“Wallrollers” แปลไทยได้ว่า “ลูกกลิ้งทาสี” ความหมายคงเดาได้ไม่ยากนัก เมื่อคำนี้ถูกตั้งเป็นชื่อวงดนตรีร็อกน้องใหม่จากค่าย Genie Records (สังกัด GMM Grammy) ซึ่งเป็นชื่อที่สื่อถึงความสนุกสนานที่เต็มไปด้วยสีสันผ่านเสียงดนตรี เสมือนการแต่งแต้มวงการเพลงร็อก ด้วยสีจากลูกกลิ้งทาสีคลื่นใหม่ที่แฝงตัวตนของสมาชิกทั้งสี่คน

ความหมายของชื่อวงช่างลึกซึ้ง แต่รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้ว Wallrollers กลับเป็นชื่อที่ทุกคนในวงต่างตั้งคำถามกับชื่อนี้ว่า…

“เอ๊ะ ใครเป็นคนคิดชื่อนี้วะ?”

ภูร์กับเอิร์ธตอบพร้อมเสียงหัวเราะหลังจากที่เราถามถึงที่มาที่ไปของชื่อวง ทั้งคู่อธิบายให้เราทำฟังต่อว่า ชื่อนี้ได้มาตั้งแต่ที่ทั้งสี่คนอัดเพลงแรกของตัวเอง และระหว่างนั้นสมุดที่เต็มไปด้วยตัวเลือกรายชื่อวงก็ถูกนำมานั่งถกเถียงกันว่า วงดนตรีร็อกๆ ยุคใหม่อย่างพวกเขาควรตั้งชื่อวงว่าอะไรกันดี

“ตอนนั้นก็มานั่งเปิดสมุดดูว่ามันมีชื่ออะไรที่พี่ๆ เคยตั้งเอาไว้ แล้วพวกเราไปสะดุดตากับชื่อหนึ่งที่เขียนว่า Wallrollers  ซึ่งพี่ๆ ทั้งสามคนจำกันไม่ได้ว่าใครเป็นคนตั้ง เพราะปกติทุกคนจะจำได้ว่าชื่อในลิสต์ชื่อไหนใครเป็นคนตั้ง แต่มีชื่อนี้ชื่อเดียวที่ไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนตั้งจากยี่สิบชื่อนี้ เราเลยรู้สึกว่ามันพิเศษ เพราะชื่อนี้มันเด้งขึ้นมาเลยครับ” ภูร์อธิบาย

Wallrollers จึงเป็นชื่อวงอย่างเป็นทางการของทั้งสี่ก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในสังกัด GMM Grammy ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกสี่คนอย่าง ภูร์ – ภูริภัทร์ ศรนุวัตร (ร้องนำ), เอิร์ธ – ธนกร บำรุงกิจ (กีตาร์), แฮม – สิรภพ สอิ้งทอง (เบส), และ ดิว – ชนวัสส์ อ้อมแก้วการณ์ (กลอง) 

คอลัมน์ดนตรีนั้นคือชีวิตในวันนี้จึงพามารู้จักกับ Wallrollers ในมุมสบายๆ มากขึ้น และเห็นตัวตนของพวกเขาผ่านบทเพลงร็อกสไตล์แอบรักข้างเดียวไปด้วยกัน

ซ้ายไปขวา: เอิร์ธ – ธนกร (กีต้าร์), ดิว – ชนวัสส์ (กลอง), แฮม – สิรภพ (เบส), ภูร์ – ภูริภัทร ์(ร้องนำ)

ทั้งสี่คนมารวมตัวกันได้ยังไง ?

เอิร์ธ: ผม ดิว แฮม เล่นดนตรีกันมาตั้งแต่มัธยมฯ พวกเราเรียนโรงเรียนเดียวกันคือ โรงเรียนสตรีวิทยา 2 ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีวงดนตรีเยอะมาก แต่ละปีมีการประกวดวงดนตรี 60 กว่าวง เพราะที่นี่มีนักเรียนเยอะมาก ประมาณ 6 พันกว่าคน ปกติวงดนตรีในโรงเรียนนี้ก็จะสลับสมาชิกวงกันไปๆ มาๆ แต่เราสามคนก็ได้วนมาอยู่วงเดียวกัน แล้วก็เล่นด้วยกันยาวๆ ถึงมหาลัยฯ เลย และช่วงหนึ่งนักร้องนำคนเก่าเขาออกไป เราก็เลยอยากหานักร้องนำคนใหม่ของวง เพราะอยากเป็นวงที่จริงจัง ก็เลยประกาศลงกลุ่มหานักดนตรีในเฟซบุ๊กครับ

