อยากให้เธอได้ยิน เสียงในหัวใจ 

ว่ามันรักเธอแค่ไหน แต่ก็ไม่รู้ต้องทำยังไง

ให้เธอได้รับฟัง…

เชื่อว่าหลายคนสามารถร้องในท่อนต่อไปได้ และจังหวะเพลงคงไหลเข้าหูอย่างคุ้นเคย เพราะนี่คือหนึ่งในเพลงที่เป็นตำนานของวง Yes’sir Days ที่ไม่ว่าจะเปิดที่ไหน เทศกาลไกล ผู้คนก็ยังคงร้องตามและอินกับเนื้อเพลงนี้ได้เสมอ

ก่อนหมดปี 2023 นี้ คอลัมน์ดนตรีนั้นคือชีวิต ได้ชวนสี่หนุ่มวง Yes’sir Days ได้แก่ อัทธ์-อังค์กูณฑ์ ธนาทรัพย์เจริญ (ร้องนำ), ตูน-พชรัชต์ พูลผล (เบส), อาร์ท-วสุรัตน์ พานิช (กลอง) และบอม-ณัฐธีร์ รุ่งเลิศนิรันดร์ (กีต้าร์) มานั่งคุยกันทิ้งทวนคอลัมน์นี้ส่งท้ายปี ตั้งแต่เรื่องตัวตนของพวกเขาที่เราคิดถึง คุยเรื่องเพลงใหม่ล่าสุดอย่างเพลง ตกหลุมรักเธอคือเรื่องง่ายที่สุด จนไปถึงเรื่องแพสชันและความรักในเสียงดนตรีของทั้งสี่คน

หลายคนที่รู้จักเยสเซอร์เดย์กันอยู่แล้ว กองบก. Rhythm เองก็อยากให้ทุกคนเข้ามารู้จักกับพวกเขาอีกครั้งในบทความนี้ เพื่อฝากความคิดถึงและรอต้อนรับคลื่นพลังงานใหม่ๆ ของ Yes’sir Days ต่อในปีหน้าด้วยกันนะ

ยังจำได้ไหมว่าทำไมถึงตั้งชื่อวงว่า “Yes’sir Days”

อัทธ์: จริงๆ เราไม่ได้คิดความหมายของชื่อเอาไว้เลยครับ เราคิดแค่ว่าเอาจำง่ายไว้ก่อน ตอนนั้นคิดตามหลักการตลาดนะ (หัวเราะ) เพราะตอนผมอยู่มหาลัย ผมชอบดูหนังสือเศรษฐศาสตร์-การตลาด ซึ่งคำว่า “เยสเซอร์เดย์” ผมว่าคนจำได้เพราะมันเล่นเสียง พ้องกับคำว่า เยสเธอร์เดย์ (Yesterday) ที่แปลว่า เมื่อวานนี้ เราเลยเอาว่า “Sir” (จากคำว่า Yes, Sir.)  มาแทนคำว่า “Ter”  และพอมารวมคำกันแล้วมันก็เท่ด้วย ดูเป็นวงร็อกดีครับ

Yes’sir Days ก็อยู่คู่กับวงการเพลงร็อกของไทยมานานแล้ว อะไรคือจุดเปลี่ยนของวงบ้าง

อาร์ท: จุดเปลี่ยนหลักๆ การเปลี่ยนแปลงสมาชิกครับ อย่างช่วงปี 2017 ก็มีตูนเข้ามา แล้วก็มีบอมเข้ามาด้วย ซึ่งเดิมเราเคยทำงานกับพี่โต๋ ธีระปริญญ์ เป็นโปรดิวเซอร์ให้เราครับ แต่ หลังจากนั้นเราก็พยายามาหาทำทุกอย่างเอง คือการโปรดิวซ์เพลงกันเองนั่นแหละครับ 

ซึ่งพอทุกอย่างมารวมกันหมด ตั้งแต่การมีบอมและตูน รวมถึงทางวงของเราที่เปลี่ยนโปรดิวเซอร์ที่เคยอยู่กันมานาน มันทำให้เราหาแนวทางใหม่ๆ ที่มันต่างจากเดิม ซึ่งจุดเริ่มต้นก็เริ่มตั้งแต่เพลงสตั๊น (STUN) ที่เราเริ่มลองหาอะไรใหม่ๆ นั่นคือจุดเปลี่ยนหลักเลย เป็นจุดเปลี่ยนที่เห็นชัดที่สุดสำหรับผม เพราะในเพลงเก่าก่อนหน้าเพลงสตั๊น จะมีจุดที่แตกต่างกันไปคนละแบบครับ 

