ปีสองปีก่อนหน้า เด็กวัยรุ่น 5 คนในชุดนักเรียนกำลังร้อง เต้น เล่น โดด อยู่กลางสยามท่ามกลางผู้ชมในจำนวนที่มองด้วยสายตาแล้วก็น่าจะนิยามได้แบบง่ายๆ แต่เป็นประโยคที่สรุปแล้วเกิดอิมแพคได้มาก
เด็กพวกนี้ทำให้สยามแตกได้จริงๆ
หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มมีชื่อเสียง เริ่มมีตัวเลขผู้ติดตามมากขึ้น เริ่มเดินสายออกสื่อ แต่พวกเขาไม่มีชื่อวง เพราะตอนแรกพวกเขารวมตัวกันในฐานะวงดนตรีเปิดหมวกที่ใช้เวลาว่างมาเล่นดนตรีในแบบที่พวกเขาเชื่อ
Yes Indeed คือชื่อนั้นที่ 5 สหายสุมหัวกันคิดขึ้นมา
เพราะดนตรีคือสิ่งที่ใช่ที่สุดสำหรับพวกเขาแล้ว
แพนเค้ก-อิสรีย์ อิสระวรางกูร (ร้องนำ) พอร์ส-นรากร อิสระวรางกูร (ร้องนำ-กีตาร์) ทะเล-ยศธกร ชะเอม (กีตาร์) มังกร-รัชชานนท์ วรกิจไพบูลย์ (มือกลอง) และตฤณ ฟูจิตนิรันดร์ (คีย์บอร์ด) สมาชิกทั้งห้านั่งอยู่กับเราในพื้นที่ซึ่ง White Music จัดเตรียมให้ หลังจากที่พวกเขาเพิ่งวาดลีลาและสาดความสนุกบนเวทีรายการสดไป
ใช่ White Music ค่ายเพลงในเครือ GMM Grammy นั่นแหละ
วันนี้ Yes Indeed เป็นศิลปินเต็มตัวแล้ว
หลังจากเลื่อนขั้น ซิงเกิลเปิดตัวที่ทำให้เราเห็นถึงการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงจากวงดนตรีเปิดหมวกกลายเป็นศิลปินเต็มตัวถูกปล่อยออกมา ผู้คนต่างพูดถึงและชื่นชมในพัฒนาการที่ก้าวกระโดดมากๆ ของพวกเขา รวมถึงภาพจำใหม่ที่เรายังคุ้นเคยคือ วงดนตรีวัยเรียนที่เป็นศิลปินเต็มตัว
วันนี้เรานั่งคุยกับเขาในวาระการปล่อยซิงเกิลล่าสุดอย่างลอกข้อสอบ ซึ่งคราวนี้เราโฟกัสเต็มๆ ถึงเส้นทางการเป็นศิลปินเต็มตัวที่ทุกคนต้องนับหนึ่งและเรียนรู้ใหม่จากรุ่นพี่ศิลปินตัวจริง การปรับตัวที่เข้มข้นเพื่ออยู่ในวงการ การเติบโตจากนักเรียน ม.ปลาย ไปเป็นนักศึกษา หรือนักเรียน ม.ต้น ไปเป็น ม.ปลาย
ทั้งหมดนี้จึงตบรวบเป็นการเลื่อนขั้นของเด็กวัยรุ่นที่ลอกข้อสอบจากที่ไหนไม่ได้

จากซ้ายไปขวา: ทะเล, พอร์ส, แพนเค้ก, ตฤณ, มังกร
เขินมั้ยที่มีหน้าตัวเองอยู่บนแรปรถไฟฟ้า หรือตามโฆษณาในสถานีต่างๆ
แพนเค้ก: เราดีใจ แต่ก็แอบเขินเพราะรูปของเรามันใหญ่มากเลย แล้วบนรถไฟฟ้าก็เปิดเพลงเสียงดังมาก เพื่อนก็ถ่ายสตอรี่แล้วแท็กมามันก็แอบเขิน
พอร์ส: เขินนิดนึง เพราะคิดไว้นานแล้วว่าสักวันอยากจะมีหน้าของตัวเองบ้าง แต่ว่าก็ไม่รู้ว่าจะมีหรือเปล่า แต่พอมีแล้วมันก็เขิน คนรู้จักไปเห็นก็เขินครับ แต่คนนอกก็อาจจะไม่รู้จักเราหรอกมั้ง (หัวเราะ)
