บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของซีรีส์ The Last of Us

            อาถรรพ์หนังหรือซีรีส์ที่สร้างจากเกม เป็นหนึ่งในเรื่องราวประหลาดที่เกิดขึ้นในโลกภาพยนตร์ที่เมื่อใดก็ตามที่ผู้สร้างสักคนคิดจะหยิบเกมสักเกมมาสร้าง มันมักจะลงเอยด้วยการถูกสาปส่งจากบรรดาแฟนเกมทุกครั้งไป จากเหตุผลที่ว่าตัวหนังมักจะมีความพยายามในการเปลี่ยนองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ไม่ได้ซื่อตรงกับเกมจนเละเทะ และกับหนังบางเรื่อง มันก็ซื่อตรงกับเกมมากเสียจนเมื่อกลายเป็นภาพยนตร์ มันก็ดันน่าเบื่อเกินไปและไม่เวิร์คเอาเสียเลย

            เพื่อความเป็นธรรม มันไม่ใช่หนังทุกเรื่องจะโดนสาปส่ง เพราะหนังอย่าง Sonic the Hedgehog ทั้งสองภาคก็ได้รับความชมไปพอสมควร แต่หากมองเรื่องอื่น ๆ อาทิเช่น Resident Evil, Tomb Raider หรือ Doom ก็ล้วนแล้วแต่ถูกแฟนเกมส่ายหน้าหนีกันทั้งนั้น ซึ่งหากเทียบสัดส่วนกัน หนังจากเกมก็ยังกลายเป็นอาถรรพ์จนถึงทุกวันนี้ จนกระทั่ง การมาของซีรีส์ The Last of Us 

            The Last of Us คือเกมคอนโซลที่พัฒนาโดยบริษัท Naughty Dog เปิดตัวครั้งแรกในปี 2013 ในเครื่องเล่น Playstation 3 ทันทีที่ตัวเกมออกวางจำหน่าย มันได้กลายเป็นเกมยอดฮิตถล่มทลาย พร้อมกับกวาดคำชมไปมหาศาล จนท้ายสุดตัวเกมได้รับรางวัลเกมยอดเยี่ยมจากแทบทุกสถาบัน จนได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นหนึ่งในเกมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยวิธีการเล่นที่ทั้งต้องไขปริศนา เดินทางเอาชีวิตรอดในโลกที่ล่มสลาย แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือเรื่องราวในเกม 

            ทันทีที่เกมถูกประกาศว่าจะสร้างเป็นซีรีส์ที่จะออนแอร์ทาง HBO มันก็สร้างความหวังให้กับแฟนเกมทั่วโลก ขณะเดียวกันมันสร้างความรู้สึกกลัวปนหวาดระแวงว่าเกมที่ทุกคนรักจะถูกเอามาปู้ยี่ปู้ยำเสียเละเทะ แต่เมื่อทางค่ายเริ่มได้ปล่อยภาพนิ่ง ตัวอย่าง หรือโปสเตอร์จากการโปรโมต แฟนเกมเริ่มวางใจได้ว่ามันเดินมาถูกทาง ประกอบกับทาง HBO เป็นผู้สร้างซีรีส์ที่ไว้ใจได้เรื่องคุณภาพ เพราะซีรีส์คุณภาพที่ทุกคนชื่นชมอย่าง Chernobyl หรือ House of the Dragon ต่างก็สร้างโดย HBO ทั้งสิ้น และด้วยทุนสร้างที่สูงถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็แสดงให้เห็นว่าทาง HBO เอาจริงแค่ไหนในการสร้างซีรีส์ฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ออกมา

