บทสนทนานี้เริ่มต้นที่ไฟแห่งความหวัง และจบลงที่คราบน้ำตา

สบายใจได้ ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจ แต่มันระคนกันไประหว่างความตื้นตันกับความดีใจ

และเป็นน้ำตาจากคนที่ยึดถือนามเรียกขานว่า “นักกิจกรรม” เท่านั้น

พี่วาดดาว-ชุมาพร แต่งเกลี้ยง คือคนที่ในวงนักกิจกรรมไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ ต้องรู้จัก คุ้นเคย และให้ความเคารพในฐานะคนที่ “สู้” ในหลายวาระ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประชาธิปไตยตั้งแต่การต่อสู้ครั้งคนเสื้อแดง 2553 การเป็นหัวหน้าพรรคร่วมของพรรคสามัญชนที่ยังแน่วแน่ในการส่งสามัญชนเข้าสภา หรือวาระการเคลื่อนไหวเพื่อความเท่าเทียมทางเพศผ่านจุดเริ่มต้นของกลุ่มโรงน้ำชา และร่วมมือกับเพื่อนๆ ขับเคลื่อนงาน Pride Parade ครั้งใหญ่ของประเทศทั้งนฤมิตไพรด์ และ Bangkok Pride ที่กำลังจะเกิดขึ้นตลอดเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้

ถ้าให้เล่าเรื่องของเธอยาวกว่านี้อีกนิด เธอคืออดีตคนทำงานในวงการโทรทัศน์ผู้หันหลังมาลงทุกแรงเท่าที่มีเพื่อความเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะในมิติไหนๆ และทุกความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะในมิติของความเท่าเทียมทางเพศ การช่วยเหลือเพื่อน-พี่-น้อง นักกิจกรรมให้ยังยืนหยัดเคลื่อนไหวได้

ถึงแม้เราจะรู้จักกับพี่วาดดาวเป็นการส่วนตัว แต่ก็เป็นการรู้จักแบบเห็นกันแบบผ่านไป-ผ่านมา ในวงการนักกิจกรรมและการเคลื่อนไหวเรื่องประเด็นความเท่าเทียมทางเพศ แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่เราใช้เวลาร่วมกันกว่าสองชั่วโมงเพื่อสำรวจชีวิตของคนๆ หนึ่งที่ยืนหยัดในการเปลี่ยนแปลง และขับเคลื่อนกระบวนการ รวมถึงชีวิตของเธอด้วยการเป็นนักกิจกรรม

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะอ่านบทความนี้จบที่ตรงไหน

โปรดเรียกขานวาดดาว-ชุมาพร ว่านักกิจกรรม

1
พรรคสามัญชน

ทบทวน Day One ของพรรคสามัญชนให้ฟังหน่อย

มันคือขบวนการสามัญชน เราทำตั้งแต่เริ่มร่างตัว Principle แรกของพรรค แล้วก็ประชุมในการจัดตั้งพรรคตั้งแต่แรกๆ แต่ในวันที่ยังเป็นขบวนการสามัญชน พอขบวนการสามัญชนเริ่มรวมกลุ่มได้ การประชุมครั้งแรกก็มีพี่น้องจากทุกภาค ตอนนั้นหลายๆ พรรคกำลังเริ่มตั้งพรรค อย่างพรรคอนาคตใหม่ก็เริ่มตั้งพรรค ขบวนการสามัญชนตั้งพรรค ก่อนหน้านี้พี่เอก-ธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ) ก็เป็นคนผลักดันให้เกิดพรรคนี้ ก่อนที่พี่เอกจะไปตั้งพรรคอนาคตใหม่กับพี่ต๋อง กับอาจารย์ปิยบุตร (แสงกนกกุล) พี่เอกก็คลุกคลีกับพรรคสามัญชน เรามาหลังพี่เอก คือตอนช่วงที่พี่เอกตั้งพรรค ตอนนั้นก็พูดคุยกับพี่ต๋องอยู่บ้าง แล้วก็ต้องตัดสินใจว่าจะไปอยู่อนาคตใหม่หรืออยู่กับสามัญชน แต่ด้วยความที่เรารู้สึกว่า ใจมันบอกว่าต้องสามัญชน ตอนนั้นก็ยากเหมือนกันว่ามันคืออะไร คือเลือกผิดเลือกถูกก็ไม่รู้ แต่ก็เลือกอยู่สามัญชนเพราะว่าชอบในเรื่องของพี่น้องที่ต่อสู้เหลือเกิน โดยเฉพาะการไปร่วมประชุมกับพรรคสามัญชนหลายๆ ครั้งแล้วก็ไปเจอแม่ป๊อป (ภรณ์ทิพย์ สยมชัย) นักต่อสู้ต่อต้านเหมือง รู้สึกว่าเซนส์ของเรา เราคงชอบแบบนั้นมากกว่า ไม่รู้คิดผิดคิดถูกนะ แต่ก็เลือกอย่างนี้มาโดยตลอด 

แล้วพอเข้าสู่การก่อตั้งพรรค เราก็เลยไปเป็นกรรมการบริหารพรรค ตอนนั้นเป็นรองหัวหน้าพรรค แล้วถัดมาก็ดำรงตำแหน่งโฆษกพรรค พอตอนนี้มีการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งจริงๆ มันเป็นสิ่งที่พวกเราอยากจะทำอยู่แล้วก็คือ ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง เพราะว่าเราล้วนแต่ต้องสร้างพรรคร่วมกัน ตอนนี้ก็ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคร่วม มันคือคอนเซ็ปต์ที่เราเอาไปใช้กับสามัญชน ตอนนี้เราคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องมีหัวหน้าพรรคคนเดียว เราก็เลยชวนกรรมการทุกคนที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคและรองหัวหน้าพรรคเป็นหัวหน้าพรรคร่วม ตอนนี้เราเองก็เป็นหัวหน้าพรรคร่วมกับทุกภูมิภาค 4-5 คน สลับผลัดเปลี่ยนกัน

เล่าเพิ่มได้มั้ยว่าคุณเผชิญกับอะไรบ้างในช่วงก่อการหรือการทำงานกับพี่น้อง

เวลาเราประชุมพรรค การประชุมพรรคที่มันมีงบประมาณแค่แสนนึงมันเป็นไปไม่ได้ แต่พวกเราทำได้เพราะว่าเราประชุมที่วัด แล้วพี่น้องหลายๆ จังหวัดในช่วงแรกๆ ที่เราได้เรียนรู้ รู้จักกับพี่น้อง สมมติว่าจะมีคนมาประชุมจากบ้านแหงซึ่งอยู่ลำปาง แล้วต้องมาที่เมืองเลย ต้องใช้การเดินทาง 10 ชั่วโมง เขาจะมาพร้อมกับสินค้าบ้านเขา เพราะเขาเอาสินค้ามาขายเพื่อเป็นค่ารถในการเดินทางมาร่วมประชุม แล้วเขาก็เดินทางมาอย่างนี้มาโดยตลอด ทุกครั้งที่สามัญชนเคลื่อนไหวหรือเรียกร้อง เราจะเรียกร้องบนท้องถนนหรือไม่เราจะเรียกร้องโดยการเดิน จะเห็นว่าโดยตลอดมานี้สามัญชนจะเดิน เดินวันต่อวัน วันละ 10 กิโล 15 กิโล จากเหมืองไปยังที่ว่าการจังหวัด จากจุดนั้นไปจุดนี้ เพื่อที่จะยืนยันการเปลี่ยนแปลง มันคือการต่อสู้แบบสองมือสองตีนจริงๆ

