ครั้งแรกของการดู MV เพลง “PARADISE” จากวง “TRAGEDY OF MURDER” เราถึงกับออกปากชมว่าเป็นเพลงที่ทุ่มทุนสร้างเอามากๆ ทำ MV อลังการขนาดนี้ต้องใช้งบมหาศาลขนาดไหนกันนะ
เราได้รับคำตอบนั้นจากการมาพูดคุยกับ TRAGEDY OF MURDER ในวันนี้แล้ว!
ลูกคลื่นไหมของวงการเพลงไทยมีสีสันและสดใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการเข้ามาเติมเต็มวงการของ “TRAGEDY OF MURDER” วงเเมทัลร็อกจากค่าย Vom Records ประกอบไปด้วยสมาชิก 6 คน ได้แก่ Jeddy (เจต, เจดดี้) – ร้องนำ, Nunni (นัน) – กีตาร์, Pro (โปร) – กีตาร์, Boss (บอส) – กีตาร์, Best (เบส) – เบส, Tumkung (ตั้ม) – กลอง ทั้ง 6 คนมานั่งคุยกับเราในชุด All Black สุดเท่ มีความดุดัน แต่บทสนทนาของพวกเราเป็นไปอย่างสนุกสนาน เรียกได้ว่าถึงภาพลักษณ์จะดูดุดัน แต่ TRAGEDY OF MURDER กลับเป็นวงที่พร้อมเปิดรับทุกอย่างตรงหน้า จริงใจ และเปี่ยมแพสชันไปพร้อมๆ กัน
ในบทความนี้เราจึงจะพาทุกคนไปรู้จักกับ TRAGEDY OF MURDER ให้มากขึ้น ตั้งแต่กระบวนการทำเพลงของพวกเขา การพูดคุยถึงเพลงใหม่ล่าสุดที่ตั้งใจทำเพื่อแฟนๆ โดยเฉพาะอย่างเพลง PARADISE จนไปถึงแพสชันที่ซ่อนอยู่ในตัวพวกเขา เรามาเปิดโลกของเมทัลร็อกไปด้วยกันเลย!
ทำไมต้องเป็นชื่อ “TRAGEDY OF MURDER”
เจต : เดิมวงเราชื่อวงว่า TRAGEDY OF BEAUTIFUL มันเริ่มมาจากที่ผมชอบคำว่า TRAGEDY ก่อน มันดูเหมือนเป็นงานประพันธ์ มีความเป็นนิยาย มีความเชกสเปียร์ คำมันดูสวยดี ผมเลยหาคำอื่นๆ ที่มันมีความหมายตรงกันข้าม หรือขัดแย้งกัน เลยนึกถึงคำว่า Beautiful ที่แปลว่า งดงาม ตอนนั้นเลยเป็น “โศกนาฏกรรมของความงดงาม” ซึ่งคำมันก็ดูสวยดี แต่ว่าหลังจากที่ตั้งชื่อวงแล้ว พวกเราก็ไปเล่นได้สองงาน เพื่อนคนนึงที่เก่งภาษาอังกฤษ เขาก็ทักว่า “ใช้คำว่า of Beautiful ไม่ได้นะ” มันต้องใช้คำว่า of Beauty แต่คำว่า Beauty สิ่งที่เรานึกถึงก็คือ ร้านเสริมสวย ร้านทำผม (หัวเราะ) ผมรู้สึกว่ามันมุ้งมิ้งไปหน่อย ก็เลยหาคำอื่นมาต่อท้ายมาแทน ซึ่งตอนนั้นผมไปชอบวง The Black Dahlia Murder เลยรู้สึกว่า ไหนๆ เพลงวงเราก็ออกแนวโหดๆ แล้ว งั้นเอาคำว่า Murder มาใส่เลยแล้วกัน เลยกลายเป็นคำว่า TRAGEDY OF MURDER ชื่อวงก็เลยดูเกรี้ยวกราดขึ้นมา
TRAGEDY OF MURDER มาเจอกันได้ยังไง
เจต : TRAGEDY OF MURDER เป็นวงที่ก่อตั้งตั้งแต่ปี 2006 แล้ว เริ่มจากผมกับนัน เจอกันที่มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จุดเริ่มต้นจริงๆ มาจากแบงค์เป็นคนก่อตั้งวง วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมไปมอบตัวที่มหา’ลัย ตอนนั้นักศึกษาก็ต้องไปรวมตัวกัน ซึ่งแบงค์เป็นเพื่อนที่เข้ามาทักทายผม แล้วเขาก็ถามว่าชอบดนตรีแนวไหน ผมก็เลยบอกว่าชอบแนวเมทัล ซึ่งแบงค์ก็ชอบเมทัลเหมือนกันพอดี เขาเล่นกีต้าร์ได้ เขาอยากโซโลกีต้าร์ เลยชวนกันว่ามาทำวงกันมั้ย ผมก็ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าผมเข้าบ้านสมเด็จวันแรกก็ได้วงนี้ขึ้นมาเลย
