เวลาล่วงเลยจนเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าสยาม หรือ สยามสแควร์ คือย่านธุรกิจใจกลางมหานครที่ทุกคนมีประสบการณ์ร่วม และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของชาวบางกอกที่ไม่ว่าใครต้องเคยมาสัมผัสไม่ว่าจุดประสงค์ใดก็ตาม

            สยามคึกคักเสมอไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม และนี่ก็เลยเป็นอีกหนึ่งที่มาสำคัญซึ่งทำให้ความสนุกของแลนด์มาร์กสำคัญของกรุงเทพ และท่วงทำนองดนตรีดีๆ มาบรรจบกันในชื่อ Siam Music Fest ซึ่งปีนี้เป็นปีที่สามที่กลับมาจัดงานอีกครั้งหลังจากเว้นวรรคด้วยโรคระบาด

            เวทีเยอะขึ้น ศิลปินแน่นขึ้น กิจกรรมหลากหลายขึ้น และทำเลจัดงานที่น่าจะดีที่สุดในกรุงเทพมหานคร คือจุดเด่นที่ทำให้เทศกาลดนตรีนี้ยังโดดเด่นอยู่เสมอ การันตีด้วยเลขผู้เข้าชมงานหลักแสนทุกปี หรือแม้แต่ของแจกจากสปอนเซอร์ที่เตรียมมาเป็นหลักแสนชิ้นหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่เท่าไหร่ก็เป็นเครื่องการันตีแล้วว่า เทศกาลดนตรีนี้ได้รับการตอบรับจากผู้ชมและชาวสยามอย่างท่วมท้นแค่ไหน

            ก่อนที่ Siam Music Fest จะเปิดฉากในอีกไม่กี่วันนี้ Rhythm มีนัดหมายพิเศษกับต้อม-พงศ์สิริ เหตระกูล เรี่ยวแรงสำคัญของเทศกาลดนตรีนี้มาพูดคุยเพื่อเปิดพิมพ์เขียว ส่องเบื้องหลัง และขอเคล็ดลับการจัดเทศกาลดนตรีให้ประสบความสำเร็จแบบที่ไม่ต้องใช้ป้าย All Area 

            มาฟังเรื่องราวของเทศกาลดนตรีใจกลางสยาม ก่อนที่สยามจะเต็มไปด้วยเสียงดนตรีอีกครั้งกัน

1
เทศกาลดนตรีในฝันของคนรักดนตรี

            นอกจากเป็นโต้โผใหญ่ของ Siam Music Fest แล้ว ต้อมยังเป็นผู้นำเข้า Time Out และ Nylon สองหัวสื่อระดับโลกเข้ามาสู่ประเทศไทย รวมถึงเป็นผู้ดูภาพรวมของ Awekening Bangkok เทศกาลศิลปะแสงไฟที่หลายๆ คนต้องไป และผู้ร่วมก่อตั้ง Bangkok Music City ที่จัดอยู่ที่ย่านเจริญกรุง

            พอเราได้นั่งคุยกับเจ้าของเทศกาลดนตรีและศิลปะแล้ว เราก็อดถามไม่ได้ว่าเทศกาลดนตรีในฝันตามทัศนติของเขาเป็นยังไงบ้าง

            “ผมเป็นคนที่หลงใหลเทศกาลดนตรีประเภทหนึ่งที่ถ้าต่างประเทศคงเรียกว่าพวก City Music Festival คืออย่างมีงานหนึ่งที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส (สหรัฐอเมริกา) ชื่อว่า South by Southwest เขาใช้สถานที่ประมาณ 200  สถานที่ทั่วเมือง ปิดทั้งหมดเป็น Official Venue ให้วงดนตรีไปเล่น มีวงดนตรีไปเล่นประมาณสองพันวงตลอด 10 วันนิดๆ ส่วน Convention Hall ใหญ่ตรงกลางเมืองกลายเป็นที่เสวนาเรื่องวงการสร้างสรรค์ วงการดนตรี คือดีมาก เพราะว่าจริงๆ คนในวงการดนตรีทั้งหมด คนในวงการสร้างสรรค์ทั้งโลกมารวมตัวกันอยู่ตรงนี้ แล้วถ้าใครได้เกิดในงานนี้ก็คือได้เกิดทั่วโลก แล้วก็ทำจัดเทศกาลหนังพร้อมกัน