แล้วทุกครั้งที่เราท้อหรือไม่อยากทำพรรคแล้ว หรือมีพรรคอื่นๆ ชวนเราไปทำพรรคเยอะมากใน 4 ปีที่ผ่านมา พอมันนึกถึงพี่น้องตรงนั้น เราก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่หาซื้อไม่ได้ บางทีตอนที่เราล่ารายชื่อกันหนักๆ อย่างพี่น้องบางหมู่บ้านที่เขาต่อสู้กันในหลายๆ เรื่อง สิ่งที่เขาทำก็คือว่า อยู่ๆ เขาก็ไปรวบรวมรายชื่อในหมู่บ้านเขามาได้ 200 กว่ารายชื่อ เขาก็ส่งให้กับหัวหน้าเลิศ (เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์-อดีตหัวหน้าพรรคสามัญชน) มาบอกว่ามาช่วยกันสร้างพรรคสามัญชน ก็เลยคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันคือสิ่งที่เราสู้ผ่านกันมา ยังไม่นับรวมความขัดแย้งภายในองค์กรด้วยกันเอง เพราะว่าการทำงานมันก็ต้องมีความขัดแย้ง การเยียวยาที่เราจะต้องช่วยกันเยียวยา ปัญหาที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเรื่องที่เมื่อก่อนเรารู้สึกว่าเราจะผ่านมาได้ยังไงบ้าง แต่พอถึงวันนึงแล้วเรารู้สึกว่าการร่วมแรงร่วมใจโดยที่ไม่มีอะไรเลยของพรรคและพี่น้อง มันผ่านมาตลอดเลย 

พี่น้องร่วมอุดมการณ์ของคุณ “สู้” กันถึงขนาดไหน

มันคือสิ่งที่เราประทับใจมากที่สุดเลย พรรคสามัญชนที่เป็นชาวบ้านหรือเป็นพี่น้องนักต่อสู้ที่อยู่ตามเหมืองต่างๆ เขาชนะได้จากสองมือสองตีนของเขานะ กลุ่มเขามีอยู่ 100-200 คน แต่เขาสามารถหยุดเหมืองที่มีมูลค่าเป็นหมื่นล้านได้ หยุดให้ไม่สามารถประกอบการได้เลย เพราะว่าเหมืองนั้นเป็นมลพิษกับสิ่งแวดล้อม อีกอันหนึ่งก็คือที่นาหนองบง ดงมะไฟ (จังหวัดหนองบัวลำภู) สามารถหยุดอุตสาหกรรมระเบิดภูเขาเพื่อเอาไปทำปูนซีเมนต์ มูลค่า 40-50 ล้าน แล้วถ้าขายไปมูลค่าก็คงจะเป็น 100 ล้าน แต่เขาสามารถรวมกลุ่มแล้วก็หยุดการระเบิดได้

ถามว่าชีวิตเรา-เราทำได้ไหม เราทำไม่ได้ เราไม่มีทางหรอกที่จะไปนอนอยู่บนถนน อยู่ในหมู่บ้านอย่างนั้นตลอดเวลา เราเป็นชนชั้นกลางที่ช่วงม็อบเราก็ไม่ได้ไปนอนม็อบทุกวัน แต่การที่พี่น้องต่อสู้ปิดเหมืองได้โดยที่เจอชะตากรรมทุกอย่าง หลายคนเจอคดี 7-10 คดี เจอฟ้องร้องเป็นร้อยล้าน หัวหน้าเลิศเจอการขู่ฆ่าแบบเอาปืนยิงหัวจริงๆ จนกระทั่งต้องออกจากพื้นที่บ้าง หรือว่าจะต้องสร้างปรากฏการณ์ความปลอดภัยบ้าง เราคิดว่าสิ่งนี้มันคือสิ่งที่ไม่เคยง่ายเลยสำหรับพรรคสามัญชน แต่ว่าจนถึงตอนนี้เราก็ยังส่งผู้สมัครเข้าสู่สภาได้ หมายความว่าเอาตัวเองเข้าไปยืนยันว่าเราเองต้องมีสิทธิ์ที่จะเป็น ส.ส. ให้ได้ จะเป็น ส.ส. ได้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการโหวต แต่เราเองต้องมีสิทธิ์ที่จะเข้าไป

แต่พรรคคุณก็ค่อนข้างมีปัญหากับกรรมการการเลือกตั้งอยู่ไม่ได้น้อยด้วย

เราว่ากฏระเบียบของกกต.ยุ่งยากมาก ข้อแรก-การก่อตั้งพรรคให้ได้จะต้องมีรายชื่อ 500 รายชื่อบวกเงิน 1 ล้านบาทภายใน 90 วันถึงจะสามารถที่จะก่อตั้งพรรคได้ ข้อสอง-เราต้องรวบรวมรายชื่อ 1,000 รายชื่อภายใน 1 ปี อันนั้นคือกฏหยุมหยิม แล้วก็สมมุติว่าคุณประชุมครั้งหนึ่ง กว่ารายงานการประชุมของคุณจะเสร็จก็ใช้เวลาเป็นเดือน 2 เดือน เพราะภาระหน้าที่เราเยอะมาก แต่ถ้าเราส่งไม่ทันภายใน 15 วันหรือ 30 วันเราจะเจอคดีความ ปรับ 30,000 บาท และถ้าช้านับไปเลยค่ะ โดนปรับเพิ่มอีกเป็นวันละ 1,000 อันนี้คือสิ่งที่เราเจอมาตลอด เราเจอคดีความที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการยิบย่อยจากกกต. ค่อนข้างเยอะ 

ตอนที่ต้องจ่ายเงินเป็นแสนสำหรับค่าปรับ กลายเป็นว่าพี่น้องที่เขาต่อสู้เรื่องเหมืองชาวบ้านธรรมดานี่แหละก็ส่งข้อความมาว่า ตอนที่เขาสู้เรื่องเหมือง เขาพูดถึงสามัญชน คือทั้งหมดเลย เพราะว่าพี่น้องจากจังหวัดนั้นก็มาช่วย เรื่องจังหวัดนี้ก็ไปช่วยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทุกคนช่วยกันจนเขาชนะ เพราะฉะนั้นเขาจะเอาเงินหลักแสนที่พอมีอยู่ในกลุ่มนี้มาช่วยพรรคในการจ่ายค่าปรับ แต่ว่าเราเองยืนยันกับกกต. ว่าเราไม่จ่ายค่าปรับ เพราะมันเป็นคดีลหุโทษ แล้วมันไม่ควรที่จะต้องให้ใครมาจ่ายค่าใช้จ่ายจากการทำพรรคการเมือง มันเป็นหน้าที่ของกกต. ด้วยซ้ำ ต้องใช้ภาษีจ่ายให้พวกเราในการทำพรรคการเมืองสิ นึกออกไหมว่ามันย้อนแย้ง มันเป็นพรบ.การเมืองของนายทุน พี่เลิศศักดิ์ก็ทำหน้าที่ในการไปบำเพ็ญประโยชน์วันละ 500 บาทแทนการจ่ายค่าปรับ ซึ่งแน่นอนว่าพรรคอื่นเขาไม่แบกกันหรอกเรื่องแบบนี้ แต่พรรคเราเรารู้สึกว่า การทำงานนโยบายจากฐานรากมันมีความหมาย

การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ผลเป็นยังไงบ้าง

เราส่งทั้งหมด 11 เขต แล้วก็มีบัญชีรายชื่อ 5 คน ก็เลยเป็น 16 คน จบที่ได้คะแนนเสียงมา 5,000 กว่าคะแนนเสียง คือหมายความว่าเราต้องลงเขต เราถึงจะได้คะแนน เพราะฉะนั้นเขตจึงมีค่อนข้างจำกัดกับพี่น้องที่จะเลือก เราก็รู้สึกคะแนนที่ได้มามันน้อยจนน่าอาย ก็ต้องลุ้นอีกเพราะเรามีเงินในพรรคอยู่ 200,000 บาท เราจะไปไกลขนาดไหน อันนี้ต้องอาศัยศักยภาพ ตอนนี้เราได้คนรุ่นใหม่มาทำงานกับเราหลายคน เพราะพ่อแม่พี่น้องมีข้อจำกัดเรื่องของการสื่อสารด้วยเทคโนโลยี เราทำยังไงให้การสื่อสารด้วยเทคโนโลยีจากคนรุ่นใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญมาทำงานร่วมกันที่เป็นสายแบบเฟมทวิต เป็นสายทวิตเตี้ยน สายทำงานแบบด้อมอะไรมาก่อน ก็คงจะได้ดูกันว่าเป็นแบบไหน 

เป้าหมายจริงๆ ของพรรคสามัญชนคืออะไร

เราคุยกับน้องๆ และทุกคนอยู่ทุกครั้งว่า ตอนนี้เราทำงานที่ไม่ได้ต้องการชนะการเลือกตั้ง แต่เราต้องการชนะทางการเมือง และการชนะทางการเมือง เราไม่มีทางลัด สามัญชนไม่มีทางลัด มันมีแต่ทางที่จะต้องเดินไปทีละก้าว อันนี้ตั้งแต่วันแรกที่เรามาทำงานสามัญชน เรารู้เรื่องนี้ดีตั้งแต่แรก เราก็เลยไม่เคยกังวลว่าเราจะต้องหาทางลัดอะไรเพื่อที่จะทำให้เรากลายเป็นพรรคที่ตู้มต้าม แต่เราเชื่อว่าทุกครั้งที่เราปราศรัย เราไม่แพ้ใครในเรื่องนโยบาย ทุกครั้งที่ให้เราพูดถึงเรื่องภาพฝันของการเปลี่ยนแปลงประเทศ ถ้าฝันของเราก็ไม่แพ้ใครในเรื่องของความเท่าเทียมเป็นธรรม เราเชื่อมั่นว่าเวลาเราเข้าสภา จุดยืนของเราจะเป็นจุดยืนที่ไม่ใช่แค่สนับสนุนการต่อสู้ แต่มันจะโอบกอดประชาชนหรือสามัญชนทั่วไปเพราะว่าเขาจะมองเห็นว่าคนธรรมดามันเข้าไปสู่การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ซึ่งพวกเราเรียนมาโดยตลอด เขาก็บอกว่ากฎหมายออกมาเพื่อชนชั้นนั้น เพราะคนเขียนกฎหมายชนชั้นไหนก็ต้อง Support คนชนชั้นนั้น นั่นคือสิ่งที่เราจะต้องเข้าไปเพื่อจะทำเรื่องของนิติบัญญัติ อันนี้คือเป้าหมายของเราที่เราจะทำ

สรุปนโยบายของพรรคให้ฟังคร่าวๆ อีกทีได้มั้ย

เรายืนยันเรื่องสิทธิเสรีภาพ ไม่ว่าจะเป็น Human Rights Defender ในโครงสร้างทรัพยากรหรือการเมือง เพราะฉะนั้นกฎหมายหลายตัวต้องเอาออก ยกเลิก 112  ยกเลิก 116 พรบ.คอม พรบ.การชุมนุม อันนี้ต้องเอาออกเพื่อเปิดโอกาสให้คนได้มีพื้นที่ปลอดภัยในการแสดงออก เอาแค่พื้นที่ปลอดภัยก่อนนะ คุณรับข้อเสนอไม่รับข้อเสนอก็ช่าง พื้นที่ปลอดภัยในการแสดงออกก่อน สิทธิพลเมืองคือสิทธิสูงสุด นี่คือสิ่งที่เราต้องการ 

แต่มากไปกว่านั้น เราต้องการเรื่องความยุติธรรมและการเยียวยาด้วย ในเรื่องทางการเมือง ความยุติธรรมและการเยียวยา ในมาตรฐานของประเทศไทยยังต่ำเรี่ยดินมาก เราเลยต้องการที่จะเซ็น ICC หรือกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ อย่าลืมว่าเคยมีคนเสียชีวิตจากการกระทำของรัฐบาลจำนวนมาก รัฐที่สั่งสังหารผู้คน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดียาเสพติด เรื่องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือเรื่องการชุมนุมทั้งหมด จะต้องขึ้นสู่ศาลโลก เพื่อให้ศาลโลกพิจารณาตัดสิน การเยียวยาก็เหมือนกัน ต้องเยียวยาฟื้นฟู อันนั้นคือภาพการเมืองใหญ่ 

อีกอันหนึ่งคือการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน ภาคการเมืองท้องถิ่นเราต้องการการกระจายอำนาจสู่การเมืองท้องถิ่น ยกเลิกผู้ว่าราชการจังหวัดจากการแต่งตั้ง และยกเลิกหน่วยงานที่ทำงานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดจากการแต่งตั้งทั้งหมด ที่มันส่งต่อจากกระทรวง ทบวง กรมกลาง แต่สนับสนุนให้เกิดการเมืองท้องถิ่น การทำงานเรื่องของการกระจายอำนาจยังส่งผลไปยังการพัฒนาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในแต่ละจังหวัด ถ้าเราลดความเหลื่อมล้ำระดับเมืองได้ ความเหลื่อมล้ำระดับชุมชนก็จะดี 

แล้วก็เรื่อง พ.ร.บ. อากาศสะอาด ยกเลิกการสัมปทานอุตสาหกรรมของรัฐทุกรูปแบบ แล้วก็ยกเลิกอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และห้ามไม่ให้มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในพื้นที่ชุมชนใดๆ ทั้งสิ้น ฐานทรัพยากรต้องคงไว้เพื่อความมั่นคงของมนุษย์ ไม่ใช่เพื่อความมั่งคั่งของทุน แล้วก็ดูแลในเรื่องของตัวขยะที่เป็นมลพิษ ทั้งในประเทศ ต่างประเทศ และเรื่องอากาศสะอาด ต้องทำในระดับการสร้างความเข้าใจใหม่ของสังคมด้วย ว่า PM 2.5  ฝุ่นควันจริงๆ คนที่กระทำมันไม่ใช่คนเผาตัวเล็กตัวน้อย แต่มันมาจากทุนใหญ่ ทุนข้ามชาติ กระบวนการที่มันไม่เป็นธรรมทางด้านทุน มันส่งผลกระทบกับ PM 22 อย่างชัดเจนมาก ก็คือการสร้างความเข้าใจเพื่อลดอคติใหม่ด้วย