หลังจากนั้นแบงค์ก็ไปเจอนัน วันนั้นนันใช้ป้ายชื่อเป็นรูปกีตาร์ ผมก็เลยชวนนันเข้าวง ในวันนั้นก็ได้สมาชิกเข้าวงอีกสองคน ก็คือหนุ่ยกับเช็กเป็นมือเบสกับมือกลอง แต่พอซ้อมไปสามครั้งแรก แบงค์ไม่มาเลย จนสุดท้ายแบงค์มาขอลาออกจากวง บอกว่าไม่มีเวลาให้กับวงเพราะมีธุระเยอะ เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งปี ผมได้ไปรู้จักกับเพื่อนเก่าของแบงค์พอดี ก็เลยได้คุยกันและผมได้บอกกับเพื่อนเก่าของแบงค์ไปว่า เราเคยทำวงด้วยกัน ซึ่งมีแบงค์จะมาเล่นกีตาร์ให้ แต่ไม่ทันได้ซ้อมด้วยกัน แบงค์ก็มาลาออกไปก่อน และคำตอบของเพื่อนเก่าแบงค์ที่ทำให้ผมอึ้งไปสาม 3 วิ ก็คือ “แบงค์มันเล่นกีตาร์ไม่เป็น มันเข้าไปอยู่วงนี้ได้ยังไง” (หัวเราะ) นั่นเลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิด TRAGEDY OF MURDER เป็นการรวมตัวที่แปลกๆ จนวงได้เดินทางและเกิดการเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ
นิยามสไตล์เพลงของวงไว้แบบไหน
เจต : ถ้าเป็นแนวเพลงของพวกเรา จัดได้ว่าเป็น Deathcore-Metalcore อธิบายคำว่า Deathcore ก่อน คือคำนี้มันเกิดจากการผสมผสานระหว่าง death metal กับ Hardcore และโครงสร้างของ Metalcore ซึ่ง Deathcore มันคือการพัฒนามาจากดนตรีเมทัลคอร์อีกที ซึ่งเกิดในช่วงของกลางถึงปลายยุค 2000 ส่วน Metalcore เป็นการผสมผสานระหว่างดนตรีเมทัลของทางฝั่งสวีดิช เขาเรียกว่า melodic death metal ผสมกับโครงสร้างของดนตรีฮาร์ดคอร์ จนออกมาเป็น Metalcore ครับ
อะไรคือเสน่ห์ของดนตรีแนว Deathcore
นัน : ผมว่าเสน่ห์ของดนตรีแนว Deathcore คือความไม่ตายตัว ความไม่เจาะจงว่าจะต้องเป็น Death Metal เท่านั้น หรือจะต้องมีท่อน Hard-Metal เท่านั้น เป็นดนตรีมีความ Experimental ที่สูงมาก สามารถเอาเอาอะไรมาใส่ก็ได้ อย่างบางวงเอา Jazz มาใส่เบรกกลางท่อนเลย คือมันเป็นดนตรีที่เล่นได้กว้าง เพราะมันเป็นทั้ง Deathcore, Metalcore, Hardcore ผสมกัน มันสามารถเล่นไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งได้ โดยที่เรียกได้ว่าไม่ได้ผิด ไม่มีกรอบตายตัว เป็นดนตรีที่ค่อนข้างอิสระ บวกกับเสียงร้องที่ดุดัน มีแผดสูง มีกดต่ำ สลับกัน มันทำให้จังหวะของดนตรีแนวนี้มีเสน่ห์
สิ่งที่ TRAGEDY OF MURDER แฝงไว้ผ่านผลงานเพลง
เจต : การเขียนเพลงของ TRAGEDY OF MURDER ในแต่ละยุกต์จะมีวิวัฒนาการการเติบโตที่แตกต่างกัน อยู่ที่ว่าช่วงนั้นผมอินกับอะไร ก่อนหน้านั้น ซิงเกิลต่างๆ จะพูดถึงเรื่องภายในจิตใจของเรา เรียกว่าเอาทางปรัชญาของศาสนาพุทธ เอามาเขียนเกี่ยวกับการใช้สติ ถ้าเราโกรธมากๆ เราจะระงับเรื่องพวกนี้ได้ยังไง เราต้องมีสติในการระงับอารมณ์โกรธ แต่สำหรับบางเพลง Hater จะพูดถึงสังคม พูดถึงคนที่ toxic ที่เห็นได้ตามโซเชียลมีเดีย เปรียบเหมือนกลุ่ม Hater ที่ไม่เคยคิดจะมองอะไรให้มันเป็นเรื่อง Positive แสดงแต่ประจุลบให้ชาวโซเชียลมีเดีย ซึ่งซิงเกิลล่าสุดอย่าง “PARADISE” ก็เป็นเพลงแรกที่เราเขียนถึงแฟนเพลง เพราะมีช่วงหนึ่งที่เราหมดไฟมาก แล้วได้ไปขึ้นแสดงงาน Paradise Festival ในวันนั้นแฟนเพลงให้การตอบรับดีมากๆ ทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจ ขอบคุณไปถึงแฟนเพลง ก็เลยตั้งชื่อเพลงตามชื่องานขึ้นมา เพราะว่าเป็นการเก็บโมเมนต์ความประทับใจในวันนั้นไว้ในเพลงด้วย