            “ผมชอบบรรยากาศนั้นมากๆ เพราะว่าส่วนตัวแล้ว ส่วนหนึ่งในชีวิตที่เราชอบมากๆ คือเราอยากให้กรุงเทพเป็นเมืองที่เดินได้ แล้วกรุงเทพเป็นเมืองที่เดินไม่ได้เนี่ยสิ แต่มันเคยเป็นเมืองที่เดินได้นะสมัยสักประมาณ 50-60 ปีที่แล้ว และพวกคอนเทนต์ในเมืองมันอยู่ข้างถนน มันไม่ได้เข้าไปอยูู่ในห้างขนาดนี้ด้วย ตอนนี้ทุกอย่างมันอยู่ในห้างหมดเลย ทั้งร้านอาหารที่ดี ความบันเทิง ทั้งหมดอยู่ในห้าง แต่จริงๆ ผมอยากให้กรุงเทพเป็นเมืองที่คอนเทนต์ที่ดีมันอยู่ตามถนนหนทาง แล้วฟุตบาทที่เราเดินได้ แล้วก็จัดเทศกาลที่มันเดินไปในเมืองไปเลย บรรยากาศ และประสบการณ์มันต่างโดยสิ้นเชิงกับที่จัดในห้าง หรือจัดใน Arena อย่างเดียวอย่าง พอเป็นคนที่อยากสร้างบรรยากาศเมืองให้เป็นแบบนั้น อยากสร้างความสนุกตรงนั้นให้คนเมือง ก็เลยชอบเป็นพิเศษกับเทศกาลดนตรีที่จะใช้เมืองเป็นตัวจับครับ” ต้อมอธิบาย

            ส่วนการที่คนๆ หนึ่งจะลุกขึ้นมาจัดเทศกาลดนตรีได้นั้น ก็ต้องมีดนตรีที่ส่งอิทธิพล สร้างแรงบันดาลใจ และยึดโยงอยู่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาอยู่แล้ว 

            ต้อมบอกเราว่าดนตรีเป็นทางหนีไฟของเขา เพราะเขามักพาตัวเองเข้าไปอยู่ในดนตรีเสมอๆ ตั้งแต่วัยรุ่น เขาหลงไหลในดนตรี เล่นดนตรี สนใจในดนตรี

            และเขาหวังอีกว่าอยากให้ดนตรีเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศนี้

2
Everybody Loves Siam

            เราอดไม่ได้อีกที่จะถามต้อมว่า ในฐานะที่เป็นวัยรุ่นที่เติบโตมากับสยาม ประสบการร่วมระหว่างคนจัดเทศกาลดนตรีกับสยามคืออะไร

            “จีบสาวในโรงเรียนสอนพิเศษฮะ” ต้อมตอบเราก่อนจะหัวเราะกันลั่น

            ต้อมเล่าให้ฟังว่าสยามไม่ว่าจะยุคไหนๆ มันก็คือพื้นที่ๆ เป็นศูนย์กลางของวัยรุ่น ถ้าไม่นับว่าสถานที่เรียนพิเศษอยู่ในหลายๆ จุดแล้ว แต่อยากอัพเดทเทรนด์แฟชั่น ก็ต้องไปเซ็นเตอร์พอยท์ อยากฟังเพลงใหม่ๆ หรือเพลงลึกๆ ก็แวะไปที่ร้านดีเจสยาม แม้แต่ของกินป๊อปๆ ในยุคนั้นอย่างโรตีบอยหรือชานมไข่มุกก็มากระจุกกันอยู่ที่นี่

            หรือถ้าพูดถึงเรื่องรักในวัยรุ่นน่ารักๆ ที่คือแหล่งนัดพบของวัยรุ่นที่หนุ่มๆ สาวๆ โรงเรียนชายล้วนหรือหญิงล้วนจะได้เจอเพื่อนต่างเพศที่นี่

