ปี 2024 นี้เป็นอีกหนึ่งปีที่จะมีมหกรรมระดับชาติครั้งใหญ่ นั่นก็คือการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส หนึ่งสิ่งที่สำคัญและคนมักพูดถึงไม่แพ้เรื่องกีฬา นั่นก็คือ “งานดีไซน์” นั่นเอง เพราะมันคือสิ่งที่จะสะท้อนตัวตน และอัตลักษณ์ของประเทศเจ้าภาพนั้นๆ ในแต่ละปี
ซึ่งก่อนที่จะมาเล่าเรื่องราวของงานดีไซน์จากฝรั่งเศส ผู้เขียนอยากจะย้อนวันวานสักนิดหน่อย เพราะกว่าจะมาเป็นงานดีไซน์ที่เราได้เห็นฝีไม้ลายมือจากประเทศเจ้าภาพในทุก 4 ปี ทุกอย่างล้วนมีรากฐาน และ “ต้นแบบ” มาก่อน
รากฐานและต้นแบบที่ว่านั้น คืองานออกแบบของการแข่งขัน โอลิมปิก 1964 จัดขึ้นที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ที่ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า…
นี่เป็นหนึ่งในงานดีไซน์ของโอลิมปิกที่ดีที่สุด และสร้างบรรทัดฐาน
ให้แก่งานดีไซน์ของโอลิมปิกครั้งต่อไป จนมาถึงทุกวันนี้
เบื้องหลังของการออกแบบโลโก้โอลิมปิก 1924 เกิดขึ้นจากกราฟิกดีไซน์เนอร์คนหนึ่ง ที่ลืมว่า เขาต้องส่งผลงานการออกแบบโลโก้เข้าประกวด เขาใช้เวลาในการคิด และออกแบบเพียงแค่ 2 ชั่วโมงก่อนถึงเดดไลน์! ใน ตอนนั้น เขายังไม่รู้ว่าผลงานชิ้นนี้ คือผลงานเปลี่ยนโลกของกีฬาโอลิมปิกไปตลอดกาล…
ชายคนนั้นคือ Yusaku Kamekura
Godfather of Post-War Japanese Graphic Design

Yusaku Kamekura เกิดในปี 1915 ที่นีงาตะ จังหวัดที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือประเทศญี่ปุ่น จุดเริ่มต้นของอาชีพเกิดขึ้นในวัย 17 ปี เมื่อเขาได้รับมอบหมายให้ออกแบบปกหนังสือฉบับญี่ปุ่นของนวนิยายเรื่อง Night Flight ที่แต่งโดย Antoine de Saint-Exupery ผู้เป็นนักเขียนและนักบินชาวฝรั่งเศส เจ้าของผลงานการเขียนนวนิยายชื่อดังอย่าง The Little Prince (ชื่อฉบับภาษาไทยคือ เจ้าชายน้อย) หลังจากได้ออกแบบปกหนังสือให้กับนักเขียนผู้เลื่องชื่อแล้วนั้น Kamekura จึงศึกษาต่อด้านนี้ที่สถาบัน Shin Kenchiku Gokei Gakui (สถาบันสถาปัตยกรรมใหม่และอุตสาหกรรมศิลป์) ในกรุงโตเกียว หลังสำเร็จการศึกษา Kamekura ได้ทำงานให้กับ Yonosuke Natori ซึ่งเป็นช่างภาพที่เคยทำงานในประเทศเยอรมนี
Kamekura ได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปะจากฝั่งตะวันตก และชื่นชอบศิลปะแนว Modernism, Bauhaus เป็นอย่างมาก กอปรกับในช่วงหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 1945 ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้ในสงคราม ผู้คนจวนอดอยาก ทำให้รัฐบาลเริ่มนำแนวคิดจากตะวันตกมาก่อร่างสร้างประเทศขึ้นใหม่มาและพัฒนาก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว งานศิลปะจากตะวันตกก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในประเทศ จากศิลปะดั้งเดิม กลายมาเป็นศิลปะประยุกต์ เริ่มมีการนำกราฟิกดีไซน์มาใช้ ทำให้ผลงานของ Kamekura เป็นที่โดดเด่นอย่างมากในยุคนั้น จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “เจ้าพ่อกราฟิกดีไซน์ญี่ปุ่นยุคหลังสงคราม” กันเลยทีเดียว
“
The International Olympic Committee has the honour to announcing that the Games of the XVIII Olympiad in 1964 are awarded to the city of:
TOKYO 1964
“