ภูร์: เพื่อนแชร์โพสต์ประกาศหานักร้องนำให้ผม ผมเลยลองทักพี่ๆ ไป ผมก็อ่านคุณสมบัติว่าเขาต้องการนักร้องนำสไตล์ไหน เราเลยรู้สึกว่าแนวนี้มันคือเรานะ ตอนนั้นเองผมก็เพิ่งเรียนจบด้วย แล้วก็มีความฝันแล้วที่อยากเป็นศิลปินและอยากทำเพลงอยู่แล้ว สุดท้ายได้มาลองแจมกับพี่ๆ แล้วก็ได้ฟอร์มเป็นวงนี้ขึ้นมา

อะไรทำให้การเป็นนักร้องถึงเป็นความฝันของภูร์ ?

ภูร์: ผมเริ่มร้องเพลงประมาณช่วง ม.1 ครับ ตอนนั้นไปกินข้าวกับพ่อและเพื่อนพ่อ แล้วร้านนั้นเขาอนุญาตให้ลูกค้าขึ้นไปร้องเกะได้ เพื่อนพ่อก็เลยเชียร์ให้ผมขึ้นไปร้อง ผมก็เลยขึ้นไปร้องครับ ปรากฏว่าดันไปถูกใจแม่ยกในร้านใหญ่เลย น่าจะร้องเพลงเล่นของสูงของรุ่นพี่วง BIG ASS ด้วย แม่ยกก็เดินมาให้ทิปด้วยนะ (หัวเราะ) หลังจากวันนั้นเลยขอพ่อไปเรียนร้องเพลงตลอดเลยครับ จนถึงช่วงม.ปลายก็เริ่มมีวงของตัวเอง เพราะอินกับหนังเรื่อง Suck Seed ห่วยขั้นเทพ แล้วก็เล่นเป็นวงดนตรีมาโดยตลอดเลยครับ พอเข้ามหาลัยฯ ก็เริ่มไปดูคอนเสิร์ต งานเทศกาลดนตรีต่างๆ ผมยิ่งหลงใหลในบรรยากาศแบบนี้ มันทำให้ผมอยากเป็นศิลปิน อยากมีเพลงเป็นของตัวเอง แต่จนกระทั่งเรียนจบมหาลัยฯ ก็ได้มาเจอพี่ๆ ผมถึงได้เริ่มชีวิตของการทำเพลงแบบจริงจังครับ 

เห็นว่าบางคนในวงมีทักษะพิเศษนอกจากร้องเพลงและเล่นดนตรีด้วยใช่ไหม ?

เอิร์ธ: ผมพากย์เสียงได้ครับ พากย์เสียงครั้งแรกตอนป.6 ซึ่งเป็นการพากย์แบบที่ได้เงินและเป็นอาชีพจริงๆ เพราะตอนนั้นทางโรงเรียนส่งผมไปพากย์เสียงในรายการ “เพื่อนแก้ว” ช่อง 9 (อสมท.) ผมก็เลยรู้สึดว่ามันเป็นอาชีพของเรานะเนี่ย พอเรียนมหาลัยฯ ผมก็ได้ไปฝึกงานในห้องอัดเสียง อยู่ในห้องโฆษณา ได้เป็นโฆษกโฆษณาด้วยครับ จนถึงตอนนี้ก็ยังรับทำงานพากย์เสียงอยู่ด้วยครับ

ก่อนที่จะเป็นเพลงล่าสุดอย่าง “ถ้วยทอง” Wallrollers เห็นพัฒนาการในผลงานเพลงของตัวเองอย่างไรกันบ้าง ?