            แต่ต้อมฉายภาพเพิ่มอีกหน่อยว่า ในช่วงปี 2010 เป็นต้นมา สยามเคยเงียบอย่างมีนัยยะสำคัญไปเป็นช่วงใหญ่ๆ ที่วัยรุ่นไม่ค่อยกลับมาเที่ยวเหมือนเดิม แต่ในช่วงหลังๆ วัยรุ่นก็กลับมาที่นี่ในที่สุด

            ซึ่งเมื่อพูดถึงการเป็นเมืองท่าของวัยรุ่น กับสถานที่จัดเทศกาลดนตรีที่ดึงดูดผู้คนก็คงจะเป็นคนละเรื่องกัน เราจึงถามต้อมต่อว่า แล้วทำไมถึงต้องจัดเทศกาลดนตรีที่สยาม

            “สะดวกครับ แค่นั้นเลย”

            แต่มันต้องมีมากกว่านั้นอีกสิ

            “เอาจริงๆ เนี่ย เวลาคนนึกถึง Music Festival เขาชอบนึกว่า อ๋อ ก็พื้นที่ใหญ่ๆ ไง หรือพื้นที่ที่คนเขาเข้าไปเที่ยวได้เยอะไง คนจะไม่ค่อยนึกถึงว่า จริงๆ แล้วกว่าจะไปถึงตรงนั้นคุณต้องการ Infrastructure ที่ดีมากเลยนะ รถไฟฟ้าควรจะถึง ที่จอดรถควรจะเยอะ แล้วไม่ใช่แค่คนดูด้วย นักดนตรี ทีมงาน จะเข้าไปยังไง การเดินทางมันต้องดี แล้วถ้าเกิดเข้าไปแล้ว ห้องน้ำห้องท่าล่ะ อาหารพร้อมมั้ย ซึ่งสยามสแควร์เป็นที่ที่มีสิ่งเหล่านั้นหมดแล้ว อย่าขับรถไปเลย ขึ้นรถไฟฟ้าไปเหอะ มันสะดวกใช่ไหมฮะ นักดนตรีในงานเขายังหิ้วเบสขึ้นรถไฟฟ้าไปเลย ของกินดีๆ อยู่ในสยามอยู่แล้ว ห้องน้ำก็ไม่ต้องห่วง

            “ด้วยความที่เป็น City Center ซึ่ง Infrastructure มันดีอยู่แล้ว แล้วเรื่องสุดท้ายที่ผมว่าสยามสแควร์ได้เปรียบมากๆ เลยคือประวัติของสยามสแควร์ที่มันเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมวัยรุ่นมาโดยตลอด แล้วถ้าเกิดสมมติว่ามันจะมีเทศกาลดนตรีเทศกาลไหนเทศกาลหนึ่งที่ใช้ดนตรีเป็น Celebrate Scene ซึ่งแน่นอนว่าวัยรุ่นคือผู้เสพดนตรีที่เยอะที่สุดจากทั้งประเทศอยู่แล้วใช่ไหมฮะ ถ้ามันจะมีเทศกาลดนตรีที่นำเสนอสิ่งนี้เกิดขึ้นที่ศูนย์กลางวัฒนธรรมวัยรุ่นเลย มันก็ไม่น่าใช่เรื่องที่น่าจะแปลกอะไร

            “ผมว่าทุกอย่างมันเลยเหมาะหมดเลย ไม่ใช่ว่าที่อื่นจัดไม่ได้นะฮะ ไม่ใช่ว่าสุขุมวิททำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเจริญกรุงทำไม่ได้ แต่ด้วย City Music Festival ที่ผมพูดถึงอยู่เมื่อกี้ครับ มันมักจะต้องเป็นที่ที่เดินได้หน่อย มีระยะเดินจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งที่ไม่ไกลมาก และคิดถึงผลกระทบกับชุมชนโยรอบด้วยแล้ว แน่นอนว่าสยามสแควร์เป็นสถานที่แบบนั้น” ต้อมอธิบาย

