“วันนี้ได้เอากีต้าร์มาไหมครับ”

“อ้อ วันนี้มีแค่กีต้าร์โปร่งที่อยู่หลังรถครับ ถ้าเป็นกีต้าร์สีแดงตัวโปรดไม่ได้เอาติดตัวมาด้วยครับ”

ต้น-ธนาเมศฐ์ สิทธิปริญพัฒน์  หรือ ต้น-WolfTone ตอบ หลังทีมงานของเราถามถึงกีต้าร์สีแดงคู่ใจ หวังจะนำมาถ่ายรูปประกอบบทความที่เรากำลังจะพูดคุยกันในวันนี้ด้วย แม้ว่าคุณต้นไม่ได้นำกีต้าร์แดงแรงฤทธิ์ติดตัวมา แต่นี่ก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้เห็นว่าวันนี้เราจะได้คุยกับคุณต้น-ธนาเมศฐ์ในเวอร์ชันสบายๆ กันจริงๆ

วันนี้เราชวนคุณต้นมาคุยกันตั้งแต่การก้าวเข้ามาเป็นศิลปินเพลงร็อคในค่าย genie record ตัวตนผ่านผลงานเพลงของเขา และพูดคุยถึงซิงเกิลล่าสุดอย่างเพลง “อ้อล้อ” ที่เป็นการหยิบเอาเพลง “อ้อล้อ-วงซูซู” เมื่อปี 2543 มาดัดแปลงใหม่ให้เป็นสไตล์ของวูฟโทนฉบับปี 2566 และยังเป็นเพลงที่ได้ร่วมงานกับศิลปินมากความสามารถหลายท่าน เช่น โปรดิวเซอร์โดย กิจ-แจ๊ส (กิจจาศักดิ์ ตริยานนท์) และผู้กำกับเอ็มวีสุดช่ำชองอย่าง ต๋อม-ณัฐพล มุขขันธ์)

คอลัมน์ดนตรีนั้นคือชีวิตจึงอยากพาไปรู้จักมุมมองการเป็นศิลปินของ ต้น-WolfTone ให้มากขึ้นและชวนมาฟังถึงเบื้องหลังการทำเพลง “อ้อล้อ” ในบทความนี้กันเลย

ที่มาของชื่อ WolfTone 

ชื่อนี้มีมาก่อนหน้าที่ผมจะเข้าไปในรายการ GMM Audition ครับ เพราะผมทำช่อง YouTube และ TikTok ของตัวเองอยู่แล้ว ผมทำเพลงลงไปบนแพล็ตฟอร์มเหล่านั้นประมาณสี่เพลง โดยใช้ชื่อวูฟโทนมาตั้งแต่นั้นเลยครับ

คอนเซปต์​ของชื่อนี้คือผมอยากถูกมองเป็นวงมากกว่าการเป็นศิลปินเดี่ยว เเพราะว่าผมเชื่อว่าการเป็นชื่อวงมันมีมวลพลังงานบางอย่างที่มากกว่า เช่น ผมใช้ชื่อ ต้น-ธนาเมศฐ์ สิทธิปริญพัฒน์ กับกับการใช้คำว่า ต้น- WolfTone  ผมรู้สึกได้พลังงานจากวูฟโทนมากกว่า แล้วจริงๆ Wofltone มันเป็นอะไรได้หลายอย่าง WolfTone เป็นกลุ่มเป็นก้อนของคน เป็นแฟนคลับ เป็นสินค้าหรือเป็นอะไรก็ได้ที่มากกว่าการเป็นแค่ชื่อของตัวผมเอง 

ในความหมายของ WolfTone ก็แปลตรงตัวเลยครับ หมายถึง โทนเสียงของหมาป่า แต่คำนี้ก็ซ่อนไปด้วยหลายความหมายที่มันจะเป็นศัพท์ทางกีต้าร์ที่ลึกซึ้งนิดหนึ่งครับ WolfTone เป็นเสียงที่หอนออกมาจากกีต้าร์ด้วยความผิดปกติของกีต้าร์ครับ