ดิว: เพลงนี้เป็นเพลงที่ 7 ของวง แต่เป็นเพลงที่ 4 ตั้งแต่เข้ามาอยู่ค่าย Genie Records ครับ 

เอิร์ธ: ผมว่าพวกเราเก่งขึ้นนะครับ (หัวเราะ) เพราะเราได้ใช้ประสบการณ์มากขึ้น ในแต่ละเพลงที่ผ่านมา ทำให้เรารู้ว่าต้องปรับปรุงแก้ไขอะไรบ้าง ทั้งในแง่เนื้อเพลง และในแง่การเรียบเรียงดนตรีด้วย อย่างภูร์เองก็เริ่มเขียนเนื้อเพลงเองครั้งแรกในซิงเกิลที่สามของวงด้วย เพราะซิงเกิลแรกๆ ผมเป็นคนเขียน แต่พอมันถึงจุดที่ภูร์เขาต้องเป็นคนที่สื่อสารเพลงด้วยตัวเอง ภูร์ก็เลยได้เริ่มเขียน และเข้าคลาสเรียนเนื้อเพลงครับ

ภูร์: ผมได้เรียนเกี่ยวกับเนื้อเพลงกับพี่ๆ Mango Team นำโดยพี่กบ (กบ-ขจรเดช พรมรักษา) ซึ่งพี่กบก็มานั่งดึงตัวตนของผมออกมาว่า ผมจะต้องนำเสนอเนื้อหาเพลง หรือแนวทางเพลง หรือคำพูดคำจาลงไปในเพลงยังไงดี ซึ่งสามเพลงแรกของวงก่อนที่จะเข้ามาอยู่ค่าย เราทำตามใจอย่างอิสระกันมากๆ แต่พอเข้ามาทำงานกับค่าย กลายเป็นว่าเราได้ทดลองทุกอย่าง ทั้งพาร์ทเนื้อหาว่ามันเหมาะกับเราไหม ผมชินไหมที่ต้องร้องเพลงแบบนี้ ได้ลองผิดลองถูกทุกมิติ จนได้มามาถึงเพลงล่าสุดอย่างเพลงถ้วยทอง ผมเลยเรียนรู้ว่าต้องเครียดให้น้อยลง เรียนรู้ที่จะปล่อยวางมันออกไป และใช้สิ่งที่อยู่ข้างในจริงๆ ลงมือทำและสื่อสารออกมาให้เต็มที่ พี่ณัฐ (ณัฐ-ณัฐวัฒน์ แสงวิจิตร วง Klear ) เขาก็บอกว่าทุกอย่างต้องใส่สุด อย่าไปคิดว่าอันนั้นอันนี้ใช้ไม่ได้ เพลงที่เจ็ดนี้ของเรามันจึงเหมือนว่า Wallrollers ได้เริ่มศักราชใหม่ของวงเลยครับ

เอิร์ธ: เราได้เป็นตัวเองค่อนข้างเต็มที่เหมือนกัน อย่างถ้าใครอยากทำสีผมก็ทำได้เลย อย่างภูร์ชอบอ่านมังงะญี่ปุ่น ชอบอนิเมะญี่ปุ่น ทุกคนก็อนุญาตให้ทำงานในแบบที่ชอบ เป็นความอิสระใหม่ๆ ที่ได้ลองทำอะไรหลายอย่าง อยากลองทำงานกับใครก็ได้ลอง เพราะเราก็ได้ทำงานกับ เซน-Paper Plane ด้วย เซนน่ารักครับ เพราะพวกเราก็ได้ศึกษาการทำงานในพาร์ทดนตรีและโปรแกรมมิ่งจากเซนด้วยครับ

เพลงถ้วยทองดึงตัวตนของ Wallrollers ออกมายังไงบ้าง? 

ภูร์: ในแง่ของดนตรี พี่ณัฐเขาบรีฟว่าเพลงนี้ให้ใส่สุดเลย อยากเล่นยังไงก็เล่นไป แล้วด้วยความที่สองเพลงแรกของเราเป็นเพลงช้า พอมาเพลงนี้เราก็อยากซิ่ง อยากเดินแรงเลย พอได้ดนตรีมาแล้วก็ต้องดูว่าผมจะเอาเรื่องราวที่ไหนมาเขียน ซึ่งเนื้อเพลงถ้วยทองผมได้แรงบันดาลใจมาจากอนิเมะเรื่องสแลมดังก์ (Slam Dunk) อนิเมะเกี่ยวกับบาสเกตบอลที่ในเรื่องมีฉากปลุกใจเราเอามากๆ ฉากนั้นคือฉากที่มิตสึอิ (ตัวละคร) กำลังจะยอมแพ้ เพราะแต้มห่างกับคู่แข่งเยอะมาก มิตสึอิกำลังจะถอดใจ แต่โค้ชก็บอกกับเขาว่าถ้าถอดใจตอนนี้ก็แพ้เลยนะ แต่ถ้าออกไปสู้ต่อเรายังมีโอกาสชนะ 