ตูน: อีกอย่างคงต้องเริ่มจากเพลงละคร เพราะหัวใจเป็นของเธอ ประกอบละคร หัวใจศิลา เป็นจุดเริ่มต้นตอนแรกเลยที่เราโปรดิวซ์เพลงกันเองด้วย แล้วตอนนั้นก็จะมีพี่โฟร์ (โฟร์-ประทีป สิริอิสสระนันท์) 25hours เป็นที่ปรึกษาให้ด้วยครับ แต่หลักๆ คือพวกเราโปรดิวซ์กันเอง

อาร์ท-วสุรัตน์ พานิช (กลอง)

ลายเซ็น Yes’sir Days ฝากไว้ทุกการเปลี่ยนแปลง

อาร์ท: สำรับผมคือเสียงของอัทธ์นะครับ เสียงของนักร้องไม่ว่าจะเมโลดี้ไหน ร้องยังไงมันก็มีเอกลักษณ์ที่สุดแล้ว เสียงอัทธ์คือเอกลักษณ์ที่ยืนยงตั้งแต่ต้นเลย อีกสิ่งคือไลน์กีต้าร์ที่อาจจะเปลี่ยนสำเนียงไปตั้งแต่บอมเข้ามาอยู่กับเรา ถึงสำเนียงจะเปลี่ยนไป แต่ไลน์กีต้าร์ของวงเรายังเข้มข้นตลอดครับ

ตูน: เพลงของเราฟังไม่ยาก แต่มันมีรายละเอียดที่เข้มข้นเสมอด้วยครับ 

อะไรคือความลงตัวของวง Yes’sir Days 

บอม: ผมว่าพวกเราหล่อเหมือนกันหมดอะครับ

ทุกคน: (หัวเราะลั่น)

อาร์ท: ผมว่านิสัยของทั้งสี่คนที่ไม่มีใครอีโก้จ๋า อย่างต่อให้บอมเป็นแชมป์กีต้าร์ระดับประเทศ ตอนแรกก็คิดว่าคงเขาจะมีอีโก้เยอะ แต่ความจริงคือไม่มีอีโก้เลย ทุกคนในวงเองก็เหมือนๆ กันหมด มีอะไรก็คุยกันได้ และอย่างเวลาที่เรานั่งคุยกันแบบนี้ บรรยากศไม่เงียบขรึม เวลานั่งรถตู้ด้วยกันก็คุยเล่นกันตลอด

อัทธ์: ต้องนอนหลับนะ รถตู้ถึงจะเงียบ (หัวเราะ)

ตูน: ไลฟ์สไตล์พวกเราก็เข้ากันได้เทุกอย่างครับ เป็นคนง่ายๆ กันทุกคน แล้วเราก็หน้าตาเหมือนกันจริงๆ แหละครับ (หัวเราะ)

ตูน-พชรัชต์ พูลผล (เบส)

Yes’sir Days คงเคยสัมผัสโมเม้นที่แฟนคลับร้องเพลงพร้อมกับศิลปินกันมาบ้าง แล้วทุกวันนี้ทั้งสี่หนุ่มยังตื่นเต้นกับโมเม้นแบบนี้อยู่ไหม 

ตูน: ดีใจนะครับที่มีคนจำเพลงได้ ทั้งพี่ๆ หรือน้องๆ มัธยมที่จะเข้ามหาลัย เขาก็ยังร้องเพลงเก่าๆ ของเราได้ เหมือนว่าเขาย้อนกลับไปฟังเพลงเก่าของเราด้วย 

อัทธ์: ผมยังแฮปปี้นะ เพราะตอนเด็กๆ ผมเคยมีไม่กี่ความฝันคือ ไม่นักร้องก็เป็นนายก ซึ่งรู้สึกว่ามันดีแล้วที่ไม่ได้เลือกจะเป็นนายกนะ (หัวเราะ)

อาร์ท: ขอบคุณมากที่ไม่เป็นนายกนะ (หัวเราะ) 

