บางครั้ง “คนเหี้ย” คือเราเอง ฉบับหมอแพท เพจหมอตุ๊ด

ตอนที่สองของรายการ #คนเหี้ย101 รอบนี้ Rhythm ได้แขกสุดพิเศษอย่าง หมอแพท-อุเทน บุญอรณะ” เจ้าของเพจหมอตุ๊ด ที่มาร่วมพูดคุยกับเรา ตั้งแต่เรื่องราวคนแย่ๆ ในวงการแพทย์ จนไปถึงคนเลี่ยหู้ที่พร้อมเข้ามาในชีวิต ที่ทำให้หมอแพทได้เข้าใจและตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เป็นเราหรือเปล่าที่เหี้ยด้วยตัวเอง” จนนำไปสู่การรับมือกับคนเหี้ยที่เริ่มต้นที่ “ตัวเอง” ก่อนจะไปเผชิญกับความเหี้ยจาก “คนอื่น” ได้อย่างสบายใจขึ้น พร้อมกับการจัดการกับคนแย่ๆ ตามแบบฉบับของชาว LGBTQ+ ที่ต้องต่อสู้เพื่อจุดยืนของตัวเองมาโดยตลอด

บาดแผลและบทเรียนจากคนเหี้ยตามฉบับหมอแพท-เพจหมอตุ๊ดเป็นอย่างไรนั้น ติดตามกันได้ในบทความนี้

นิยามของคนเหี้ยฉบับ “หมอแพท”

เราขอไม่ใช้คำว่าคนเหี้ยก็แล้วกัน เราขอใช้คำว่า “คนที่ไม่ถูกจริต” เพราะจริงๆ เราเองก็เป็นคนเหี้ยในเรื่องเล่าของชาวบ้านด้วยเหมือนกัน คนเหี้ยหรือคนที่ไม่ถูกจริตสำหรับเราคือคนที่ทำตัวไม่โอเค แต่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำในสิ่งที่ไม่โอเค แถมยังเข้าใจผิดอีกว่า สิ่งที่ตัวเองทำนั้นดี ทำให้มีแนวโน้มที่จะทำสิ่งเหล่านั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แถมยังมีแนวโน้มที่จะไปโน้มน้าวให้คนอื่นเข้าใจว่าเขากำลังทำดีอยู่ 

เรานิยามคำว่าคนเหี้ยได้ยืดยาวขนาดนี้ เพราะนอกจากสังคมการทำงานแล้ว เราก็มีเพื่อนในโซเชียลเยอะ ประกอบกับที่เราเองก็อายุเยอะขึ้นแล้ว ทำให้เรานิยามได้ว่าเราไม่ชอบคนแบบไหน เมื่อเราตกตะกอนได้แล้วว่าเราไม่ชอบคนแบบไหน ก็อย่าไปอยู่ใกล้กับคนแบบนี้ อย่าพยายามหาทางฝึกตัวเองให้แกร่งเพื่อไปสู้กับคนแบบนั้น เพราะมันเสียเวลา ถ้าเธอใช้เวลามาครึ่งชีวิตแบบเราแล้ว เธอจะรู้สึกว่าชีวิตของเรามีจำกัดและมีคุณค่ามากพอ ดังนั้นแล้วเราจะไม่เสียเวลาไปกับการปั้นความแข็งแกร่งของตัวเองไปสู้กับคนประเภทนี้ 

ทำไมเราถึงควรถอยห่างจาก “คนเหี้ย”

ถ้าให้พูดกันจริงๆ เรามักเป็นคนเหี้ยของตัวเราเองด้วยนะ เพราะถ้ามีหลายครั้งที่เรารู้สึกว่า “ทำไมเราทำแบบนี้วะ?” แปลว่าเรากำลังทำในสิ่งที่ไม่ดีหรือสูญเปล่าอยู่ เราไม่ควรจะเสียเวลาไปกับการต่อสู้กับคนเหี้ย  เพราะในตอนจบแล้วเราไม่ได้อะไรกลับมาเลย ต่อให้เราเปลี่ยนคนเหี้ยให้กลายเป็นคนดี แต่เราก็ไม่ได้เกียรติยศอะไรนี่นา เราชนะแบบโดดเดี่ยว ที่ชนะแล้วเราจะรู้สึกได้เลยว่าเราทำมันลงไปทำไม? เรากำลังเสียเวลาเปล่า ซึ่งนั่นคือการที่คุณกำลังทำเหี้ยใส่ตัวเองอยู่นะ ฉะนั้นแทนที่จะจัดการกับคนไม่ดีรอบตัวเรา สู้ว่าเราจัดการกับความคิดของตัวเองดีกว่า

