‘ย่าน’ 

มักเป็นคำที่ใช้นิยามถึงขอบเขตพื้นที่ในกรุงเทพฯ  เช่น ย่านคนรวย เรามักนึกถึงย่านสีลม ย่านทองหล่อ-สุขุมวิท หรือจะเป็นย่านเมืองเก่าอย่าง ย่านตลาดน้อย-เจริญกรุง ย่านท่าเตียน และสมัยนี้ยังมีย่านเกาหลีกลางกรุงอย่างโคเรียนทาวน์ (Korean Town) เป็นย่านเล็กๆ สำหรับคนชอบวัฒนธรรมเกาหลีด้วย

คำว่าย่านกลายเป็นคำนิยามอัตลักษณ์ของย่านนั้นๆ แต่ส่วนตัวผู้เขียนเชื่อว่าคำว่า ‘ย่าน’ ไม่ได้เป็นแค่คำนิยามที่ใช้กับสิ่งที่ตาเรามองเห็นเพียงเท่านั้น แต่ยังซ่อนความหมายที่ยึดโยงความผูกพันระหว่างผู้คนได้ด้วย

ที่ยังเชื่อแบบนั้น เพราะเรามีโอกาสได้เข้าใจความมายของคำว่าย่านมากขึ้น จากการได้มานั่งคุยกับมิช–ฮามิช มัสอิ๊ด ผู้ประกอบสร้างแม็กกาซีนออนไลน์ชวนอบอุ่นใจ อย่าง “เพื่อนบ้านอารีย์” หรือ “Your Neighbor Ari” 

สำหรับคนเมืองในยุคนี้ คำว่าเพื่อนบ้านอาจเป็นคำที่ดูไกลตัวขึ้น เพราะที่อยู่อาศัยและความเร่งรีบประจำวัน ไม่ได้เอื้อให้เราได้สานสัมพันธ์กับผู้อื่นได้มากมายนัก แต่ ฮามิชกำลังทำให้คำว่า “เพื่อนบ้าน” และ “ย่าน” เป็นคำที่กลับมาอยู่ใกล้ตัวของคนอารีย์อย่างแนบชิดขึ้น

“เราเป็นคนหนึ่งที่อยู่อารีย์ เราชอบถือกล้องถ่ายรูปและพูดคุยกับผู้คนในเวลาว่าง  แล้วซึมซับเรื่องราวต่างๆ มาได้สองปี จนเราได้สร้างความผูกพันกับคนในย่านมากขึ้น และเพื่อนบ้านอารีย์ก็ได้เริ่มจัดอีเวนต์ต่างๆ ในย่าน เราได้ยินเสียงของคนในย่านบอกว่า เขาอยากเห็นอะไรเกิดขึ้นในย่านบ้าง และเราก็ฟังเสียงของตัวเองว่าเราอยากทำอะไรกับที่นี่ด้วย นี่จึงเป็นจังหวะที่ทำให้เราเริ่มต้นทำแม็กกาซีนออนไลน์”

เพื่อนบ้านอารีย์จึงเป็นแม็กกาซีนที่พูดถึงย่านและผู้คนในอารีย์ฉันญาติมิตร ที่ฉายภาพความน่ารักของคนอารีย์ ให้มีชัดเจนขึ้นและมีเสน่ห์มากกว่าการถูกขนานนามว่าเป็นย่านแห่งคาเฟ่

เพื่อนใหม่ – เพื่อนบ้าน

เรานัดกันที่ร้าน BEAKER AND BITTER คาเฟ่สไตล์ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ในย่านอารีย์ พนักงานรับออเดอร์ของเราสองคนก่อนที่ฮามิชจะหันไปคุยกับพนักงานเล็กน้อย ใช้เวลายืนรอเครื่องดื่มไม่นาน แก้วบีกเกอร์ที่บรรจุน้ำสีสดใสก็ถูกเสิร์ฟบนโต๊ะ และในที่สุดเราก็ได้รู้ว่าฮามิชหันไปคุยอะไรกับพนักงานที่รับออเดอร์เมื่อครู่

“จริงๆ คาเฟ่นี้เคยเป็นโรงงานยานะ เป็นแลนมาร์กที่มีแทงก์น้ำสูง 9 ชั้น”

ฮามิชเล่าให้เราฟังที่ BEAKER AND BITTER ยังคงคอนเซปต์ห้องแล็บและยา น่าจะเป็นเพราะเมื่อ 50 กว่าปีก่อน ที่นี่เคยเป็นโรงงานยานิวยอร์ค เคมีเกิ้ล ซึ่งโรงงานนี้ถือเป็นตึกสูงตึกแรกๆ ของย่านอารีย์เลยก็ว่าได้ ฮามิชเล่าให้เราฟังด้วยความตื่นเต้น รู้เลยว่าฮามิชเป็นคนที่สนใจเรื่องราวและสิ่งต่างๆ รอบตัวของย่านนี้จริงๆ เราจึงเริ่มเดาได้แล้วว่า อะไรเป็นจุดเริ่มต้นให้ฮามิชสร้าง “เพื่อนบ้านอารีย์” ขึ้นมาอย่างจริงจัง