อัทธ์: เพราะตรงนี้มันเป็นสิ่งที่ต่อให้คนมีเงินเท่าไหร่ คุณก็ซื้อบรรยากาศแบบนี้บนเวทีไม่ได้ การที่คุณจะให้มีคนร้องเพลงตามคุณเยอะๆ แบบนี้มันหาที่ไหนไม่ได้เลย ยิ่งไปเจอแฟนๆ ได้ขึ้นไปร้องเพลงให้ทุกคนฟัง มันเหมือนเป็นการได้แลกเปลี่ยนพลังงานของเราให้ส่งไปถึงคนฟัง แม้จะเป็นเพลงเก่าๆ ก็ยังสนุก พวกเราได้รับพลังงานบางอย่างกลับมาเสมอ และการที่คนฟังเขาร้องเพลงกลับมาหาเรา เขาก็มีมุมที่ถ่ายทอดมาหาเราด้วย ทำให้พวกเราเองก็ได้บางอย่างกลับมาเสมอ และผมเองก็รู้สึกดีทุกครั้งจริงๆ ครับ

อัทธ์-อังค์กูณฑ์ ธนาทรัพย์เจริญ (ร้องนำ)

ทำไม Yes’sir Days ถึงชอบทำเพลงเศร้า

อัทธ์: ช่วงแรกที่เริ่มทำเพลง ทุกคนก็ยังวัยรุ่น พออยู่ในอารมณ์ที่พุ่งพล่านตอนนั้น พวกเราก็เล่าเรื่องประสบการณ์ความรักที่เจอในช่วงนั้น อารมณ์มันมาเต็ม พอออกเพลงมา ดันถูกจริต ติดหูคนฟัง นั่นเลยกลายเป็นภาพจำของเรา กลายเป็นว่าถ้าพูดถึงYes’sir Days ก็จะนึกถึงแต่เพลงเจ็บๆ แล้วคนฟังก็ติดแนวนี้ไปด้วย แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยทำเพลงสไตล์อื่นที่ไม่ใช่อกหักบ้าง เช่น เพลง สตั๊น (STUN) แฟนคลับก็บอกว่า อ้าวทำไมไม่ทำเพลงอกหักอีก เยสเซอร์เดย์ต้องอกหักสิ (หัวเราะ) ช่วงนั้นเลยกลายเป็นเพลงเจ็บแบบต่อเนื่องมาเลย

แต่เพลงล่าสุดอย่าง “ตกหลุมรักเธอคือเรื่องง่ายที่สุด” กลับเป็นเพลงคลั่งรัก

อัทธ์: จริงๆ เราได้คำนี้มาจากหนังเรื่อง Green Book ได้จากซีนที่คนขับรถเขาจะเขียนจดหมายหาภรรยา แล้วนักเปียโนมาเห็น เขาเลยมานั่งแก้ คำแล้วเขียนคำนี้ออกมา เรารู้สึกว่า โอ้โห แค่ได้ยินคำนี้ทำให้เรานึกถึงโมเม้นที่เรามีแฟนว่า การที่เขามาเป็นแฟนเราในวันนี้ได้ เพราะ ณ วันนั้นเราตกหลุมรักเขาได้ง่ายที่สุดเลย เราเลยเก็บคำนี้มา และได้คุยกับฮายด้วย ฮายก็ช่วยดูเพลงนี้ให้นิดหน่อย จากนั้นงานของฮายก็ยุ่งจัดเลย (หัวเราะ) เราเลยมาเขียนเพลงนี้ต่อกันจนกับ

ตูน: ฮายที่ว่าคือ ฮาย-Paper Planes นะครับ

บอม: อ้าว เกือบจะเป็นพี่ฮาย-อาภาพร ก็จะเชพบ๊ะกันไปเลยอะสิ (หัวเราะ)

อาร์ท: เนี่ยเราติดเล่นอะ (หัวเราะ)

อัทธ์: ก็หลังจากนั้นเราก็เริ่มทำเดโม่เลย แต่เราก็รู้สึกว่ามันขาดอะไรบางอย่างไป จากนั้นพี่ณัฐวงเคลียร์ (ณัฐ-ณัฐวัฒน์ แสงวิจิตร) มาช่วยตบตีด้วย 