อยากให้เล่ากระบวนการการทำเพลง Paradise ให้ฟังหน่อย
เบส : เริ่มต้นจากพี่บอส มือกีตาร์ที่เป็นพี่ชายผม วันนั้นผม พี่บอส พี่นัน พี่เจต คิดกันว่าเราจะทำเพลงประมาณไหนดี แต่เรามีการคุยถึงคอนเซ็ปต์คร่าวๆ ไว้แล้ว จากนั้นเราก็เริ่มขึ้นโครงของเพลง พี่บอสเริ่มจากเมโลดี้หลัก พี่นันเป็นคนบัอัดเสียงทุกอย่างไว้ แล้วก็เป็นคนคอยเสริมว่า เราควรใส่ท่อนประมาณไหนลงไปดีมั้ย หเรียกว่าให้พี่เจตช่วยตีกรอบ และในส่วนรายละเอียดจะให้พี่นันเป็นคนทำเป็นหลัก
เจต : เราจบกระบวนการโดยได้ พี่โอ๊ค BIG ASS มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้และมาดูแลภาพรวมทั้งหมด ซึ่งพวกเราเองก็อยากให้เพลงมันฟังง่าย มีความสนุก เลยได้มิกซ์มาสเตอร์โ ดย Shane Edwards ซึ่งคุณเชนเอ็ดเวิร์ด เป็นคนออสเตรเลียที่เป็น Sound Engineer ที่อยู่ที่ไทย เขาทำเพลงให้กับศิลปินดังๆ เยอะเลยครับ เช่น BIG ASS, LABANOON, Sweet’n Roll, Tilly Birds, Bowkylion เป็นคนที่ทำงานกับวงมา 4-5 ซิงเกิลต่อเนื่องกันเลยครับ ก็ให้เขาไปปรุงแต่งซาวด์จนถูกใจ ทั้งเราแล้วก็คนฟัง เพราะซาวด์มันค่อนข้างอินเตอร์มากทีเดียว
เรื่องราวที่แฝงไว้ใน MV – Paradise
นัน : เรื่องราวจะซิงก์กับคำว่า Paradise แต่มันอาจจะไม่ใช่สรวงสวรรค์ที่สวยสดงดงาม อาจจะหมายถึงจุดเริ่มต้นที่ดาร์ก หรือเรื่องแย่ๆ ที่วงเคยเจอ เรื่องราวก็จะเปรียบเทียบว่า สมาชิกวงของเราผ่านยุคสมัยต่างๆ ที่เลวร้าย อย่างยุคไซเบอร์พังก์หรือยุคน้ำแข็ง ยุคลาวาที่มันล่มสลายไปแล้ว เป็นยุค post apocalypse จนท้ายที่สุดก็ระเบิดออกมากลายเป็นสัตว์ประหลาดที่เห็นกันใน MV คล้ายๆ สัตว์ประหลาดในอนิเมชันเรื่อง Attack on Titan แล้วสัตว์ประหลาดตัวนั้นก็ระเบิด หายไป กลายเป็นฉากสุดท้ายที่เราได้เห็นใน MV ซึ่งเป็นการเกิดใหม่บนสรวงสวรรค์ที่สวยงาม ประมาณว่าเราเจอเรื่องราวแย่ๆ มาแล้วจึงได้เกิดใหม่
โมเมนต์ไหนที่ประทับใจที่สุดในการทำเพลงนี้
นัน : โมเมนต์การอัด เราอัดกันเล่นกันหลายเทคมาก แม้ว่าเทคนั้นจะโอเคแล้วแต่พี่โอ๊คก็ยังบอกว่าขออีกทีนะ ใครที่อัดเพลงกับพี่โอ๊คก็จะรู้ดีว่า พี่โอ๊คเขาจะขอเก็บเสียงไว้อีกเยอะ เรียกได้ว่าอัดกันมือแตกเลยครับ กว่าจะได้เพลงนี้ออกมา แล้วก็อีกโมเมนต์นึงที่ประทับใจก็คือช่วงที่อัดไกด์ร้อง ท่อนตรงกลางเพลงมันจะคล้ายท่อนแรป แต่จริงๆในตัว demo มันเป็นแรปหนักยิ่งกว่านั้นอีก แทบจะเป็น Rap God เลย แต่สุดท้ายแล้ววงก็ตัดสินใจทอนให้มันน้อยลงเพราะกลัวว่าจะอัดไม่ไหว