ทำไมบางทีเราก็เป็นคนเหี้ยกับตัวเราเอง

เราว่าต่อให้มีคนมาทำไม่ดีใส่เราก็ตาม คนที่คิดถึงเรื่องราวเหล่านั้นต่อคือตัวเราเอง หลายครั้งเราก็เลยเป็นคนเหี้ยของตัวเราเองนั่นแหละ เพราะจริงๆ บางครั้งการเกิดสิ่งไม่ดีมันเป็นแค่อุบัติเหตุ ที่เกิดจากความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเราก็ไม่รู้ แต่ตัวที่โปรโมตประกายความเหี้ยนั้นมันยืดยามคือตัวเราเองนี่แหละ เพราะถ้าเราหยุดความคิด ไม่พูดต่อกับเรื่องนี้ ไม่แบกมันต่อไป เราก็เอาเวลาไปทำเรื่องอื่นได้อีก 

มีเรื่องเหี้ยหรือคนเหี้ยที่หมอแพทต้องเจอในวงการแพทย์ไหม

ทั้งเพื่อน ทั้งคนไข้ ทั้งญาติคนไข้ ล้วนต้องคยมีเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกไม่พอใจอยู่แล้ว แต่เคยว่าตอนที่เรียนปีสุดท้าย (extern) เราเองเป็นกะเทยและได้ดูแลคนไข้ใน ER (ห้องฉุกเฉิน) จนมีเคสหนึ่งเข้ามา คนไข้มีอาการหอบ เราดูอาการเบื้องต้นแล้วน่าจะเป็นอาการหัวใจล้มเหลวหรือน้ำท่วมปอดแน่ๆ เรากำลังจะทำการตรวจให้ คนไข้ก็บอกกับเราว่า 

“หมอ ผมไม่ได้เกลียดหมอเป็นการส่วนตัว แต่ขอคนที่ไม่ใช่กะเทยมาตรวจได้ไหม” 

ตอนนั้นรู้สึกโกรธมากนะ แต่คนๆ นี้กำลังจะตายตรงหน้า เราจึงไม่มีเวลาโกรธ เลยหันไปหาเพื่อนแล้วบอกให้เพื่อนมาตรวจแทนเราหน่อย จากนั้นเราก็หันไปแค่ 90 องศา ก็หันไปเจอเคสของแม่อุ้มลูก ซึ่งลูกเขาเป็นหอบ เราบอกให้น้องถอดเสื้อเพื่อจะฟังปอดของน้อง แม่น้องกลับพูดว่า 

“เอาเสื้อขึ้นให้พี่คนสวยเขาตรวจเร็วลูก” 

เห็นไหมว่า เราหันไปแค่ 90 องศา เราก็ไม่เห็นคนที่พูดไม่ดีใส่เราแล้ว แล้วเราก็ได้เห็นคนที่เราพร้อมที่จะเป็นคนสำคัญและช่วยชีวิตเขาจริงๆ 

ศัพท์ทางการแพทย์มีคำว่า visual field แปลว่า ลานสายตา ซึ่ง visual field ของคนเราไม่ได้กว้าง เพราะเราไม่ได้มีลานสายตาที่วางข้างตัวแบบปลา เราไม่ได้มองเห็น 360 องศา ฉะนั้นแค่หันหนีเราก็ไม่เห็นแล้ว 

เชื่อว่าไม่ใช่แค่ประสบการณ์ในวงการแพทย์ ที่ทำให้หมอแพทตกตะกอนได้ว่า เราต้องหันหนีสิ่งที่ไม่ดี