           และเมื่อตอนแรกของซีรีส์ถูกปล่อยออกมา มันก็ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการซีรีส์โลกทันที เมื่อผู้คนต่างก็พูดถึงซีรีส์เรื่องนี้ในแง่บวก และสร้างสถิติกลายเป็นซีรีส์ที่มีผู้ชมวันแรกสูงถึง 4.7 ล้านคน โดยเป็นรองเพียง House of the Dragon เท่านั้น บนแพลตฟอร์มของ HBO พร้อมกับเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญจากคนทั่วทุกมุมโลกว่า นี่อาจเป็นซีรีส์ที่สร้างจากเกมที่ดีที่สุดที่เคยสร้างกันมา   

            จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่? เรายังไม่รู้ เพราะซีรีส์เรื่องนี้ยังออนแอร์ไม่จบ แต่เท่าที่เราได้ดูห้าตอนแรกของซีรีส์ เราไม่เห็นเค้าลางของความหายนะ หากแต่คุณภาพของมันกลับยิ่งสูงขึ้นจนน่าประหลาดใจ ซึ่งทั้งหมดนี้คือเหตุผลว่าทำไม The Last of Us อาจจะกลายเป็นซีรีส์ที่สร้างจากเกมที่ดีที่สุด และอาจจะลงท้ายกลายเป็นซีรีส์ขึ้นหิ้งอีกเรื่องเลยก็ได้

เรื่องราวที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเป็นซีรีส์

            เกม The Last of Us เล่าเรื่องการผจญภัยของ โจล ชายหนุ่มวัยกลางคนที่มีบาดแผลทางจิตใจกับการสูญเสียลูกสาวจากเหตุการณ์เชื้อราสายพันธ์ุคอร์ดีเซปส์ระบาด จนเข้ายึดร่างของมนุษย์และเปลี่ยนผู้นั้นให้กลายเป็นปีศาจคล้ายซอมบี้ เมื่อเชื้อกระจายไปทั่วโลก ก็ส่งผลให้อารยธรรมถึงกาลล่มสลาย ผู้คนเข่นฆ่ากันเองเพื่อเอาชีวิตรอด เผด็จการทหารเข้าควบคุมสังคม เกิดกองกำลังกบฏ มนุษย์ที่ยังเหลือต้องอาศัยในเขตกักกัน โดยเขาต้องเดินทางไปกับ เอลลี่ เด็กหญิงคนหนึ่งที่อาจเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างวัคซีนป้องกันโรคระบาดนี้ได้ 

            ด้วยเรื่องราวและโลกที่เกมนี้สร้างขึ้น จะเห็นได้ว่ามันช่างใหญ่โตและมีประเด็นมากมายเต็มไปหมดที่สามารถนำมาขยายเป็นซีรีส์ได้สบาย ๆ นอกจากนั้นเกมยังถ่ายทอดออกมาอย่างไม่ประนีประนอม มันคือเรื่องราวอันโหดร้ายของโลกที่ล่มสลาย การฆ่าหรือการกระทำของตัวละครจึงสมจริง โหดร้ายทารุณ และสะเทือนใจ เมื่อสารตั้งต้นที่เกมได้สร้างเอาไว้นั้นแข็งแรงมาก ๆ และเป็นจุดเด่นสำคัญ

            จนบางสื่อถึงขนาดพูดถึงเกมนี้ว่ามันคือ หนังดี ที่ไม่ใช่หนัง 

            องค์ประกอบที่ครบถ้วนทั้งตัวละครที่มีมิติความเป็นมนุษย์สูงลิบลิ่ว ที่ตัวละครในเกมไม่มีขาวหรือดำ แต่ทุกตัวละครต่างเป็นสีเทา ที่ล้วนแต่ขับเคลื่อนด้วยความสัมพันธ์และเหตุผลของตัวเอง ไม่มีคนดีคนเลว มีแต่คนธรรมดาที่พยายามเอาชีวิตรอดและทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด 