แท้จริงแล้ว Wallrollers กลับเป็นชื่อที่ทุกคนในวงต่างตั้งคำถามว่า “เอ๊ะ ใครเป็นคนคิดชื่อนี้วะ?” ภูร์กับเอิร์ธตอบ

ภูร์: ผมเลยเอาอารมณ์นี้ที่ได้มาจากอนิเมะเอาไปเล่าให้พี่กบฟัง พี่กบบอกกับผมว่า ‘มันคือมึงเลย และถ้ามึงไม่เขียนเพลงนี้มึงแพ้เลยนะ’ เพราะเราเป็นวงน้องใหม่ที่เข้ามาอยู่ในค่ายที่ใหญ่มากของไทย มันเต็มไปด้วยความกดดดัน แต่ว่าเราจะยอมแพ้ไหม? ฉะนั้นเราก็ต้องสู้ เพราะถ้าไม่เขียนเพลงนี้ก็คือภูร์แพ้เลย พี่กบก็ให้ผมจำความรู้สึกตรงนี้ไว้แล้วเขียนเพลงนี้ออกมาครับ

เอิร์ธ: ไม่ใช่แค่ตัวภูร์ที่มีความรู้สึกนั้นนะครับ เพราะบอกตรงๆ ว่าเพลงที่ผ่านมาของเราก็อาจจะยังไม่ได้แมสด้วย ฉะนั้นการที่ภูร์เขียนเพลงนี้ขึ้นมามันจึงเป็นศักราชใหม่ ที่สร้างก้าวเดินใหม่ของวงให้ชัดเจนขึ้น แล้วภูร์เองก็มีแนวทางที่อยากเล่าต่อไปได้อีกในแบบของเขา เช่นเขาอ่านการ์ตูนอยู่ที่บ้านก็เขียนเนื้อเพลงเป็นงานนะ นี่มันจึงเป็นตัวตนที่มันออกมาในชิ้นงานด้วยครับ 

อะไรทำให้ Wallrollers มักเขียนเพลงที่พูดถึงคนแอบรักเสมอ

ภูร์: ส่วนใหญ่เนื้อเพลงที่เขียน ผมได้แรงบันดาลใจจากหนัง ละคร ซีรีส์ การ์ตูน เป็นคนใช้เวลาว่างไม่ค่อยเกิดประโยชน์ครับ (หัวเราะ) เพราะผมรู้สึกว่าอารมณ์ของการอกหัก การแอบรักเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเคยผ่านมาแน่ๆ ดังนั้นมันจะเป็นช่วงอารมณ์ที่เข้าถึงอารมณ์ของทุกคนได้ครับ 

เอิร์ธ: เป็นบุคลิกของภูร์ด้วยนะครับ เพราะเขาก็ไม่ใช่ผู้ชายลุคแบดบอย เจ้าชู้ ภูร์เขาจะเป็นผู้ชายนุ่มๆ ซึ่งมันถูกต้องกับเนื้อเพลงที่เขาเขียนออกมาเลย

อะไรคือความท้าทายของเพลงถ้วยทอง ทั้งในแง่ของการทำเพลงและการถ่ายทำ MV 

ดิว: ในแง่ของเพลงเรารู้สึกดีที่เพลงมาแนวนี้ เพราะช่วงแรกๆ มันไม่ได้เป็นประมาณนี้ แต่ที่ท้าทายจริงๆ น่าจะเป็นการแสดง MV ครับ

เอิร์ธ: ใช่ๆ เพราะเป็นเพลงแรกที่เราทุกคนอยู่ในเส้นเรื่องด้วย

ดิว: เราเข้าไปเป็นตัวละครในเพลงนั้นเป็นเพลงแรก แล้วก็ ยังรู้สึกงงๆ อึนๆ มึนๆ อยู่เลย (หัวเราะ) เพราะเรายังไม่รู้ว่ามันต้องแสดงประมาณไหน