ตูน: เพราะเวอร์ชันแรกออกมาดุกว่านี้ เป็นการตกหลุมรักแบบดุๆ หน่อย 

อัทธ์: ซึ่งพอมันมีแค่เสียงเรา ผมรู้สึกว่ามันน่าจะไปได้อีก ด้วยเนื้อและเมโลดี้ค่อนข้างหวาน ผมเลยอยากได้เสียงผู้หญิงเข้ามาเพื่อปรับความรู้สึกในเพลงด้วย ซึ่งตอนนั้นผมชอบแอบชอบดู 4EVE อยู่บ่อยๆ ผมว่าทุกคนก็ต้องชอบเหมือนกันแหละ (หัวเราะ) แล้วผมได้ฟังตอนเขาไลฟ์คอนเสิร์ต ได้ฟังเสียงน้องแฮนน่าแล้วชอบ รู้สึกว่าเสียงน้องเขามีคาแรกเตอร์ดี เลยคุยกับวงว่าเสียงแฮนน่าน่าจะเข้ากับเพลงนี้ เลยได้ชวนน้องแฮนน่ามาร้องด้วยกัน

บอม-ณัฐธีร์ รุ่งเลิศนิรันดร์ (กีต้าร์)

แต่ละคนชอบอะไรในเพลงใหม่ล่าสุดนี้บ้าง

ตูน: ไม่รู้จะเริ่มตอบตรงไหน แค่รู้สึกว่า นี่เป็นเพลงแรกของ Yes’sir Days ที่เป็นเพลงตกหลุมรัก และเป็นเพลงที่มีพลังบวกมากจริงๆ เรียกว่าเป็นเรื่องใหม่ด้วย เพราะปกติเราทำเพลงที่มีทั้งสนุกสนาน และเจ็บช้ำ แต่พอมาทำเพลงนี้ ก็ทำให้เห็นว่าเพลงแบบนี้ เราก็ทำได้นะ

อาร์ท: ผมว่าเพลงนี้เหมือนได้ย้อนเวลาไปอยู่ช่วงเพลงเก่าๆ ของวงเลยครับ อย่างเพลง “อยากให้เธอได้ยิน” กับเพลง “เจ็บแค่ไหน” มันเป็นเพลงที่ร้องกับศิลปินหญิงอย่างฟิล์มบงกช และเพลงนี้ก็กลับมาให้อารมณ์แบบนั้น 

บอม: เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมฟังบ่อยที่สุด ก็ตามความหมายเพลงเลยว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายไปหมด  ซึ่งผมว่าง่ายกว่าทุกเพลงที่ทำมาเลย เพราะทุกเพลงที่ผ่านมาเราเครียด (หัวเราะ) 

อัทธ์: พี่โฟร์ยังบอกเลยว่า พวกมึงนี่เป็น Serious music จริงๆ (หัวเราะ)

 

Yes’sir Days ได้มีส่วนร่วมในเรื่องการทำ MV ไหม

อัทธ์: สมัยก่อนไม่ค่อยมีส่วนร่วมนะ แต่เดี๋ยวนี้ก็เริ่มมีเข้ามาดูตรงนี้บ้าง อย่าง MV เพลงนี้ เราก็แอบนำเสนอไอเดียเหมือนกัน อย่างที่บอกว่า “ตกหลุมรักเธอคือเรื่องง่ายที่สุด” เราเคยดูช่อง I ROAM ALONE คุณมิ้นกับคุณโจที่เขาไปเที่ยวแล้วตกหลุมรักกัน ผมว่ามันเป็นอะไรแบบนี้ เพราะการตกหลุมรักไม่ต้องรู้จักกันก่อนก็ได้ ไปเที่ยวแล้วบังเอิญเจอกัน มีโมเม้นบางอย่างที่รู้สึกถึงพลังงานที่เกิดจากตรงนั้น ผมเลยอยากให้ MV มันมีโมเม้นของการเดินทางแล้วมาเจอกันแบบนี้ 

Yes’sir Days มีความหมายต่อทั้งสี่คนยังไงบ้าง

ตูน: แทบทุกอย่างเลยครับ เรามีทั้งงาน เรามีเพื่อน มีทุกอย่างเพราะการได้เป็นส่วนหนึ่งของวง และส่วนของบอมคือเรื่องการตลาด บอมขายเครื่องดนตรีให้ทุกคนในตึกอะครับ (หัวเราะ)

บอม: ก็ทุกอย่างแหละครับ ก็ได้มีรายได้หล่อเลี้ยงร้าน เอ้ยไม่ใช่ๆๆ (หัวเราะ) ล้อเล่นนะครับ เอาจริงๆ คือผมได้มีสังคม ได้โตขึ้นและทำให้ผมได้แลกเปลี่ยนความคิด วงทำให้ได้เรียนรู้ทุกอย่างในชีวิตเลย