นโยบายเรื่องเพศเราก็ชัดมาก สมรสเท่าเทียม เป็นพรรคที่ทำเรื่องสมรสเท่าเทียมก่อนพรรคอื่นๆ แค่เราไม่ได้อยู่ในสภา รวมถึงเราต้องยกเลิกกฎหมายการค้าประเวณี 2539 เราต้องทำงานเรื่องของการทำให้การตั้งครรภ์ปลอดภัย ไปสู่ทุกๆ พื้นที่ ก็เคยอยู่ใน 30 บาท อันสุดท้ายคือต้องการไปยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา  301 ที่ยุติการตั้งครรภ์ผู้หญิงตั้งครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์ที่เป็นอาชญากร และยืนยันเพศสภาพหรือการยืนยันอัตลักษณ์ทางเพศ เพราะว่าการยืนยันอัตลักษณ์ทางเพศมันหมายรวมถึงการเปลี่ยนแปลงคำนำหน้านามทุกอย่างที่เขาอยากจะใช้ได้ มันหมายรวมถึงการที่มี Gender X ที่มันไม่อยู่ในกล่องเพศหญิงชายด้วย แล้วก็เรื่องสวัสดิการเพศ ก็ต้องอยู่ในระบบสวัสดิการถ้วนหน้า การเทคฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงโครโมโซม นั่นคือต้นทุนที่รัฐ เรามองถึงรัฐจะต้องให้ต้นทุนกับชีวิตพวกเรา ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่ง

ถ้าไม่นับเรื่องเงินทุน แรงสนับสนุนหรือกำลังใจของพรรคสามัญชนมาจากอะไร

ความฝันที่อยากจะเห็นประเทศเปลี่ยนแปลง ความฝันของคนที่เป็นพ่อแม่สามัญชนที่อยากจะเก็บที่ดินไว้ให้ลูกเขา ความเจ็บปวดที่เขาอยู่กับการระเบิดหิน ระเบิดเหมือง ความเจ็บปวดที่พนักงานบริการถูกจับเพราะ พรบ.ค้าประเวณี ความเจ็บปวดที่พี่น้องที่ไม่มีสัญชาติหรือว่าพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ถูกทำร้ายมาโดยตลอด เราคิดว่าแรงใจมันมากจากเรื่องความเจ็บปวดที่จะต่อสู้จริงๆ มันไม่มีอะไรที่มันพยุงพวกเรามาได้ถึงวันนี้ ถ้าหากว่ามันไม่มีความฝัน มันไม่มีการต่อสู้ มันไม่มีความหวังที่เราต้องเข้าไปเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลง เราว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องพยุงสำคัญนะ แล้วซื้อไม่ได้ หาซื้อไม่ได้ ไม่ต้องมีเงินเราก็ยังไปต่อได้ มีเงินเยอะ อาจจะไปต่อในรูปแบบนี้ไม่ได้ มีเงินเยอะจะกลายเป็นรูปแบบอื่นเลย เราพูดกับเพื่อนๆ เสมอในพรรคสามัญชนว่าทันทีที่เงินเข้ามาเร็ว เข้ามาเยอะ เราอาจจะต้องรับมือกับเรื่องอื่นมากกว่าเรื่องที่เรากำลังคิดว่าเรามีความฝันว่าอยากให้ประเทศเป็นอะไร

สมมติสามัญชนได้เข้าสภาแค่หนึ่งคนก็ยังดี มันจะทำให้คุณหายเหนื่อยมั้ย

(ตอบทันที) แน่นอน นั่นจะเป็นชัยชนะแรกที่สำคัญมาก แล้วมันไม่ใช่แค่พวกเราที่พยายามอยากจะทำกันอยู่ แต่ว่ามันหมายรวมถึงการส่งกำลังใจ ปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 1 คือปั๊บใช่ไหม ซึ่งเขาสู้มาตั้งแต่ปี 57 แล้วเขาก็เคยถูกเข้าคุกจากการเป็นนักกิจกรรมตอนที่เป็นนักศึกษา เขาทำงานเรื่องทำแท้งปลอดภัย เขาทำงานเรื่องยุติความรุนแรงทางเพศ การข่มขืน มันก็ส่งกำลังใจให้กับคนที่ทำงานเรื่องนั้น อันดับที่ 2 คือเยล (สุริยา แสงแก้วฝั้น) คนพิการทั่วประเทศจะรู้สึกยังไงกับการเห็นคนอย่างเยลเข้าสภา หรือแม่ป๊อปเองมีการต่อสู้เพื่อที่จะปกป้องแผ่นดิน ทรัพยากรของตัวเองตั้งเยอะ เขาก็จะรู้สึก ส่งกำลังใจ เรารู้สึกว่ามากกว่าชัยชนะคือการส่งกำลังใจและทำให้เห็นว่ามันเกิดขึ้นได้ แล้วเป็นพรรคที่ทุกคนรู้ว่าไม่มีเงิน แต่มันเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นมันจะกลับหัวกลับหางพรรคอื่นเลย พรรคอื่นก็ต้องปรับตัว 

แล้วมันจะทำให้คุณเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบในสภามั้ย

ไม่ เราจะกลายเป็นคนตัวใหญ่มาก เรื่องที่เขาไม่เคยกล้าพูดเราจะพูดไง ไม่ใหญ่ได้ยังไง พวกเขานั่นแหละจะตัวลีบ เพราะพวกเขาไม่เคยพูด เขาไม่กล้า พรรคการเมืองส่วนมากไม่กล้าพูด ส.ส.ส่วนมากไม่กล้าพูดเพราะห่วงพรรค เรากล้าพูด เราใหญ่กว่าเขาอยู่แล้ว จำนวนน้อยแต่ว่าเสียงจะมีความหมาย เราจะสามารถรับหนังสือของพี่น้องที่อยู่ในทุกพื้นที่ได้มากกว่าเดิม ก่อนหน้านี้เราต้องไปขอให้พรรคนู่นพรรคนี้ หาวันที่ ส.ส.ว่าง ถ้าเราได้เข้าสภา เราสามารถรับหนังสือและใช้งบประมาณในการศึกษานโยบาย ศึกษารายงาน ทำรายงานเรื่องการทำนโยบาย แล้วก็นำไปพูดในสภา เราใหญ่มากเลย เราไม่เล็กแน่นอน เสียงโหวตในสภาเพื่อที่จะทำให้กฏหมายผ่านไม่ผ่าน ไม่มีความหมายเท่ากับการทำงานในสภา เราคิดว่าเรื่องนั้นสำคัญมาก 

ต่อให้สามัญชนจะได้เข้าหรือไม่เข้าสภา อะไรเป็นสิ่งที่ยังยืดเหนี่ยวให้ยังเชื่อมั่นในการเดินทางของพี่น้องพรรคสามัญชน

ก็ต้องกลับไปคำถามเดิมถึงการต่อสู้ของพวกเรานั่นแหละ พรรคสามัญชนตั้งมา 6 ปี แต่ว่าการต่อสู้ของพี่น้องอย่างเช่นเหมืองที่ดงมะไฟ เขาสู้มา 30 ปี เขาสู้มาก่อนเราเสียด้วยซ้ำ นาหนองบง 13 ปี บ้านแหง 10 ปี พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ต่อสู้มา 40-50 ปี LGBTQ+ ต่อสู้มา 20 ปี พวกเขาต่อสู้มาก่อนพวกเรา เราเลยคิดว่าสิ่งที่มันยึดเหนี่ยวก็คือการต่อสู้ การต่อสู้จากคนธรรมดาทั่วไป การต่อสู้และพิสูจน์ให้เห็นว่าคนธรรมดาเหล่านี้อยากจะเข้าไป อันนี้มันยึดเหนี่ยวให้คนอื่นเชื่อ แล้วพอเราเข้าไป เราก็ต้องรักษาไว้ซึ่งสิ่งที่เราพูด เพราะว่าเราไม่มีต้นทุนอย่างอื่นที่จะมาเคลือบเราไง เราไม่สามารถเคลือบได้เพราะว่า ถ้าเราไปปุ๊บ เราบ้ง เราไปปุ๊บ เราไม่ทำตามสิ่งที่มันควรจะอยู่ในอุดมการณ์ที่เราพูด เราถูกโจมตีหนักกว่าคนอื่นแน่นอน เพราะเราไม่มีต้นทุนของการที่จะไปซื้อสื่อเพื่อที่จะมาเคลม มาฟอกพวกเรา เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่พวกเราจะยึดเหนี่ยว หมายความว่าให้เราเป็นตัวของตัวเองในการต่อสู้ของพวกเรา