มังกร: เขินเพราะไม่คิดว่าจะมีวันนี้ที่หน้าเราแปะตรงนั้น แต่ก็ดีใจครับ
ทะเล: ผมว่าโปสเตอร์สวยดีครับ ผมว่าผมเท่ดีนะรูปนั้น เราเดินไปสภาพแบบออกจากบ้าน ไม่ได้เตรียมตัว เราก็คิดในใจว่า โอ้โห ทำไมรูปเราเท่จังเลย (หัวเราะ)
ตฤณ: เป็นสิ่งที่ผมภูมิใจครับ เพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยครับ
ชีวิตการเป็นนักเรียน-นักศึกษา ของพวกคุณในช่วงเปลี่ยนผ่านเป็นยังไงบ้าง
พอร์ส: ของผมก็ชิวมากครับ เพราะมันมีอิสระในการทำงานและรับผิดชอบในหน้าที่การเรียน เช่นการเข้ามาสอบ เข้ามาตามงานที่อาจารย์สั่งไว้ แต่ถ้าเรามีงานเขาก็ให้เราลาไปทำงานได้เต็มที่เลยครับ
แพนเค้ก: ของหนูยังไม่เปิดเทอมเลย เพิ่งปีหนึ่ง กำลังทำความรู้จักกับเพื่อนๆ อยู่ค่ะ
มังกร: ตอนนี้จะขึ้นปีสองครับ ผมเรียนเกี่ยวกับเอกการผลิตภาพยนตร์และสื่อดิจิตัล (มศว.ประสานมิตร) มีทำโปรเจกต์งานกลุ่มเยอะ เนื้อหาในตอนปีหนึ่งก็ค่อนข้างเยอะเลย ตอนเรียนแรกๆ มันก็ต้องสลับกันครับ ระหว่างงานกับเรียน เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันหนักครับ แต่เราก็ได้ทำในสิ่งที่เรารัก ในสิ่งที่เราอยากเรียนรู้ควบคู่กันไป สำหรับคนในวัยประมาณนี้มันเป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่เราจะยอมแลกเวลาบางส่วนของชีวิตไป เพื่อให้ได้สิ่งนี้มา
ตฤณ: เรียนอยู่ครับ ตั้งใจเรียน (หัวเราะ) เรียนสายวิทย์-คณิตครับ แต่ยังท่องตารางธาตุไม่ได้นะ แต่สูตรคูณได้อยู่ครับ (หัวเราะ)


ดนตรีมีอิทธิพลกับชีวิตของพวกคุณยังไงบ้าง
แพนเค้ก: สำหรับหนู หนูเกิดมาพร้อมเสียงดนตรีอยู่แล้ว เพราะหนูอยู่ในครอบครัวที่เป็นนักดนตรีอยู่แล้ว ค่อนข้างเป็นอิทธิพลต่อชีวิตเราเลย เพราะนอกจากเรียนก็มีดนตรีนี่แหละที่ทำให้เรามีความสุข เวลาที่เรามีความสุขเราก็ร้องเพลง เวลาที่เราเศร้า เราก็ฟังเพลงเศร้า มันเป็นอิทธิพลที่ทำให้เกิดหลายปัจจับจนเราอยากเล่นดนตรี มันทำให้ชีวิตเรามีอะไรมากขึ้นไปกับเสียงเพลง และทำให้เรามีความฝันด้วย
ทะเล: ผมเล่นกีต้าร์โปร่งตอน ป.2 แล้วช่วง ม.ต้น ที่โรงเรียนเขามีประกวดดนตรี แล้วครูเขามองว่าผมน่าจะเล่นกีต้าร์ไฟฟ้าได้ ก็เลยให้ผมลองเล่นกีต้าร์ไฟฟ้าเลยชอบตรงนั้นขึ้นมา แล้วก็จริงจังขึ้นจนช่วง ม.4 ผมมาเข้าเอกดุริยางค์ที่สาธิต มศว. ครับ เราซึมซับกับดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนเด็กๆ เรามองว่า ดนตรีคือสิ่งที่เราทำพาร์ทไทม์จากการเรียนแล้วมาเล่นดนตรี แต่โตขึ้นมา ดนตรีมันพาผมไปเจอกับเพื่อน หรือพาผมได้มาเป็นศิลปินที่นี่ครับ