เจต : ท่อนแรปเราก็มีการลดทอนเนื้อให้มันฟังง่ายขึ้น และในส่วนที่ประทับใจมากก็คือในการถ่ายทำ MV ในตอนแรกได้ทุนจาก CEA อยู่ในโครงการของ TCDC ซึ่งเป็นงบเกี่ยวกับ Soft Power ซึ่งเราได้รับเลือกเข้าไปในโครงการนี้และได้รับการถ่ายทำ MV นี้ขึ้นมาครับ พวกเราต้องขอบคุณทางภาครัฐและองค์กรต่างๆ ที่เล็งเห็นความสำคัญของดนตรีนอกกระแสอย่างพวกเราด้วยจริงๆ ครับ เพราะตอนถ่ายทำเราได้ถ่ายด้วยจอ Virtual Lab และใช้โปรแกรมถ่ายทำ Unreal Engine Lab ด้วย นับเป็นสิ่งที่แปลกใหม่แล้วก็ล้ำสมัยมากสำหรับวงอย่างพวกเราครับ
วันถ่าย MV มีฉากที่ผมประทับใจมากที่สุดอยู่ 2 ฉากครับ ฉากแรกคือ ฉากที่กำลังจะโดนปีศาจเข้าสิง ซึ่งตาผมต้องขาว เบิกโพลง ฉากนั้นเขาให้ผมไปเปลี่ยนคอนแทคเลนส์ให้เป็น Big eyes สีขาว ซึ่งตอนแรกผมเข้าใจว่า พอใส่แล้วเราจะยังมองเห็น แต่พอใส่ไปจริงๆ มันมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสีขาว (หัวเราะ) วันนั้นต้องขอบคุณที่มีคนช่วยดูแล พาจูงเดินไปเดินมา ซึ่งตอนนั้นผมก็ต้องเล่นตามที่กำกับสั่ งโดยที่ผมมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ นั่นก็ถือว่าเป็นโมเมนต์ที่ประทับใจมากๆ
และอีกฉากที่ชอบคือ ฉากไคลแม็กซ์ฉากสุดท้ายที่ผมต้องไปนอนกลาง Green Screen และต้องถอดเสื้อผ้าออกเหลือแค่กางเกงแนบเนื้อ ซึ่งต้องขอบคุณทีมงาน CG ที่เป็นนักศึกษาฝึกงานของ ABAC ชั้นปีที่ 4 ด้วยนะครับที่ช่วยตัดต่อเนียนเหมือนผมไม่ได้ใส่อะไรเลย แล้วก็ฉากนั้นเองผมก็ต้องโดนทาเมือกไปทั้งตัวด้วย เลยเป็นอะไรที่สนุกและประทับใจครับ
โปร : ตอนเข้าไปถ่าย MV ครั้งแรกเราเข้าใจว่าจะได้ถ่าย Green Screen แต่ความจริงแล้วกลับเป็นจอที่ขนาดเท่าตึก 1-2 ชั้นเลย เราก็สงสัยว่า MV จะออกมาเป็นยังไง เพราะเราชินกับเบื้องหลังที่ใช้ Green Screen มากกว่า แต่พอได้เห็นของจริงแล้วมันเนียนมากๆ และสวยมากๆ เลยครับ ผมตกใจมาก อึ้งตั้งแต่ตอนดูดราฟต์กันแล้วล่ะครับ ต้องขอบคุณน้องๆทีมงานที่ทำออกมาด้วย สุดยอดจริงๆครับ
ตั้ม : สำหรับตั้ม ความประทับใจใน MV PARADISE เริ่มแรกก็คือ นี่เป็น MV แรกในชีวิตของตั้มเลย และเราก็ประทับใจในเรื่องของเทคโนโลยีด้วย รู้สึกว่ามันสะดวกกับการทำงาน เพราะว่ามันเป็น visual ที่เราจะสามารถรู้และเราสามารถบรีฟตัวเองได้เลยว่า เราควรจะแสดงแบบไหน ควรรู้สึกยังไง อีกความประทับใจในการทำงานคือพอได้ทราบอายุคนที่ทำงานกับเรา เขาอายุน้อยกว่าเราหมดเลย มีคนแก่กว่าเราไม่กี่ท่านเอง เราศรัทธาในความสามารถ เราตกใจตั้งแต่ดราฟต์แรกเลย ความประทับใจมันล้นไปหมดจริงๆ
เบส : มันแฮปปี้ตั้งแต่เริ่มทำ Demo แล้วครับ ผมรู้สึกว่ามันลงตัวไปหมด ตั้งแต่เริ่มคอนเซปต์ เริ่มเข้าห้องอัด กระทั้งการลงทุ่มทุนทุ่มแรงใน MV และท้ายที่สุดท้ายก็คือได้มาเล่นสดกันจริงๆ เราได้เห็นคนดูเอนจอยแล้วมันรู้สึกดีมากๆ เลยครับ
อยากส่งสารอะไรไปถึงแฟนคลับผ่านเพลง PARADISE
เจต : อยากให้แฟนคลับทุกคนรู้ว่า เพลงนี้เราตั้งใจมอบให้กับทุกคนจริงๆ เป็นการขอบคุณแฟนคลับที่ช่วยกลับมาเติมไฟให้กับพวกเรา ทำให้เรามีกำลังใจ เราจึงตอบรับกำลังใจที่ส่งกลับมาด้วยผลงาน Paradise นับเป็นอีกมาสเตอร์พีซของวงเลย เราตั้งใจทำทั้งการเรียบเรียงดนตรี ทั้งซาวน์ ทั้งโปรดักชันและเอ็มวี พวกเราตั้งใจทำให้กับทุกคน และให้ทุกคนรู้สึกว่าคุ้มค่ากับการรอคอย และไม่ผิดหวังกับงานของ Tragedy of Murder ขอบคุณแฟนเพลงทุกคนที่สนับสนุนเรามาโดยตลอด ขอบคุณครับ