2
Bangkok Pride

ชวนคุยเรื่องสมรสเท่าเทียมหน่อย ในวันที่มันเข้าสู่สภาได้แล้ว การผลักดันให้มันมาถึงตรงนี้ได้โดยถึงมันมีแรงส่งจากเยาวชน จากคนที่ตระหนักถึงเรื่องเดียวกันด้วย คุณในฐานะหนึ่งแรงผลักดัน เรื่องมีความหมายกับคุณยังไง

คือเราทำงานเคลื่อนไหวมา 20 ปี แต่เราคิดว่ามันจะเป็นไปได้เร็วที่สุดก็ 8 ปี เราทำงานเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 61 ถ้า 8 ปีก็คือ 67 ก็คือปีหน้าต้องผ่าน ก็ทำงานสั้นลง ตอนแรกเราคิดว่า พรบ.คู่ชีวิต ผ่าน ก็ไม่เป็นไร เราใช้เวลาอีกสัก 10 ปีในการไปสู่สมรสเท่าเทียม แต่มันเปลี่ยน แล้วก็มันทำให้เรารู้สึกว่าพอจะทำงานใหญ่กว่านี้ได้

เคยรู้สึกไหมว่าวันนึงที่เราทำงานบางอย่างที่เรารู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้สำเร็จ นี่คือการพัฒนาศักยภาพของความเป็นมนุษย์ มีความหมายมาก พี่หมดโอกาสในการที่จะสามารถตั้งครรภ์ได้ด้วยตัวเองเพราะว่าอายุเกิน แล้วมีกฏหมายในประเทศไม่อนุญาตให้ตั้งครรภ์ แต่ว่าเรากำลังจะทำให้ทุกคนสามารถมีครอบครัวที่จะเลือกได้ ก็รู้สึกแฟร์ดี เพราะกว่าที่เราจะกล้า Come Out (เปิดตัว) แล้วที่บ้านก็ยอมรับ แล้วก็ทุกคนยอมรับ เราใช้เวลา 30 ปี ในเรื่องความเป็นเพศหลากหลายของเรา แล้วพอถึงวันนี้ เราคิดว่าเราจะทำให้เพื่อนๆ ที่เคยเจ็บปวดแบบเรามีกำลังใจแล้วก็เจ็บปวดน้อยลง

ประวัติศาสตร์และความพยายามในการจัดงาน Pride ในบ้านเรามันยาวนานและผ่านการต่อสู้ที่เข้มข้นมาก พี่น้องผู้เคลื่อนไหวที่สามารถจัด Pride ในไทยได้อีกครั้งเห็นความหวังยังไงบ้าง

หายเหนื่อย อย่าลืมว่าพวกเราทำงานกันหนักมาก  เราทำงานแบบที่ไม่ได้ตีมูลค่าการทำงานแต่ตีมูลค่าการใช้ชีวิต เราใช้ชีวิตกับการทำงาน มันหายเหนื่อย มันทำให้มีแรงไปต่อ มันทำให้เกิดความภาคภูมิใจ บางทีมันก็ร้องไห้ ตอนที่จัด Bangkok Pride (นฤมิตไพร์ด) ปีที่แล้วในกรุงเทพฯ เดินกันประมาณเกือบ 20,000 คน เราไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้น  คือในใจเราเมื่อก่อนตอนที่เราไปดูงานไพรด์ต่างประเทศ เรารู้สึกว่าเราได้ไปเดินอยู่ เราได้ไปนั่งรถสักนิดนึง เราก็มีความสุขแล้ว แต่พออยู่ๆ วันนึงที่เราสร้างปรากฏการณ์ให้มันเกิดขึ้นได้ เรารู้สึกว่าเรามีความสุขมาก แล้วเรารู้สึกว่ามันคือของขวัญในชีวิต แล้วมันไม่ใช่ของขวัญแค่เราเพียงอย่างเดียว มันเป็นของขวัญของหลายๆ คน อันนั้นคือสิ่งที่เรารู้สึก อะไรที่มันเป็นของขวัญ หรืออะไรที่มันทำให้เราตายตาหลับได้ มันเกิดขึ้นแล้วในชีวิตเรา

แล้วจริงๆ คุณและพี่น้องใช้กระบวนการอะไร หรือเหนื่อยขนาดไหนกว่าจะจัดงานนี้ขึ้นมาได้

คุณรู้ไหมว่าทำไมเกิดงานปีที่แล้ว มันเกิดขึ้นเพราะไม่มีใครลงบนท้องถนน ตอนที่ช่วงเดือนพฤษภาคม มันมีการประชุมกันบ้างว่าจะจัดงานไพรด์ต่างๆ นานา แต่เราไม่ค่อยได้เข้าประชุมกับพวกเขา เพราะเอาชื่อเราไปเป็นกรรมการเสียด้วยซ้ำตอนนั้น เป็นกรรมการเพราะว่าเราอาจจะเคยชินกับท้องถนน ตอนที่เราจัดปีที่แล้ว (2565) เราเริ่มต้นจากเพื่อนคนนึงซึ่งจัดม็อบมาด้วยกัน บอกว่า เฮ้ย วาดดาวเราจัดม็อบกันดีกว่า จัดไพรด์พาเหรดเลย เดินขบวนเลย แล้วพวกเราเป็นพวกจัดม็อบ เราก็เลยไม่กลัวการลงท้องถนน พอเดือนพฤษภาคม เราก็เฝ้ารอว่าปีนี้ใครจะจัดกิจกรรมอะไรบ้าง แต่กลายเป็นว่าไม่มีใครลงถนน จนกระทั่งเรารู้สึกว่า มันต้องลงถนนสิ มันมีแต่คนจัดในห้าง มันมีแต่คนจัดในโรงแรม จัดที่หอศิลป์ ทั้งที่เราฟังมาโดยตลอดว่ามีคนอยากจัดไพรด์พาเหรด อ้าว แล้วทำไมไม่จัดล่ะ เราก็เลยถามเพื่อนๆว่าเอาไหม มาจัดไพรด์เถอะ อย่างน้อยแก๊งสามกีบเราแน่นอน 200-300 คน เอาแค่นั้นก็พอแล้ว ยังไงต้องลงท้องถนนให้ได้ คิดแค่นี้จริงๆ แล้วเราก็ประชุม แล้วก็ทำเลยภายใน 1 เดือน ตอนนั้นไปประชุมกับเพื่อนๆเรื่องอื่น เราก็ประชุมภายในกลุ่มกัน รวมกลุ่มกัน แถลงข่าวก่อนการจัดงาน 10 วัน แล้วระดมทุนภายใน 7 วันเพื่อที่จะจัดงานให้ได้ เพราะว่าไม่มีคนลงบนท้องถนน 