“ตอนแรกเราตั้งใจจะทำบล็อกครับ ซึ่งเดี๋ยวนี้คนไม่ใช้คำว่าบล็อกแล้วเนอะ (หัวเราะ) เพราะมียุคหนึ่งที่เราเขียนและโพสต์ลงบล็อกบนเว็บไซต์ เรามาจากยุคนั้น ซึ่งมันเป็นความตั้งใจตั้งแต่แรกของเราเลยที่อยากทำมากกว่าการเปิดเพจเฟซบุ๊กอย่างเดียว แล้วเราเองก็เคยมีประสบการณ์การทำงานในกองบรรณาธิการมาแล้วด้วย พอเราลองออกมาทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เราได้ทุกอย่างเลยตั้งแต่การเปิดเพจ คิดคอนเทนต์ การออกไปสัมภาษณ์ ถ่ายรูปและวิดีโอเองแล้วทำกราฟิก ยันเรื่องจัดการอัปโหลดลงทุกแพล็ตฟอร์ม จนสุดท้ายมันสนุก และเราเองก็อยากให้มันเป็นอาชีพของเราได้ด้วย”

สิ่งที่เติมเชื้อไฟให้ฮามิชลุกมาทำแม็กกาซีนออนไลน์อย่างจริงจัง คือช่วงที่ทุกคนกำลังต่อสู้กับสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งฮามิชเองก็อยู่ในช่วงที่อิ่มตัวกับงานเดิมที่ทำอยู่พอดีด้วย

“เราคิดตลอดว่าอยากทำสื่อเป็นของตัวเอง แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ประเทศเราล็อกดาวน์ เรามีโอกาสลองคุยกับคุณลุงคุณป้าที่เคยเห็นหน้าคร่าตากันอยู่ในย่านพอดี ซึ่งเมื่อก่อนเราไม่คุยกับคนในย่านเลย ปกติเราเดินทางจากบ้านไปที่ทำงานอย่างเดียว จนวันหนึ่งเราเลยลองคุยกับคนอื่นๆ ในย่านเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด”

“บางคนจำเป็นต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน บางคนก็เล่าว่าญาติเขาเสียไปแล้ว หรือบางคนก็มีทางเงื่อนไขการทำงานที่ไม่เหมาะกับการทำงานทางไกล เรื่องพวกนี้มันจะสะท้อนให้เราเห็นความไม่เท่าเทียมบางอย่างที่อยู่ตรงหน้าเราด้วย ซึ่งหลายคนเขาไม่ค่อยชินกับการที่มีคนอย่างเราเข้าไปถามไถ่แบบนี้ แต่ถ้ามีคนกล้าถาม พวกเขาก็กล้าที่จะเทเรื่องราวบางอย่างมาให้เราฟังเหมือนกัน และมันทำให้เราได้รับพลังจากตรงนี้ เราชอบเรื่องราวที่พวกเขาเล่าออกมาอย่างด้วยใจจริง”

แรงใจนั้นทำให้ฮามิชกล้าเข้าไปพูดคุยกับคนในย่านอารีย์ตั้งแต่พี่ยามที่คอนโดฯ สัมภาษณ์แม่บ้าน สัมภาษณ์นิติคอนโดฯ และเริ่มเข้าถึงคนอื่นๆ ที่อาศัยใกล้เคียงกันมากขึ้น ซึ่งฮามิชเองก็เล่าให้เราฟังด้วยแววตาที่มุ่งมั่นว่า คนอารีย์มีเรื่องราวน่าสนใจมากมายที่ซ่อนเอาไว้มากกว่าที่หลายคนรู้จัก ซึ่งแน่นอนว่าทุกการเริ่มต้นจากศูนย์ย่อมไม่ง่ายนัก ฮามิชจึงเล่าตั้งแต่การประกอบสร้าง “เพื่อนบ้านอารีย์” ตั้งแต่ DAY 1 ให้เราฟัง 

“ตอนนั้นเราออกจากงานแล้ว ซึ่งตอนที่เราเริ่มต้นลงมือวันแรกสุดจริงๆ มีเพื่อนมานั่งฟังพรีเซนต์ด้วย  เพื่อนก็มานั่งกับพื้นแล้วเราก็ยืนพูดหน้าทีวี  เราเล่าให้ฟังตั้งแต่การตั้งชื่อ แผนการทำคอนเทนต์ A B C ไล่เรียงกันไป และทำตัวอย่างให้ดูว่า ถ้าอัปโหลดลงเฟซบุ๊กจะมีหน้าตาเป็นแบบไหน ถ้าลงอินสตาแกรมก็เป็นแบบนี้ แล้วคนอ่านของเราคือใคร  รวมถึงความเป็นไปได้ในการหารายได้เข้ามา”

