Pride Month – Pride Everyday

สโลแกนบนผ้าสีรุ้งที่ผ่านตาไปมาระหว่างที่ยืนรอการตั้งขบวนไพรด์พาเรด เราเจียดเวลาการทำงานในออฟฟิศ เพื่อออกมาเก็บภาพบรรยากาศงานไพรด์ 2023 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และนั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้พบกับคุณมิลค์-ชญานิศ อิทธิพงศ์เมธีพอดี ในวันนั้นเราเองไม่ได้พูดคุยอะไรกับคุณมิลค์มากมายนัก เพียงแต่คิดว่าคุณมิลค์ก็เป็นหนึ่งในคนที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศเช่นกัน

กระทั่งล่าสุด ทีมบก. Rhythm เห็นโพสต์ของคุณมิลค์ที่เชิญชวนให้ทุกคนไปชมสารคดีที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับ LGBTQ+ ซึ่งเป็นสารคดีที่ถูกฉายในเป็นเทศกาลภาพยนตร์ LGBTQ+ ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ด้วย

ต้องบอกก่อนว่า คุณมิลค์ทำงานอยู่ที่ AFP สำนักข่าวฝรั่งเศสที่มีหน้าออฟฟิศอยู่ที่ไทยในตำแหน่ง Digital Verification Journalist โดยก่อนหน้านี้เคยเป็นนักข่าวอยู่ที่ Khaosod English (ข่าวสดนั่นแหละ) และ Coconuts Bangkok การพลิกบทบาทจากการเป็นนักข่าวมาสู่การได้ลองเป็นโปรดิวเซอร์สารคดี ดูเป็นสิ่งที่ห่างไกลกันพอสมควร

ความน่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือสารคดีที่คุณมิลค์ได้เขียนและเป็นโปรดิวเซอร์คือ สารคดีสะท้อนภาพการถูกกดทับของ LGBTQ+ จากประเทศไทย ท่ามกลางสารคดีจากต่างประเทศอีกสองเรื่อง จากคนละฝากทวีปที่ได้ร่วมผลงานในสารคดีชุดนี้ด้วย และนี่จึงเป็นอีกจุดเริ่มต้น ที่ทำให้เราอยากเข้าใจปัญหา และมุมมองของคนเพศหลากหลายมากขึ้นจากคุณมิลค์ ผ่านสารคดี Behind the Numbers

จากนักข่าวสู่โปรดิวเซอร์สารคดี

เราไม่เคยทำสารคดีมาก่อนเลย นี่เป็นครั้งแรกของการทำสารคดีสั้นของเรา ที่มีความยาวแค่สามสิบนาที ด้วยความที่เราทำงานให้กับสำนักข่าวต่างประเทศ เราก็จะรู้จักเพื่อนสื่อต่างชาติเยอะประมาณหนึ่ง กระทั่งวันหนึ่งเพื่อนตากล้องที่ชื่อนิค (Nicolas Axelrod) เขาโทรมาหาเมื่อปลานปีที่แล้วว่า เราสนใจเป็นโปรดิวเซอร์ในโปรเจกต์สารคดีเกี่ยวกับ LGBTQ+ ไหม ตอนแรกเราก็ตกใจและลังเล แต่พอทางโปรเจกต์เขาอยากได้มุมมองจากของโปรดิวเซอร์ที่เป็น LGBTQ+ ในการเล่าเรื่องหรือการติดต่อชุมชนด้วย เราเลยตอบตกลง

อย่างที่บอกว่าเราไม่เคยเป็นโปรดิวเซอร์ ทักษะของการกำลังสารคดีเราก็มีพื้นฐานนิดหน่อยจากการครูพักลักจำจากอาชีพนักข่าว บวกกับล่าสุดเราเป็นได้ลงเรียนเกี่ยวกับ visual journalism ด้วย ซึ่งมันช่วยเสริมพื้นฐานของเราในเรื่องการถ่ายรูป การถ่ายวิดีโอ การทำสารคดี การสร้างมุมมอง และการทำประเด็น 