มังกร: ผมเริ่มเล่นดนตรีประมาณ ม.1 ก่อนหน้านั้นผมเป็นคนที่ไม่ทำกิจกรรมอะไรซักอย่างเลย จริงๆ ผมเป็นเด็กสนุก ไม่ขี้อาย แต่ตอนที่โตแล้ว มันเจอสิ่งต่างๆ ที่ทำให้ผมค่อนข้างอาย และไม่มั่นใจในตัวเอง แต่ผมก็ยังมีครอบครัวที่คอยเปิดเพลงให้ฟัง เราเลยได้ฟังเพลงตั้งแต่เด็ก ประกอบกับแม่ผมก็ชอบร้องเพลงด้วย แล้วก็ช่วงม.1 เราเห็นรุ่นพี่เราเล่นดนตรีงาน Open House ก็เลยอยากเป็นแบบนั้นบ้าง อยากเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง ก็เลยเริ่มจากการเล่นดนตรี ตั้งแต่นั้นมามันก็เป็นการเปิดสิ่งต่างๆ ในชีวิตของผม ได้ทำสิ่งต่างๆ มาขึ้น ไปช่วยงานโรงเรียน ไปเล่นกีฬา มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมคอนเนคกับคนอื่นได้ ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนขี้อายครับ
พอร์ส: คิดว่าดนตรีคือทุกสิ่งในชีวิตครับ เพราะผมเกิดมาก็เกิดมาพร้อมดนตรี เพราะที่บ้านเป็นนักดนตรีด้วย ดนตรีพาเราไปในที่ที่เราไม่เคยไป และพาเราไปทำสิ่งที่เราไม่เคยทำและไม่คิดว่าจะได้ทำ ได้รู้จักผู้คนใหม่ๆ ได้มีคอนเนคชันในการเข้าสังคม ได้ทำอะไรแปลกใใหม่ๆ มากขึ้น แล้วเราก็รู้สึกว่ามันทำให้เราได้เรียนรู้โลกใบนี้ครับว่า มันยังมีอีกหลายอย่างที่เรามาได้ทำตรงนี้เพราะดนตรีพาเรามา
ตฤณ: ดนตรีเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนชีวิตผมหลายครั้งมาก เพราะเมื่อก่อนผมเป็นเด็กติดเกมและเกเรมาก จนโดนสั่งห้ามเล่นเกม ดนตรีเลยเป็นสิ่งที่เปิดโอกาสให้ผมได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยได้ทำ มันเปิดโอกาสเยอะมาก ทำให้เราเรียนรู้ที่จะใช้เวลาให้คุ้มค่า ได้เรียนรู้ที่จะก้าวไปทำอะไรใหม่ๆ ได้เปิดโอกาสให้ผมได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ได้ออกไปเจอที่ที่ไม่เคยไป ได้ทำสิ่งที่ไม่เคยทำ ได้โอกาสเข้ามาในค่ายนี้ด้วย ตอนนี้ก็ไม่ค่อยได้เล่นเกมแล้วครับ (หัวเราะ)

จากวันที่เล่นดนตรีเปิดหมวกในที่เปิด พวกคุณเคยคิดถึงปลายทางในการเล่นดนตรีของตัวเองกันบ้างมั้ยว่ามันควรจะไปจบที่ตรงไหน