3
ทำเทศกาลดนตรีในฝันให้เป็นจริง

            ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อปี 2018

            หลังจากเห็นข้อเด่น ข้อดี และความเป็นไปได้ในการจัดงานเทศกาลดนตรีเดินได้ที่สยาม เพื่อปลุกสยามให้กลับมาแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องลงมือทำจริง

            โดยตั้งคำถามแรกว่า จะทำยังไงให้ขายบัตรในเทศกาลดนตรีที่สยามซึ่งจัดแบบพื้นที่เปิดได้

            อย่าลืมว่าทุกพื้นที่ในสยามคือพื้นที่เปิด เท่ากับว่าทุกคนจะเข้าถึงเทศกาลดนตรีนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตั๋วเลย

            ดังนั้นคำตอบคือ ไม่มี

            แล้วแหล่งรายได้เพื่อจัดงานจะมาจากไหน ต้อมเลยเปลี่ยนวิธีการหาลู่ทางในด้านหารายได้ โดยได้แรงบันดาลใจจากหน่วยธุรกิจหนึ่งที่เขามีอยู่คือ นิตยสารแจกฟรี หรือ Free Copy magazine

            “เราเองมี Free Copy Magazine ของตัวเองที่เคยเปิดมาอยู่หลายหัว แล้วช่วงนั้นเนี่ยมันทำด้วยการที่ว่า ทั้งเล่มมี 60 หน้าก็หรูแล้ว ส่วนกระดาษก็พยายามจะให้มันดูแพง แต่จริงๆ เป็นกระดาษราคาถูก แล้วก็ข้างในเล่มเอง โฆษณามีอำนาจทุกอย่าง เพราะเขาคือรายได้เดียวของแมกกาซีนเล่มนี้แล้ว เขาจะซื้อหน้าปกก็ได้ หน้ากลางก็ได้ ซื้อหมดทั้งเล่มก็ได้แล้วแต่เขา แล้วค่า Production Quality ของคอนเทนต์มันไม่สูงเท่า Magazine เล่มที่วางขายตามแผง แต่มันอยู่ได้นะ แล้วมันเสี่ยงน้อยกว่า 

            “ฉะนั้นจริงๆ มันมีเทศกาลดนตรีที่เกิดขึ้นได้ด้วยโมเดลนี้ได้นี่นา ก็เป็นเทศกาลดนตรีที่ฟรีค่าบัตรไปเลย โอเคล่ะ ตัวโปรดัคชั่นเอง ขนาดเวทีผมอาจจะใหญ่เท่าเทศกาลดนตรีที่เขามีค่าบัตรไม่ได้หรอก แล้วพื้นที่สยามมันก็ไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่ให้คุณทำเวทีใหญ่ได้ขนาดนั้นด้วย แสดงว่าด้วยความที่มันเป็นเวทีใหญ่ 50 เมตรไม่ได้ แล้วก็ไม่ต้องมีค่าโปรดัคชั่นที่สูงขนาดนั้นก็ได้ แต่ว่ามันเป็นงานฟรีไม่ขายบัตรด้วย เพราะงั้นเราทำให้มันเป็นโมเดลงานแบบเดียวกับ Free Copy Magazine ขายสปอนเซอร์เลย มันจะเกิดขึ้นได้มั้ย ก็ลองดูแล้วมันก็เกิดขึ้นได้นะ มันเกิดขึ้นมาอย่างงั้นแหละครับ” ต้อมเล่า

            เมื่อต้อมนำไอเดียทั้งหมดไปขายให้ลูกค้าฟัง สิ่งที่ต้อมเล่าให้ลูกค้าฟังมีแค่ 2-3 ประโยคที่เรียบง่าย แต่ทำให้ลูกค้าเห็นภาพได้จริง จึงทำให้ Siam Music Fest มีสปอนเซอร์ทันทีแม้ว่าจะเป็นการจัดงานครั้งแรก

            “ผมพูดกับลูกค้าแบบนี้ครับว่า เอาอย่างนี้แล้วกันนะ ลองนึกภาพ Music Festival งานนึงที่ไลน์อัพประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์ ของ Pop Music Festival ณ ปัจจุบัน อยู่ในงานเรา แต่งานมันสะดวกขนาดที่นั่งรถไฟฟ้าไปได้ที่สยามสแควร์ การเดินทางทุกอย่างพร้อมและฟรี คุณคิดว่ามีคนเยอะไหม