เพราะเราต้องสู้มาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ที่รู้ว่าตัวว่าเป็นกะเทยแล้ว รู้ไหมว่าทำไมเหตุการณ์สุขุมวิท11 กะเทยต้องออกมาช่วยกันสู้กับคนฟิลิปปินส์ ทั้งๆ กะเทยทุกคนที่นั่นไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะว่าเราต่อสู้ด้วยกันมาเยอะแล้ว กว่าจะหยัดยืนมาถึงจุดนี้ได้ เรามีความเข้าใจกันและกันว่าเราต้องสู้มาตลอด ฉะนั้นเราเองก็เหมือนกัน เราไม่ได้เพิ่งสู้ตอนที่เข้ามาอยู่ในคณะแพทย์ เราสู้ตลอดชีวิตตั้งแต่รู้ว่าตัวเองเป็นกะเทย สู้กับความรู้สึกของตัวเอง สู้กับความเข้าใจของคนที่บ้าน สู้กับสิ่งที่สังคมมองเรา

 เราเติบโตในยุคที่เกย์และกะเทยต้องโดนดูถูก โดนคนรอบตัว และคนในสังคมบังคับให้เราไม่ชอบตัวเอง ฉะนั้นคนเรามักเติบโตมาด้วยความ self esteem  ต่ำ ซึ่งพอเรา self esteem ต่ำ เราก็พยายามชดเชยตัวเองด้วยการสร้าง self confidence ขึ้นมา ซึ่งสองสิ่งนี้มันต่างกันลิบลับเลยนะ เราพยายามสร้าง self confidence ด้วยการตั้งใจเรียน เรียนเก่ง ทำให้ตัวเองมีความสามารถสูง แม้ self confidence จะสูงขึ้นแต่ self esteem ไม่ได้ถูกดันขึ้นมาด้วย

สุดท้ายวันหนึ่งเราก็ได้รู้ตัวว่า เราไม่ได้มีภูมิต้านทานกับเรื่องพวกนี้ บางทีที่คนอื่นมาวิจารณ์เราในแง่ไม่ดีนั้น ก็เพราะว่าตัวเขาเองไม่มีความสุข พอเขาเห็นเราเริ่มที่จะรักตัวเอง เขาก็จะมองว่า “มึงจะรักตัวเองได้ไง ในเมื่อมึงเป็นกะเทย”

ต้องบอกว่าการเป็นกะเทยอาจจะไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้เราได้เจอคนเหี้ยมากกว่าปกติ แต่มันกลับเป็นบัตรผ่านให้คนสามารถมาทำความเหี้ยใส่เราได้ เพราะเขาคิดว่าเขาแสดงออกผ่านเราได้ ยกตัวอย่างเช่น ไจแอนท์จะแกล้งสึเนโอะก็ได้ จะแกล้งโดราเอม่อนก็ได้ แกล้งคนอื่นๆ ก็ได้ แต่เขาเลือกแกล้งโนบิตะก็เพราะว่าโนบิตะเป็นคนที่แกล้งได้ เหมือนมีป้ายอยู่บนหัวว่าให้แกล้งได้ด้วยบุคลิกของตัวเขาเอง ฉะนั้นการที่เป็นกะเทยสำหรับสังคมสมัยก่อน จึงถูกสังคมแปะป้ายว่าแกล้งได้ เพียงเพราะเรามีความเป็นตัวเองแบบนี้ 

