“อบอุ่น – จริงใจ – มองโลกในแง่ดี” คือสามคำที่บอกเล่าความเป็นตัวตนของ Valentina Ploy

บนเส้นทางดนตรีของ พลอย–วาเลนติน่า จาร์ดุลโล ศิลปินสาวลูกครึ่งไทย-อิตาลีเสียงใสคนนี้ ได้สร้างเอกลักษณ์ให้กับตัวเองผ่านบทเพลงที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความจริงใจ จากเด็กสาวที่รักดนตรีตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ชอบเขียนไดอารีบันทึกความรู้สึก สู่การเป็นศิลปินที่มีผลงานเพลงเป็นที่รู้จัก ไม่ว่าจะเป็น See You in Life ซิงเกิลแรกที่สร้างชื่อให้แก่เธอ หรือซิงเกิลล่าสุดอย่าง Porsche ที่สะท้อนถึงการเดินทางตามชื่อเพลง และการใช้ชีวิตตามหัวใจตัวเอง

หลังผ่านประสบการณ์อันหลากหลายทั้งประกวดร้องเพลง ประกวดนางงาม ไปจนถึงการได้เป็นศิลปินเปิดให้กับ Coldplay เธอยังคงยึดมั่นในตัวตนที่แท้จริง เพลงของเธอจึงไม่ใช่แค่เพลงธรรมดา แต่เป็นศิลปะบำบัดที่ให้ความสุนทรีย์ทั้งตัวเธอเองและผู้ฟัง เป็นการส่งต่อความอบอุ่นและแรงบันดาลใจ ให้ทุกคนที่ได้ฟังรู้สึกว่า ไม่ว่าชีวิตจะไม่แน่นอนแค่ไหน แต่ทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี เมื่อเราปล่อยให้หัวใจเป็นผู้นำทาง

มาทำความรู้จักกับ Valentina Ploy ผ่านบทสัมภาษณ์ที่จะเผยให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ ศิลปินนักบำบัดผู้สร้างสรรค์บทเพลงจากหัวใจ และพร้อมจะพาผู้ฟังไปบนเส้นทางชีวิตที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยพลัง

Valentina Ploy

นิยามความเป็น Valentina Ploy

ถ้าให้เลือกคำเดียวน่าจะเป็นคำว่า Warm หรือแนวอบอุ่นค่ะ ทุกเพลงที่พลอยแต่งเป็นเพลงที่ Theraphy ให้ตัวเอง แล้วก็อยากให้คนอื่นรู้สึกเหมือนกันว่า ฟังแล้วได้แรงบันดาลใจหรือความอบอุ่นอะไรบางอย่าง

จุดเริ่มต้นของการเป็นศิลปิน

ดนตรีอยู่กับพลอยมาตลอดตั้งแต่เด็กเลย ก่อนที่จะมาเล่นกีตาร์ ก็เล่นไวโอลิน พลอยเป็นคนชอบแต่งเพลงอยู่แล้ว เลยตัดสินใจเล่นกีตาร์แทน พออายุ 19-20 ก็รู้สึกอยากออกมาจากห้องนอนตัวเองแล้วไปประกวดร้องเพลง X Factor ที่อิตาลี เพราะพลอยโตที่อิตาลี และอีกหลายๆ เวทีที่ประกวด มาเป็นศิลปินเต็มตัวจริงๆ ตอนเซ็นสัญญากับค่าย What the duck ปี 2019 ค่ะ

รู้สึกยังไงตอนที่ได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินกับค่ายแรก

ตื่นเต้น เพราะมันเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับเรามากเลยตอนนั้น เรามีความฝันที่อยากจะเป็นศิลปิน ชอบแต่งเพลง แต่ในความเป็นจริงเราไม่รู้เลยว่าการที่จะเป็นศิลปินหรือทำอาชีพนี้จริงๆ มันแปลว่าอะไร ต้องทำยังไง เลยรู้สึกชาเลนจ์และตื่นเต้นมากๆ