ภูร์: คนที่คิดคอนเซปต์นี้คือพี่ผู้กำกับเลยครับ เพราะเราไปคุยกับเขานี่แหละว่า เนื้อเพลงได้แรงบันดาลใจมาจากอนิเมะสแลมดังก์ (Slam Dunk) เพราะความเสียเหงื่อเสียน้ำตาจากกีฬาญี่ปุ่นมันมีอยู่แล้ว (หัวเราะ) สิ่งนี้จึงเป็นสารตั้งต้นที่ทำให้พี่ผู้กำกับเขาให้คอนเซปต์มวยปล้ำมาและทุกอย่างมันถึงมาก เพราะมวยปล้ำกับการ์ตูนญี่ปุ่นมีความเข้ากันอยู่แล้วด้วย ฉากก็จะมีความเป็นญี่ปุ่น ซึ่งทีมงานที่ดูแลเรื่องวิธีการเล่นมวยปล้ำคือทีม Setup Thailand ที่เขาเป็นนักมวยปล้ำจริงๆ ทางทีมเขามาออกแบบท่าต่างๆ ให้ และเวทีที่ใช้ถ่าย MV ก็เป็นของทีมเขาด้วย

เอิร์ธ: อีกอย่างหนึ่งที่สนุกคือ ผมรู้สึกว่าเวทีมวยปล้ำมันเด้งกว่าเวทีมวยไทยนะ ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันคือเทคนิคอะไรหรือเปล่า แต่มันเหมือนช่วยในการโชว์มวยปล้ำเลยครับ พวกเราตื่นเต้นกันมาก เพราะเวทีมันเด้งมาก (หัวเราะ)

ภูร์: มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ เหมือนไม่ใช่พื้นโลก จนโดนพี่ตากล้องดุว่า “น้องอย่าโดดๆๆ น้องอย่าโดดแรง!” (หัวเราะ) สนุกดีครับ

แฮม – ภูร์เขาเล่นเป็นตัวเอกครับ ส่วนผมเป็นชาวบ้าน 1 2 3 ครับ (หัวเราะ) แต่จริงๆ ในบทคือพวกเราเป็นนักมวยปล้ำเหมือนกัน แค่ไม่ได้ขึ้นปล้ำในแมทช์นั้น เพราะภูร์ต้องสู้กับคนอื่นที่มาท้าทาย แล้วเราเป็นรุ่นพี่ที่ต้องมาเชียร์ภูร์ครับ

ก่อนหน้าที่เพลงถ้วยทองจะปล่อย Wallrollers คาดหวังอะไรไว้บ้างไหม?

แฮม: เราไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายเลยครับ เราแค่ทำเพลงกันเองแล้วเรารู้สึกชอบ แค่นี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว เราได้ทำเพลงในแนวที่เราไม่เคยทำด้วย เพราะอย่างเพลงก่อนๆ ส่วนใหญ่เป็นเพลงช้า ซึ่งฟีดแบกจากแฟนเพลงก็ดีครับ ยอดวิวอาจจะไม่ได้เยอะมาก แต่มีคอมเมนต์เยอะมากที่เข้ามาให้กำลังใจ บอกว่าเพลงดี และชอบเพลงของเราเยอะขึ้นนะครับ