เห็นว่าคุณต้นเป็นหนุ่มสงขลา แล้วเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ นานหรือยัง

ผมอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เรียนมหาลัยมหิดล ศาลายา ผมอยู่ในวงการดนตรีตั้งแต่นั้น จากวัยเรียนก็เข้าสู่วัยของทำงาน แต่ก่อนหน้าที่จะเข้ามาเป็นศิลปินในค่าย จุดเริ่มต้นของผมคือการเป็น back up เล่นกีต้าร์ให้กับศิลปินครับ ก็เคยเล่นให้พี่โอ-ปวีร์ คชภักดี,พี่-เก่งธชย, พี่ชาติ-สุชาติ, พี่แปม-GAIA หรืออย่าง The White Hair Cut แต่ผมก็ยังทำเพลงของตัวเองควบคู่กันไป เพราะผมมีความฝันว่า อยากเป็นศิลปินมาตลอดตั้งแต่เริ่มเล่นดนตรีแล้วครับ นอกจากทำดนตรีแบ็คอัพ เราก็เป็นคุณครูสอนเกี่ยวกับดนตรีและเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์เกี่ยวกับดนตรีด้วยครับ

ซึ่งความฝันของผมก็เริ่มมาตั้งแต่เด็กๆ เลยเพราะคุณพ่อคุณแม่ชอบฟังเพลงเหมือนกัน เมื่อก่อนผมก็ซื้อซีดีมาฟังเพลงเยอะเลย ในตอนนั้นก็มีวงไอน้ำ พี่เสือ-ธนพล เราเสพตรงนั้นมา แล้วก็มองว่าการเป็นศิลปินนี่เท่จัง แล้วเราก็รู้สึกว่าเขาดูมีตังจังเลย (หัวเราะ) เราเลยอยากเป็นบ้างนะ 

ความน่าตื่นเต้นที่พบเจอ หลังเข้าร่วมรายการ GMM Audition

ผมคิดว่ามันเป็นการก้าวข้ามลิมิตบางอย่างของตัวเอง ย้อนไปก่อนที่วูฟโทนไม่ใช่นักร้องตั้งแต่แรก ผมร้องเพลงครั้งแรกตอนอัดเพลงแรกของวูฟโทนเลย GMM AUDITION เป็นเวทีใหญ่เวทีแรกที่ต้องขึ้นแสดงจริงๆ ซึ่งผมไม่ใช่นักร้องอาชีพมาตั้งแต่แรก แต่เรารู้สึกว่าเมื่อโอกาสมาแล้ว ผมเองก็ไม่พลาดและต้องคว้าให้ได้ ต้องทำให้กรรมการเห็นว่าผมก็เป็นนักร้องได้ เพราะพัฒนาต่อได้อีก จุดนี้มันเลยทำลายข้อจำกัดของตัวเอง 

หลังจากวันนั้นผมก็คิดว่าเวลามีโจทย์อะไรมา ผมต้องทำมันให้ได้อย่างเดียวเลย ถ้ายิ่งปฏิเสธก็เหมือนสร้างกำแพงกั้นว่าเราทำไม่ได้ ทุกอย่างจะไม่สำเร็จถ้าเรามีกำแพงครับ

เอกลักษณ์ของวูฟโทนที่ซ่อนอยู่ในผลงานเพลงเป็นแบบไหน 

แนวเพลงของผมเป็นสไตล์ Rock n Roll ขอเรียกว่าเป็น southern rock ที่มีความโจ๊ะ มีความสนุกสนานคล้ายๆ American Blues บวกกับมีการใช้ภาษาแปลกๆ หรือใช้คำแปลกๆ ในเนื้อหาของเพลงเข้าไปด้วย แต่ทุกอย่างมันเริ่มจากความไม่ตั้งใจของเราก่อนนะครับ (หัวเราะ)