ผลงานที่ TRAGEDY OF MURDER ทำมาทั้งหมด แต่ละคนชอบผลงานไหนมากที่สุด
นัน : เพลงแรกที่เราได้ร่วมงานกับ Vom Records คือ Human Parasite ผมชอบตั้งแต่กระบวนการทำเพลงเลย เป็นเพลงที่มีความลงตัวแบบสุ่มๆ เป็นเพลงอัดปุ้บได้ปั้บ ทุกอย่างมันเร็วไปหมด เป็นเพลงแรกและเพลงเดียวที่ทำภายในสองอาทิตย์แล้วเข้าห้องอัดเลย เพราะว่าทุกอย่างมันลงตัวไปหมด
หลังจากนั้นก็ถ่าย MV เป็น MV แรกที่ได้ถ่ายกับพี่หมูบิ๊กแอส พี่หมูก็เสนอว่าให้เราทาหน้าขาว ทาตาดำไหม แต่พี่เขากลัววงไม่เห็นภาพ พี่เขาเลยทาให้พวกผมดูก่อนแล้วก็ลงในอินสตาแกรม (หัวเราะ) เราก็ไม่มีใครพูดอะไรนะเพราะเราเห็นภาพเลย ตอนไปถ่าย MV ก็ไปถ่ายกันที่โรงน้ำแข็งของเพื่อนพี่หมู สถานที่ก็ตามในเอ็มวีเลย มีกองฟาง สังกะสี มีโรงงาน แต่งหน้าจัดเต็มเลย แต่ใช้ดินสอพองและสี non toxic แปะเข้าที่หน้า เหมือนก้อนดินแปะที่หน้าเลย เราเหนียวหน้าอยู่ครึ่งวัน แต่ผมก็ประทับใจการถ่าย MV แบบนี้ครั้งแรกเลย ตัวเพลงก็ลงตัวเพราะได้พี่ โอ๊ค-พงษ์พันธ์ พลสิทธิ์ มาโปรดิวซ์ให้ แล้วก็ได้ Shane Edwards มา Mixed & Mastering ให้ครับ แล้วก็มีพี่เก๋ Hangman มา featuring ตรงท่อนนึงด้วย ก็เลยสร้างความอลังการให้เพลงเข้าไปอีก
เจต : ผมยกให้ Paradise เพราะมันมีฟังก์ชันครบมากๆ เพลงมันมีทั้งท่อนเบรกดาวน์ มีเมโลดี้ที่สวยงาม มีสัดส่วนที่ฟังแล้วไม่จำเจเพลงนี้พอเอาไปเล่นสดแล้ว เพลงมันทำงาน คนฟังรู้ว่าต้องทำตัวยังไง ท่อนไหนคนดูจะมอส ท่อนไหนที่จะโยกกัน มันเพอร์เฟคไปหมด ตอนนี้เลยรู้สึกว่าหลงรักเพลง Paradise มากๆ และน่าจะเป็นไดเรคชันใหม่ๆ ของวงที่ทุกคนจะได้เจอกับ Tragedy of Murder หลังจากนี้ด้วย
โปร : จริงๆ ของผมเพลงเดียวกับเจตเลยคือเพลง Paradise ครับ รู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่ลงตัวไปซะทุกอย่าง ทั้งท่อนเพลงที่มันมีความชัดเจนมากขึ้นว่า แต่ละท่อนทำงานยังไง มีโครงสร้างเพลงที่ง่าย ท่อนฮุกสวยงาม บวกกับเป็นเพลงแรกที่ทำให้ผมเข้ามาในเพลงนี้ด้วย
ตั้ม : ตั้มก็ชอบ Paradise เหมือนกัน ตอนที่เข้ามาวงนี้ครั้งแรกก็ต้องแกะเพลงทั้งหมดในระยะยเวลาอันสั้นเลย แต่สิ่งที่แปลกในเพลงนี้สำหรับตั้มคือ ตั้มรู้สึกเห็นภาพของการเกิดการเปลี่ยนแปลงในวงจากเพลงนี้ ซึ่งเพลงก่อนๆ จะมีสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ มีความ Deathcore เพียวๆ มีเอกลักษณ์เฉพาะเจาะจงชัดเจน แต่เพลงนี้มันมีความสมัยใหม่ มีการเปลี่ยนแปลง ตั้มก็เลยรู้สึกชอบเพลงนี้ เพราะมันเป็นเพลงที่ทิศทางวงเหมือนได้เติบโตขึ้น มันคือการบอกกับแฟนเพลงว่าเรากำลังมีอะไรให้น่าติดตามมากขึ้น เพราะอย่างเราที่เข้ามาในฐานะแฟนเพลง เราก็รู้สึกว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน
เบส : ของผมก็อยากให้ได้ฟังทุกเพลงนะ เพราะมันเป็นการเดินทางของพวกเรา แต่ถ้าความชอบจริงๆ เลยก็คงต้อง Paradise เหมือนกัน เพราะมันเป็นเพลงที่ผมได้ลงมาทำงานตรงนี้เยอะที่สุด เพลงก่อนๆ พี่ๆ เขาขึ้นโครวงไว้ให้แล้ว เราก็แค่ไปเติมแต่งนิดๆ หน่อย แต่อันนี้เราได้ใช้ความคิดและสกิลของเราในเพลงนี้ค่อนข้างเยอะ ทำให้พี่ๆ ได้เห็นว่าเรามีความสามารถประมาณไหน พวกพี่คิดว่าไงชอบความคิดของเราไหม เพลงนี้แฮปปี้มาก ส่วนตัวเลยอยากให้ทุกคนได้ฟังจริงๆ
แต่ละคนมีศิลปินในดวงใจไหม
เจต : แรงบันดาลใจในการอยากร้องเพลง Metal ของผมเลยคงจเป็น Chester Bennington เป็นวงที่เปิดประตูให้ผม วงดนตรีเมทัลวงแรกๆ ที่อยู่คู่กับทุกชีวิตของผม ตั้งแต่วันที่เขาจากไปในปี 2017 เป็นวันที่ช็อกมาก แต่ทุกวันนี้ก็คงอยากเปิดเพลงของเขาอยู่ ส่วนถ้าเป็นนักร้องที่เป็นแรงบันดาลใจท่ีผลักดันให้มาร้องเพลงแนวนี้ ยกเครดิตให้พี่เอ๋ EBOLA ผมเริ่มฝึกร้อง Scream จากเพลง “ความเป็นไป” ของพี่เอ๋ วง EBOLA ครับ
นัน : ของผมในฐานะมือกีตาร์ ผมเริ่มหัดเล่นกีตาร์ไฟฟ้าจากพี่ๆ วง BIG ASS ครับ เป็นศิลปินในดวงใจที่ประทับใจตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงปัจจุบัน มันทำให้ผมอยากที่จะเล่นกีตาร์ไฟฟ้าแนวร็อก เราหัดฟังทำนองจากเพลงของพี่ๆ ถ้าเป็นของต่างประเทศที่ผมประทับใจนั่นก็คือ Chuck Schuldiner วง Death ชอบในการ solo ของเขาที่แหลมกระแทกใจกระแทกโสตประสาทมากๆ ครับ
โปร : ผมชอบ BIG ASS พูดถึงทุกวันนี้ยังแอบดีใจที่ดนตรีมันพาให้เรามาใกล้ไอดอลของเรามากขึ้น ความในใจสมัยเด็กเลยก็คือ เคยแอบที่บ้านไปงานมิวสิกเฟสติวัลเพื่อไปดู BIG ASS ผมชอบพี่อ๊อฟ พี่หมู พี่ๆ ทั้งสองคนเป็นไอดอลของผมเลย แต่ถ้าเป็นศิลปินต่างประเทศก็คงจะเป็น John Peter Petrucci วง Dream Theater น่าจะเป็นไอดอลกีตาร์สายร็อกของใครหลายๆ คน
ตั้ม : ตั้มตีกลองเพราะพี่ใหญ่ LOSO เรามีกลองของน้าที่บ้าน แล้วก็ CD คอนเสิร์ต “เพื่อเพื่อน” เราก็ตีกลองตามทั้งคอนเสิร์ตเลย ไม่รู้ว่าตีถูกต้องหรือเปล่า หลังจากนั้นรู้สึกว่าโสตประสาททุกอย่างมันเห็นกลองเป็นภาพหมดเลย จำทุกอย่างเป็นภาพเสียงกลองที่เข้ามากระแทกในตัวเรา เห็นแล้วรู้ได้เลยว่า มันเป็นตำแหน่งไหนของกลองโดยที่เรายังงงเลย ทุกวันนี้มีนักเรียนมาให้ผมสอนกลองหน่อย เราก็บอกว่าฟังให้เยอะสิ แล้วนึกกลองให้เป็นภาพ แต่เขาไม่เข้าใจเหมือนที่เราเข้าใจ ส่วนศิลปินที่เป็นไอดอลของผมฝั่งเมืองนอกเราชอบ Matt Griner ของ August Burns Red เพราะว่าชอบในเรื่องที่เรารู้สึกว่าเขามีความเก่งในเรื่องของภาคทฤษฎี และเราสามารถนำมาใช้ได้ทั้งไดนามิกและสัดส่วนอื่นๆ ด้วย
เบส : ผมชอบ Asking Alexandria ผมชอบดูการประกวดของต่างประเทศ พวก Performance ผมชอบศึกษาวงแนวๆ นี้ เอาไว้ใช้ในการประกวด แต่ผมชอบวงนี้เป็นพิเศษ ส่วนศิลปินไทยที่เป็นไอดอลของผมก็คงเป็น Bodyslam ครับ
มีศิลปินที่ TRAGEDY OF MURDER อยาก featuring ด้วยไหม