“พรีเซนต์จบ เพื่อนถามเราว่า ‘มึง มันจะได้ตังเหรอวะ’ (หัวเราะ) แล้วเพื่อนก็เกิดคำถามเรื่อนๆ อย่างเรื่องผู้อ่าน ที่อาจจะมีแค่ในอารีย์อ่านคอนเทนต์ของเรา แต่สุดท้ายเพื่อนก็ถามว่าเรรอยากทำไหม ซึ่งเราตอบว่าอยากทำ และจนแล้วจนรอด มันก็เดินทางจนครบหนึ่งปีได้เพราะเราจริงจังกับมันมาก เราทำ excel sheet เพื่อกำหนดเลยว่า ในหนึ่งเดือนเราต้องได้จากศูนย์ถึงหนึ่งพันไลค์ และหลังจากได้หนึ่งพันไลค์ เราจะต้องมีเป้าหมายอะไรต่ออีกบ้าง แต่ถ้าไม่ถึงหนึ่งพันไลค์เราต้องทำอะไรได้บ้าง ต้องยิงโฆษณาไหม จนไปถึงเรื่องการออกแบบบทความ เช่นการกำหนดเองว่าบทความประจำเดือนต้องมีกี่ชิ้นต่อเดือน”

เมื่อเพื่อนบ้านอารีย์เปิดตัวเพจและเว็บไซต์ครั้งแรก ยอดติดตามและยอดไลก์ทยานขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่เดือน แม้ว่ายอดกดแชร์ในช่วงแรกๆ มาจากกลุ่มเพื่อนผู้พร้อมซัพพอร์ตคุณฮามิชที่ไม่ได้เป็นคนอารีย์ก็ตาม

“ช่วงแรกๆ กลายเป็นว่ามีแต่เพื่อนเราที่เข้ามาดู จนเพื่อนๆ แอบแซวว่า ‘อ๋อ ชีวิตมึงในอารีย์เป็นแบบนี้เหรอ’ (หัวเราะ) แต่พอเพื่อนบ้านอารีย์มันเริ่มโตขึ้น เราได้พบเพื่อนใหม่ จนกลายเป็นเพื่อนที่สนิทในช่วงนี้ โดยที่คนเหล่านี้คือแฟนเพจเพื่อนบ้านอารีย์หมดเลย แต่ก็มีเพื่อนใหม่ที่เรายกหูโทรศัพท์หาเขาเองเลย อย่าง ARI AROUND เราเริ่มต้นพร้อมกันโดยบังเอิญ เขาเป็นทีมที่ทำกิจกรรมภายในย่านอารีย์เหมือนกัน”

ARI AROUND เป็นแพลตฟอร์มที่รวมทุกสิ่งในอารีย์มาอยู่บนแพลตฟอร์มนี้ และยังเป็นการเชื่อมโยงคนในอารีย์ให้หันมาเอื้อเฟื้อกัน จนไปถึงการกลับมามีกิจกรรมต่างๆ ในละแวกย่านร่วมกันด้วย 

“เรามีเพื่อนอีกคนหนึ่งด้วยที่เขากลับมาจากอังกฤษในช่วงล็อกดาวน์พอดี ซึ่งตอนนั้นเพื่อนส่งข้อความมาบอกเราว่า ขอบคุณมากเลยที่ทำเพจนี้ (เพื่อนบ้านอารีย์) ขึ้นมา เพราะเขาเองก็เติบโตมาจากอารีย์ เขาดีใจแล้วก็ติดต่อมาเรื่อยๆ ซึ่งเพื่อนคนนี้เขาจบด็อกเตอร์ เป็นอาจารย์เกี่ยวกับการทำงานนวัตกรรมพอดี จนเราเลยได้แนะนำเพื่อนคนนี้ให้เขาได้รู้จักกับ ari around แล้วตอนนี้เขาก็ได้เข้าไปอยู่ในทีม ari around ด้วย”