            “ถ้าเกิดพูดแค่สามประโยคนี้ แล้วสปอนเซอร์เขาเชื่อว่ามีคนเยอะ แล้วถ้าเป็นไลน์อัพศิลปินนี้ด้วยนะ ยิ่งถ้าคุณจัดฟรีเทศกาลที่สยามจริงนะ โอเค เอา เราเชื่อว่ามีคนเยอะกว่างานขายบัตรอื่นๆ สามสี่เท่า มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ” ต้อมอธิบาย

            ส่วนการเลือกศิลปินก็เป็นไปตามกลไกของการเลือกศิลปินเพื่อมาเล่นตามเทศกาลดนตรีคือ ต้องเลือกศิลปินที่มีฐานแฟนคลับเหนียวแน่น หรือเป็นศิลปินที่เพิ่งเข้าสู่กระแสหลักอย่างเป็นกิจจะลักษณะผสมกันไป ซึ่งจะได้ทั้งศิลปินมหาชนที่การันตีผู้เข้าชมงาน และศิลปินที่น่าสนใจเพื่อดึงความสนใจให้คนดนตรีจริงๆ

4
Music Festival กลางสยาม

            จากคนสื่อที่มีประสบการณ์ในการจัดอีเวนต์บ้าง พอต้องมาจัดเทศกาลดนตรีจริงๆ เป็นครั้งแรกที่จัดในสยาม ซึ่งทุกๆ จุดของสยามสามารถเป็นพื้นที่เข้าชมงานได้ สิ่งที่ต้อมบอกเราว่ายากที่สุดคือ ความไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรหน้างาน รวมถึงเรื่องความปลอดภัยที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง

            และเมื่อถึงเวลาหน้างาน จริงๆ แล้วเมื่อวัดด้วยตาว่ามีผู้เข้าร่วม Siam Music Fest จริงๆ กี่คนอาจจะเป็นการวัดที่ยาก แต่เมื่อเก็บจากสถิติผ่านทั้งจากทีมงานและการแจกสินค้าจากผู้สนับสนุนหลักแล้ว Siam Music Fest มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 300,000 คน!

            เลยกลายเป็นความท้าทายทั้งในปีต่อๆ มา และการกลับมาจัด Siam Music Fest อีกครั้งหลังจากโรคระบาดผ่านพ้นไป นอกจากเรื่องการบริหารจัดการงบประมาณให้คลอบคลุมทุกองค์ประกอบของงานแล้ว สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือ การจองและประกาศไลน์อัพศิลปินให้ทันกับผู้จัดรายอื่นๆ ที่จัดงานพร้อมๆ กัน 7-8 งานในวันเดียว

            ซึ่งปีนี้ Siam Music Fest มี TikTok แพลตฟอร์มออนไลน์ที่กำลังร้อนแรงมากๆ เป็น Media Partner ใหญ่ของปีนี้ ทำให้การสร้างสรรค์อีเวนต์เพื่อดึงให้ผู้เข้าร่วมงานมีส่วนร่วมนั้นหลากหลายและสนุกมากยิ่งขึ้น

            “ทั้งตัวงานเราเอง หรือสถานที่จัดก็คือสยามสแควร์มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกับ TikTok เราเลยรู้สึกว่างานนี้มันเหมาะกับ TikTok ดี เราเลยแค่โทรไปหาเขา แล้วก็มีทีมงานมาประชุมด้วยเลยว่า งานของคุณคืออะไร มีคอนเทนต์ยังไงบ้าง ทำคอนเทนต์อะไรกันดี”