เรารู้สึกว่ามันมี 2 มุม อันนี้เราไม่ได้พูดในนามของ LGBTQ+ อย่างเดียวนะ ต้องเข้าใจด้วยว่าเราอยู่ในหมวดของนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยที่ทำม็อบด้วย เรารู้สึกว่าแล้วทำไมไม่ลงถนน ในเมื่อตั้งแต่ปี 63 เป็นต้นมา เยาวชนลงถนนทั้งนั้นเลย แล้วประเด็นสมรสเท่าเทียม มันมาขนาดนี้ได้เพราะเยาวชนลงท้องถนนนะเว้ย แล้วเราลงท้องถนนได้ ทำไมเราไม่ลงกัน เรามีอะไรที่ทำให้เราไม่ลง อันนี้คือสิ่งที่คิด ที่รู้สึกเลย จริงๆ เราไปคุยกับทะลุฟ้าเสียด้วยซ้ำ คุยไปคุยมาก็เจอว่ารัฐธรรมนูญไง ที่มันต้องเป็นจุดร่วมเดียวกัน ไล่รัฐบาลประยุทธ์เป็นจุดร่วมเดียวกัน เพราะฉะนั้นเงื่อนไข 3-4 ข้อที่เราเคยทำมาทั้งหมด ต้องยุบสภา ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แล้วก็ไล่ประยุทธ์ คนก็จะเห็นรัฐธรรมนูญสีรุ้งที่แปะอยู่ คุณก็จะเห็นการพูดรัฐธรรมนูญบนป้าย คุณจะเห็นป้ายสมรสเท่าเทียมไม่ผ่านเพราะรัฐบาลประยุทธ์ เพียงแต่ว่าเราได้องค์ประกอบทีีเพิ่มขึ้นก็คือ ชัยชนะของผู้ว่าชัชชาติ (สิทธิพันธุ์) และคนอยากออกมาข้างนอกเพราะว่าโควิด แล้วก็การรอคอยการจัดงานไพรด์ในกรุงเทพฯ 

แล้วจริงๆ การจัดงานทั้งหมดเราใช้คอนเซปต์ของการจัดม็อบหมดเลย เราเอาผ้าไปปู เราเอาธงไปเดิน เราหาอาสาสมัคร เราเอาอุปกรณ์ไปวางกอง ใครเป็นอาสาสมัครถือไป เรามั่นใจในมวลชน เราไม่ใช่ต้องจ้างคนมา 500 บาทเพื่อถือ เอาธงไปกอง เอาป้ายไปกอง แล้วก็บอกมวลชนว่าช่วยถือ เราดีไซน์ต่างๆ ตามคอนเซปต์เหมือนเราทำม็อบทุกอันเลย เราหาแค่คนที่ดูแลความปลอดภัย เราหารถเครื่องเสียง ทุกอย่างไม่แตกต่างเลย แต่เราต้องบริหารจัดการบางอย่างเพื่อให้เกิดไวรัล เพราะว่ามันมีการโอบกอดกัน มันมีความภาคภูมิใจกัน มันเป็นพื้นที่ที่คนสามารถจูบกันได้ ที่เป็นความหลากหลายซึ่งประเทศนี้ไม่เคยให้เรา

ก่อนหน้านี้มันคือขบวนพาเหรดดิบๆ เลย ปีนี้คุณหาวิธีการใหม่ๆ หรือการสร้างพันธมิตรใหม่ๆ ในการจัดงานครั้งนี้ยังไงบ้าง

ตั้งแต่เราดูการจัดงาน World Pride ครั้งแรกที่ Toronto (แคนาดา) เราก็คิดมาโดยตลอดว่าอยากให้มีที่บ้านเรา เราคุยกันว่าเราจะจัดปีหน้าอีกไหม เราเลยต้องไปทำงานแล้วก็ต้องไปศึกษาว่าตัว World Pride มันมีเงื่อนไขแบบไหนบ้าง ซึ่งการจัดงาน World Pride ครั้งหนึ่งเราคิดว่าคงใช้เงินอยู่หลายสิบล้านบาท ซึ่งขยายเป็นร้อยล้านบาทได้ถ้าหากว่าคุณอยากทำให้มันใหญ่ๆ พื้นที่ที่มันเปิดรับก็ต้องปลอดภัยสำหรับทุกประเทศ เราเลยต้องเอาตัวนั้นมาเป็นมาตรฐาน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำตัวแรกๆ เลยคือ การระดมทุน ต้องทำให้มันสามารถที่จะมีความรับผิดชอบและความโปร่งใส สองตัวนี้สำคัญมาก เพราะว่าเราจะตอบโจทย์กับพี่น้องได้

แล้วเราต้องยืนยันจุดยืนของเรา การทำงานไพรด์ครั้งนี้ เราไม่ใช้เงิน กทม. เลย คุณมีหน้าที่ในการอำนวยความสะดวก เพราะเราไม่ต้องการที่จะทำงานไพรด์เพื่อหวังงบของรัฐ ถ้ากทม. ต้องการสนับสนุน เราจะบอกเลยว่าคุณต้องสนับสนุน 50 เขตให้จัดงานไพรด์มาใส่ให้เรา เราอยากเอาตัวเราไปเชื่อมต่อกับธุรกิจต่างๆ เพื่อยืนยันว่าพวกคนที่ทำ Rainbow Policy หรือ Rainbow Marketing ทั้งหลาย คุณจะต้องใช้เงินเข้ามาเพราะคุณได้ประโยชน์ เรื่องการระดมทุนก็แตกต่างแล้ว อันที่ 2 ก็คือการทำงานโดยที่ กทม. เป็นพาร์ทเนอร์ก็ตาม การปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่รัฐก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเส้นทางในแต่ละครั้ง เราจะต้องหาเวทีที่จบ เพราะไม่อย่างนั้นเราจบไม่ได้ มันไม่กลับกัน เราอยากหาเวทีเฉลิมฉลองแบบภาคภูมิใจ คุณจัดบนท้องถนนแล้วปิดก็แค่เอารถไปวาง 2-3 คัน สุดท้ายแล้วเราก็จะถูกด่าว่าเป็นพวกปิดถนน สร้างความวุ่นวาย เราต้องการเอาศักดิ์ศรีเรานี้กลับมาให้กับพี่น้อง เราก็เลยเปลี่ยนเส้นทางและมีที่ทางได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปต่อสู้หรือเจรจา แต่เราใช้ความร่วมมือ เราทำงานกับกทม. เพื่อที่จะทำให้กทม. ทำ Rainbow City Network ขึ้นมา ซึ่งผู้ที่รับผิดชอบก็ต้องเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดคือผู้ว่าชัชชาติ ไม่ใช่พวกเรา เพราะมันเป็นความร่วมมือระหว่างเมือง 

เราพยายามที่จะทำให้เห็นปรากฏการณ์ของ Bangkok Pride  แม้กระทั่งการประชาสัมพันธ์ Bangkok Pride ในช่วงเลือกตั้งซึ่งยากมาก มันไม่มีใครพูดถึงงานอื่นนอกจากเลือกตั้ง เราก็ต้องดีไซน์ตัวอีเวนต์ที่พูดถึงเรื่องการหาเสียงแล้วก็โยงมาที่ขบวนพาเหรด เราเลยคิดว่าครั้งนี้มันเป็นรูปแบบที่แตกต่าง หมายถึงว่าเราดึงการออแกไนซ์ที่มันออแกไนซ์สำหรับความสนุกสนาน ความปลอดภัย ความเอ็นเทอร์เทนที่เพิ่มขึ้น ระดมทุนที่เพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญก็คือเราเพิ่มเงื่อนไขเพื่อสนับสนุนชุมชนที่ชัดเจนเพิ่มขึ้น หมายความว่าในบรรดาองค์กรทั้งหมดที่ร่วมจัดงาน คนที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการจัดงานของเราก็คือชุมชน 