พอร์ส: ปลายทางจริงๆ ของผมคืออยากเป็นศิลปินอยู่แล้ว การได้ออกมาเริ่มเล่นตั้งแต่แรกจนถึงมาที่สยาม ก็คาดหวังว่าจะได้มีเพลงของตัวเองในสักวันหนึ่ง
แพนเค้ก: หนูเริ่มจากการที่เราไม่ชอบในการร้องเพลงเลย เพราะหนูอาจจะรู้สึกดดัน แต่พอเราได้มาเล่นตรงนี้และมาเล่นที่สยาม มันทำให้เราได้รู้จักคนมากมาย เราได้ลองแสดงบนเวที และปลายทางตรงนั้นมันอาจจะแค่รู้สึกสนุกเฉยๆ ว่าเราได้อยู่ต่อหน้าคน ได้ทำความรู้จักผู้คนผ่านเสียงร้องของเรา มันสื่อสารกันได้ มันอาจจะแค่รู้สึกสนุกแต่ว่าพอเราคิดไปคิดมา เราก็อยากทำคอนเสิร์ตของตัวเองค่ะ
มังกร: เป้าหมายของผมในตอนนั้นคือ ผมอยากทำลายกำแพงความขี้อายของตัวเองไป อยากเลิกขี้อาย เลยมาเล่นกับเพื่อนๆ จนมาถึงตอนนี้เป้าหมายก็เปลี่ยนนะครับ แต่เรายังอยู่จุดเดิมคือเราเล่นดนตรีต่อ อยากพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
ตฤณ: ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไรเลยครับ ผมเคยฝันว่าอยากเป็นศิลปินนะครับ แต่ตอนนั้นที่ไปเล่นก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องได้เป็น แค่ความฝันที่เราไม่ได้คาดหวังกับมัน เพราะเราไปเล่นด้วยความสุขนี่แหละ
ทะเล: ตอนไปเล่นที่สยามผมมองแค่ว่า เรานัดเพื่อนมาแล้วก็คุยกับเพื่อนว่า เรามีเล่นที่สยามนะ เหมือนเราอยากไปเล่นกับเพื่อน แทนที่เราจะไปโดดอยู่ข้างเวที เราขึ้นไปเล่นกับเพื่อน มันสนุกครับ ตอนนั้นผมมองว่าผมไปสร้างเสียงเพลง สร้างความสุขมากกว่า
วันที่พวกคุณเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ พวกคุณมองหน้าแล้วคุยกันยังไง
พอร์ส: รู้สึกว่าอยากไปเจอคนใหม่ๆ ที่ตั้งใจจะมาดูเราอีกครับผม เราก็คิดๆ กันไว้ครับ
แพนเค้ก: เรารู้สึกว่ามันเท่ดี จากเด็กที่ไม่มีใครรู้จักเราเลย เดินปกติก็มีคนทักเรา ส่งเสียงเรียกเราในชื่อที่แบบ เอ้ย วงที่เล่นที่สยามนี่หว่า นักร้องวงที่สยามนี่หว่า เราก็แบบ เฮ้ย มีคนรู้จักเราเพิ่มขึ้น มีคนมาดูจากต่างจังหวัดเพื่อมาดูเราเลยเหรอ เรารู้สึกเท่ดี ภูมิใจในตัวเองมากตอนนั้น
ทะเล: ตอนที่วงเริ่มเป็นกระแส เรามาไกลกว่าที่คิดมาก ตอนไปเล่นก็ไม่คิดว่า คนจะชอบ คนจะตามมาดูขนาดนี้ เรารู้สึกว่าเหมือนได้เจออะไรใหม่ๆ จากเราที่ไม่ได้มีผู้ติดตาม กลายเป็นว่าเรามีคนที่มาติดตามขึ้นเยอะเรื่อยๆ เราก็ต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนสาธารณะด้วย