โจทย์ที่ได้มาจากโปรดิวเซอร์หลักคือ อยากได้เรื่องของ LGBTQ+ ของไทยที่เล่าเรื่องปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของไทยได้ เรามองว่าโจทย์ค่อนข้างกว้างนะ เพราะตอนแรกที่เราพอรับเป็นโปรดิวเซอร์ เราตั้งธงซับเจกต์ที่อยากทำในสารคดีคือ คนแรกเป็น Transmen ผู้มีรายได้ต่ำและไม่สามารถเข้าถึงการฉีดฮอร์โมนได้, คนที่สองคือ Transgender ที่เป็นคนพิการ ทำให้เกิดอัตลักษณ์ทับซ้อน และคนที่สามคือโปรดิวเซอร์หลักเลือก คือคู่รักอย่าง คุณอัน (อ.อันธิฌา แสงชัย) กับคุณบิ้ว คู่ที่ประกาศแต่งงานในงานไพรด์เมื่อปีแล้ว ซึ่งหลังจากการแต่งงาน ทั้งคู่ก็อยากมีบ้านและอยากมีลูกด้วยวิธีการ IVF (เด็กหลอดแก้ว)

ความท้าทายในกระบวนการการถ่ายทำสารคดี

ความยากคือ เราเล่าเรื่องคนแบบแบนๆ ไม่ได้ เราต้องเล่าเรื่องของเขาให้กลม และโยงให้เข้ากับปัญหาของประเทศไทยอีก อย่างตอนที่เราเลือกซับเจกต์ เรามักมองคนที่พวกเขาแทบไม่ถูกพูดถึงในสื่อสังคมกระแสหลักเลย อย่างหนึ่งในซับเจกต์ที่เป็นชายข้ามเพศ คนกลุ่มนี้นอกจากจะโดนเกย์และหญิงข้ามเพศกดทับแล้ว เขายังเป็น Low Income ที่ทำอาชีพขับรถส่งอาหาร และต้องอดข้าวเพื่อเก็บเงินไปฉีดฮอร์โมนด้วย ซึ่งเรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครพูดถึงนะ เราเลยเสนอซับเจกต์คนนี้ไปเป็นคนแรก

คนที่สองคือคนที่มีอัตัลกษณ์ทับซ้อน เพราะเขาเป็นทั้งคนข้ามเพศแล้วยังพิการอีก ซึ่งประเทศไทยสำหรับคนพิการไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  และทัศนคติของคนไทยกับคนพิการมันค่อนข้างต่างจากสังคมอื่น เพราะมักถูกยึดโยงกับเรื่องบุญบาป หรือความสงสาร เราก็เลยเสนออันนี้ไปด้วย 

แต่สุดท้ายโปรดิวเซอร์หลักเขาก็เลือกซับเจกต์ที่สาม คือคุณอันและคุณบิ้ว ซึ่งโปรดิวเซอร์หลักคงมองเห็นว่า อัตลักษณ์ของทั้งคู่ เชื่อมโยงกับเรื่องสมรสเท่าเทียม ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวของกับการเมืองด้วย เช่นเรื่องกฎหมายสมรส ข้อจัดในการกู้บ้าน ข้อจัดการทางการการแพทย์อีก เรื่องราวพวกนี้ทำให้คู่ของคุณอันและคุณบิ้วจึงดูกลมกว่าอีกสองซับเจกต์ที่เราเสนอไป

แม้ว่าซับเจกต์สองคนแรกจะไม่ถูกเลือก แต่เราก็เก็บเขามาไว้ในนิทรรศการ Through My Eyes: Disability Pride Month Exhibition ล่าสุดของเราแทน เราขอข้อมูลจากคุณนัท คนอัตลักษณ์ทับซ้อนที่เป็นคนข้ามเพศและเป็นผู้พิการ ซึ่งในนิทรรศการนี้ เราไม่ได้อยากเอาอัตลักษณ์ของคุณนัทมาเล่าแล้วจบด้วยความสงสาร เราเลยเลือกที่จะล่าการต่อสู้ของเขา เส้นทางต่อไปและแพสชันของเขาคืออะไร ซึ่งในนิทรรศการนี้ยังมีผู้มีคนพิการและผู้มีอัตลักษณ์ทับซ้อนอีก 4 คน ที่ทำให้เราได้เรียนรู้เยอะขึ้นหลายมิติเลยด้วย

คู่รักที่อยากมีความมั่นคงในชีวิต 

เราต่อสายหาคุณอันและคุณบิ้ว ขอข้อมูลเพื่อทำสารคดีกันยาวๆ ซึ่งการทำ IVF เป็นเรื่องใหม่สำหรับเรามาก เพราะเพิ่งมารู้จากคุณอันว่า IVF คือตัวเลือกหนึ่งในการสร้างครอบครัวเหมือนกัน

เราได้พูดคุยกันถึงเรื่องความยุ่งยากของการทำ IVF คุณอันบอกว่า จริงๆ ได้รับบริจาคสเปิร์มมา แต่หมอไม่ยอมทำให้ เพราะมันยังผิดกฎหมายอยู่ หากจะทำก็ต้องมีทะเบียนสมรส เพื่อยืนยันกับหมอว่าทั้งคู่เป็นคู่รักกันนะ แต่พอทั้งคู่ไม่ได้แต่งงานด้วยการรับรองทางกฎหมาย การทำ IVF ก็เลยเกิดขึ้นไม่ได้ 