คาดหวังให้คนเห็นอะไรจาก Bangkok Pride

เราคิดว่าครั้งนี้จะเป็นงานประชาสัมพันธ์ใหญ่ทั่วโลกว่าเรามี Bangkok Pride มีแล้ว และปีหน้าเป็น Destination ที่คุณต้องมา สอง-จะเป็นการประกาศว่ากรุงเทพและประเทศไทยพร้อมที่จะไปสู่ World Pride สาม-เราต้องการให้ Bangkok Pride เป็นส่วนสำคัญให้เกิด Pride ในแต่ละจังหวัดเพิ่มมากขึ้น เกิด Community ที่เพิ่มมากขึ้น สี่-เราอยากจะเปลี่ยนการร่วมมือในเรื่องของช่วงงานในเดือนไพรด์ทั้งหมด เป็นการร่วมมือที่มันไม่ใช่แค่ LGBTQ+ เท่านั้น แต่มันจะมีครอบครัว Chosen Family (ครอบครัวที่เลือกเอง) ในมิติต่างๆ หรือว่าธุรกิจในท้องถิ่นที่ทำงานร่วมกันไป เราคิดว่าเป็นพื้นที่แรกที่คิดว่ามันน่าจะไปถึงได้

แล้วก็ในปีถัดไปเราคิดว่า Bangkok Pride ต้องลดขนาดลงลงแล้วไปจัดสี่หัวเมืองใหญ่ให้ได้ ให้ใหญ่ให้ได้ เพื่อให้หัวเมืองใหญ่แข่งกับกรุงเทพ แล้วหลังจากนั้นเราค่อยจัดเมืองรองเพื่อให้เมืองรองมา Support การแข่งขันกับเมืองใหญ่อีก ถึงวันนั้น World Pride จะเป็น World Pride ทั่วประเทศ 

เราคิดว่าเราจะเริ่มก่อฐานของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ อย่างเรื่องประเด็นความเท่าเทียมทางเพศ การประกาศว่าพวกเราไม่ใช่คนที่กำลังร้องขออะไรพวกคุณ แต่เราคือหัวใจใหญ่ของเศรษฐกิจประเทศนี้ 4 อุตสาหกรรมเกี่ยวกับเพศหลากหลาย ทั้งการแพทย์ ภาพยนตร์และซีรีส์วาย การท่องเที่ยว และบันเทิงจะต้องถูกผงาดขึ้นมา เราคิดว่าไม่มีประเทศไหนที่เหมาะสมอุตสาหกรรมนี้อย่างลงตัวเท่ากับไทยแล้ว คือบางพื้นที่คุณได้เรื่องบันเทิง แต่คุณไม่ได้ซีรีส์วาย คุณไม่ได้ภายพนตร์ แต่บางประเทศได้ คุณไม่ได้เรื่องทางการแพทย์ บางประเทศได้แต่ว่าแพง ท่องเที่ยวต่อไม่ได้ ผ่าตัดปุ๊บ ดีปุ๊บ จบ รีบกลับ แต่ว่า 4 อุตสาหกรรมที่สอดคล้องในวงจรนี้จะเป็นหัวใจสำคัญที่คืนศักดิ์ศรีของพวกเราที่พวกเราถูกเลือกปฏิบัติมายาวนาน แล้วมันไม่ใช่ต้องเป็นก้าวต่อก้าว เพราะฉันถูกเลือกปฏับัติแล้วฟื้นฟูฉัน ไม่ใช่ค่ะ จริงๆ กูอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก กูอยู่บนศักดิ์ศรีตั้งแต่แรก กูทำงาน กีกูทำเงินให้พวกมึง ร่างกายของพวกกูทำเงินให้กับประเทศ นักท่องเที่ยวมาดูกูค่ะ นั่นแหละคือสิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นชาเลนจ์ที่ Bangkok Pride กำลังจะโยนไป

ถ้าประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ World Pride ได้ เรื่องมีความหมายกับคุณยังไง

สำคัญกับเอเชียค่ะ เพราะว่าจะเป็นครั้งแรกที่จัดในเอเชีย แล้วเท่าที่คุยกับฝั่งของคนที่ถือลิขสิทธิ์การจัดงาน นี่จะเป็นครั้งที่ไม่ใช่แค่ World Pride ที่จัดในกรุงเทพ แต่ว่ามันจะเป็นระดับเอเชีย สำคัญกับพี่น้องที่อยู่ในพื้นที่ๆ ไม่ได้โอบรับความหลากหลาย อย่างเช่นอินโดนีเซีย มาเลเซีย อิรักหรือเอเชียกลางที่เขาไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ มันใกล้มากพอให้เขาได้มาเป็นตัวของตัวเองบางช่วงเวลาของชีวิต หรือพี่น้องที่อยู่ที่จีนที่ยังคงถูกปิดกั้นจากรัฐก็สามารถที่จะมาฉลองร่วมกับเราได้ สำคัญสำหรับเอเชียที่จะรวมอินโดจีนมาเพื่อที่จะเชื่อมโยงอีกครั้งนึง นี่คือนโยบายทางการทูตที่ไร้พรมแดนที่สุด ที่เราคิดว่ามันจะทำให้เอเชียเปลี่ยนได้ แล้วมันก็สอดคล้องกับ World Economic Forum ที่จัดเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ว่าเทรนด์จะมาที่ South East Asia โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศจะมาอยู่ที่นี่ และแน่นอน มันสำคัญกับความหลากหลายอื่นๆ ในมิติ ในประเทศไทย และสำคัญกับพวกเรามากที่สุดคือ เราเป็นคนตัวเล็กตัวน้อยที่ทำเรื่องนี้ แล้วมันจะสร้างแรงบันดาลใจให้คนตัวเล็กตัวน้อยอีกมากที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงวันนี้ที่เราต้องมาขายเสื้อในการระดมทุน ทั้งที่ถ้าหากว่าเราไม่ยืนยันอยากจะทำ เราก็มีธุรกิจที่เราไปนั่งคุยมา แล้วเขาก็มีเงื่อนไข บอกว่าถ้าหากต้องจ่ายเงินให้พวกคุณ ขอจัดเองไม่ดีกว่าหรอ เราก็คิดในใจว่า เชิญจัดเองเลยค่ะ ไม่ว่าอะไรเลยค่ะ จัดได้จัดเลยค่ะ ดีเสียด้วยซ้ำที่จะมีเยอะๆ

3
ชุมาพร แต่งเกลี้ยง

ทำไมคุณถึงอยากให้ผู้คนเรียกขานตัวคุณว่า “นักกิจกรรม” เท่านั้น

เราอ่านเรื่องราวของนักต่อสู้มาทั่วโลก เราอยากเป็นคนแบบนั้น แล้วนักต่อสู้ทั่วโลกที่เขาสร้างการเปลี่ยนแปลงของสังคม หรือการสร้างการเคลื่อนไหว มันคือ Activism เราก็เลยรู้สึกว่าคำว่า Activism หรือ Activist เนี่ย มันเป็นคำกลางๆ ที่เรารู้สึกว่ามันคือชีวิตของเรา ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็น NGO ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแกนนำก็ได้ บางทีเป็นใครก็ได้ลุกขึ้นมาเก็บขยะที่ชายหาด มันก็คือ Acitivism เป็นคำกลางๆ ที่ไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์ใดๆ เราก็เลยรู้สึกว่า เรามีความสุขกับการเรียกเราว่า Activism เพราะว่าทุกวันในหัวของเรา เราก็ลุกขึ้นมาคิดว่าฉันจะไปสร้างกิจกรรมแบบไหนยังไงที่ไม่สนับสนุนชีวิตเรา ไม่สนับนสนุน Community ของเรา ก็สนับสนุนสังคม หรือสนับสนุนประเทศ มีความสุขกับชื่อนี้