ตฤณ: หลังจากที่วงเป็นกระแสเราก็รู้สึกว่า โอกาสมากมายเข้ามาที่วงเรา เราอยากที่จะทำมันอีก อยากเล่นอีก โอกาสมันเยอะมาก เราก็อยากคว้าเอาไว้ให้ครบทั้งหมดเลยครับ
มังกร: วันนั้นที่เห็นคือผมงงครับ (หัวเราะ) มันก็ดีใจนะครับ แต่ลึกๆ ก็แอบกลัว เพราะตอนนั้นเราไม่ได้มั่นใจในตัวเองขนาดนั้น มาถึงนั้นแล้วก็รู้สึกว่า ลุยต่อกัน


ซึ่งจริงๆ ในวันที่พวกคุณเริ่มมีชื่อเสียง พวกคุณไม่มีชื่อวงเลยด้วยซ้ำ
พอร์ส: คนเรียกร้องมาเยอะเพราะคนก็ถามว่าชื่อวงอะไร คนเรียกว่าวงสยามแตก เราก็เลยคิดว่ามันแปลกๆ ซึ่งเราเลยไปนั่งอ่านคอมเมนต์ก็เห็นคนชอบมาเขียนว่า วงนี้ใช่เลย ใช่มากๆ เราเลยเอาคำนั้นแปลว่าเป็นคำว่า Yes และคำว่า Indeed เป็นสแลงของเยส เป็นการขยายคำว่าเยส ประมาณว่าใช่เลย เยี่ยมมาก ยอดเยี่ยม
การเป็นศิลปินในค่ายใหญ่อย่างแกรมมี่เป็นเรื่องไกลตัวพวกคุณขนาดไหน
ทุกคน: มากเลยครับ/ค่ะ
พอร์ส: อย่างที่บอกว่ามันเป็นสิ่งที่ฝันไว้เหมือนกันว่า เราก็อยากอยู่ตึกนี้ในสักวัน
แล้วโอกาสที่พัดพาซึ่งเอื้อให้คุณได้เป็นศิลปินคืออะไร
แพนเค้ก: จริงๆ พวกเราเป็นวงที่ค่อนข้างมีคนรู้จัก และพอพี่เขาเห็นเขาก้ชวนเรามาออดิชั่นของ GMM Academy ก็เข้ากระบวนการต่างๆ จนทำให้เราลองเลือกเข้ามาสู่ค่ายนี้ เพราะอายุเฉลี่ยของพวกเรา-เรายังไม่ขึ้นไปทางร็อกด้วยความที่เราฟังเพลงป็อปและเล่นเพลงป๊อป เราเลยมองว่าค่าย White Music มันตอบโจทย์พวกเราที่สุด
พอคุณได้เข้ามาเป็นศิลปินจริงๆ และเข้าสู่กระบวนการทำเพลง พวกคุณเจอกับกระบวนการอะไรบ้าง
ตฤณ: ตอนเข้ามาคือแทบไม่มีภาพในหัวเลยครับว่าเข้ามาแล้วจะเป็นยังไง ด้วยความที่เราไม่ได้รู้จักสายงานด้านนี้ ไม่รู้ภาพลักษณ์หรือทิศทางของวงมันคือไปถึงตรงไหน ไปยังไง พอได้เข้ามาทำงาน มันเป็นการทำงานแบบครอบครัว เราแค่แชร์ความเป็นตัวเองออกไป ที่นี่สร้างสรรค์ผลงานที่เป้นตัวเรามากที่สุด
พอร์ส: ด้านการทำงานก็เหมือนกันนะครับคือการแชร์การทำงานและความเป็นตัวเองออกไป แต่ในด้านอื่นๆ คือการทำให้คนภายนอกยอมรับการเป็นตัวเองของเราด้วย
ทะเล: ภาพในหัวตอนที่จะเข้ามาแกรมมี่ ผมชอบดูหนังชีวประวัติศิลปิน แล้วก็เห็นฉากที่ตัวละครนั่งรวมกันในห้องและนั่งคิดนั่งดีดกีตาร์กัน แต่พอเข้ามาปุ๊บ มีพี่ๆ ที่เขาบอกว่าให้เราว่าเราลองไปทางนี้ดีไหม แล้วก็มาเจอพี่ๆ โปรดิวเซอร์ที่เป็นศิลปินเช่น พี่กบ Big Ass (ขจรเดช พรมรักษา) พี่ณัฐ วง Klear (ณัฐวัฒน์ แสงวิจิตร) มาช่วยดูในเพลงแรกให้ เขาก็ถามว่าเราชอบอะไรบ้าง เราอยากทำเพลงแนวไหน เขาก็ทำเดโม่มาให้ และให้เราเติมไลน์ของตัวเอง อย่างผมก็เติมไลน์กีต้าร์ของตัวเองเข้าไปในเพลงได้ เหมือนเป็นสเต็ปแรกที่ทำให้เราทำงานง่าย และดีต่อคนที่เพิ่งเป็นศิลปินใหม่ๆ