            การสร้างข้อมูลเชื้อรามรณะต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด อย่างเชื้อราคอร์ดีเซปส์ที่ฝังตัวและยึดร่าง ก็เป็นไอเดียที่แปลกใหม่และสร้างความน่าหวาดกลัวไม่น้อย เพราะมันเกิดขึ้นได้จริงในโลกที่เราอาศัยอยู่ เพียงแต่ยังไม่สามารถเกิดขึ้นกับมนุษย์ได้เท่านั้นเอง โดยทีมผู้สร้างเกมได้แรงบันดาลใจจากรับชมสารคดีที่มดกระสุนถูกเชื้อราปรสิตเข้ายึดร่างจนตายทั้งเป็น และซากศพจะกลายเป็นแหล่งเพาะพันธ์ุเชื้อราต่อไป นอกจากนั้นเชื้อราที่ว่ายังสามารถเข้าแทรกซึมไปยังอาหารการกินเช่น ขนมปัง ได้อีกต่างหาก  ซึ่งความสร้างสรรค์ของทีมงานคือมีการดีไซน์มนุษย์ที่ติดเชื้อในรูปแบบต่าง ๆ ที่น่าสนใจไปตามลำดับเวลาของการติดเชื้อ ที่รูปลักษณ์และความน่ากลัวของซอมบี้เหล่านั้นจะแตกต่างกันออกไปอีก

            ทั้งหมดนี้กล่าวโดยสรุปได้ว่ามันคือเกมที่มีฉากหลังคือโลกและเรื่องราวที่โดดเด่นกว่ารูปแบบและวิธีการเล่นด้วยซ้ำไป

การดัดแปลงที่ไม่เสียจิตวิญญาณของเรื่อง

            อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ภาพยนตร์ที่สร้างจากเกมก่อนหน้านี้ประสบปัญหาอย่างยิ่งในเรื่องของการดัดแปลงเกมสู่ภาพยนตร์ ซึ่งโดยส่วนมาก นอกจากแฟนเกมไม่ปลื้มแล้ว แฟนภาพยนตร์ก็ไม่ปลื้มตามอีกด้วย เพราะมันทั้งเสียเอกลักษณ์ของเกม และเละเทะเมื่อเป็นภาพยนตร์ แต่สิ่งที่ซีรีส์เรื่องนี้ทำ และทำออกมาได้ดีมากเสียด้วย คือการเลือกที่ไม่เดินตามเนื้อหาของเกมแบบเป๊ะ ๆ แต่เลือกจะดัดแปลงเนื้อหาบางส่วน รวมถึงเพิ่มเติมส่วนที่ไม่มีในเกมเพื่อขยายเรื่องราวให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น 

            ตัวอย่างที่เด่นชัดคือฉากเปิดของสองตอนแรก ที่เราได้เห็นฉากในรายการทอล์คโชว์รายการหนึ่งในปี 1968 ที่นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งในรายการแสดงความเห็นถึงความน่าหวาดกลัวของเชื้อราคอร์ดีเซปส์ โดยเล่ารายละเอียดต่าง ๆ วิธีการทำงานของเชื้อราตัวนี้ ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งไม่มีทางเลยที่จะมียารักษา ในบรรยากาศอันเงียบงันที่ผู้คนในสตูดิโอต่างนิ่งเงียบ พร้อมปิดท้ายด้วยคำถามของพิธีกรว่าหากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริงจะทำอย่างไร นักวิทยาศาสตร์คนนั้นนิ่งเงียบ

            และพูดสั้น ๆ เพียงว่า ‘เราก็แพ้’ 

            ฉากเรียบง่ายทว่าทรงพลังอย่างที่สุดฉากนี้ คือฉากที่ผู้สร้างเสริมเติมแต่งขึ้นมา เพื่อให้คนดูได้ทำความรู้จักกับเชื้อรามรณะตัวนี้ตั้งแต่แรก พร้อมกับถ่ายทอดความน่าหวาดกลัวไว้เป็นข้อมูลพื้นฐานไว้ เพื่อเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา 

            หรือจะเป็นการเล่าเรื่องในตอนแรกที่ให้เวลาร่วม ๆ ครึ่งชั่วโมงในการให้คนดูนั้นได้ทำความรู้จักและผูกพันกับตัวละคร ซาราห์ ลูกสาวของโจล ก่อนที่จะถึงฉากโศกนาฎกรรมแสนเศร้า 