เรียกว่าหมอแพทผ่านคนเหี้ยมาด้วยตัวเองหรือเปล่า

ก็ไม่เชิงว่าเราผ่านมันมาได้คนเดียว เพราะคนเราบินเดี่ยวไม่ได้ สมัยเรียนโชคดีที่ที่โรงเรียนมีชมรมห้องสมุด ซึ่งคนที่ out cast ของสังคมก็จะไปอยู่ที่ชมรมห้องสมุด วันๆ ก็จับหนังสือ พูดคุยกัน ซ่อมหนังสือ ห้องสมุดของโรงเรียนจึงเป็นสถานที่ที่ทำให้กะเทยได้รู้จักกัน เมื่อเรามาอยู่ในห้องสมุด เราได้เจอเพื่อน สำคัญมากเลยว่าไม่ว่าโลกภายนอกเป็นยังไงก็ตาม เราต้องหา safe place ของเราให้ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องเป็นคนในครอบครัว แต่ถ้าเราไม่มี safe place เราก็จะไม่ได้ชาร์ตแบต เพราะเวลาที่เราเจอเรื่องเหี้ยๆ แล้วได้มาเล่าให้เพื่อนฟัง ทุกอย่างจะกลายเป็นเรื่องตลกไปเลย

ทำไมหมอถึงเน้นว่า เราควรจัดการคนเหี้ยด้วยตัวเราเอง

คนเราไม่ได้มีพลังจิตนะ เมื่อเราไม่มีพลังจิต เราจึงไม่สามารถเปลี่ยนคนอื่นได้ อีกอย่างคือเรามีเวลาจำกัด การจัดการตัวเองจึงง่ายกว่า เพราะเราไปเปลี่ยนทุกคนไม่ได้ อีกอย่างคือไปตัดสินคนอื่นว่าว่าเขาไม่ดีและเขาต้องเปลี่ยน แปลว่าเรากำลังทำตัวเป็นผู้พิพากษาแล้วนะ ซึ่งบางเรื่องไม่ใช่ว่าเขาทำไม่ดี แต่เขาแค่ทำไม่ถูกใจเรา ซึ่งถ้าเขาทำไม่ถูกกฎหมาย เดี๋ยวจะมีคนจัดการเขาเอง แต่ถ้าเขาทำไม่ถูกใจเรานั้น เราก็จัดการใจเราเองนี่แหละ ถ้าเราจัดการใจตัวเราไม่ได้ ก็อย่าให้มันลุกลามไปมากกว่านี้ ฉะนั้นจงเอาตัวเองออกจากตรงนั้นเลย 

ในวงสังคมบันเทิงและวงการนักเขียน มีความเหี้ยที่แตกต่างจากวงการแพทย์ไหม

เราก็เจอเรื่องเดิมๆ ในวงการแพทย์เหมือนกันนะ เราได้รู้จักรุ่นพี่ในวงการนักเขียน นามปากกาว่าพี่เจเดอะแรบบิท พี่เขาบอกว่า สักวันหนึ่งเราต้องได้เจอคนเหี้ยกับอีกรูปแบบชีวิตหนึ่งในชาติถัดไปอยู่แล้ว ถือเสียว่าการจ่ายเงินความอดทนในวันนี้ อาจจะตอบสนองโอกาสของเราในภายภาคหน้า ถ้ารู้สึกโกรธ ไม่ต้องพูดเลยจะดีกว่า เพราะว่าสิ่งที่เราจะพูดมันจะไปอยู่ในใจเขานานแค่ไหนไม่รู้ แต่อยู่ในใจเรานาน มากพอที่รู้สึกแย่กับตัวเองนะ ฉะนั้นเราก็ทำแค่หันหนีมันไปก็พอ 

สิ่งที่แม่เราเคยสอนคือ ถ้าอยากด่าใครให้จดลงกระดาษเอาไว้ก่อน สักพักเราค่อยมาเรียบเรียง มีคนเคยบอกว่าการที่เราจะด่าใครเราต้องด่าแบบมีศิลปะ และคำด่าต้องเชื่อมโยงกัน กลับมาดูอีกทีก็เพิ่งมาเข้าใจว่าสิ่งที่แม่สอนคืออะไร เพราะพอลองทำตามที่แม่สอน เราก็เห็นว่า คำด่าที่เราเตรียมด่าคนอื่นมันตลกมาก จนไม่มีอารมณ์จะด่าใครแล้ว เพราะจริงๆ แม่ไม่ได้ต้องการให้มาเรียบเรียงคำด่า แต่แม่แค่อยากให้เราเห็นตัวเองตอนกำลังโกรธ คนที่กำลังโกรธและโมโหคือคนที่ตลกจริงๆ นะ