มังกร: ผมก็คล้ายๆ กับทะเลครับ ตอนนั้นยังกดดันอยู่ครับ ตอนนี้ก็พยายามฝึก เรียน เพื่อให้ตัวเองมีวัตถุดิบต่างๆ มาใส่ในเพลงได้
แพนเค้ก: สำหรับหนู การทำงานเราก็มองภาพในหัวไว้ประมาณหนึ่ง พอมาทำงานจริงๆ เรารู้สึกว่าพี่ๆ เขาเปิดกว้างให้พวกเรามาก พี่ๆ เขาเชื่อใจเรามาก ดูตั้งความหวังไว้กับพวกเราเยอะ ให้เราได้ปลดปล่อย เป็นตัวเอง ถามสารทุกข์สุขดิบว่าเป็นยังไงมากันบ้าง ได้แชร์การทำงานด้วยกัน มีความเป็นน้องพี่ในวงการมากกว่า รู้สึกดีที่ได้ทำงานกับพี่ๆ รู้สึกดีที่พี่ๆ เขาเชื่อมั่นในตัวเรา



รู้สึกกดดันมั้ย
แพนเค้ก: มันเป็นเรื่องของการวางตัวมากกว่า แต่ถ้ากดดันจริงๆ ก็ช่วงที่เรียนเต้นเรียนร้องเพลง เพราะเราต้องผ่านกระบวนการการสอบ เพราะทุกๆ เดือนเราต้องมีการสอบวัดผลตัวเองว่าเราได้คะแนนเท่าไหร่ เราทำได้ถึงตรงไหน ตอนนั้นกดดันมากว่าเราจะได้ออกเพลงไหม ถ้าทำไม่ดีจะเป็นยังไง สุดท้ายพอได้คุยคอนเซปต์เพลงจริงๆ เราก็แบบ เฮ้ย เราก็ทำมันได้นะ พอเราเข้าห้องอัดจริงๆ เราก็ทำได้ค่ะเพราะเราผ่านตรงนั้นมาได้แล้ว
ทะเล: ตอนเราเข้ามาค่ายแรกๆ เราได้เรียนเต้นและร้องเพลง ซึ่งมันใหม่มากๆ เพราะเวลาที่เราอยู่บนเวที เราจะได้จัดการร่างกายเราถูกครับ เวลาเรายืน บางทีเรายืนแข็งๆ เราไม่รู้ว่าต้องจัดการร่างกายให้มันเท่ยังไง การเรียนเต้นก็ทำให้รู้จักร่างกายเรามากขึ้น
มังกร: ก่อนเรียนเต้นคือเราไม่ชอบการเต้นเท่าไหร่ อย่างค่ายลูกเสือเขามีให้เต้น เราก็ไม่ค่อยชอบการเต้นมากเท่าไหร่ ตอนแรกไม่ชอบ แต่พอได้เรียนเต้นจริงๆ เราก็มารู้ว่า จริงๆ ผมก็ชอบเต้นเหมือนกัน
พอร์ส: ผมไม่กดดันเลยครับ เพราะเราอยากทำอยู่ตลอดเวลาที่สุด เราเต็มที่ ปล่อยจอย ไม่คิดอะไรเลยครับ ปล่อยจอยอย่างเดียว พี่ก็แนะนำเพิ่มเติมเรื่องเทคนิคการเข้าห้องอัดหรือเล่นกีตาร์ยังไงให้เท่ขึ้น คอร์ดดีขึ้น
ตฤณ: แต่ก่อนผมเล่นดนตรีด้วยความสุข แต่ตอนนี้มันก้าวถึงจุดที่งานอดิเรกมาเป็นอาชีพ เลยกดดันด้วยความที่มันเป็นอาชีพครับ
พอเห็นเพลงแรกอย่างเลื่อนขั้นถูกปล่อยออกมาจริงๆ มันมีความหมายยังไงกับพวกคุณบ้าง