อะไรคือความสนุกของการทำเพลงถ้วยทอง

แฮม: ท่อนที่ร้องว่า “โง่ โง่ โง่

ภูร์: ในเพลงมันจะมีท่อน “โง่ โง่ โง่” ตั้งแต่เดโม่หนึ่งเลยครับ วิธีการทำเพลงของเราคือ เราทำดนตรีออกมาก่อนแล้วค่อยใส่เมโลดี้เข้าไป ซึ่งเมโลดี้ที่ใส่เข้าไปก็เป็นภาษาอังกฤษแบบมั่วๆ เลย และท่อนนั้นผมก็ร้อง ngo ngo ngo (โง่ โง่ โง่) ทั้งๆ ที่ยังไม่มีคอนเทนต์ของเพลงเลยครับ (หัวเราะ) จนถึงขั้นตอนการเขียนเนื้อเพลง ผมก็เขียนใหม่และจะไม่เอาคำว่า โง่ โง่ โง่ อีกแล้ว จนมีพี่เซน-Paperplane เข้ามาฟังเนื้อที่ผมเขียนใหม่แบบที่ตัดคำว่า โง่ โง่ โง่ ออก พี่เซนเลยหันมาพูดช้าๆ กับผมว่า “เราว่าถ้ามันเป็นโง่ๆ เหมือนเดิม มันเท่มากเลยนะ” แล้วผมก็เลยตกลงครับพี่ พี่เซนยอดวิวร้อยล้านผมเชื่อพี่ครับ (หัวเราะ) มันเลยเป็นท่อนเพลงที่ร้องว่า ปล่อยเธอก็โง่ โง่ โง่ พุ่งออกมาจากเพลงตั้งแต่แรกเลย 

เอิร์ธ: เพลงนี้น่าจะสนุกที่สุดแล้ว สนุกตั้งแต่ทำเพลงกันแล้ว ฟังเดโม่แล้วเราก็เต้นพร้อมกัน ผมรู้สึกว่าจังหวะนี้มันเป็นของเรา มันเข้ามือ ความสนุกมียันการถ่ายเอ็มวี ทำทุกอย่างสนุกหมดเลย ตอนเราเอาไปลองเล่นสดก็สนุก เพราะมันประจวบเหมาะกับที่ว่าเราจะได้เล่น School Tour ด้วย เราก็เทสกับเด็กๆ ว่าเพลงมันทำงานยังไง พอเพลงนี้ขึ้นเป็นเพลงแรก เราก็ตะโกนว่า “เอ้า หนึ่ง สอง สาม โดดพร้อมกันนะ!” แล้วเด็กๆ ก็กระโดดพร้อมกันเลยครับ เราเลยรู้สึกว่าเพลงนี้มันเวิร์ก มันสนุกนะ 

Wallrollers อยู่ด้วยกันมาสี่ปีแล้ว ทั้งสี่คนความชอบร่วมกันไหม?

แฮม: อย่างแรกคือดนตรีนี่แหละ พวกเราชอบดนตรีร็อกเหมือนกันก็เลยมารวมวงกัน ชอบความสนุกสนาน แล้วพวกเราก็ตลกเฮฮาดีด้วยครับ (หัวเราะ)

เอิร์ธ: มันมีความเป็นเพื่อนที่ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมวง เพราะวันไหนที่เราไม่ทำเพลงเราก็นัดไปกินข้าวกัน วงคือความเข้ากันได้มากกว่า  แล้วเราก็ดูรายการตลกคล้ายๆ กันด้วยครับ (หัวเราะ)

ภู: เออใช่ๆ อย่างรายการบริษัทฮาไม่จำกัดจัดเต็ม รายการก็มาดิคร้าบ รายการแสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า

เอิร์ธ: ใช่ๆ เราดูน้าค่อม คลิปในเฟซบุ๊กเราก็ดูคอนเทนต์ใกล้ๆ กัน กดไลก์เพจคล้ายกัน เวลาคุยกันเราเลยต่อกันติดดีครับ

แนะนำศิลปินคนโปรดของแต่ละคนหน่อย

ภูร์: ผมชอบรุ่นพี่วงโลโมโซนิกครับ

เอิร์ธ: ผมชอบเดฟ โกรล นักร้องนำของวงฟูไฟเตอร์สครับ ผมรู้สึกว่า เดฟโกรลที่เป็นนักร้องนำมีความเหนือมนุษย์ เพราะเขาสามารถเป็นมือกลองในวงระดับตำนานได้ แล้วพอมาเป็นนักร้องนำก็ยังเป็นวงระดับตำนานอีก และการใช้ชีวิตของเขาในวงการดนตรีมันสุดยอด เขาเลยเป็นตำนานได้ครับ

ดิว: พี่อ๊อฟ Big Ass ครับ

แฮม: ผมชอบหลายวง แต่มีวงที่เป็นแรงบันดาลใจให้เล่นเบสเลยก็คือวง Red Hot Chili Peppers มือเบสชื่อฟลีครับ ผมคิดว่าคนที่ดีดเบสได้สนุกสนาน ไลน์เบสมีความคิดสร้างสรรค์ เขาเลยเป็นแรงบันดาลใจให้ผมครับ