วันที่ 26 พฤษภาคม 1959 ที่ประชุมของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ประกาศให้กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 1964 เอาชนะคู่แข่งจากเมืองอื่นๆ อย่าง ดีทรอยต์ (สหรัฐอเมริกา), เวียนนา (ออสเตรีย) และ บรัสเซลล์ (เบลเยียม) และได้กลายเป็นชาติแรกในทวีปเอเชีย ที่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาระดับโลกครั้งนี้
สิ้นเสียงประกาศว่าญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ กระบวนการเตรียมความพร้อมทั้งด้านงานสร้าง สาธารณูปโภค การคมนาคม รวมถึง “การดีไซน์” ก็เริ่มต้นขึ้นในทันที เดือนมีนาคม 1960 กระบวนการออกแบบงานได้เริ่มต้นขึ้น ได้มีการเชิญนักออกแบบชั้นนำระดับประเทศ ซึ่งรวมไปถึง Yusaku Kamekura มาร่วมเป็น “คณะกรรมการที่ปรึกษาการออกแบบ” ทุกคนได้ร่วมประชุม คิดคอนเซปต์ และวางทิศทางของการออกแบบ เป็นอันสรุปว่า ต้องมีความเป็นสากลแต่ไม่ทิ้งเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นด้วย แต่ก่อนอื่น ต้องออกแบบโลโก้ก่อน เพราะต้องมีการนำเสนอโลโก้ต่อที่ประชุมของคณะกรรมการโอลิมปิกสากลในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงก่อนการแข่งขันโอลิมปิก 1960 จะเริ่มต้นขึ้นในกรุงโรม ประเทศอิตาลี
แน่นอนว่า Kamekura ก็เป็นหนึ่งใน 20 คนที่เข้าร่วมการประกวดออกแบบโลโก้ครั้งนี้ โดยปกติแล้วการออกแบบโลโก้หนึ่งชิ้น อาจต้องใช้เวลาร่วมเดือนตั้งแต่กระบวนการ Research คิดคอนเซปต์ และลงมือทำเพื่อได้มาซึ่งโลโก้ที่แยบยลสักชิ้น แต่ความฮาที่ Kamekura คงฮาไม่ออก ณ เวลานั้นก็คือ
เขาลืมส่งผลงานออกแบบ!
มีโทรศัพท์โทรมาหา Kamekura ว่าถึงกำหนดที่จะต้องส่งผลงานแล้ว ซึ่งเดดไลน์ก็คือวันนั้น! Kamekura และทีมงาน จึงใช้เวลาที่เหลืออยู่ รีบออกแบบขึ้นมา เป็นวงกลมสีแดง ที่มีสัญลักษณ์ 5 ห่วงของโอลิมปิก และข้อความ “TOKYO 1964” สีทองตัดกัน กระบวนการทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นในเวลาเพียง…
2 ชั่วโมง!

“
หลายคนคงคิดว่า วงกลมสีแดงคือฮิโนมารุ (ธงชาติญี่ปุ่น) แต่จริงๆ แล้วมันหมายถึง แสงอรุณของวันใหม่ ผมอยากนำเสนอความสดใหม่ด้วยสมดุลระหว่างวงกลมสีแดงที่ตัดกับสัญลักษณ์ห้าห่วงของโอลิมปิกสีทอง มันเหมือนว่าผมกำลังทำให้ฮิโนมารุ ดูมีความโมเดิร์นและทันสมัยมากขึ้น
“
เป็นคำอธิบายจาก Kamekura ภายหลังที่โลโก้ของเขาได้รับการเลือกให้เป็นโลโก้ของแข่งขันโอลิมปิก 1964 Kamekura อธิบายต่อด้วยว่าแนวคิดของเขามาจากส่วนผสมระหว่างความดั้งเดิมและความโมเดิร์น วงกลมสีแดงที่สื่อถึงแสงอาทิตย์ มีบทบาทสำคัญในเชิงวัฒนธรรมและศาสนาของญี่ปุ่น เรามักได้ยินเรื่องเล่าและตำนานที่ว่ากันว่าชาวญี่ปุ่นสืบเชื้อสายมาจาก อามาเตราซุ เทพีแห่งดวงอาทิตย์ อันเป็นที่มาของสัญลักษณ์วงกลมสีแดงในธงชาติญี่ปุ่นอีกด้วย
Design for Tomorrow

หลายคนคงอาจมองว่า โลโก้โอลิมปิก 1964 ไม่ได้มีอะไรหวือหวา แต่ต้องบอกว่าในยุคนั้น นับเป็นการออกแบบที่ทันสมัยมากๆ หากนับการแข่งขันโอลิมปิกย้อนหลังไป 5 ครั้งก่อนที่จะจัดที่ญี่ปุ่น ก็จะพบว่า โลโก้มีความ Traditional
แต่ถ้านับการแข่งขันโอลิมปิกหลังจากญี่ปุ่นอีก 5 ครั้ง ก็จะพบว่าโลโก้มีความโมเดิร์น เรียบง่ายมากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า โลโก้โอลิมปิก 1964 เป็นรากฐานที่สร้างการเปลี่ยนผ่านศิลปะจากแนว Traditional มาสู่ยุค Modernism อย่างเต็มตัว