รู้ตัวว่าชอบดนตรีตั้งแต่ตอนไหน

ตั้งแต่เด็กเลย น่าจะประมาณ 6 ขวบ เราชอบร้องเพลงกับคุณแม่ที่บ้านอยู่แล้ว ชอบร้องเพลง ฟังเพลงมาตลอดเลย มันเป็นวิธีบำบัดของเราแบบนึง บวกกับตอนเด็กๆ เป็นคนที่ชอบเขียนไดอารีชีวิต เขียนความคิดตัวเองออกมา จากสิ่งนี้มันก็กลายมาเป็นเพลงที่เราแต่งค่ะ

วัฒนธรรมไทย-อิตาลีหล่อหลอมมาเป็นตัวเองอย่างไรบ้าง

หลายอย่างมากเลยค่ะ (หัวเราะ) สิ่งที่ทั้งสองวัฒนธรรมมีเหมือนกันเลยคือความ Warm เพราะว่าคนไทยกับคนอิตาลีจะมีความเหมือนในแง่ว่า ความน่ารัก ความเฟรนด์ลีกับคนที่ไม่รู้จัก แล้วก็ชอบกินค่ะ (หัวเราะ) ทั้งอิตาลีและไทย อาหารคือเรื่องสำคัญมาก เราได้ความ passionate อะไรบางอย่างทั้งการแต่งเพลง การอยากเล่าถึงความรู้สึกตัวเองจากฝั่งของอิตาลี ซึ่งมันเป็นอะไรที่ค่อนข้าง shape การเป็นศิลปินของเราด้วย เพราะว่าเราก็แต่งเพลงมาจากสิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เราได้เจอในชีวิตอะไรแบบนั้น

เมนูโปรดของพลอย

ยากจัง ถ้าอาหารไทยที่ชอบมากๆ คือ ข้าวมันไก่ ส่วนอาหารอิตาลีจะเป็นพาสต้าสูตรที่ทำกันเองในครอบครัว มันไม่มีชื่อเมนู ส่วนประกอบคือ เส้นสปาเก็ตตี้ ซอสพริกหยวก มีมะเขือม่วงทอดใส่ขอบๆ แล้วมีชีสตรงกลาง เรียงเป็นรูปดอกไม้ค่ะ

เห็นว่านอกจากประกวดร้องเพลง มีประกวดนางงามด้วย ทำไมถึงมาสายนี้

ตอนแรกเราประวกดแบบไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเลยเพราะว่าตอนนั้นไม่ได้อยู่เมืองไทยแบบจริงจัง พอหลังจากประกวด The Voice คนที่ไทยเริ่มเห็นในโซเชียล แล้วพลอยเป็นคนที่ชอบทำอาสาสมัครมาโดยตลอด ตอนนั้นพึ่งบินไปเนปาล ไปช่วยเด็กกับพี่ชายบนเขา แล้วก็มีคนทักมาในโซเชียลมากว่า ทำไมยูไม่ไปประกวด Miss Universe THailand ตอนแรกเราก็แบบ หือ เราอะนะ เดินก็ไม่ได้ แต่สุดท้ายก็รู้สึกว่าเออ Why Not มันก็เป็นประสบการณ์ที่เราได้มีโอกาสให้แชร์อะไรใหม่ๆ แล้วก็มุมมองของเรา เป็นกระบอกเสียงที่ดังขึ้น แล้วก็ตอนนั้นก็รู้สึกว่าการทำเพลง หรือการประกวดนางงาม หรือทำอะไรก็ช่างในชีวิตทุกๆ วัน มันก็มีจุดประสงค์เดียวกัน ก็คือ การที่เราอยากจะแชร์ความอะไรก็ได้ที่ช่วยเหลือใครสักคนก็ดี

การประกวดนางงามกับประกวดร้องเพลง ความยากง่ายมันต่างกันไหม?