แพนเค้ก: พอได้ฟังก็รู้สึกว่ามันเป็นตัวเราดีนะ เราได้ถ่ายทอดเสียงของเราออกมาเป็นบทเพลงนี้ พอได้เอาไปเล่นแล้วมันหายเหนื่อยเวลาที่คนร้องตาม ถึงแม้จะมีคนร้องตามแค่คนเดียวแต่อย่างน้อยเขาก็ฟังเพลงเราจริงๆ เราเลยรู้สึกว่าเราถ่ายทอดออกมาแล้วเขาได้สัมผัสจริงๆ เรารู้สึกหายเหนื่อยเลย
มังกร: อยากเอาเพลงไปเล่นมากๆ เพราะมันเป็นศิลปะของพวกเรา เป็นศิลปะที่เราปรับเปลี่ยนหรือสร้างศิลปะของตัวเองไปเรื่อยๆ ได้ครับ
ทะเล: การที่เราจะได้เล่นงานงานหนึ่ง เราได้เพลงมาฟังก่อนหนึ่งเดือนครับ ช่วงที่ฟังเพลงรอหนึ่งเดือน พวกเราอยากเล่นกันมากๆ พอได้เล่นจริงก็หายเหนื่อยและดีใจได้เห็นเพลงขึ้นบนยูทูบ จนมีหลายคนมาฟังแล้ว เพราะเรากับเพื่อนผ่านกระบวนการทำเพลงหลายๆ อย่างมาด้วยกันมากครับ
ตฤณ: หายเหนื่อยครับ ทุกครั้งที่เหนื่อยก็จะกลับไปฟังเพลงนี้ แล้วบอกกับตัวเองว่า เรามาไกลกว่าที่เราคิดไว้เยอะมาก ให้เพลงนี้เป็นพลังให้กับตัวผมเอง เพื่อสร้างงานต่อไปเรื่อยๆ ครับ


เล่าไอเดียของการทำเพลงใหม่ล่าสุดอย่าง ลอกข้อสอบ ให้ฟังกันหน่อย
ทะเล: เพลงนี้มาจากไอเดียของพี่ติ๊ก Playground (กฤษติกร พรสาธิต) ครับ จริงๆ พี่ติ๊กเสนอให้เพลงลอกข้อสอบจะเป็นเพลงแรก แล้วเพลงเลื่อนชั้นเป็นเพลงที่สอง แต่จากที่พวกเราได้ฟังทั้งสองเพลงแล้ว พวกเรารู้สึกว่าอยากให้เลื่อนชั้นปล่อยเป็นเพลงแรกแทน ก่อนทำเพลงก็มานั่งคุยกันว่า แต่ละคนมีประสบการณ์ความรักเป็นยังไงบ้าง แอบชอบเพื่อน แอบชอบรุ่นพี่ แอบชอบรุ่นน้อง เคยอกหักหรือเคยสมหวังยังไงบ้าง ทุกคนก็จะมีประสบการณ์คล้ายๆ กันคือ เราไม่กล้าไปถามเขาว่าชอบเราหรือเปล่า โดยรวมคือไม่สมหวัง มันเลยออกมาเป็นลอกข้อสอบจากหัวใจของเขาครับ
แพนเค้ก: มันมาจากที่เราอกหักกันทั้งวงนั่นแหละ (หัวเราะ) แต่ด้วยความที่เราอกหักแบบเด็กๆ เพลงออกเลยออกมาเป็นอารมณ์นี้ ที่ไม่อยากให้ดูเจ็บมากขนาดนั้น สำหรับแพนเค้กเองในเพลงนี้ สไตล์การร้องค่อนข้างแตกต่างจากเพลงแรก เพลงเลื่อนชั้นจะออกแนวร็อก แต่เพลงนี้ออกแนวเศร้ามากกว่า ไม่รู้ว่าทุกคนรู้สึกถึงความเศร้าผ่านเสียงร้องหรือเปล่า แต่เราถ่ายทอดด้วยความรู้สึกของคนรอ รอแล้วเราก็ยังเป็นมากกว่านั้นไม่ได้ เรายังเป็นได้แค่เพื่อน การถ่ายทอดออกไปมันเลยอาจจะสับสนมึนงงมากกว่า ซึ่งการอัดเพลงนี้ พวกเราอัดเร็วกว่าเพลงแรกเยอะเลยค่ะ ลื่นไหลมากกว่าเดิมเยอะเลย