อาร์ท:  ผมเองพอวัยยี่สิบกว่าๆ ก็มาทำวงจริงจังเลย อยู่กับมันมาจนจะอายุใกล้สี่สิบปีแล้ว บอกไม่ถูกเลยนะ แต่ Yes’sir Days คือทุกอย่างจริงๆ

อัทธ์: อย่างที่บอกว่าผมฝันอยากเป็นนักดนตรีอยากเป็นนักร้อง แล้ววันนี้มันก้าวข้ามมาแล้ว จนอยู่ในจุดที่มีคนฟังเยอะแล้ว กลายเป็นสิ่งที่เติมเต็มและเป็นชีวิตของเราที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว มันเป็นทุกอย่าง เป็นมวลพลังงานขับเคลื่อนชีวิตของเรา และเราอยู่กันมานาน วงก็ถือเป็นครอบครัวเลยครับ

 

แฟนคลับที่อยู่กับเรามานาน มีอะไรอยากบอกอะไรกับพวกเขาบ้างไหม

ตูน: ล่าสุดก็ชวนแฟนคลับกินเบียร์นะครับ (ทุกคนหัวเราะ)

อัทธ์: เพราะเรากับแฟนคลับบางคนคือเจอกันเป็นสิบๆ ปีแล้ว หลังๆ ก็เป็นกันเอง ไปเที่ยว ไปกินหมูกะทะด้วยกันแล้ว เรากลายเป็นเหมือนเป็นพี่น้อง แต่พอพวกเราไปเล่นคอนเสิร์ตเขาก็มาตามเชียร์ เหมือนตลกแต่เป็นเรื่องจริงนะ

บอม: เพราะเราเป็นคนสบายๆ ด้วยมั้งครับ เราเลี้ยงข้าวแฟนคลับด้วย (หัวเราะ)

ตูน: เราเข้าถึงง่ายไง

อาร์ท: ก็ง่ายเกิน (หัวเราะ)

อัทธ์: จริงๆ เราก็ขอบคุณเขาแหละ เพราะเขาก็ยังตามมาเชียร์สิบกว่าปีจนถึงตอนนี้ เพลงใหม่มาเขาก็แชร์ ช่วยโปรโมทตลอดเสมอเลย

นิยามวง  Yes’sir Days เป็นหนึ่งคำนิยามสำหรับแต่ละคนหน่อย

อาร์ท: “สนุก” เวลาเราอยู่ด้วยกัน ทั้งตอนเราเล่นคอนเสิร์ต หรือตอนที่เราเจอแฟนคลับ เราก้ยังสนุกกันได้ พวกเราไม่มีโมเม้นเครียดเลย อาจจะมีเครียดแค่ตอนทำเพลง แต่มันก็สนุกอยู่ดีอะครับ

อัทธ์: “เพื่อน” ไม่ว่าจะหมายถึงทั้งตัววงเองหรือแฟนเพลงด้วย เพราะแฟนเพลงก็กลายเป็นเพื่อนของเราไปแล้ว เราไม่มีกำแพง เราไม่ได้ตั้งเส้น เราเป็นเพื่อนกันทั้งหมด

ตูน: “ตัวตน” ครับ เพราะวงเป็นครอบครัวที่มีส่วนผสมของตัวผม เข้าไปด้วย แล้ววงก็ยังบ่งบอกตัวตนของทุกคนได้ด้วยครับ เราถ่ายทอดทุกเหตุการณ์ของทุกคนให้ออกมาเป็นเพลง มันมีความเป็นเราอยู่ในนั้นทั้งหมดครับ และเราก็ผ่านเรื่องราวมากมายมาด้วยกันด้วยครับ

บอม: “คนเท่” แล้วกัน (หัวเราะ) เราเป็นคนเท่สี่คนที่มาถ่ายทอดทุกอย่างผ่านเพลงครับ ถ้าเทียบเป็นสี เราคงเป็นสีที่สว่าง เราไม่เป็นสีโทนมืดครับ

Contributors

Contributors

เด็กมนุษย์ฯ ผู้ชื่นชอบการออกไปเดินเที่ยวคนเดียว เอนจอยกับการเต้นและการกิน ปัจจุบันกำลังพยายามใช้ชีวิตแบบ Slow Life อยู่