แนวคิดเพื่อรับมือกับคนเหี้ยฉบับหมอแพท

เธอมีค่ามากกว่าคนเหี้ยเสมอ พอเธอรู้สึกว่าเธอมีค่ามากกว่าคนเหี้ยพวกนี้ เธอจะไม่เสียดายอะไรก็ตามในชีวิต เธอจะไม่เสียความรู้สึก เธอจะไม่เสียเวลา และเธอจะไม่เสียอะไรไปมากกว่านี้ ฉะนั้นทุกครั้งที่เจอคนไม่ดี ให้พูดกับตัวเองเสมอเลยว่า ฉันมีค่ามากกว่าคนพวกนี้

บางทีเวลาที่เราเจอคนเหี้ยเรามักมานั่งพูดกับเพื่อนว่า “ทำไมมันทำแบบนี้กับกู กูไม่เข้าใจมันเลย” เราเลยมักพูดกับเพื่อนเสมอว่า “แกำ ถ้าแกเข้าใจการกระทำของมัน แปลว่าแกเป็นพวกเดียวกับมันนะ” ฉะนั้นเราจะเอาเวลาไปหาคำตอบทำไม ในเมื่อเราไม่ใช่คนแบบนั้น 

ถ้าเลือกได้ อยากเจอคนเหี้ยอีกไหม

อยากนะ เพราะเรามักเสพความสุข แต่คนเราเติบโตจากความเจ็บปวดเสมอ ดังนั้นการเจอคนเหี้ยทำให้เราเติบโตขึ้น และเราเองก็ยังอยากเป็นคนที่เติบโตขึ้นและพัฒนาขึ้นในทุกๆ วัน ก็เลยอยากเจอคนพวกนี้เพื่อเอามาเป็นหนึ่งในบทเรียน เพื่อให้เราตกตะกอนได้ ฉะนั้นทุกครั้งที่คุณเจอคนเหี้ย ก็ให้ขอสวัสดีในการเติบโตใหม่ของคุณด้วยก็แล้วกัน 

คนเหี้ยสอนให้หมอแพทเรียนรู้ว่า…

เรามีค่ามากกว่าพวกเหี้ยๆ พวกนี้ อย่าเสียเวลาไปกับการเข้าใจเขา ให้คิดเสียว่าเขาเหมือนฝน เพราะสุดท้ายเราก็เลี่ยงฝนตกไม่ได้อยู่ดี เราทำได้แค่กางร่ม ร่มก็ทำให้เราแค่พออยู่ได้โดยไม่ต้องเปียกฝนมากนัก ฉะนั้นหลักการคิดอะไรก็ตาม ไม่ได้ทำให้เขาหยุดทำไม่ดี แต่มันทำให้เราไม่ต้องตัวเปียกมากนักเท่านั้นเอง

อยากฝากอะไรถึง “คนเหี้ย”

ฝากถึงทุกคน เพราะเราเป็นคนเหี้ยในเรื่องราวของคนอื่นเสมอ แต่ถ้าเรารู้ตัวเร็วว่าเรากำลังทำไม่ดีกับคนอื่น เราหยุดได้นะ แต่ถ้าเราไม่รู้ตัว การเปิดใจรับฟังคือสิ่งที่ควรทำนะ เพราะเมื่ออายุมากขึ้น คนที่มาเตือนเราจะมีน้อยลง อย่าให้คนอื่นปล่อยเราตายพร้อมกับความเหี้ยของตัวเราเลย ฉะนั้นเมื่อเราเจอคนเหี้ย เราเก็บสิ่งนั้นมาสำรวจตัวเองด้วยก็ได้ ถ้าไม่อยากถูกปล่อยตายพร้อมกับกอดความเหี้ยไว้แบบนี้

Contributors

เด็กมนุษย์ฯ ผู้ชื่นชอบการออกไปเดินเที่ยวคนเดียว เอนจอยกับการเต้นและการกิน ปัจจุบันกำลังพยายามใช้ชีวิตแบบ Slow Life อยู่