“แล้วก็ยังมีลูกเพจของเรามาคอมเมนต์ในโพสต์ที่เราเขียนถึงการเดินเที่ยวเล่นในย่านอารีย์ เขาบอกว่าเขาเดินศึกษาเกี่ยวกับความหลากหลายทางธรรมชาติในย่านอารีย์คนเดียว สุดท้ายเขาเลยชวนเราไปเดินเล่นด้วยกัน เราก็ไปนะ ตอนนั้นตื่นเจ็ดโมงเช้าแหนะ (หัวเราะ) แต่กลายเป็นว่ามันเป็นการตื่นเช้าที่ดี เขาเป็นคนที่โคตรเก่งเรื่องชีววิทยาทั้งพืชและสัตว์ในย่าน สุดท้ายเราก็พาเขาไปรู้จักกับคนในย่าน จนเกิดโปรเจกต์ ECO Wall เป็นกิจกรรมที่พาคนเดินเล่นและศึกษาสิ่งต่างๆ ในย่าน จนถึงตอนนี้ก็จัดหลายสิบรอบแล้ว กลายเป็นวาสคนที่อยู่ในชีวิตเราคือ คนที่ผูกพันด้วยการมีอยู่ของ ‘เพื่อนบ้านอารีย์’ ซึ่งมันเป็นรางวัลให้เราด้วย เป็นรางวัลที่ได้มิตรภาพดีๆ และการได้ผูกพันกับย่านในเชิงจิตใจจิตวิญญาณด้วย อารีย์ไม่ใช่แค่พื้นที่ที่ละแวกบ้าน แต่ที่นี่คือย่านจริงๆ” 

เพื่อนบ้าน – เพื่อนในย่าน

น้ำสีสดใสในแก้วบีกเกอร์ของฮามิชลดลงเล็กน้อย เราเลยชวนคุยเรื่องสนุกๆ กันต่อ อย่างการริเริ่มทำโปรเจกต์สร้างสรรค์ให้คนในย่านได้มากสนุกกัน

“ตอนแรกไม่ได้วางแผนเรื่องของการทำโปรเจกต์ในย่านไว้นะ เราคิดแค่ว่าเราอยากคอลแลปกับคนอื่นๆ ในลักษณะไหนก็ได้ไม่ว่าจะเป็นการทำของขาย การจัดอีเวนต์ หรือการเป็นบทความร่วมกัน ซึ่งอย่างอีเวนต์ที่เราจัดคือ Your Neughbor Clotheswaps  : แลกเสื้อผ้าย่านอารีย์ กิจกรรมนี้เกิดขึ้นเพราะเราชอบเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนอยู่แล้ว และเราก็ได้รับอิทธิพลจากคนในย่านมาเต็มๆ เหมือนกัน เพราะพอเราได้คุยกับคนในย่านมากขึ้น เราเลยได้รู้ว่าคนอารีย์แคร์เรื่องความยั่งยืนนะ ซึ่งตอนแรกเราก็ไม่เคยรู้จักกิจกรรม clotheswaps มาก่อนเลย จนกระทั่งมีเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ที่อยู่บ้าน (คอนโดฯ) ชั้นบนถัดจากเรา เขาก็บอกว่าที่ต่างประเทศมันมีกิจกรรมแลกเสื้อผ้าเป็นปกติเลยนะ เราก็เลยลองคุยกับคนอื่นๆ ในย่านดู ปรากฏว่าทุกคนชินและรู้จักกิจกรรมนี้อยู่แล้ว”

ความคุ้นชินกับกิจกรรมแลกเสื้อผ้าของคนในย่านอารีย์​ เกิดขึ้นเพราะคนที่นี่รู้จักกิจกรรมแลกเสื้อผ้าจากงาน Fashion Revulotion Thailand อยู่แล้ว ฮามิชจึงนำไอเดียจากคำแนะนำของคนในย่านและคอนเซปต์ในใจที่ตัวเองต้องการ มาจัดกิจกรรมแลกเสื้อผ้ากันภายในย่าน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเพจเพื่อนบ้านอารีย์ด้วย

“อีกโปรเจกต์ที่เรามองว่าน่าสนใจคือ กิจกรรมเดินเล่นในย่านอารีย์ กิจกรรมนี้ไม่มีอะไรเลย เพราะเราก็แค่พาคนไปเดินเล่นด้วยกันเฉยๆ ความโชคดีของที่นี่คือเป็นย่านที่เดินได้ มีร่มเงาตลอดทาง แล้วก็มีสิ่งที่น่าสนใจให้ดูหลายอย่างนะ เป็นย่านที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นได้ด้วย ซึ่งพอเราอยากรู้อยากเห็น เราก็จะพยายามค้นคว้าที่มาที่ไปของทุกสิ่งที่เห็น และสิ่งนี้คือสิ่งสำคัญที่ทำให้คนเรารู้สึกเชื่อมโยงกับพื้นที่ที่อาศัยอยู่”

“การที่คนเรารู้สึกเชื่อมโยงกับพื้นที่ที่อยู่ เป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพจิตมาก โดยเฉพาะในคนที่มีอาการซึมเศร้าด้วย  บางครั้งการที่เราเดินผ่านคน แล้วเห็นคนที่เดินสวนทางกันเขามองหน้าเรา นั่นทำให้สมองเรารู้ว่า ตัวเรามีตัวตนจริงๆ และการที่เราพูดคุยกับคนอื่น ได้ทักทายคนอื่น สมองเราได้เตือนตัวเองว่าเราคือใคร หรือว่าเดินถึงตรงนี้แล้วเราเห็นท้องฟ้าเปลี่ยนสี เราก็ได้เตือนตัวเองได้ว่าเรายืนอยู่ที่ตรงไหน เราเลยมองว่าการเดินเป็นสิ่งที่ดีมากๆ แล้วเราเองก็เดินคนเดียวอยู่แล้ว เราเลยทำโพสต์ชวนคนไปเดินเล่นกัน”