ความยากน่าจะยากทั้ง 2 อย่างแต่ต่างกันคนละแบบ การประกวดนางงามมันยากตรงที่มันไม่ได้อยู่ใน DNA ของพลอยเลยที่จะเป็นควีน หรือยืนหลังตรง เดินแล้วก็ทำหน้าจึ้ง (หัวเราะ) เราแบบ struggle กับสิ่งนี้ เราก็เพิ่งรู้ว่าอ๋อ มันต้องทำอะไรแบบนี้นี่เอง เป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับเรามาก เหมือนเป็นสาวน้อยคนนึงที่ได้เรียนรู้ เพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองมาก แล้วเราก็เป็นคนที่ชอบอะไรที่เป็นธรรมชาติ ไม่อยากแต่งหน้าเยอะ หวีผมเยอะ ก็เลยรู้สึกแบบ… ยากจัง ต้องตื่นตี 4 มาแต่งหน้าทุกวัน

ถ้าประกวดร้องเพลงก็ยากเหมือนกัน เพราะตอนนั้นขี้อายมาก ถึงดนตรีจะเป็นสิ่งที่เรารักที่สุดในโลก แต่พอขึ้นไปเวทีแล้วโคตรตัวสั่น จนควบคุมเสียงตัวเองไม่ได้เลย แต่ก็เป็นจุดที่ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า โอเค เราต้องทำอะไรสักอย่าง ให้มันหายขี้อาย

การประกวดทั้ง 2 เวทีให้บทเรียนอะไรบ้าง

ถ้าการประกวดนางงามน่าจะได้ฝึกความมั่นใจ การเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น การที่เราต้องหันมาคิดหลายๆ ประเด็น อธิบาย และพูดออกมาให้ได้ ทำให้เราพบหลายๆ มุมมองที่เราไม่เคยคิดว่ามันมีด้วยซ้ำ ส่วนการประกวดร้องเพลง คิดว่าก็ได้เรียนรู้ความกล้ามากขึ้น ไม่ต้องแคร์ว่าคนอื่นจะคิดอะไร คือเราขี้อาย หรือเราทำพลาด จะว่าอะไรเราแค่ไหน ก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา เราพยายามดีที่สุดแล้ว

การได้เดบิวต์และมีเพลงแรกเป็นตัวเอง

ก่อนที่เราเซ็นกับค่าย Whattheduck เราทุกคนก็จะมี prejuduce อะไรบางอย่างแบบ เห้ย คนนี้เป็นนางงาม แล้วจะมาร้องเพลงได้หรอ เพราะตอนนั้นมาเมืองไทยใหม่ๆ ไม่มีใครรู้เลยว่าเราแต่งเพลงได้ ร้องเพลงมาตลอด เขาก็จะจำภาพเราตอนที่ไปประกวดนางงาม แล้วคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งหลักของเรา ก่อนที่จะมีค่ายก็ไม่ง่ายเลย ต้องส่งเดโมหลายเพลงมาก ก่อนที่ AR จะตัดสินใจว่าเพลงนี้แหละจะเป็นซิงเกิลแรก ตอนนั้นพลอยกลับไปที่อิตาลี ก็นั่งแต่งเพลงที่บ้านแล้วส่งเดโมไปอีก ก็เป็นเพลง See you in life ส่งแบบโง่ๆ เลย อัดกับโทรศัพท์แล้วเล่นกีตาร์อันนึง เขาก็ชอบเพลงนี้ แล้วเขาบอกว่ากลับมาก็เริ่มทำงานเลย ซึ่ง See you in life ก็เป็นซิงเกิลแรกแบบจริงจังเลย ซึ่งทุกวันนี้เป็นเพลงที่ปล่อยโดยที่ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แต่เป็นเพลงที่คนฟังมากที่สุดของเราตั้งแต่ทำเพลงมา

Let it drive you like a Porsche

มาพูดซิงเกิลล่าสุดอย่าง Porsche กันบ้าง อยากรู้ Porsche ที่ถูกต้องต้องอ่านว่ายังไง