ดนตรีมีอิทธิพลกับ Wallrollers ยังไงบ้าง

เอิร์ธ: เพลงมันทำให้เราอยากเล่นดนตรีแหละเนอะ แต่มากกว่านั้นคือ ผมรู้สึกว่าผมชอบฟังเพลงตอนวิ่งออกกำลังกายนะ เพลงทำให้เราอยากออกไปวิ่ง บางเพลงอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา เพราะบางทีแม้ว่าเราจะฟังเพลงตอนวิ่ง แต่เราก็ไม่ได้อยากจะทำเพลงตามศิลปินคนนั้น เพลงของเขาอาจจะไม่ได้เป็นแรงบันดาลใจในการทำเพลงด้วยซ้ำ แต่ในชีวิตประจำวันของเรามีเพลงเอาไว้ใช้ชีวิต เอาไว้ใช้ตอนวิ่งและตอนขับรถ

ภูร์: เพลงที่ฟังล่าสุดของผมคือเพลย์ลิสต์ออกกำลังกายด้วยครับ เช่นเพลงแดนเนรมิตของพี่ๆ Big Ass ที่ผมฟังแล้วต้องเห็นหน้าพี่เจ๋ง ซึ่งพี่เจ๋งเขากล้ามใหญ่มาก (หัวเราะ) แล้วผมก็ฟังเสียงพี่เจ๋งระหว่างเล่นเวทอยู่ด้วย มันทำให้ผมมีพลังในการเล่นเวทเลยครับ

เอิร์ธ: ผมก็มานั่งถอรหัสเหมือนกันว่า ศิลปินเขาก็แสดงออกในสิ่งที่เขาชอบผ่านเพลงเหมือนกัน อย่างผมจะฟังโลโมโซนิก แล้วพี่บอย-โลโมโซนิกเองเขาก็ชอบวิ่งด้วย เหมือนกับว่าเราได้วิ่งกับพี่บอย วิ่งแบบพี่บอยเลยครับ (หัวเราะ)

ภูร์: ใช่เลย! (หัวเราะ) มันเหมือนผมเล่นเวทกับพี่เจ๋งครับ พอในหัวเราคิดแบบนั้น แล้วดนตรีมันสร้างอารมณ์ร่วม เราเลยมีแรงที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ครับ

ดิว: ดนตรีทำให้มีสมาธิ อย่างเวลาทำงาน ถ้าไม่มีอะไรมาโฟกัสในหัวจะฟุ้งไปหมดเลย แต่พอเสียบหูฟังเข้าไปเราก็สนใจแค่เพลง ไม่สนใจอะไรอย่างอื่นแล้ว เวลาผมฟังเพลง มันจะถอดออกมาเลยว่าแต่ละเพลงเป็นยังไง ทำให้ผมเอาไปปรับใช้กับเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันได้ และผมทำงานเป็นระบบมากขึ้นด้วย 

แฮม: นอกจากที่เพลงเป็นสิ่งที่ช่วยเซ็ตบรรยกาศแล้ว เพลงยังเป็นเหมือนเพื่อน เพลงอยู่กับเราในเวลาที่รู้สึกแฮปปี้ เศร้า หรือผิดหวัง เพลงคือตัวเปลี่ยนอารมณ์ของผมเลยครับ

ตั้งแต่วันแรกจนมาถึงวันนี้ Wallrollers ได้เรียนรู้อะไรจากค่าย GMM Grammy

ภู: ก่อนหน้าที่จะเข้ามาอยู่แกรมมี่แอตติจูดการเป็นศิลปินของผมก็คิดแค่ว่า อยากมีเพลงเป็นของตัวเอง อยากให้มีคนรู้จักเพลงของเราประมาณหนึ่ง ไปงานไหนก็มีคนดูอยู่ประมาณหนึ่ง แต่พอมาอยู่แกรมมี่แล้วผมได้เรียนรู้จากพี่ณัฐว่าให้ Dram Big ครับ พี่เขาสอนให้ผมเป็นคนที่ฝันให้ใหญ่แบบสุดๆ ไปเลย ถ้าอยากเล่นที่ราชมังฯ ก็ฝันไปเลยว่าอยากเล่นที่ราชมังฯ  สิ่งนี้ทำให้วิธีคิดเวลาทำเพลงของผมเปลี่ยนไปด้วย เพราะผมก็จะคิดว่า ผมต้องทำเพลงให้ยอดเยี่ยมและคู่ควรกับการได้เล่นบนเวทีราชมังฯ สักวันหนึ่งครับ