แล้วอะไรทำให้คุณยืนหยัดในการเป็น “นักกิจกรรม” มาเกือบ 20 ปี

ความเจ็บปวดในวัยเด็ก ชีวิตที่เจ็บปวด ชีวิตที่ถูกละเมิด ชีวิตที่ถูกไม่มองเห็นคุณค่า แล้วพอเรามาเห็นว่ามีหลายคนก็เจ็บปวดเหมือนเราในหลายๆ มิติ คนที่ต่อสู้เรื่องเหมือง คนที่เจอการข่มขืน คนที่ทำแท้งแล้วถูกตีตรา คนที่เป็น LGBTQ+ แล้วถูกเกลียดชัง แล้วมันเป็นความรู้สึกเดียวกันว่ามันไม่ควรจะมีเรื่องแบบนี้ เราก็เลยรู้สึกว่ามันคงเป็นสิ่งที่ทำให้เราไปต่อ ถ้าชีวิตเรามีความสุข เราก็คงนึกไม่ออกว่าเรื่องแบบนี้จะมีความหมายกับเราขนาดไหน มันเป็นสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ ตำแหน่งไหนก็ซื้อไม่ได้

ถ้าวันนี้คุณไม่ใช่นักกิจกรรม คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

เป็นนักวิชาการ ตอนนั้นเราเรียนปริญญาโทอยู่ที่จุฬา แล้วเราก็เริ่มตั้งคำถามกับโครงสร้างสถาบันที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะโครงการหลวง แล้วก็โครงการดอยตุง ถ้าเราเรียนจบตอนนั้น เราเองก็คงจะเป็นนักวิชาการ แต่วันนั้น วันที่เราเข้าไปในการชุมนุมเสื้อแดง ซึ่งเราไม่ได้เป็นเสื้อแดงมาก่อนแล้วน้องเฌอเสียชีวิต ซึ่งเราเคยเจอเฌอ (สมาพันธ์ ศรีเทพ-เหยื่อที่ถูกยิงจากการสลายการชุมนุมเสื้อแดงที่ซอยรางน้ำ ปี 2553) ตอนนั้นเราทำงานกับสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เรามาเจอเฌอ แล้วเราเห็นการทำงาน เราเจอพี่เอก (ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ) ก็ตอนนั้น เราเจอเพื่อนๆ ตั้งแต่ตอนนั้น ถ้าหากว่าวันนั้นเราตัดสินใจว่าเราไม่สนใจการเคลื่อนไหวบนท้องถนน เราก็คงจบปริญญาเอกแล้วก็ไปเป็นนักวิชาการ แต่พอเราเคลื่อนไหวบนท้องถนนแล้วเราเห็นนักวิชาการจำนวนมากไม่ได้พูดเรื่องจริงๆ กับที่มันควรจะเกิดขึ้นในสังคม ให้ความสำคัญมากเท่ากับการอยากจะรู้จักว่าสังคมนั้นมันเป็นยังไงจากตัวเราเอง

แล้วเป้าหมายสูงสุดจริงๆ ในการเป็นนักกิจกรรมของคุณคืออะไร

ก่อนหน้านี้คิดว่าสมรสเท่าเทียมนะ แต่ตอนนี้ก็ผ่านไปแล้ว แต่อีกอันนึงที่เราอยากจะทำให้ได้ภายใน 10 ปี เราสนุกมากเลยตอนที่เราได้ทุนก้อนแรกจาก Astria Foundation เขาถามเราว่าใน 10 ปีข้างหน้าคุณอยากเห็นอะไร แล้วเราก็บอกว่าเราอยากจะเอาประเด็น LGBTQ+ เข้าสู่การเคลื่อนไหวของสังคม เราทำเสร็จภายใน 8 ปี ซึ่งถือว่าเร็ว สมรสเท่าเทียมเราคาดหวังว่าเราจะทำเสร็จภายใน 20 ปี เราทำงานภายในปีที่ 12 แล้วปีที่ 13 เราทำสำเร็จ

อีกอันหนึ่งที่เราทำไว้ตั้งแต่ปี 63 ที่เราเห็นตั้งแต่ก่อตั้งผู้หญิงปลดแอก ก็คือว่าเราอยากให้ทุกหมู่บ้านมันมีความรุนแรงทางเพศลดน้อยลง เราตั้งเป้าว่า เรารู้ว่าภายใน 8 หรือ 10 ปีตั้งแต่วันที่เราคิดถึง คนที่อยู่ในการเมืองคือเพื่อนเรา เราไม่ได้หวังว่าเราจะไปอยู่ในการเมืองนะ คือเพื่อนเราที่ฝันเห็นสังคมแบบนั้นเหมือนกัน เราต้องการงบประมาณที่จะทำเรื่องการยุติความรุนแรงผ่านการอบรมให้กับ อสม. ก็ได้ แล้วก็ทำงานในหมู่บ้าน ให้ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบลมีความเข้าใจเรื่องความรุนแรง การยุติความรุนแรงทางเพศ การยุติการเกลียดชังเนื่องจากเพศ เราคิดว่าเราจะต้องทำให้ได้ทุกตำบล ทุกตำบลเหมือนกับที่เขาทำเรื่องทั่วไป เรื่องสาธารณสุขอื่นๆ ประเทศไทยเก่งมากในเรื่องการกระจายอำนาจอย่างรวดเร็ว เราอยากทำเรื่องนั้นเพราะฉะนั้นเราคิดไว้เลยว่ากว่าจะถึงวันนั้น 

เคยไปฟังพี่อวยพร (เขื่อนแก้ว-นักกิจกรรมสตรีนิยม) เราสามารถเยียวยาชีวิตตัวเองได้ เราปลดแอกชีวิตตัวเองได้ เราหวังว่าเราจะปลดแอกหลายคนได้ แต่เราทำไม่ได้คนเดียว ใน 8 ปีข้างหน้าเราอยากมีกระบวนกรที่อำนวยกระบวนการแบบสไตล์พี่อวยพรอีกสักพันคน เพื่อกระจายให้ครบทั้ง 300 กว่าตำบล 1,000 กว่าหมู่บ้าน เพื่อที่จะทำให้ทุกพื้นที่มันเป็นพื้นที่ที่ยุติความรุนแรงทางเพศและความเกลียดกลัวทางเพศได้อย่างเป็นรูปธรรม ถ้าไม่ทำระดับหมู่บ้าน  เราทำแต่ในระดับเฮด ทำแต่ในระดับห้าง นี่ไม่ใช่ความหมายที่เรารู้สึกว่าเราเป็นเป้าหมายใหญ่ เราอาจจะใช้เป้าหมายตรงนี้เพื่อปูพื้นในการทำวันนั้น

Contributors

Contributors

นักเล่าเรื่องที่ใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมือและศรัทธาในพลังของงานเขียน ผู้ชอบตัวเองตอนนั่งสัมภาษณ์ผู้คนที่สุด

ช่างภาพฝึกหัด ชอบแมว ชอบสีเขียว ชอบเฝ้าดูและเก็บบันทึกความเป็นไปของโลกผ่านภาพถ่าย