Pronouncation ที่ถูกต้องตามภาษาเขาน่าจะเป็นแบบ พอร์-เชอ แต่เราพูด พอร์ช

ที่มาของเพลงนี้

เพลงนี้เป็นเพลงที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้เต็มที่ แล้วก็การตามหัวใจตัวเอง ในเพลงก็จะร้องว่า Let it drive you like a Porsche ก็คือให้หัวใจพาเราไหลไป ทำตามหัวใจเอง เปรียบเทียบหัวใจเรากับรถ Porsche แรงบันดาลใจมาจากช่วงนึงที่พลอยมีช่วงที่อะไรก็ไม่แน่นอนเลยค่ะว่า งานจะไปทางไหน จะได้เป็นศิลปินอิสระไหม มีความเครียดเยอะแยะไปหมด แล้วตอนนั้นกลับไปที่อิตาลี ได้ไปเที่ยวกับครอบครัวช่วงซัมเมอร์ ได้กลับไปเจอครอบครัวที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปี ไปอยู่บนเรือ แล้ววันนั้นทุกอย่างมันแฮปปี้มีความสุขไปหมด อยู่กับน้องที่โคตรจะใช้ชีวิตแบบสุดๆ เต็มที่มาก กระโดดน้ำเล่นแบบไม่แคร์อะไรใดๆ ตอนนั้นก็แบบ เออวะ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตไปทางไหน แต่โมเมนต์ตอนนี้ It so happy เราเลยแต่งเพลง Porsche บนเรือวันนั้นเลย ก็เลยเป็นที่มาของเพลงนี้ค่ะ

Process ในการทำเพลง

เริ่มแต่งเนื้อจากการพิมพ์ในโทรศัพท์บนเรือ เห็นอะไรตอนนั้นก็คิดแล้วจดๆ เนื้อเพลง หลังจากที่มีเนื้อเพลงเสร็จก็กลับไปที่บ้าน แล้วเจอกับน้องซึ่งเป็นลูกครึ่งไทยฝรั่งเศส แล้วก็เป็นน้องที่อายุ 20 คือเขาไม่ได้เป็นศิลปิน แต่เขาชอบแต่งเพลงมากๆ แล้วเขาก็พูดว่า เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงที่ดีนะ ก็เลยลองทำ ฮัมเมโลดีคร่าวๆ พอได้เมโลดีมาก็เข้าสู่ช่วงทำเพลงจริงๆ ทำกับโปรดิวเซอร์ที่ชื่อ Richard….  ที่สตูดิโอ แล้วก็ดีไซน์กับว่า vibe ของเพลงจะเป็นยังไง จริงๆ ตอนแต่งกับกีตาร์ก็มีแค่ 2 คอร์ดทั้งเพลงเลย จากนั้นเราก็ develop ให้มันมีซาวด์หลายๆ อย่าง

แต่งเพลงบนเรือ ก็เลยเป็นที่มาของ MV ที่ถ่ายบนเรือด้วยใช่ไหม

ใช่ค่ะ (หัวเราะ) ซึ่งจริงๆ ต้องให้เครดิตทีมที่ชื่อออม ค่ะ เพราะตอนแรกเราอยากถ่าย MV คนละแบบเลย คือเรารู้สึกว่าอยากยืนอยู่บนน้ำ ใส่สูท แล้วก็ร้องบนน้ำ ซึ่งสิ่งนั้นกลายเป็นคอนเทนต์ แต่ว่าตัว MV จริงๆ เขาบอกว่า ยูลองเช่าเรือแปปนึงไหม แล้วลองถ่าย มันสวยนะ ก็เลยรู้สึกว่าเออ อันนี้เวิร์กกว่านะ เพราะว่าเราก็แต่งบนเรือ เป็นเรื่องบังเอิญที่ไม่บังเอิญ สุดท้ายมันก็ถูกต้องแล้วที่เป็นอย่างนั้น

โมเมนต์ที่ประทับใจที่สุดของการทำเพลงนี้

ถ้าเป็นช่วงทำเพลงก็จะสนุกตรงที่พลอยอนุญาตให้ตัวเอง explore ภาษามากขึ้น เพลงนี้ก็จะมีทั้งภาษาสเปน ภาษาอิตาเลียน เพิ่มเข้ามาด้วย มีท่อน Vroom Vroom Vroom ซึ่งไม่รู้คนอื่นเข้าใจไหม แต่เราอยากใส่ภาษาที่เรารัก และใส่ภาษาของเราด้วย