ความสนุกหลังจากจบกิจกรรมเดินเล่น ฮามิชแอบกระซิบให้ฟังว่าเหล่าคนที่ไปเดินเล่นด้วยกันในย่าน ต้องกลับมาตั้งกลุ่มไลน์เพื่อนัดกันไปเดินเล่น กินข้าว หรือนั่งคุยกันสบายๆ นอกรอบกันอยู่หลายหน กลายเป็นว่ากิจกรรมเดินเล่นในครั้งนี้ได้สร้าง community เล็กๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“โปรเจกต์เดินเล่นเป็นกิจกรรมที่สนุกปละเซอร์ไพรส์ที่สุดสำหรับเรา อนาคตก็อยากจัดกิจกรรม Photowalk แต่เป็นการเดินเล่นแบบมีคอนเซปต์มากขึ้นนะ เช่น การเดินไปชิมอาหาร อยากทำเป็นทัวร์ ที่เดินไปกินร้านนั้นนิดหนึ่ง ร้านนี้อีกนิดหนึ่ง และ ให้เจ้าร้านเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของอาหารและร้านของเขา เป็นความรู้เผื่อมีคนอยากเปิดร้านเป็นของตัวเองบ้าง มันดีนะ ก็เดินชิม เป็นร้านอาหารที่เตรียมเมนูเอาไว่ให้เรากินด้วย”

นอกจากกิจกรรม Clotheswaps และเดินเล่นในย่านแล้ว เรายังแอบเห็นว่าเพื่อนบ้านอารีย์ก็เข้าร่วมงาน Bangkok Design Week 2023 ด้วย 

“เราเพิ่งเข้าร่วมเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ด้วยโปรเจกต์ Ari Chatty Street โปรเจกต์ที่เล่าเกี่ยวกับจุดต่างๆ ในย่านอารีย์ด้วยเสียงผ่านการสแกน Qr code ที่แปะในย่าน ใครที่มาเดินเล่นก็มาสแกนเพื่อฟังละครเสียงที่คนในย่านอารีย์เป็นคนพูดเองได้ ซึ่งละครเสียงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพื้นที่ตรงนั้น เช่นที่ตรงนี้มีแมวเยอะ หรือบ้านนี้เขาว่ากันว่าเป็นบ้านผีสิง เราก็มาเขียนบทให้มันสนุกขึ้น ด้วยการมองบ้านผีสิงผ่านมุมมองของแมวที่เดินเข้าไปในบ้านนั้นบ่อยๆ หรือพื้นที่ที่ตรงนี้เคยเป็นโรงเรียน แต่ตอนนี้เป็นคอนโดฯ แล้ว บทของละครเสียงก็จะเล่าเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ขึ้นลิฟต์แล้วเจอป้าแม่บ้านที่คอนโดฯ จนทั้งคู่ยืนคุยกันแล้วพบว่า หญิงสาวเคยเรียนที่โรงเรียนตรงนี้สมัยเด็ก และป้าแม่บ้านเองก็เคยเป็นครูที่โรงเรียนนี้สมัยสาวๆ เหมือนกัน”

 “บทละครเสียงที่ถูกเขียนขึ้นมาเป็นสิ่งที่เราพยายามสะท้อนให้เห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงในเมืองที่เกิดขึ้นกำลังถูกแทนที่ด้วยอะไร จากบ้านกลายเป็นโรงเรียน จากโรงเรียนกลายเป็นตึกสูง และจากครูกลายเป็นแม่บ้าน หรือจากเด็กกลายเป็นผู้ใหญ่ นักแสดงเสียงที่เราใช้ในโปรเจกต์นี้คือคุณลุงคุณป้าที่อยู่ในย่าน มีให้ฟังกันทั้งหมด 11 ตอน เราทำงานกับทีม TCDC ด้วย บอกตรงๆ ว่าเหนื่อยมาก แต่ก็สนุกมากๆ ในเชิงกระบวนการคิดสร้างสรรค์ด้วย”

การสร้าง community เล็กๆ และทำให้คนใกล้ชิดกันมาขึ้นผ่านกิจกรรมเหล่านี้ได้ ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมาก เพราะโดยปกติแล้วคนเมืองหรือคนกรุงเทพฯ มักใช้ชีวิตแบบไร้ปฏิสัมพันธ์ต่อกันมากขึ้นทุกวัน ใช้ภาษาง่ายๆ คืออยู่บ้านแบบต่างคนต่างอยู่นั่นแหละ