นอกเหนือจากงานออกแบบโลโก้แล้ว ผลงานที่ Kamekura ได้ทิ้งมรดกให้งานดีไซน์รุ่นหลัง นั่นก็คือการออกแบบโปสเตอร์นั่นเอง เขาคือคนแรกที่ออกแบบโปสเตอร์โอลิมปิกด้วยเทคนิค “การถ่ายภาพ” เพราะที่ผ่านมานั้น โปสเตอร์จะสร้างขึ้นมาด้วยการวาดเป็นหลัก Kamekura ได้ว่าจ้าง Osamu Hayasak ช่างภาพที่ไม่มีประสบการณ์ถ่ายภาพกีฬามาก่อน มาช่วยถ่ายรูปเพื่อประกอบเป็นโปสเตอร์ในการประชาสัมพันธ์การแข่งขัน Hayasak ใช้เลนส์ระยะไกลถ่ายด้วยสปีดชัตเตอร์ 1/1000 วินาที ถ่ายรูปนักกีฬาจากหลายเชื้อชาติที่กำลังวิ่งตรงไปข้างหน้า ซึ่งภาพที่ได้ออกมาเป็น กลายเป็นหนึ่งในโปสเตอร์ในตำนานที่ทุกคนต้องเคยเห็น แถมยังเป็นต้นแบบของโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ก่อนการแข่งขันโอลิมปิก 2020 ที่จัดขึ้นที่กรุงโตเกียวอีกครั้งด้วย

Legacy
นอกเหนือจากผลงานสร้างชื่อของ Kamekura แล้ว ผลงานออกแบบอื่นๆ ที่โดดเด่นไม่แพ้กัน นั่นก็คือการออกแบบโปสเตอร์กีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว 1972 จัดขึ้นที่ซัปโปโร ประเทศญี่ปุ่น และโปสเตอร์ World Design Expo ปี 1970 และ 1989 รวมไปถึงการออกแบบโลโก้ให้กับบริษัทกล้องสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Nikon อีกด้วย

นอกจากงานออกแบบแล้ว ก็ยังมีผลงานการเขียนอีกด้วย Kamekura ก่อตั้งนิตยสารชื่อ Creation ในปี 1989 เป็นนิตยสารที่เน้นการนำเสนอชีวประวัติและผลงานการออกแบบของนักออกแบบกราฟิก นักวาด และนักออกแบบตัวอักษร ที่ผ่านการคัดเลือกโดย Kamekura โดยแต่ละฉบับจะมีนักออกแบบที่ผ่านการคัดเลือก 7 คน ทุกฉบับมีจำนวน 168 หน้า พิมพ์แบบ 4 สีและไม่มีโฆษณาแทรก นิตยสารพิมพ์ออกมาแล้ว 20 ฉบับจนถึงปี 1993

แม้ Yusaku Kamekura จะเสียชีวิตแล้วในวัย 82 ปี เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 1997 แต่ผลงานและชื่อของเขายังคงถูกหยิบมาเล่าและเป็นกรณีศึกษาอยู่หลายครั้ง สำหรับผู้เขียนแล้ว Kamekura ไม่ใช่แค่เจ้าพ่อกราฟิกดีไซน์ญี่ปุ่น แต่คือบิดาแห่งงานโมเดิร์นกราฟิกดีไซน์ของโลก ผลงานของเขาไม่ได้พลิกโฉมแค่ในการแข่งขันโอลิมปิกอย่างเดียว แต่ยังสร้างรากฐานให้งานกราฟิกดีไซน์จนถึงทุกวันนี้ เชื่อว่าอีก 4 ปีข้างหน้ากับการแข่งขันโอลิมปิก 2028 ที่จะจัดขึ้นในลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ชื่อของ Kamekura และโลโก้โอลิมปิก 1964 จะต้องถูกหยิบยกมาเล่าอีกครั้งในเรื่องการออกแบบ เพราะ
Everything is Design, Design is Everything
ที่มา
Contributor
Contributors
อาร์ตไดผู้รักงานออกแบบที่เขียนคอนเทนต์ได้นิดหน่อย ชอบเล่าตัวเลขและข้อมูลด้วยภาพ ชอบกินเส้นมากกว่าข้าว ชอบดูหนัง ชอบแมว และชอบเธอ