เอิร์ธ: ก่อนหน้านี้เคยมองว่าศิลปินคือความสวยหรู คือการอยู่ในแสงไฟหรือมีชีวิตที่ดูดี แต่พอมาเป็นศิลปินจริงๆ แล้ว ทุกอย่างต้องแลกมาด้วยการที่เราต้องลงมือทำอย่างจริงจัง ต้องโฟกัสกับสิ่งที่ทำจริงๆ บางครั้งก็เหนื่อยและท้อแท้บ้าง เพราะทุกเพลงไม่ได้สำเร็จไปหมดทุกเพลง และทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็นในทีวี แต่ถามว่าตอนนี้มีความสุขไหม ผมก็ยังมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบครับ

แฮม: เมื่อก่อนเราทำเพลงกันเองไม่ได้มีทีมงานเยอะ แต่ตอนนี้เรามาอยู่ในค่ายที่ทีมงานเยอะมากๆ ในหลายส่วนเลยด้วย การมาอยู่ค่ายมันเลยสอนให้เรารู้ว่า การทำงานต้องมีคนเยอะกว่าที่เราคิด เราต้องรู้จักวิธีการทำงานกับคนเยอะๆ และมันทำให้พวกเราก็ได้ฝึกความเป็นมืออาชีพมากขึ้นด้วย

ดิว: เรียนรู้เรื่องการทำงานเป็นระบบมากขึ้น เมื่อก่อนเราคิดเร็วทำเร็ว ไม่มีมีขั้นตอนหนึ่งสองสามสี่  แต่ตอนนี้มีการวางแผนมาขึ้น รู้ว่าต้องทำอะไรก่อน-หลังมากขึ้นกว่าเดิมครับ

แท้จริงแล้ว Wallrollers กลับเป็นชื่อที่ทุกคนในวงต่างตั้งคำถามว่า “เอ๊ะ ใครเป็นคนคิดชื่อนี้วะ?” ภูร์กับเอิร์ธตอบ
ภาพวาดฝันบนเส้นทางต่อไปของ Wallrollers

ภูร์: Dream Big นะครับ คือเล่นราชมังคลากีฬาสถานครับ และฝันไกลกว่านั้นคือ World Tour ครับ ผมจะเป็นชอบไซโคตัวเองนิดหน่อย เป็นเชิงจิตวิทยาว่าถ้าเราคิดใหญ่ฝันใหญ่ ความมั่นใจจะมากขึ้น ผมเลยฝันใหญ่ๆ ครับ

ดิว: อยากให้พวกเราสนุก สนุกขึ้นไปอีก สนุกขึ้นไปเรื่อยๆ สนุกจนไป World Tour ไปดาวอังคารเลยก็ได้

เอิร์ธ: ผมเองก็คิดตามภูนะ พอภูร์เริ่มไซโค ผมก็เริ่มแบบ เออๆ ใหญ่ก็ได้ (หัวเราะ) และผมอยากให้มันเลี้ยงชีพได้นะ เพราะผมมีความสุขกับการตื่นมาแต่งเพลงที่บ้าน มีความสุขกับการสร้างเพลงใหม่ มีความสุขกับการได้ออกไปเล่นครับ

แฮม: ผมก็คล้ายๆ กับเอิร์ธด้วย อยากให้มันเลี้ยงชีพได้ แล้วก็อยากไปเล่นที่ร้านต่างๆ ด้วยเพลงของวงเราทั้งหมด และทุกคน ณ ที่ตรงนั้นเขารู้จักเพลงของ Wallrollers ทุกเพลงครับ

Contributors

Contributors

เด็กมนุษย์ฯ ผู้ชื่นชอบการออกไปเดินเที่ยวคนเดียว เอนจอยกับการเต้นและการกิน ปัจจุบันกำลังพยายามใช้ชีวิตแบบ Slow Life อยู่