เจต : มีเยอะเลยครับ ผมอยากร่วมงานกับ คริส นักร้องนำวง Motionless in White ถือว่าเป็นวงที่มีพัฒนาการที่ดี มีเอกลักษณ์ดีมาก นักร้องมีเสียงร้องที่เท่มากๆ มีอินเนอร์ความเป็นโมเดิร์นมาก และอีกหนึ่งคนที่อยากได้มา feat. มากๆ คือ HYDE จากวง L’Arc~en~Cie เขาดังตั้งแต่ยุค 90 ใครที่รู้จักก็อายุไม่น้อยแล้วนะครับ (หัวเราะ) แต่ว่าตั้งแต่ลัคอองเซียลจนมาถึงโปรเจ็กต์เดี่ยว ไฮด์ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเองเลย ทุกวันนี้ โปรเจกต์เดี่ยวของเขามีความเป็นโมเดิร์นมากๆ ถึงแม้ว่าตัวเขาจะอายุ 50 กว่าแล้ว แต่เขายังเป็นเหมือนน้ำที่ไม่เต็มแก้ว ยังคอยศึกษางานจากเด็กใหม่ๆ มาประยุกต์เข้ากับสไตล์ดนตรีของตัวเอง แล้วเสียงเขายังคงเป็นเสียงร้องที่มีเอกลักษณ์มากๆ แค่ขึ้นโน้ตมาตัวเดียว คนก็จำเสียงของเขาได้แล้วครับ
โปร : BIG ASS ครับ เพราะเหมือนเป็นการมาเติบเต็มฝันในวัยเด็ก เราเริ่มเล่นและเริ่มฝึกกีตาร์จากพี่ๆ เขา ถ้าเป็นไปได้ร่วมงานกับพี่ๆ BIG ASS ทั้งวงเลย เขินๆ นะถ้าต้องบอกว่าอยาก feat. กับพี่ๆ เขาทั้งที่ทุกวันนี้ก็ทำงานกับเขา
ตั้ม : วงกล้วยไทครับ ส่วนอีกท่านคือหิน เหล็ก ไฟ เขาเป็นตำนานสำหรับตั้ม ความทรงจำในวัยเด็ก คือผมเคยมาติววิศวะที่ม. เกษตร (บางเขน) ได้หนึ่งวัน แล้วก็ต้องบินกลับไปพังงาทันทีเลย เพราะทราบว่าหิน เหล็ก ไฟ ไปเล่นเทศกาลที่บ้านเกิดตัวเอง เลยรู้สึกว่าตำนานไปเล่นถึงปลายจมูก จะพลาดไม่ได้ ซึ่งถ้ามีโอกาสก็อยากตีกลองให้กับพี่โป่ง
เบส : พี่บอย LOMOSONIC ผมอยากจะสนุกกับพี่เขาบนเวทีสักครั้ง โชว์เขาโคตรเดือด
TRAGEDY OF MURDER มีงานอดิเรกที่ทำร่วมกันไหม
เจต : พวกเราไปเดินเมกะพลาซ่าด้วยกัน ไปจับกล่องสุ่ม ซื้อฟิกเกอร์โมเดลด้วยกัน ซึ่งล่าสุดน้องบอส มือกีตาร์ของพวกเราพึ่งได้ตัว secret มานะครับ คนกรี๊ดทั้งร้านเลย (หัวเราะ)
นัน : วงจะชอบคุยกันเรื่องของเล่น เรื่องเกม ว่าเกมนี้เล่นหรือยัง ดูสตรีมแล้วหรือยัง มีเกมใหม่ๆ มาอัพเดท คุยกันเรื่องคอนเทนต์ของเกมเยอะ นอกจากเรื่องดนตรีที่คุยกันแล้ว น้องเบสเขาจะชอบป้ายยาผม “พี่นัน พรีหรือยังตัวนี้ มาใหม่แล้วนะพี่ ตัวนี้สวยจริงสวยมาก 2,000 ต้นๆเอง” คำพูดติดปากเลยกลายเป็น “พรีมั้ย”
โปร : จริงๆเวลาแฟนคลับทักมา ไม่ต้องเป็นเรื่องดนตรีอย่างเดียวก็ได้นะครับ เรื่องเกมก็ตอบหมด
ตั้ม : ตอนนี้ตั้มเหมือนได้ย้อนกลับไปสู่ยุค 90 รู้สึกว่ากลับไปติดอยู่ในช่วงที่เป็นเด็ก ยุคนั้นมันสนุกมากเลย
ดนตรีมีอิทธิพลต่อชีวิตของแต่ละคนอย่างไร
เบส : มันทำให้ผมรู้จักคนเยอะ รู้สึกดีที่เล่นดนตรีอยู่ ก่อนหน้านี้อยากเลิกนะ แต่พอได้เล่นอยู่ ก็ได้เจอทุกคน รู้สึกว่าทิ้งไม่ได้เลย
