ซินจ่าว ในภาษาเวียดนามแปลว่า สวัสดี
ในยุคนี้เราเห็นร้านอาหารเวียดนามเปิดดาหน้าให้บริการลูกค้าเยอะขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งก็มีจุดขาย รสชาติ และการวางราคาที่ต่างกันออกไป
แต่วันนี้เรากลับสะดุดตากับซินจ่าว ร้านอาหารเวียดนามแห่งหนึ่งที่เราเจออย่างบังเอิญที่รามอินทรา 52/1 (ซอยโรงพยาบาลสินแพทย์) เราในฐานะฟู้ดดี้ที่เคยได้ยินชื่อนี้มาบ้างก็ได้ยินถึงความแน่นอนของที่นี่ ซึ่งยืนระยะการเปิดร้านอาหารมาได้กว่า 15 ปี กับราคาอาหารที่เป็นมิตรและรสชาติที่ถึงความเป็นเวียดนามแท้ๆ
แต่เราแปลกใจนิดหน่อยที่ร้านอาหารซึ่งเรียกตัวเองว่า ขายอาหารเวียดนาม กลับมีอาหารไทยและตะวันตกอีกหลากเมนูให้บริการเราด้วย เราเลยอดไม่ได้ที่จะคุยกับเชฟติ๋วถึงต้นกำเนิด การเติบโต และการยืนระยะได้ด้วยฝีมือการทำอาหาร และรสชาติที่เด็ดขาดมากๆ ของซินจ่าว
ซินจ่าว, อันนี้เราทักทายเชฟแหละ


เชฟเกิดมาเพื่อเปิดร้านอาหาร
สำหรับเชฟแล้ว ถ้าจะนิยามว่าชีวิตนี้ลิขิตมาเพื่อให้ประกอบกิจการร้านอาหารยังชีพก็ไม่น่าผิดนัก เพราะต้นตระกูลเองคุณยายของเชฟติ๋วก็พายเรือขายอาหาร จนวัยเด็กของเชฟติ๋วก็ทำงานในร้านอาหารของญาติ เหล่านั้นทำให้เชฟซึมซับองค์ความรู้ด้านอาหารไทยเป็นอย่างดี พอเรียนจบและแต่งงานกับสามีจึงเปิดร้านอาหารของตัวเองร้านเล็กๆ นั้นค่อยๆ ขยายขนาดเป็นสวนอาหาร เปิดสาขาทีละหนึ่ง สอง สาม จนมีหลายสาขา
แต่ก็ตามวงจรธุรกิจ ก็ต้องหาปรับเปลี่ยนและพัฒนาร้านให้ดึงดูดลูกค้า ด้วยความที่สามีของเชฟติ๋วมีสูตรอาหารเวียดนามในมือ
อาหารเวียดนามเลยเป็นคำตอบ
“เลยไปรู้จักคนๆ หนึ่งที่เขาขายอาหารเวียดนาม รู้จักกัน เลยถามว่าอยากขายบ้าง เราทำได้ไหม เขาเลยบอกว่ามาดูเลย ก็เลยไปดูแค่การทำน้ำจิ้ม ทำหมู แต่ไม่ได้ทำตามเขา เราก็มาดัดแปลงเอง เพราะเราเปิดร้านอาหารอยู่แล้ว เราก็มาดัดแปลงเอง ก็เลยอยากทำ”
ด้วยความที่มีองค์ความรู้ด้านการทำอาหาร และการเปิดร้านอาหารอยู่แล้ว สิ่งที่เชฟทำเพิ่มเติมนอกจากการปรับสูตรในครัว ลองผิดลองถูกตามวิธีการของเธอ เชฟติ๋วบอกเราว่า เธอและสมีเดินทางไปเวียดนามกว่า 10 ครั้งเพื่อลองชิมอาหารและนำมาปรับใช้จนได้สูตรที่ลงตัวที่สุด