ความฝันเป็นจริงในขณะที่อายุยังน้อย รู้สึกยังไงกันบ้าง
แพนเค้ก: เราได้โอกาสมาอยู่ตรงนี้เพราะผู้ใหญ่หลายคน เรารู้สึกนี่เป็นโอกาสที่มีน้อยในกรุงเทพ มันมีน้อยที่ให้เด็กได้โชว์ความสามารถ พอเราได้รับโอกาสนี้ เราก็รู้สึกว่าเราต้องทำตรงนี้ให้ดีที่สุด แล้วก็อยากทำให้ประเทศของเรามีเด็กที่กล้าแสดงออกแบบนี้เยอะๆ เราอยากทำให้ทุกคนรู้ว่า แค่มีความมั่นใจในตัวเอง เราก็ทำให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริงได้
พอร์ส: ผมเองก็รู้สึกภูมิใจนะครับ จริงๆ คือตื่นเต้นกับทุกอย่างเลย
มังกร: ผมรู้สึกว่าอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ครับ เหมือนเราไปซักผ้า แล้วดันค้นเจอแบงก์พันในกระเป๋ากางเกง มันคือโอกาสที่เกิดขึ้นได้ แค่เราต้องเริ่มทำมันด้วยครับ ผมเองก็รู้สึกขอบคุณโอกาสที่ได้รับมาเหมือนกัน อีกอย่างคือ ช่วงแรกๆ ที่ได้เข้ามาในค่ายนี้ ผมค่อนข้างกดดันนะครับ แต่ก็รู้สึกท้าทายด้วย มันคือการเปลี่ยนจากที่เราเคยเล่นดนตรีเพราะความชอบ ให้กลายมาเป็นอาชีพ มันเลยท้าทายว่า แล้วเราจะต้องทำยังไงต่อเพื่อให้คนเขายอมรับเรา
ในวันนี้เมื่อทุกคนได้เป็นศิลปินแล้ว คิดว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนบ้าง
พอร์ส: เปลี่ยนไปโดยธรรมชาติ ตามอัตโนมัติเลยครับ เพราะว่าเราได้เรียนรู้มากขึ้น เราเปลี่ยนไปทั้งเรื่องการวางตัวเวลาไปไหนมาไหนให้ดีและเหมาะสมขึ้นครับ
แพนเค้ก: ความคิดข้างในของเราเปลี่ยน เราต้องมองโลกให้กว้างขึ้น ต้องเข้าใจคนอื่นมากขึ้น เพราะเป็นองค์ประกอบเพื่อให้เราถ่ายทอดผ่านบทเพลงออกมาได้ด้วย และการที่เราได้เจอคนมากมาย มันทำให้เราได้มุมองการมองผู้คนเปลี่ยนไป ชีวิตเราเปลี่ยนไปในฐานะการเป็นศิลปิน
มังกร: ความเป็นตัวเองมันถูกดึงออกมามากขึ้น สิ่งต่างๆ ทั้งรุ่นพี่ที่ช่วยแนะนำเรา ประสบการณ์เหล่านั้นทำให้เราเป็นเราที่ดีขึ้น มันอาจจะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง แต่มันถูกปรับปรุงขึ้นมากกว่า
ทะเล: การที่เข้ามาเป็นศิลปินจากการเป็นเด็กเปิดหมวก ความคิดข้างในของเราเปลี่ยนไปเยอะมาก จากความคิดของเด็กม.ปลายที่ต้องทำงานไปด้วย เราเลยต้องเป็นมิืออาชีพให้มาก
ตฤณ: เปลี่ยนเยอะเลยครับ ตั้งแต่เรื่องการจัดการตัวเอง การวางตัว การปรับตัว มันคือการทำตัวเองให้พร้อมสำหรับทุกโอกาสที่จะได้รับ เพื่อพัฒนาได้ดีขึ้น