เจต : เมื่อก่อนผมเคยรู้สึกว่าผมทำอะไรไม่เก่งสักอย่าง ผมเคยมีแพสชันกับกีฬาและฟุตบอลมาก แต่พอได้ลองเตะเข้าจริงๆ ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ การถูกซัพพอร์ตและลู่ทางไปต่อมันน้อยมากครับเมื่อเทียบกับสมัยนี้ ฝันของเรามันก็เลยถอยออกจากฟุตบอล และพอได้มาเจอดนตรี ดนตรีมันพลิกชีวิตผมเลย มันพาให้ตัวเองเริ่มชีวิตจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ อย่างการเล่นดนตรี Underground จนได้ขึ้นมาเป็นกึ่ง mainstream อย่างทุกวันนี้คนที่เราทำงานอยู่ด้วย ทั้งพี่ๆ วงบิ๊กแอส รวมถึงนักดนตรีหลายๆ คนที่เราเห็นเขาอยู่ในหน้าจอตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะพี่ๆ Bodyslam, CLASH, LABANOON, POTATO, Sweet Mullet, Retrospect, No More Tear, The Yers, หรือเก่ากว่านั้นอย่างพี่ๆ หินเหล็กไฟ, พี่เสือ ธนพล, Y Not 7, พี่อี๊ด วง FLY, พี่กบ TAXI คือทุกวันนี้มันเยอะมาก บางครั้งผมยังคิดว่า ผมได้มาทำงานกับศิลปินเหล่านี้ เราอยู่ในความฝันหรือเปล่า เพราะผมรู้สึกห่างไกลกว่าที่จะไปรู้จัก หรือไปสัมผัสพี่ๆ เขาได้ แต่พอมาได้ทำงานตรงนี้ ผมเลยดีใจ และทุกครั้งที่ได้สัมผัสโมเมนต์นี้ ผมอยากจะร้องไห้ทุกครั้ง น้ำตาซึมทุกที อยากบอกว่า ขอบคุณดนตรีที่ทำให้ผมได้มาเจอกับโมเมนต์ที่สำคัญกับชีวิตเหล่านี้ ขอบคุณตัวเองที่ไม่ทิ้งดนตรี ทำให้เราก้าวมาถึงความฝันของเราที่ตั้งไว้
นัน : ยอมรับว่าเมื่อก่อนผมเป็นเด็กเนิร์ดติดเกมอย่างเดียว ไม่ค่อยมีเพื่อน เพราะเพื่อนหันไปเล่นดนตรีหมด เราเลยรู้สึกว่าเราคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่องแล้ว ก็เลยต้องเล่นดนตรีบ้าง เริ่มจากการหัดเล่นกีต้าร์ เพลงแรกที่ผมหัดคือเพลงโรงเรียนของหนูของพี่ปู-พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ เพลงในตำนานที่มี 4 คอร์ด พอเราเล่นดนตรีได้ เราคุยกับเพื่อนรู้เรื่องมากขึ้น เราเป็นที่รู้จักในโรงเรียนมากขึ้น เพราะนอกจากเราเล่นกีต้าร์โปร่งแล้ว เรายังได้อยู่ในวงกับเพื่อน ชีวิตก็เลยเปลี่ยนไปจากการที่เราเป็นเด็กเนิร์ดที่เล่นเกมอย่างเดียว กลายเป็นว่าคนนี้มันเล่นดนตรีด้วยนะ คนรู้จักเราในฐานะมือกีต้าร์
โปร : จุดเริ่มต้นน่าจะคล้ายกับเพื่อนๆ เพราะเมื่อก่อนเราเองก็ไม่ได้มีตัวตน พอดีเห็นรุ่นพี่เล่นดนตรี ก็เลยมองว่ามันเป็นกิจกรรมที่ทำให้แสงทุกทางส่องมาที่ตัวเขา เราก็เลยได้เริ่มเล่นดนตรี แล้วก็พูดได้ว่ามันเป็นแพสชันในการดำเนินชีวิต แม้ว่าทุกวันนี้เราทำงานด้านอื่นๆ ร่วมด้วย แต่มันเกี่ยวข้องกับด้านดนตรีหมดเลย ต้องขอบคุณดนตรีจริงๆ ที่พาเรามาได้ดินทางจนพบกับเพื่อน กลุ่มคนที่คิดเหมือนกัน ได้พบกับไอดอลที่เราเคยเจอสมัยเด็กๆ ก็ขอบคุณที่เราไม่ทิ้งดนตรี และดนตรีก็ไม่ทิ้งเรา
ตั้ม : ในวัยเด็กอย่างที่พี่โปรบอกคือ เราไม่ได้มีตัวตนในสังคมเลย ไม่มีใครรู้ว่าเราเล่นดนตรีได้ ทั้งๆ ที่เราตีกลองตั้งแต่ ป.1 จนกระทั้ง ม.6 มีน้องที่ไปเล่นที่บ้านเราได้เห็นกลองที่บ้านพอดี ก็เลยเอาไปบอกที่โรงเรียนว่า พี่ชายคนนี้เล่นกลองได้นะ มีกลองที่บ้านด้วย ครูเขาเลยก็จับเราไปตีกลอง ทั้งโรงเรียนเลยได้รับรู้เป็นครั้งแรกว่า เรามีความสามารถด้านดนตรี ซึ่งตั้มแทบจะบอกได้เลยว่า ตั้มใช้ดนตรีนำทางในการใช้ชีวิต เป็นศาสนาเลยก็ว่าได้นะ เพราะหลายๆ เพลง มีทั้งเนื้อร้องและดนตรีที่ดีๆ ที่ตั้มใช้ในการขับเคลื่อนเป็นคำสอนได้จริงๆ