ที่บอกว่าไม่ตั้งใจก็เพราะผมเป็นเด็กใต้ ผมจะมีความติดเหน่อสำเนียงใต้ ติดสำเนียงทองแดงโดยไม่ได้ตั้งใจครับ แล้วในเนื้องเพลงก็มีภาษาบางอย่างที่คนเขาไม่คุยกันด้วย ผมเลยเอาไปพัฒนาต่อว่า ไหนๆ เราก็มีความเหน่อแบบนี้แล้ว เราก็ทำให้มันชัดขึ้นไปเลยแล้วกัน ผมก็เลยร้องทองแดงมไปเลยครับ (หัวเราะ) ผมมองว่ามันสนุกดี และคนที่อยู่ใต้ที่ได้ฟังเพลงของผม เขาก็จะได้รู้สึกว่าผมเป็นเพื่อนของเขาด้วยนะ

แล้วสไตล์เพลงของผมจริงๆ ก็ได้รับอิทธิพลจากคุณพ่อนะครับ พ่อของผมฟังเพลงแนวเพื่อชีวิต ฟังเพลงเสือ-ธนพล มาตั้งแต่ผมยังเด็ก แล้วด้วยความจริงผมไม่ได้ตั้งใจให้ผลงานของตัวเองเป็นเพื่อชีวิต ตั้งแต่แรกนะครับ แต่มันมีความคล้ายเพราะวิธีการร้องเพลงของผมมากกว่า อย่างที่บอกว่าผมไม่ใช่นักร้องอาชีพมาตั้งแต่แรก ผมไม่เคยเรียนร้องเพลง พอได้มาร้องเพลงแบบจริงจังมันเลยแสดงความเป็นตัวเราชัดมาก เพราะเราไม่ได้โดนประดิษฐ์จากอะไร แต่ว่าคาแรกเตอร์ของผมมันเริ่มด้วยการเล่าเรื่องวิถีชีวิตมากกว่า เสียงของผมจึงถ่ายทอดออกมาแบบนั้น เนื้อร้องออกมาแบบนั้น คนเลยตีความว่า เพลงของผมคงเป็นแนวเพื่อชีวิต แต่จริงๆ ผมไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเพื่อชีวิตเลยครับ

ลายเซ็นที่ฝากไว้ในทุกเพลง

ภาษาพูดของเราและความเหน่อใต้ครับ อย่างเพลงแรก เป็นเพลงที่อยากให้ทุกคนรู้จัก WolfTone ในทุกวิถีชีวิตที่ผมเคยเป็น อย่างเพลงแรกเลยออกมาเป็นเพลงที่เล่าวิถีชีวิตตอนผมอยู่สงขลา เป็นเรื่องราวของการได้พบเจอผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วทำให้ผมมีนิสัยที่เปลี่ยนไป หรืออย่างเพลงที่สองคือเพลงใบแดง เพลงนี้มีความทีเล่นทีจริง อย่างท่อนที่ว่า “ผิดรุนแรงต้องแจกใบแดง จากนี้ไปจะโดนไล่ออก” เนื้อหาก็จะซ่อนความกวนจากบุคลิกของเรา ส่วนเพลงล่าสุดนี้คือเพลงอ้อร้อก็มีคำแปลกๆ ในสไตล์ของผมเหมือนกัน เช่นท่อนที่ร้องว่า “นั่งคอยจนเมื่อยปวดหลัง” ใครจะคิดว่าต้องเอาคำว่า “คอย” ไปอยู่ในเพลงแบบนั้นเลย มันเป็นคำแปลกๆ นี่คือคาแรกเตอร์ของผมที่มีในทุกๆ เพลง

เพลงล่าสุดที่ฟังเมื่อเช้าคือเพลงอะไร

เพลงอ้อล้อครับ (หัวเราะ)

ทำไมหยิบเพลงอ้อร้อของมา remake ใหม่ในแบบของ WolfTone

เพลงนี้เป็นโจทย์ที่คุยกับทางค่ายครับ พวกเราวางแผนกันไว้ว่า เราจะทำเพลงอ้อล้อของวงซูซู (พ.ศ. 2543) ในเวอร์ชันปัจจุบัน ผมก็ไปตีความต่อว่าเพลงอ้อล้อที่อยากทำในยุคปัจจุบันของเราเป็นแบบไหน WolfTone ก็ตัดสินใจว่าอยากให้ความเก๋าของเพลงมันคงยังอยู่ แต่ดนตรีอยากให้มีความเป็นปัจจุบันมากขึ้นครับ 