ส่วนตอนถ่าย MV มันมีอยู่โมเมนต์นึงที่กำลังซิงค์เพลงอยู่บนเรือ แล้วก็ทำคอนเทนต์ แล้วอยู่ดีๆ ก็ร้องไห้เฉยเลย มองไปที่คลื่น แล้วร้องเพลงตัวเอง ก็รู้สึกถึงเนื้อเพลง รู้สึกถึง insight ข้างในตัวเอง แล้วน้ำตาก็ไหลพรวดออกมาเลย

ถ้าเปรียบเทียบเพลง Porsche เป็นรถยนต์จริงๆ คิดว่าเพลงนี้จะเดินทางไปสู่อะไร

จริงๆแล้ว อยากเปรียบเทียบว่าไม่จำเป็นต้องเป็นยานพาหนะ หรือขนส่งแบบไหน จะเป็นมอเตอร์ไซค์ สองแถว หรือซาเล้งก็ได้ เราอยากให้มันเป็นการเดินทางที่ไม่ต้องหรูหราหรือเป็นแค่ Porsche แต่เป็นการเดินทางของเราในชีวิตมากกว่า ถ้าเปรียบเทียบจริงๆ ก็เป็นการเดินทางแบบนั่งอยู่บนอะไรก็ได้ที่ลมมันพัดใส่หน้า ฟังเพลงแล้วรู้สึกดีกับชีวิต เป็นฟีลแบบว่า ช่างแม่งเว้ยตอนนี้ เราจะทำอะไรที่ไหน ชีวิตจะเป็นยังไง ก็อยู่กับปัจจุบัน ตามหัวใจตัวเองดีกว่า

เพลงนี้สะท้อนตัวตนของเรายังไงบ้าง

ก็น่าจะเป็นในแง่การยอมรับความไม่แน่นอนของชีวิตในตอนนั้น ว่าแบบมันจะรู้สึกตื่นเต้น แล้วก็เครียด แล้วก็แบบ แต่ด้วยความเป็นมนุษย์อะเนาะ เราอยากคอนโทรล เราอยากแพลนว่าเราจะต้องเดินทางไปไหนต่อ ทำอะไรต่อ เป็นสเต็ปของชีวิต แต่บางครั้งเราไม่สามารถทำให้เป็นไปตามที่เราคิดได้ มันก็ทำให้เราเครียด ซึ่งเพลงนี้มันช่วยให้เรารู้สึกยอมรับว่า โอเค ความไม่แน่นอนมันก็อยู่กับเราได้ มันไม่เห็นแย่เลบ มันก็ดีหนิ It’s Okay

อยากส่งสารอะไรไปถึงผู้ฟังผ่านเพลงนี้

อยากให้เขารู้สึกอบอุ่นค่ะ แล้วก็ remind ตัวเองว่า ถึงแม้อะไรจะเกิดขึ้น It’s fine and just let your heart drive you 

Vroom Vroom Vroom

งานอดิเรกของพลอย

จริงๆ มีหลายอย่างมาก ชอบทุกอย่างที่มีความครีเอทีฟ ชอบเขียน ชอบวาดรูป แล้วก็ชอบทำอาหาร ชอบอ่านหนังสือ ชอบเดินทาง so many things (หัวเราะ)

เพลงไหนที่บอกเล่าความเป็นตัวเองได้ดีที่สุด

เพลงแรกเป็นเพลงที่อยู่ใน EP No Cares Era ชื่อเพลง Queen of Being Emotional แล้วก็มีอีกเพลงนึงที่ยังไม่ปล่อย ไม่รู้สปอยล์ได้หรือเปล่า

ศิลปินในดวงใจที่อยากร่วมงานด้วย

ในไทย Jeff Satur เพราะว่าล่าสุดได้มีโอกาสตั้งใจฟังเพลงของเขาแบบจริงๆ จังๆมากขึ้น แล้วรู้สึกว่ามันดีมากๆ ส่วนต่างประเทศถ้าเอาแบบเพ้อเจ้อสุดๆ มี Ed Sheeran, Taylor Swift, Coldplay, Gracie Abrams, Maggie Rogers, Olivia Dean, Haim ซึ่งเขาเป็นวง 3 พี่น้อง เราอยากเป็นซิสเตอร์ที่ 4 ค่ะ (หัวเราะ)