“เราขออยากบ่นให้ฟังนิดหนึ่งว่า คนกรุงเทพฯ ประหลาดนิดหนึ่ง เพราะพวกเขามักกลัวคน แต่ถ้าอยู่ที่ต่างประเทศ เพียงแค่เดินผ่านคนแปลกหน้าก็ทักทายกันได้ สิ่งนี้ยังมีอยู่ในนิสัยของคนต่างจังหวัดนะ เพราะต่างจังหวัดเขายังมีความเป็นชุมชนเหนี่ยวแน่นอยู่ ถ้าเราลองทักคนแปลกหน้าในกรุงเทพฯ สักคน เขาก็จะตกใจกลัวเราไปเลย ระแวงว่าเราจะไปทำอะไรไม่ดีกับเขาหรือเปล่านะ”

“เรารู้สึกว่ามนุษยสัมพันธ์ของคนไทยมันยับเยินมาก อาจเพราะคำสอนที่ผู้ปกครองชอบกำชับว่าอย่าไปคุยกับคนแปลกหน้านะลูก ส่วนคนกรุงเทพฯ ก็ยับเยินเพราะเราอยู่อาศัยกันในสิ่งปลูกสร้างสูงๆ ที่ไม่เอื้อให้เราได้พูดคุยกับคนอื่น กรุงเทพฯ ไม่ได้มีทางเดินริมแม่น้ำที่มีคนเล่นสเก็ตบอร์ดได้ ไม่มีพื้นที่ที่ผู้คนพร้อมนั่งคุยกับคนแปลกหน้า พอเราอาศัยอยู่ในตึกที่มันสร้างเสร็จทีเดียว แล้วคนก็เข้ามาอยู่พร้อมกันในคราวเดียว กลายเป็นว่าคนอยู่ในช่องเล็กๆ ของตัวเอง แล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปทักทายคนอื่นๆ ในตึกยังไง ไม่รู้ว่าใครอยู่ชั้นไหนด้วยซ้ำ และยิ่งมนุษย์คอนโดฯ ที่บางครั้งก็ตั้งใจว่าจะไม่รู้จักใครอยู่แล้ว เพราะมาอยู่ไม่นานเดี๋ยวก็ย้ายออกไป นี่เลยเป็นสิ่งที่เราก็อยากจะบอกว่า การที่ได้คุยกับคนใกล้ตัวโดยที่เราไม่ต้องการอะไรจากเขาคือ รางวัลเป็นสิ่งที่เติมเต็มชีวิตของเราเลย”

ในฐานะมนุษย์เงินเดือนอย่างเราที่กำลังเล่าเรื่องราวของฮามิชให้ทุกคนได้อ่านอยู่ตอนนี้ ก็อดเห็นด้วยไม่ได้ว่าวิถีชีวิตในกรุงเทพฯ ของคนส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้นจริง เราตื่นเช้าแล้วเดินทางออกจากที่พักอย่างเร่งรีบ และกลับบ้านด้วยสภาพร่อแร่ทุกวัน จนไม่อยากเอาตัวเองไปพูดคุยกับใครแม้กระทั่งพี่ยามหน้าประตูที่พัก จึงเดาได้เลยคนเมืองส่วนใหญ่มีความเหงาที่เกาะกินหัวใจอยู่ไม่น้อยเลย

เพื่อนในย่าน – เพื่อนที่ผูกพัน

เจ็ดปีคือระยะเวลาที่ฮามิชใช้ชีวิตคลุกคลีในย่านอารีย์ แม้จะเป็นการย้ายมาด้วยเหตุว่าย่านอารีย์นี้อยู่ใกล้ที่ทำงานของเขา แต่ ณ ขณะที่เรานั่งพูดคุยกับฮามิชอยู่ในตอนนี้ คือฮามิชที่มีเพื่อนบ้านในเมืองกรุง และเป็นฮามิชที่กำลังจะค่อยๆ สร้างวัฒนธรรมความเป็นย่านและเพื่อนบ้านให้ผู้คนคุ้นชิน

“คำว่าเพื่อนบ้าน ถ้าบ้านอยู่ติดกัน แต่ไม่คุยหรือไม่สนใจกัน ก็ไม่นับว่าเป็นเพื่อนบ้านนะ แต่ในขณะเดียวกันที่ถ้าบ้านไม่ได้อยู่ติดกัน แต่เราเดินผ่านกันแล้วทักทายกันได้ แล้วก็พูดคุยกันถึงบุคลที่สามที่อยู่ในละแวกเดียวกันได้ด้วย นั่นคือคำว่าเพื่อนบ้านนะ ไม่รู้ว่าบรรยากาศนี้ยังมีอยู่ในย่านอื่นไหม แต่ในย่านอารีย์มันยังมีอยู่”