            โดยเฉพาะเรื่องราวความสัมพันธ์ของ บิล และ แฟรงค์ ในตอนสามที่ถูกขยายความและเปลี่ยนให้ไม่เหมือนในเกม เป็นความสัมพันธ์ที่สวยงามและน่าเศร้า ซึ่งโดยส่วนตัวขอยกให้เป็นการดัดแปลงที่ยอดเยี่ยมกับเรื่องราวที่แม้จะเป็นเอกเทศจากเรื่องราวหลักจนหลายคนไม่ปลื้ม ทว่าเชื่อได้เลยว่ามันจะส่งผลถึงความรู้สึกที่จะนำไปสู่จุดเปลี่ยนของตัวละครโจลอย่างยิ่งยวดในอนาคต

            ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ตัวเกมทำไม่ได้ด้วยข้อจำกัดของสถานะของเกม ที่คนเล่นเกมต้องเล่น มิใช่ดูอย่างเดียว มันจึงไม่ได้เปิดโอกาสให้เกมได้เล่าเรื่องที่มีรายละเอียดต่าง ๆ ได้มากนัก ตรงข้ามกับซีรีส์ที่มีเวลาเต็มที่ในการหยิบประเด็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เหมือนไม่สำคัญในเกมมาเล่าขยายความ ซึ่งเล่าได้อย่างยอดเยี่ยมและน่าสะเทือนใจ จนคนเล่นเกมที่แม้จะรู้เรื่องราวอยู่แล้วก็จะได้ข้อมูลบางอย่างเพิ่มเติมและอินกับเรื่องราวมากขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ไม่เคยเล่นเกมมาก่อนเลย ได้รับคุณงามความดีในจุดนี้ไปอย่างเต็มที่ 

            นี่จึงเป็นอีกตัวอย่างสำคัญของการดัดแปลงเรื่องราว ไม่ว่าจะจากทั้งเกมหรือนิยายที่ไหนก็แล้วแต่ ว่าการดัดแปลงเป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องดำเนินเรื่องราวตามต้นฉบับเป๊ะ ๆ แบบไม่มีบิดพริ้ว เพราะถ้ามั่นใจพอว่าเรื่องราวใหม่นั้นดีจริง เหมาะสมกับหนังหรือซีรีส์มากกว่า และไม่ทำให้แก่นหรือเนื้อหาของต้นฉบับเปลี่ยนไป ซ้ำยังส่งเสริมประเด็นนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น มันจะยิ่งดีกว่าเดิม เหมือนที่อย่างน้อยซีรีส์เรื่องนี้ก็ได้ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างไปแล้ว

เคร็ก เมซิน และ นีล ดรัคแมนน์ 

            จากอดีตมือเขียนบทหนังตลกปัญญานิ่มที่คนดูส่วนใหญ่ส่ายหน้าหนี เคร็ก เมซิน ได้กลายเป็นผู้สร้างและมือเขียนบทซีรีส์มือทองในพริบตาเมื่อผลงานซีรีส์ของ HBO ที่เขาเป็นผู้สร้าง (Creator) และผู้เขียนบท อย่าง Chernobyl ที่เป็นมินิซีรีส์อิงประวัติศาสตร์ ดราม่ายอดเยี่ยมอีกหนึ่งเรื่อง จนท้ายสุดได้รับรางวัลซีรีส์ยอดเยี่ยมจาก Emmy Awards อีกด้วย 