            สยามในยุคนี้มีความสดใส มีเสียงดนตรี และมีชีวิตชีวาจากวัยรุ่นอยู่แล้ว ดังนั้น การดึงองค์ประกอบของสยามในยุคนี้มาอยู่ในงานจึงเป็นสิ่งที่ตั้งต้องและทีม TikTok มองเห็นตรงกัน อย่างเช่น Mass Karaoke ที่จะเป็นห้องคาราโอเกะแบบเปิดที่ใหญ่ที่สุดที่ลานอัฒจันทร์ของห้างสยามสแควร์วัน ก็จะมีองค์ประกอบของ TikTok ด้วยเช่นกัน หรือถ้าใครอยู่ที่สยามสแควร์ในวันงานแล้ว ถ้าอยากดูไลน์อัพศิลปินหรือแผนที่ในงานก็สามารถเปิด TikTok แล้วดูแผนที่ได้ภายในแอปเลย 

ภาพ: Nylon Thailand

5
เสียงจากคนดนตรีและคนอีเวนต์

            มาถึงวันนี้ที่เทศกาลดนตรีและคอนเสิร์ตเบ่งบานในระดับที่ปีนี้มีตัวเลขคำนวณขำๆ ว่าเราเที่ยวคอนเสิร์ตไปแล้วกว่า 200 คอนเสิร์ตในเวลาไม่ถึงครึ่งปี!

            คนทำอีเวนต์กลับมาจัดงานได้ ศิลปินมีงานโชว์ตัว เหมือนทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ

            แล้วเรื่องนี้มันมีความหมายกับศิลปินยังไงบ้าง

            “ต้องยอมรับว่า Festival ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ได้มีความหมายกับศิลปินในแง่จำนวนเงินอย่างเดียว ค่าตัวก็ได้รับกันนะครับ แต่ว่าความถี่ของค่าตัวเขามันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคอนเสิร์ตหรือเทศกาลขนาดนั้นหรอก จริงๆ แล้ววงดนตรีส่วนใหญ่ในเมืองไทย เลี้ยงดูหรือมีรายได้เป็นประจำจากงานผับ งานเที่ยวกลางคืน Festival จะมีความหมายกับเขาในแง่ของการได้เจอคนที่เขาอยากเจอ เจอ พบปะแฟนๆ ที่สนใจพวกเขาจริงๆ หรือการมาเล่นใน Festival ที่มีคนดูที่เยอะมากๆ ก็จะทำให้พวกเขาไม่ถูกลืม และแน่นอน คนที่ยังมีพื้นที่ คนที่ไม่ถูกลืม คนที่มีแต่คนชื่นชมว่าเล่นสนุกในที่สาธารณะ ก็จะไปต่อยอดให้กับงานทำงานที่ได้แก่งานผับ งานอีเวนต์ต่อวนกันเป็นวงจรของสายอาชีพนี้

            “ยกตัวอย่างบางวง แฟนๆ เค้าเยอะนะในประเทศนี้ แต่เขาเล่นบางที่ ก็ร้องตามไม่ได้นี่นา ก็อาจจะแค่มารู้จักสองเพลงสามเพลงหรือเปล่า แต่พอมันเป็น Festival มันคือตัวจริงอะ มาดูวงนี้ เพราะขนาดที่ในงานมีอีก 80 วง ก็จะดูวงนี้เพราะเป็นแฟนจริงๆ นะ มาซื้อของ มาซื้อสินค้า มาขอถ่ายรูปหลังงาน ผมว่ามันมีความหมายกับเขาในแง่นั้น ซึ่งมันก็เป็นรายได้ด้วยนะ แต่ว่า คนบางคนเกิดจาก Festival เลย ทำโชว์ดีมากๆ อยู่ดีๆ คนแชร์ลงใน TikTok เต็มเลย ก็เป็นชื่อเสียงของเขา เป็นความหมายของเขาที่เขาได้เล่นแล้วมีคนสามพันคนอยู่ตรงหน้าฉัน มันสะใจเหลือเกิน ทุกคนเป็นแฟนตัวจริง”

ภาพ: Nylon Thailand

            ส่วนต้อมในฐานะคนจัดงาน Siam Music Fest เอง เขาบอกว่าสิ่งที่เขามันคงเป็นประสบการณ์ที่ถูกต้องซึ่งสะท้อนว่าวัยรุ่นไทยยังมีดนตรีในหัวใจ 