เชฟไม่ได้ขายแค่อาหารเวียดนาม
หลังจากนั้นเธอก็เปิดร้าน “ซินจ่าว” ให้เป็นเรื่องเป็นราว
แต่เธอก็คิดต่อว่า แล้วถ้าลูกค้าที่มาร้านเป็นกลุ่มๆ แล้วอยากกินอาหารหลายๆ ประเภทล่ะ จะทำยังไง
“พอเปิดได้แล้วก็ไปหาลูกน้องมาคนหนึ่ง แม่อยากขายอาหารอิตาเลียน ก็เลยขายดู แต่สักพักหนึ่งเขาก็ออก แม่เลยคิดว่าเปิดขายอาหารเวียดนามด้วยและอาหารอิตาเลียนด้วย แม่ก็เลยเอ๊ะ แล้วถ้าคนมากินอาหารเวียดนาม มันไม่มีอะไรที่เป็นรสจัด ลูกค้าอยากกินรสจัดล่ะ จะทำยังไงดี เราเองที่เคยขายอาหารอีสาน ก็ขายส้มตำด้วยดี ขายลาบด้วย แล้วก็แจมด้วยสปาเก็ตตี้ อยากให้ใครที่เขาเข้ามาก็ได้กินข้าวผัดกะเพรา ผัดซีอิ้วเราก็ทำได้” แม่บอกเรา
ซินจ่าวเลยกลายเป็นร้านอาหารเวียดนามที่มีดาวเด่นเป็นอาหารหลากหลายชาติ ใครอยากกินอะไรก็สั่งได้ตามใจนึก เวียดนาม อีสาน ไทย อิตาเลียน มีครบหมด เวลากินร่วมโต๊ะกันก็แบ่งกันได้สนุกไม่จำเจ
แต่มันก็มีอีกเหตุผลสำคัญที่เชฟเลือกวางเมนูในร้านเป็นแบบนี้
ง่ายๆ เลย สร้างความแตกต่าง
“แม่ว่าถ้าเปิดขายอาหารเวียดนามอย่างเดียวมันไม่ค่อยโอเคนะในความรู้สึกของแม่ บางคนเข้ามาก็มากินแต่อาหารเวียดนาม ก็ไม่รู้ว่าจะกินอะไร บางทีเขานัดเพื่อนมาหลายคน มาถึงปุ๊บพอบอกว่าเขามีอาหารจานเดียวด้วยนะ มีหมูสะเต๊ะ ก็โอเค
“ ในความรู้สึกของแม่ แต่ช่วงนี้แม่เปิดอาหารเวียดนาม คนก็จะเปิดเยอะไง พอเปิดเยอะปุ๊บ เมื่อก่อนแม่ไม่ค่อยเพิ่มอะไรหรอก แต่พอเปิดเยอะเราก็ เอ๊ะ เราจะสู้กับคนอื่นได้ยังไง ในเมื่อแหนมเนือง หรืออาหารอื่นๆ มันไม่มีทางที่ว่ามันจะไม่เหมือนกัน เพราะมันคล้ายกันหมดแหละ ไม่ว่าอะไรก็เหมือนกัน อย่างปอเปี๊ยะทอดใครๆ ก็ทำได้ แม่เลยดึงเอาอาชีพเก่ามา เอาไทยอีสานเข้ามา มีลาบมีส้มตำ กลายเป็นว่าขายทุกอย่าง เพื่อให้เขาเข้ามาแล้วได้เจอทุกอย่าง”


เชฟชวนเรากินอาหารบนโต๊ะ
อาหารบนโต๊ะละลานตาจริงๆ เราเลือกไม่ถูกว่าจะกินอะไรก่อนดี
“ถ้าเป็นอาหารเวียดนาม กินข้าวเกรียบปากหม้อก่อนเลย ของที่นี่อร่อย”
ซึ่งเราบอกเลยว่าจริง เพราะแป้งกับไส้ที่กินพร้อมกันแล้วมีความพอดีกันมากกับน้ำจิ้มที่ราดลงไป เป็นปากหม้อที่เรารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและตั้งใจในการทำให้เรากินมากๆ


ส่วนเมนูอาหารเวียดนามอื่นๆ ก็มีเอกลักษณ์ในแบบของเมนูนั้นๆ แต่เพิ่มเติมด้วยรสชาติแบบฉบับซินจ่าวที่เราว่ามันเฉพาะตัวมากๆ อย่างแหนมเนือง หมูชะพลู แต่ที่เราเองโหวตมากๆ คือขนมจีนซุปเนื้อที่ตอนแรกเราว่าน่าจะไม่เข้ากัน แต่ซุปที่เข้มข้น เนื้อที่เปื่อยนุ่มพอดี เข้ากันกับเส้นขนมจีนได้อย่างไม่น่าเชื่อ!


