เกิดแน่นอน” มี่บอกเรา

ส่วนตอนเอง นอกจากที่จะมีคนรู้จักแบรนด์ยืดเปล่ามากขึ้น รวมถึงที่เขาได้รับความสุขจากการที่ตลอดงาน 2 วันที่ผ่านมา มีคนแวะมาเยี่ยมเยียนงานอย่างไม่ขาดสาย ร้านค้าที่มาตั้งบูธขายสินค้าได้ ทุกคนมีรอยยิ้ม มีความสุขกับงาน มันคือสิ่งที่เขามีความสุขและพอใจกับงานที่ออกมามากๆ ซึ่งนับว่ามันเป็นการรรับรู้ “คุณค่า”ที่เขาต้องการถ่ายทอดไปผ่านงาน
และมันคือ การเติมเต็มในสิ่งที่อยากทำ อยากส่งต่อให้พนักงานและน้องฝึกงานเก่งขึ้นเรื่อยๆ
“มันเติมเต็มในสิ่งที่เราได้ทำ มันเหมือนเราเกิดมาครั้งหนึ่ง เราก็ต้องลองทำอะไรให้มันมากที่สุด พอเราลองทำมันก็จะเติมเต็ม แล้วสุดท้ายก็ต้องไปหาอะไรใหม่ๆ ทำขึ้นไปอีก มันเป็นอีกประตูบานที่เปิดไปเรื่อยๆ มากกว่า
“ส่วนการที่เห็นน้องๆ ในองค์กรได้ทำในสิ่งที่ฝันก็คำตอบเดียวกันเลยครับ เพราะคนในองค์กรคือค่าเฉลี่ยของคนทุกคน พนักงานเราเก่งขึ้น เขาได้ทำอะไรที่มันมีความหมายกับชีวิตมากขึ้น สภาพแวดล้อมจะดีขึ้นด้วย แล้วถ้าเราไปบังคับเขา แล้วเขาทำแต่สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ สิ่งนี้จะทำให้บรรยากาศไม่ดี และเราจะรู้สึกไม่ดีด้วย การเห็นพนักงานเก่งขึ้นทุกๆ วันเราก็รู้สึกดี สุดท้ายมันก็คือค่าเฉลี่ยของคนและองค์กรจริงๆ”

มาฝึกงานกับเราสิครับ/คะ
มี่ฝากสั้นๆ ถึงใครที่อยากมาฝึกงานแค่ว่า “ยื่นมาก่อนเลย ได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราได้ลองทำอะไรมาแล้ว ลองยื่นมาก่อน อย่าตัดสินตัวเองว่า ‘เขาไม่รับเราหรอก’ หนูก็ยื่นมาที่นี่ แล้วมาอยู่ที่นี่ พี่ๆ เปิดรับเสมอ อยากทำอะไรก็บอก ถ้าอยากหาที่ฝึกงานดีๆ ที่ได้ทำอะไรแบบที่ประสบการณ์ที่คาดหวัง ที่นี่มีให้ค่ะ”
ส่วนตอนเองก็บอกง่ายๆ ว่า “อยากฝากอะไรถึงน้องที่อยากฝึกงานที่นี่ก็ มาเลยครับ ยินดีต้อนรับ
“แล้วนักศึกษาแบบไหนที่เหมาะกับยืดเปล่า ก็ต้องเป็นคนที่บ้าพลัง มีเอเนอจี้ อยากทำอะไรเยอะๆ ไม่อยากทำอะไรน้อยๆ จะเหมาะมาก อย่างที่บอกว่าคนที่มาฝึกงานเราไม่ได้ต้องการคนมาถ่ายเอกสาร มาพับผ้ารีดผ้า เราต้องการคนที่ได้เข้ามาแล้วได้ประสบการณ์ได้อะไรกลับไป การมาทำงานทำให้เขาโตขึ้น มีความหมายกับชีวิตตัวเองมากขึ้น” ตอนส่งท้าย

ภาพ: Yuedpao
Contributors
Contributors
นักเล่าเรื่องที่ใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมือและศรัทธาในพลังของงานเขียน ผู้ชอบตัวเองตอนนั่งสัมภาษณ์ผู้คนที่สุด