ความแตกต่างระหว่าง อ้อล้อ ฉบับ “WolfTone” กับ อ้อล้อ ฉบับ “วงซูซู”

จากการถามคนที่อยู่ในยุคนั้น เขาบอกว่าเพลงอ้อล้อเป็นเพลงที่เท่มาก เรียกได้ว่าเป็นเพลงอินดี้ในยุคนั้น ซึ่งผมมองว่าวิธีการสื่อสารเพลงอ้อล้อของผมเป็นคนละแบบกับเวอร์ชันของวงซูซู อย่างเวอร์ชันของวงซูซูเขาก็สื่อสารแบบคนจริงใจ มีความเป็นคนซื่อที่อยากสื่อออกไปว่าฉันรอเธอนะ แต่ในการตีความของผมมันเป็นการรอคอยที่น่าเศร้า แต่ผมไม่ได้ตะโกนบอกเธอว่าฉันกำลังรออยู่นะ แต่เป็นการคิดในใจมากกว่าว่าฉันกำลังรอเธออยู่แต่ไม่กล้าบอก เป็นความเศร้าแบบหมาหงอยครับ (หัวเราะ) 

ความสนุกระหว่างการ remake เพลงอ้อล้อ

ความสนุกหลักๆ คือช่วงทำเพลงครับ เพราะว่าเรามีพี่กิจ-แจ๊ส มาช่วยโปรดิวซ์ด้วย โดยที่เราวางคอนเซปต์ไว้ว่าเราจะใช้เครื่องดนตรีจริงทั้งหมดในการทำเพลง โดยไม่ใช่เสียงสังเคราะห์ เช่น เสียงกลอง ถ้าทุกคนได้ฟังเพลงก็จะได้ยินเสียงกลองใหญ่ๆ ในเพลง อันนั้นเราก็พยายามหาวิธีจูนอุปกรณ์ให้ได้เสียงแบบนั้นเลย เพราะพวกเราต้องการให้มันถูกปรุงแต่งน้อยที่สุด อย่างเสียงกีต้าร์ เราก็หาแอมป์กีต้าร์ยุคโบราณในแบบที่ผมอยากได้ตามสไตล์ยุคนั้นมาอัดจริงๆ ผมอยากใช้เสียงดั้งเดิมมากที่สุดครับ ความสนุกของผมคือการหาเสียงดั้งเดิมแบบนี้

ส่วนกระบวนการของการทำ MV เราได้เซียนหรั่งมาเอนเตอร์เทนอยู่แล้ว เราชอบดูเขาแสดงนะครับ เซียนหรั่งเป็นคนที่แค่เห็นหน้าก็ฮาแล้ว ผมแค่ดูเขาแสดงเราก็จอยกับเขาไปด้วยแล้ว ผมตามไปดูทุกฉากเวลาไปถ่าย MV นะครับ แม้ว่าตัวผมเองออกมานิดเดียวแต่ก็อยากไปดูเขาแสดง  (หัวเราะ) เพราะรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เอนเตอร์เทนคนด้วยคาแรกเตอร์ได้ดีมากเลยครับ

สิ่งที่ภูมิใจจากการ remake เพลงอ้อล้อขึ้นมาในแบบของตัวเอง

ผมภูมิใจกับทุกกระบวนการ หนึ่งคือผมชอบทำงานกับคนที่เป็นไอดอลครับ อย่างในกระบวนการทำเพลง เราเห็นพี่กิจ-แจ๊สทำเพลงกับพี่สิงโต แล้วเราทึ่งในความสามารถของเขามากๆ  การได้ร่วมงานกับพี่ๆ คือความประทับใจอย่างหนึ่งเหมือนกับการได้เก็บแต้มเลยครับ ประมาณว่าผมจะเก็บใส่ลงหนังสือสะสมว่า เพลงนี้เราทำงานกับพี่คนนั้นคนนี้แล้วนะ ทั้งหมดคือความประทับใจในการทำเพลงอ้อล้อขึ้นมาครับ