และเราขอโหวตให้เมนูสปาเก็ตตี้ของซินจ่าวคือที่สุดจริงๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นสปาเก็ตตี้ซอสเนื้อที่กินแล้วให้ความเป็น Comfort Food แทบจะทันทีสำหรับเรา เนื้อสับนุ่มๆ กับซอสมะเขือเทศเปรี้ยวอมหวานไปกันได้ดีมากกับเส้นสปาเก็ตตี้ที่ทำมาแบบ Al Dente ส่วนสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมากุ้งก็มีความเผ็ดร้อน จัดจ้าน เป็นสองจานที่หยินและหยางกันได้อย่างพอดีสุดๆ
ส่วนเมูนอื่นๆ ที่เชฟบอกว่าได้รับความนิยมไม่แพ้กันจากปากคำของเชฟคือ หมูสะเต๊ะ ตำหลวงพระบาง ยำหมูยอ หรือก่อนหน้านี้ที่เชฟทำตำมะม่วงปลากรอบก็ได้รับความนิยมจากลูกค้าไม่แพ้กัน


เชฟบอกเคล็ดลับในการทำอาหาร และเปิดร้านอาหาร
จากการนั่งกินอาหารและสนทนากับเชฟติ๋วตลอดมื้อ เรากำลังสงสัยว่าจริงๆ แล้วซินจ่าวมีเคล็ดลับอะไรที่ทำให้ลูกค้ายังเหนียวแน่นมาตลอด 15 ปี
เธอบอกง่ายๆ แค่ว่า คงเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ และอย่าเปลี่ยนอะไรบ่อย ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ยึดโยงให้แม่ยึดการเปิดร้านอาหารเป็นอาชีพเพียงหนึ่งเดียวตลอดชีวิต
“เราอย่าตกใจว่าคนอื่นเขาจะเอานั่นเอานี่มาใส่ เราคงเอกลักษณ์ของเราไว้พอ บางคนบอกว่าทำไมไม่เอาอันนั้น อันนี้มาใส่ คือเราก็ไม่เปลี่ยนแปลง บางทีเราใช้อะไร เราก็ใช้ไปเหมือนเดิม อย่างเราใช้น้ำปลายี่ห้อนี้ ก็ไม่ต้องเปลี่ยน เพราะทุกอย่างจะยังคงรสเดิม


“เวลาทำอาหารถ้าลูกค้าติก็ไม่ต้องตกใจ แค่คิดดู ทบทวนดู แต่เราก็ทำมาเพราะใจเรารัก กลางคืนแม่ก็ดูยูทูบว่าร้านไหนเขามีอะไร แล้วก็ทำไปเรื่อยๆ มันก็รู้สึกสนุก ทำให้เรามีความสุข เหมือนเราไปเที่ยวที่อื่น เราจะไปอยู่แล้ว เราอยากชิมอาหารร้านนี้ เราก็ดูว่าร้านนี้อร่อย บางคนมากินแล้วเห็นว่าร้านนี้อร่อยกว่าร้านที่เวียดนาม บางคนเขารู้สึกแบบนั้นเราก็ดีใจนะ ไม่ใช่ว่าเราอร่อยกว่าเวียดนามหรอก แต่รสชาติของเรามันเป็นรสชาติของคนไทย จะบอกว่าของเราอร่อยกว่าเขา แม่ไม่เชื่อหรอก เพราะถ้าคนเวียดนามมากินของเรา เขาอาจจะไม่ชอบของเราเหมือนกัน
“ถ้ามีลูกค้าแล้วเราทำออกมาแล้ว แม่ก็จะชะเง้อมองว่า เขากินหมดไหม ถ้าบอกว่ากินหมด เราก็จะตั้งใจและจดไว้แล้วว่า เราใส่อะไรเท่าไหน เราอย่าเปลี่ยน แล้วก็เอามาสอนลูกน้องต่อ ความสุขของเราคือยอมรับเลยว่ามันอยู่ในสายเลือด มีความสุขมากที่ทำ” เชฟติ๋วส่งท้าย


ซินจ่าว อาหารเวียดนาม ร้านอยู่ในซอยรามอินทรา 52/1 หรือซอยโรงพยาบาลสินแพทย์
https://www.facebook.com/xinchaorestaurant
Instagram: @xinchao.st โทรศัพท์ 089-8110190