“แต่เราก็คุยกับผู้ติดตามเพจเพื่อนบ้านอารีย์เหมือนเพื่อนบ้านด้วยนะ อย่างเวลาเราตอบคอมเมนต์เฟซบุ๊ก ‘อ๋อ สวัสดีครับพี่(ชื่อคนคอมเมนต์)ไม่ได้เห็นกันนานเลย’ ซึ่งเพจตอนนี้รเราก็มีคนฟอลแค่สองหมื่นคนนะ แต่เราว่ามันไม่ต้องเยอะไปกว่านี้ก็ได้ เพราะในอารีย์ก็มีคนอยู่ไม่มากขนาดนั้น เพราะถ้ามีคนมาติดตามมากขึ้นเรื่อยๆ เราก็มองว่านี่คือโบนัส เพราะคนเหล่านี้คือคนที่สนใจว่าย่านอารีย์เป็นยังไง หลายคนจะมองว่าเราทำเหมือมนุษย์กรุงเทพ หรือเหมือน Humans Of New York แต่เรารู้สึกว่า เพื่อนบ้านอารีย์ไม่ได้เข้มข้นขนาดนั้น บางทีเราแค่อยากจะลงโพสต์พารากราฟเดียว เช่น สงกรานต์นี้ไปไหนครับ? หรือแค่ถามว่า ช่วงนี้ขายอะไรดี? เป็นการโพสต์ที่เหมือนเพื่อนบ้านทักกัน คอนเทนต์ทุกอย่างที่ออกมา”

ช่วงแรกที่คุยกันฮามิชเล่าให้ฟังว่า จริงๆ แล้วฮามิชก็เป็นอีกคนที่ไม่เคยคุยกับคนในย่าน ไม่ได้คุ้นชินกับการมีเพื่อนบ้าน แต่ท้ายที่สุดการเริ่มต้นเปิดใจพูดคุยกับคนอารีย์ก็ทำให้ฮามิชได้คนที่ผูกพันใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตมากมาย

“อารีย์ก่อนที่เราจะรู้จักมัน ยังเป็นย่านที่ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการมีรถไฟฟ้าผ่านกลางย่าน และเรา เมื่อก่อนเราก็เดินทางแค่กลับคอนโดฯ หลังเลิกงาน แต่มีวันหนึ่งที่เราลองเดินเท้าลัดเลาะย่านไปเรื่อยๆ ตอนแรกเรารู้สึกว่าทำไมเราเดินทะลุถนนต่างๆ มาได้ไกลขนาดนี้ แล้วก็เจอสิ่งที่น่าสนใจเยอะมาก จนสุดท้ายเส้นทางเหล่านั้นไม่ได้ไกลสำหรับเราแล้ว เราพูดถึงแต่เรื่องการเดิน เพราะทุกความสนุกของเรื่องราวเหล่านี้ เริ่มต้นด้วยเรื่องการเดินพร้อมกล้องในมือจริงๆ”

“รู้จักคำว่า third place ไหม? มันคือที่ที่ ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ที่ทำงาน แต่เป็นที่ที่เราสร้างสังคมของตัวเองขึ้นมาโดยที่ไม่ได้ผูกโยงกับงานหรือครอบครัว ในต่างประเทศเขาสร้างย่านกันด้วยคำนี้ หลายๆ ที่ก็มีพลาซ่าเป็นลานใหญ่ๆ ที่คนมักมาอยู่ที่นี่กัน แต่ประเทศไทยไม่ได้คุ้นชินกับสิ่งนี้ ซึ่งเรารู้สึกว่าอารีย์เป็น  third place ได้จริงๆ เพราะอารีย์มีทุกอย่าง ตั้งแต่การมีคอนเสิร์ตห้องเล็กๆ ให้ดู มีฉายหนังให้ดูแบบ outdoor มีโรงเรียน โรงพยาบาล มีสถานีดับเพลิง มีสถานีตำรวจ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมย่านนี้ัถึงแพง”

เราเชื่อว่าใครที่ได้อ่านมาถึงตรงนี้คงรู้สึกเช่นเดียวกันว่า เพื่อนบ้านอารีย์ กลายเป็นสิ่งเติมเต็มให้กับฮามิช เป็นสิ่งที่ตัวเขาเองรู้สึกภูมิใจกับมัน และเป็นเหมือนการสร้างพื้นที่ใหม่ที่อบอุ่นให้กับคนในและคนนอกได้เข้ามารู้จัก