ยิ่งไปกว่าเรื่อง IVF มันพ่วงมากับเรื่องกู้บ้าน ที่ตัวเลือกสำหรับคนกลุ่มนี้มันมีน้อยลง อย่างเวลากู้บ้าน คู่รัก LGBTQ+ ก็ต้องมีเอกสารเยอะกว่าคนอื่น เพราะต้องยืนยันความสัมพันธ์ ต้องมีแชท มีรูปเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ด้วย กลายเป็นว่าช่วงเดือนไพรด์ที่ผ่านมา ธนาคารมักทำ PR ว่าคู่รักเพศหลากหลายยื่นได้และอนุมัติง่าย แต่ในทางปฏิบัติมันไม่ง่ายแบบนั้นเลย

ซึ่งตอนจบของสารคดี มันจบที่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ทำ IVF อยู่ดี  กลายเป็นเส้นทางที่พวกเราต้องเดินหน้ากันต่อ ในตอนจบสารคดี จบด้วยการที่คุณอันพูดว่า สมรสเท่าเทียมก็ยังไม่มี แต่ทุกคนยังต่อสู้กันต่อ เป็นการจบด้วยเชิงบวกนั่นแหละ เรียกว่าจบด้วยความหวังดีกว่า

ที่จบในเชิงบวก ก็เพราะคุณอันเองก็เป็นแอคทิวิสต์ อยู่กับการขับเคลื่อนตรงนี้มานาน เขาพูดว่า เมื่อก่อนคนในคอมมูนเจออุปสรรคเยอะกว่านี้ แต่วันนี้ที่เขาแต่งงานกันในงานไพรด์ได้แล้ว จึงเป็นสัญญาณว่า ทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อยๆ เขาเลยเชื่อว่ามันจะดีขึ้นกว่านี้ สารคดีเลยจบแบบนั้น

แต่ถ้ามีภาคต่อของสารคดีนี้ มันน่าจะเป็นข่าวดีมากๆ เลยเนอะ แต่อย่างสารคดีของประเทศอื่นๆ ที่เขาอยู่ในชุดสารคดีเดียวกันกับเรา ก็มีตอนจบที่เป็นความสุขแบบเรียบง่ายนะ อย่างเนเธอร์แลนด์ ซับเจกต์ก็ค้นพบตัวเองว่า เขาเป็น Transwoman และเขาก็หย่ากับภรรยาเรียบร้อย อย่างของซิมบับเวเอง ก็กลายเป็นว่าซับเจกต์ของเขาเลือกที่จะเป็นแอคทิวิสต์ ตอนจบของสารคดีนี้ ไม่จบแบบในนิทาน เพราะมันเรียบง่าย และพวกเขาก็ยังใช้ชีวิตกันต่อด้วยความหวังในชีวิตที่ดำเนินไปเรื่อยๆ

ซึ่งตอนที่เราได้ดูฉบับเต็มที่รวมสารคดีของจากทั้งสามประเทศต่างทวีป เราคิดว่าจุดร่วมที่ LGBTQ+ ทั้งโลกต้องเจอเหมือนกันคือเรื่องทัศนคติ อย่างเนเธอร์แลนด์ที่เรามองว่าเป็นประเทศที่ก้าวหน้าในหลายเรื่อง ในสารคดีเรื่องนี้เขายังถูกบีบให้ออกจกางาน เพราะทัศนคติของหัวหน้าและบริษัท

อย่างซิมบับเวเองก็เป็นของ Intersex ที่เขาถูกมองเป็นตัวประหลาด อยากจะเข้าห้องน้ำชายหรือหญิงเขาก็ยังเลือกไม่ถูก เขาต้องวิ่งเข้าไปแล้วซ่อนให้ตัวเล็กที่สุด ซึ่งเราคิดว่า ต่อให้กฎหมายมันแก้ได้ แต่ทัศนคติแก้ยาก ถ้าให้พูดง่ายๆ คือ เราก็ยังไม่รู้ว่าถ้าสมรสเท่าเทียมแก้ได้ แล้วทัศนคติคนมันจะยังไงต่อ