อีกอย่างคือผมชอบดูวิธีการทำงานของพี่ๆ เป็นไอดอลของผมครับ เพราะผมเองก็เป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานที่นี่ ผมเลยอยากเรียนรู้ไปเสียทุกอย่างเลย สิ่งที่ผมชอบมากๆ คือการได้เห็นวิธีการทำงานของพี่ๆ  ผมชอบที่จะปล่อยให้พี่ๆ เขาทำงานและผมคอยสังเกต นี่เป็นวิธีที่ผมชื่นชมไอดอลของตัวเอง แล้วก็มานั่งตกตะกอนว่าทำไมเขาเก่งจังเลย เราจะเก่งได้แบบเขาบ้างไหมนะ นี่คือสิ่งที่ประทับใจในการทำงานด้วยครับ

สกิลใหม่ค้นพบหลังจากได้เข้ามาทำงานกับ GMM Grammy 

ผมเคยส่งแคสติ้งโฆษณาช่วงโควิดครับ ผมก็ส่งคลิปเต้นสไตล์เกาหลีไป สรุปเขาเลือกผมไปแสดงโฆษณา นี่คือสิ่งใหม่ที่ค้นเจอว่าผมก็แอคติ้งได้นี่นา ถ่ายเทคเดียวได้เลย ไม่คิดว่ามันจะอัตโนมัติแล้วก็ง่ายสำหรับผมขนาดนี้ ต้องบอกว่ามันอาจจะเป็นธรรมชาติของผมด้วยที่เวลาผมขึ้นเวที ผมก็จะเปลี่ยนเป็นอีกคนได้เลย หลังจากนั้นก็ส่งแคสต์โฆษณามาเรื่องๆ แล้วก็ได้ทำคลิปสั้นบนติ๊กต่อกที่เนื้อหาเอนเตอร์เทนคนดูด้วยครับ ซึ่งจริงๆ แล้วเดิมทีผมไม่ใช่คนที่เล่นโซเชียลเท่าไร ผมค่อนข้างเก็บตัว แต่การทำคลิปอะไรแบบนี้ก็เป็นสิ่งใหม่ที่สนุกดีครับ

มองภาพ WolfTone ในอนาคตเป็นแบบไหน

อยากพา WolfTone ไปแสดงในที่ต่างๆ ของไทย อยากไปพบเจอแฟนเพลง ผู้คนที่เขารักเรา แค่นี้ผมก็แฮปปี้แล้วครับ แค่อยากไปทัวร์และอยากเล่นเทศกาลดนตรีครับ

ดนตรีมีอิทธิพลอย่างไรกับชีวิตของ WolfTone บ้าง

ดนตรีอยู่กับผมแทบทุกเวลาเลย ตั้งแต่ตื่นนอน ออกไปทำงาน หรือทำกิจกรรมอื่น มันอยู่กับผมทุกเวลาจริงๆ  อย่างตอนนี้ก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับดนตรีอยู่นะครับ เพราะผมมีสตูดิโอของตัวเอง ทุกอย่างรายล้อมผมด้วยดนตรี ผมเคยลองหนีไปทำอย่างอื่นดูนะ แต่สุดท้ายผมก็กลับมาอยู่ที่ตรงนี้เหมือนเดิม อย่างผมเคยลองไปทำอาหารบางอย่าง เช่นลองขายลูกชิ้น แต่ผมไม่มีความสุขเลย รู้สึกว่ามันยากจัง ทำไมมันไม่ง่ายเหมือนการออกไปเล่นดนตรีนะ ฉะนั้นสิ่งที่ผมถนัดมันคือดนตรี ดนตรีจึงเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่ผมอยู่กับมันตั้งแต่ตื่นยันเข้านอนเลยครับ  

Contributors

Contributors

เด็กมนุษย์ฯ ผู้ชื่นชอบการออกไปเดินเที่ยวคนเดียว เอนจอยกับการเต้นและการกิน ปัจจุบันกำลังพยายามใช้ชีวิตแบบ Slow Life อยู่