เล่าโมเมนต์ตอนที่ได้เป็นศิลปินเปิดให้กับ Coldplay หน่อย

ได้เป็นเกียรติที่สุดในโลก เพราะรู้ว่าความฝันมันเป็นจริงมากๆ ได้เจอศิลปินด้วย เป็นโอกาสสำหรับเราที่รู้สึกขอบคุณมากๆ ทั้งทีม ทั้งค่ายตอนนั้น ที่ทำให้เกิดขึ้นได้ แล้วเราก็รู้สึกได้เรียนรู้จากเขาเยอะมาก การที่เราจะต้องทำสิ่งนี้ไปตลอดชีวิต มันยากแค่ไหน สแตนดาร์ดต้องเป็นยังไง ต้องเตรียมพร้อมยังไง การเป็นฟรอนต์แมนที่ดีแบบ Chris Martin เจอผู้ชมกว่า 5-6 หมื่นคน แต่ยังแสดงออกมาแบบเป็นธรรมชาติอยู่ มันรู้สึกได้เรียนรู้ไปหมดเลย

Valentina Ploy ในอีก 3 ปีข้างหน้า

ก็ยังคงเป็นคนที่ปล่อยเพลงตลอดเวลา (หัวเราะ) หวังว่าจะได้ไป World Tour ส่วนที่ปีที่เหลือยังไม่ได้แพลน เพราะพลอยเป็นคนแพลนล่วงหน้าไม่เก่งเลย ปล่อยให้เป็นไปตามช่วงเวลาของมัน

ถ้าไม่ได้เป็นนักร้อง คิดว่าตัวเองทำอาชีพอะไรอยู่

อาจจะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับภาษา เพราะเราพูดได้ 5 ภาษา (ไทย อังกฤษ อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส) หรืออาจจะเขียนหนังสือขาย หรืออะไรก็ได้ที่มีเด็กน้อย เพราะพลอยรักเด็กมากค่ะ ชอบล้อเล่นว่าถ้าเป็นศิลปินวันนึงแล้วเจ๊ง อยากไปเป็นครูอนุบาล (หัวเราะ)

ถ้าผันตัวมาเป็นนักเขียน คิดว่าอยากเขียนหนังสือแนวไหน

ก็น่าจะแนวๆ เดียวกับที่เราแต่ง เป็นเวย์แบบ รักตัวเอง การใช้ชีวิต ซึ่งก็น่าสนใจดี เราจะเขียนหนังสือแนวอะไรแบบนั้น

ดนตรีมีอิทธิพลกับ Valentina Ploy ยังไง

ดนตรีน่าจะเป็นทุกอย่างของพลอยจริงๆ แบบช่วยชีวิตสุดๆ ถ้าไม่มีดนตรีเราคงเป็นบ้าไปนานแล้ว ไม่รู้ตอนนี้เป็นหรือเปล่า อาจจะเป็นด้วย (หัวเราะ) ดนตรีมันให้ทั้งการบำบัด การเข้าใจความรู้สึกตัวเองมากขึ้น ให้พลัง ให้แรงบันดาลใจ บางครั้งแค่เราใส่หูฟังเข้าไป ฟังศิลปินที่เราชอบมันก็คลิกเลย โอเค ฉันมีพลังละ มีความมั่นใจละ หรือบางครั้งเรารู้สึกเศร้า ดนตรีก็ช่วยฮีลใจได้เหมือนกัน

ขอ 3 คำให้ Valentina Ploy

Warm – Real – Positive

Contributors

อาร์ตไดผู้รักงานออกแบบที่เขียนคอนเทนต์ได้นิดหน่อย ชอบเล่าตัวเลขและข้อมูลด้วยภาพ ชอบกินเส้นมากกว่าข้าว ชอบดูหนัง ชอบแมว และชอบเธอ

มิวเมลผู้หลงไหลการเดินป่าและท่องโลกกว้าง เสียงเพลงคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจ แล้วเมื่อไหร่จะได้รักกัน