“Behind the numbers”  ให้มากกว่าประสบการณ์

สารคดีถูกฉายครั้งแรกที่เนเธอร์แลนด์ใน Roze Filmdagen ซึ่งเป็นนิทรรศการหนัง LGBT ที่ใหญ่ที่สุดที่เนเธอร์แลนด์ ซึ่งหลังจากส่งงานให้โปรดิวเซอร์หลักจบแล้ว เราก็มานั่งคิดว่า เราเอามาฉายที่ไทยด้วยจะได้ไหม แต่เป็นแบบซับอังกฤษก่อน เราก็เลยได้ฉายครั้งแรกในไทยที่ FCCT Club House ซึ่งคนก็มาดูกันเยอะกว่าที่คิด องค์กร fortify rights ที่ทำงานเรื่อง Gender เขาก็มาดูเหมือนกัน

สิ่งหนึ่งที่เราอยากรู้มากๆ หลังจากที่สารคดีฉายจบคือ ทำไมคนดูชอบเดินมาบอกกับเราว่า ดูจบแล้วร้องไห้เลย เราเลยลองถามดูว่าร้องไห้กับฉากไหน บางคนก็บอกว่าร้องไห้ให้กับประเทศซิมบับเว บ้างก็ร้องไห้จากบางคำพูดของพี่อัน แล้วเราจะถามกลับตลอดเลยว่าเขาร้องไห้กันที่ฉากไหน เพราะเราไม่เคยคิดว่าเลยว่าสารคดีของจะทำได้ขนาดนั้น 

ฉะนั้นเราก็เลยได้ตกตะกอนว่า สิ่งที่เราได้รับหลังจากทำสารคดีจบคือ อันดับแรกเป็นในฐานะนักข่าว เราได้เรียนรู้จากการทำงานเป็นทีมอย่างมาก เพราะการเป็นนักข่าวเรามักทำงานคนเดียว ลงพื้นที่เอง เขียนเอง ถ่ายรูปเอง และอัปโหลดเอง แต่พอมาทำสารคดี เราถ่ายวิดีโอยังไม่เก่ง ตัดต่อวิดีโอก็ยังไม่ดี ดังนั้นเราต้องพึ่งพาทุกคนในกองถ่าย และเราได้เรียนรู้การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเยอะมาก ทำให้เข้าใจว่าการเป็นโปรดิวเซอร์ต้องวางแผนล่วงหน้าเอาไว้หลายๆ ทาง

แต่ถ้าพูดในฐานะ LGBTQ+ คนหนึ่ง เรากได้เรียนรู้เยอะขึ้นมาก ตั้งแต่อุปสรรคการสร้างครอบครัวที่มันเยอะกว่าที่เคยคิด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องการทำ IVF อย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องกู้บ้าน ทัศนคติคน และอีกหลายสิ่งที่เรายังไม่รู้ กลายเป็นว่าเราเรียนรู้ไปพร้อมกับเขาด้วย

อีกสิ่งที่เราประทับใจคือ คุณอันพูดในงานเสวนาของสารคดีนี้ว่า เขาอยากย้ำว่า คุณอันและคุณบิ้วไม่ใช่ภาพตัวแทนของ LGBTQ+ ทั้งหมด เพราะทั้งคู่ก็เป็นคนชนชั้นกลางที่ปัญหาของเขาไม่ใช่เรื่องปากท้อง เขารู้ตัวว่าเขามีพรีวิลเลจตรงนี้ ทั้งคู่จึงยิ่งย้ำว่า ยังมี LGBTQ+ อีกหลายคนที่มีปัญหาเรื่องปากท้อง เรื่องครอบครัวที่ไม่ยอมรับและไม่เข้าใจจนต้องไล่ออกจากบ้าน และปัญหายิบย่อยอีกมากเลย

ถ้าให้สรุปสารคดีนี้ออกมาเป็นหนึ่งบทเรียน บทเรียนนั้นคือ…

เวลาคือเครื่องพิสูจน์ว่าทุกอย่างล้วนมุ่งไปข้างหน้าในทางที่ดีขึ้น แม้จะดีขึ้นแบบช้าๆ แต่ทุกอย่างจะดีขึ้นแน่ๆ แล้วเราจะขับเคลื่อนสิ่งนี้ไปด้วยความหวัง ไม่ใช่สิ้นหวัง 

Contributors

Contributors

เด็กมนุษย์ฯ ผู้ชื่นชอบการออกไปเดินเที่ยวคนเดียว เอนจอยกับการเต้นและการกิน ปัจจุบันกำลังพยายามใช้ชีวิตแบบ Slow Life อยู่

คนธรรมดาในโลกแห่งความเป็นจริง ที่อยากจะใช้ชีวิตให้มีอิสระและความสุขในร้านกาแฟกับน้องสุนัขในทุกวัน