            รวมถึงแสดงให้เห็นว่าเทศกาลดนตรี และวงการดนตรีไทยเป็นที่สนใจของคนทั่วโลกจริงๆ

            “อย่างแรกมันก็บอกว่า Experience ที่เราดีไซน์มามันน่าจะถูก ไม่งั้นคนมันคงไม่เยอะขนาดนี้หรอก อย่างที่สองมันบอกว่า เยาวชนบ้านเราสนใจดนตรีจริงๆ นะ เรื่องกำลังซื้อจะสูงไม่สูงนี่ยังพิสูจน์จากงานผมไม่ได้ ผมไม่ต้องการพิสูจน์สิ่งนี้ แต่ผมพิสูจน์ให้พวกคนเห็นข้อเท็จจริงได้อย่างนึงว่า  ถ้าใครสักคนจะบอกว่าประเทศนี้มันเป็นประเทศที่ ไม่ Entertaining  ผมตอบคุณด้วยการตอบรับจากเยาวชนที่สนใจดนตรีเยอะขนาดนี้ ไม่ต้องดูจากงานผมก็ได้ ดูยอดยูทูบสิ ประเทศอะไรมียอดยูทูบการฟังเพลงสูงอันดับต้นๆ ของโลก ทั้งที่ไม่ใช่ประเทศที่ประชากรสูงที่สุดอันดับต้นๆของในโลกด้วยซ้ำ

            “ยกตัวอย่างอย่างนี้ครับ เทศกาลดนตรีในต่างประเทศนะฮะที่ คนเยอะสุดในประเทศนั้นๆ อย่าง Summer Sonic หรือ Fuji Rock Festival ที่ญี่ปุ่นก็ได้ คุณจะไม่สามารถมีเทศกาลดนตรีที่คนเยอะที่สุดในประเทศด้วยการมีศิลปินท้องถิ่นในประเทศอย่างเดียวได้นะ คือญี่ปุ่นต้องเอาศิลปินเบอร์ใหญ่ๆ ไปเล่น อย่างเช่น BlackPink คนถึงจะไปงานได้สักหลัก 6-7 หมื่นคน ซึ่งตัดภาพมาที่ไทย จริงๆ เราเป็นประเทศที่เรามีสิ่งนั้นนะ งานดนตรีที่ใหญ่ๆ ของไทย ไม่ว่าจะเป็นงานขายบัตรหรืองานฟรี ถึง Line Up จะมีแต่ศิลปินไทย เป็นศิลปินในประเทศเราเอง คนไทยก็ชื่นชมและพร้อมจะสนับสนุน ให้ความสนใจไปร่วมกันเยอะมากพอที่หลายๆ งานก็แตะหลักแสนแล้ว 

            “จริงๆ แล้ววงการดนตรีบ้านเรามีข้อได้เปรียบอะไรมั้ย มันมีนะ เรามีอุตสาหกรรมบันเทิงที่บางอย่างใช่บ้างไม่ใช่บ้าง บางอย่างผู้ใหญ่ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่สนับสนุนเลย หรือจะเอาแต่โหนตอนที่เขาประสบความสำเร็จแล้วด้วยซ้ำ 

            “แต่ว่ามันมีข้อได้เปรียบตรงนี้อยู่นะว่า คนไทยเราเสพความบันเทิงสูงจริงๆ แล้วเออ มันไม่ใช่ทุกประเทศในโลกที่เขามีเทศกาลดนตรีใหญ่ได้ แล้วบางประเทศอิจฉาเราเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ผมยังหวังเหลือเกินว่า อุตสาหกรรมดนตรี และ ศิลปะ ที่เราเรียกจนชินปากว่า Soft Power ถ้าเราสร้างของของเราเป็น Thailand Only ที่ไม่ต้องไปลอกกลิ่นใครมาของเรา มันไปได้ไกลว่านี้ มันจะสร้างโอกาสทั้งทางเศรษฐกิจและคนไทยเองได้ใหญ่กว่านี้อีกมาก  ก็ต้องรักษาสิ่งนี้ไว้ให้ดีครับ ” ต้อมบอกเรา

Contributors

Contributors

นักเล่าเรื่องที่ใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมือและศรัทธาในพลังของงานเขียน ผู้ชอบตัวเองตอนนั่งสัมภาษณ์ผู้คนที่สุด