“ในวันที่เรารู้ว่ามีคนย่านอื่นมากดไลก์เราด้วย เราภูมิใจนะ แต่ก็แอบเกร็งว่า คนย่านอื่นเขาจะอ่านรู้เรื่องไหม (หัวเราะ) หรือเราจะต้องทำคอนเทนต์เพื่อกลุ่มคนเหล่านี้ไหม จนในที่สุดเราก็ได้รู้ว่า คนที่ติดตามเพื่อนบานอารีย์คือ คนที่ชอบในย่านนี้เช่นกัน เพราะเขาเห็นว่าที่นี่มีความเป็นย่านที่ชัดเจนมาก เราเลยย้อนมองตัวเราเองว่า ขนาดเรายังไปติดตามย่านทรงวาด ถนนนางงาม ย่านเจริญกรุง ซึ่งเป็นย่านที่น่าสนใจ เราเลยเข้าใจคนกลุ่มนี้ด้วย และอีกกลุ่มผู้เข้ามาติดตามคือชาวต่างชาติที่ชอบเรื่องความยั่งยื่น และชาวต่างชาติที่เคยอยู่ย่านอารีย์แล้วเขารู้สึกคิดถึง เราก็ยังเคยทำโพสต์เลยว่า ‘คุณคิดถึงอารีย์ไหม’ เลื่อนในโพสต์ก็จะเจอสภาพปัจจุบันของบางพื้นที่ หรือเล่าให้ฟังว่า หมาชื่อเบี้ยว มีคนรับไปเลี้ยงแล้วนะ มันเป็นคอนเทนต์ง่ายๆ สำหรับคนที่ยังคิดถึงและคนที่เคยอยู่ที่นี่”

น้ำสีสดใสในบีกเกอร์ของฮามิชลดลงจนถึงก้นแก้ว เป็นสัญญาณที่น่าจะถึงแก่เวลาของการแลกเปลี่ยนเรื่องราวสนุกๆ แล้ว เราเลยขอให้ฮามิชลองย้อนทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับการทำ “เพื่อนบ้านอารีย์” ว่าในสองปีที่ผ่านมานี้ ฮามิชได้บทเรียนอะไรจากการได้ทุ่มเทกับสิ่งที่เขารัก

“อาจจะเป็นคำตอบที่เชยมากนะ แต่เรามองว่า ย่านมันไม่ใช่แค่ที่อยู่ แต่เป็นสิ่งที่เราเชื่อมต่อกับมันและได้ใช้ชีวิตอยู่ในนั้นจริงๆ เพราะถ้าเราอยู่ตรงนั้นแต่เราไม่ได้รู้จักใครเลย ไม่ได้เข้าใจเรื่องราวในพื้นที่ที่เราอาศัยอยู่ เราก็จะไม่ได้ขบคิดกับมัน และเราจะไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับพื้นที่นี้เลย”

“การมาทำเพื่อนบ้านอารีย์มันสะท้อนตัวเรา เพราะเราได้รู้ว่า ชีวิตมีได้มากกว่านี้ รู้สึกดีจังเลยที่เราได้ออกไปพบปะผู้คน ซึ่งทำให้โลกของเรากว้างขึ้น และได้เอาคนรอบตัวไปอยู่ในโลกของเราได้ด้วย เพราะโลกส่วนตัวเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจของคนเรา เราสร้างโลกส่วนตัวที่มีแค่เรา เก็บทุกอย่างที่มีความหมายอยู่รอบตัวเราได้ หรือเราจะมีโลกส่วนตัวที่ใหญ่ก็ได้ ใหญ่เท่ากับตึกนี้ (BEAKER AND BITTER) ก็ได้ แล้วคนที่มีความหมายกับชีวิตเราก็อยู่ตรงนี้กับเราได้ด้วย อย่างถ้าเราสร้างบ้าน เราจะรู้หมดเลยว่า ของในบ้านแต่ละชิ้นเราซื้อมาจากไหน ทุกอย่างย่อมมีเรื่องราว และแล้วเรารู้สึกว่า บ้านเราใหญ่เท่าอารีย์เลย เรารู้หมดทุกอย่างในย่านนี้ในบ้านหลังนี้ครับ”

เราเห็นถึงแพสชันและความจริงใจตลอดเวลาที่นั่งคุยกัน อดไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่า ความสดใสของย่านอารีย์ในสายตาฮามิชคือความสดใสในเฉดไหน

“มิชว่าย่านอารีย์เป็นสีชมพูนะ สีชมพูดอกเฟื่องฟ้า เพราะอารีย์มีดอกเฟื่องฟ้าเยอะ เป็นสีที่หวานและอบอุ่นใจดี เข้ากับบุคลิกของย่านอารีย์เลยครับ”

Contributors

Contributors

เด็กมนุษย์ฯ ผู้ชื่นชอบการออกไปเดินเที่ยวคนเดียว เอนจอยกับการเต้นและการกิน ปัจจุบันกำลังพยายามใช้ชีวิตแบบ Slow Life อยู่

ช่างภาพฝึกหัด ชอบแมว ชอบสีเขียว ชอบเฝ้าดูและเก็บบันทึกความเป็นไปของโลกผ่านภาพถ่าย