            นี่คือสิ่งที่บ่งบอกว่า HBO จริงจังแค่ไหนกับซีรีส์ The Last of Us ก็คือการดึงตัวเมซินเข้ามาเป็นผู้สร้างอีกครั้ง โดยเป็นการทำงานร่วมกับ นีล ดรัคแมนน์ ผู้กำกับและเขียนบท The Last of Us เวอร์ชั่นเกม โดยเมซินได้อธิบายการทำงานของเขากับดรัคแมนน์ว่า เขาจะอยู่ในฐานะของผู้ชมที่คอยต่อยอดจุดต่าง ๆ ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยจะเป็นมุมมองของแฟนเกม ที่รู้ว่าจุดไหนที่อิมแพคกับเรื่องราวมาก ๆ จุดไหนที่ควรปรับเปลี่ยน และจุดไหนที่ไม่ควรไปแตะต้อง โดยดรัคแมนน์ที่ถือเป็นบิดาของเกมนี้ ก็จะคอยแนะนำเพื่อประคับประคองแก่นของเรื่องราวให้คงอยู่ภายใต้การดัดแปลงเพื่อเล่าเรื่องแบบใหม่ โดยทั้งสองคนมีแนวคิดเดียวกันว่า ในฉบับซีรีส์ ผู้ชมจะต้องได้รับความรู้สึกแบบเดียวกับตอนเล่นเกมให้ได้ 

            การที่แฟนเกมได้เห็นชื่อสองคนนี้มาอยู่ข้างกันในฐานะผู้สร้าง จึงพอให้สบายใจได้ว่าเกมที่พวกเรารักจะไม่ถูกทำออกมาแบบลวก ๆ เพราะฝ่ายหนึ่งก็คือบิดาผู้ที่สร้างเกมนี้มาตั้งแต่แรก รู้เรื่องราวทุกซอกทุกมุมของเกม อีกคนก็คือผู้เขียนบทซีรีส์ชั้นเยี่ยมที่มีรางวัลการันตีฝีมือ 

ภาพ: Cinebuzz

            งานซีรีส์ The Last of Us จึงกลายเป็นอีกตัวอย่างสำคัญว่าเกมที่ดีก็กลายเป็นหนังหรือซีรีส์ที่ดีได้เช่นกัน แต่ก็นั่นแหละ สิ่งนี้อาจจะเกิดขึ้นกับเฉพาะบางเกมเท่านั้นก็ได้ ที่ผ่านมามันมีหนังบางเรื่องที่สร้างออกมาไม่ดีจริง ๆ และสมควรถูกตำหนิ แต่กับบางเรื่องสิ่งที่ควรถูกตำหนิมิใช่สร้างออกมาไม่ดี แต่ควรตำหนิว่ามันไม่ควรถูกสร้างออกมาตั้งแต่แรกด้วยเหตุผลที่ข้อจำกัดของเกมนั้นยากเกินไปที่จะนำมาดัดแปลงเป็นหนังต่างหาก

            มันจึงเป็นโชคดีของแฟนเกม The Last of Us ที่ตัวเกมมีวัตถุดิบดั้งเดิมที่เหมาะสมกับการถูกดัดแปลงเป็นซีรีส์อยู่แล้วตั้งแต่แรก และยังได้ผู้สร้างที่ดีในการสร้างมันขึ้นมา 

            ไม่ว่าจะเป็นแฟนเกมหรือไม่ก็ตาม เรื่องราวของ The Last of Us เป็นอีกเรื่องราวที่ควรค่าแก่การรับชม ไม่ว่าจะเพื่อความบันเทิง หรือแม้แต่ชมเพื่อตั้งคำถามย้อนกลับมาถึงตัวเราเอง ในเรื่องของความเป็นมนุษย์และความถูกต้องในการกระทำของตัวละคร

            ว่าหากเป็นเรา จะทำอย่างไร? อยู่ฝั่งไหน? ทำเพื่อใคร? คำถามเหล่านี้ไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง และไม่มีคำตอบที่ผิด ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองเท่านั้นว่าจะให้คำตอบอย่างไร

Contributors

ชายบ้าภาพยนตร์ บ้าแมนยู บ้าการเมือง ที่ชอบอ่าน ชอบเขียน และคิดเสมอว่าบทความดีๆ สามารถสร้างแรงบันดาลใจหรือจุดความคิดบางอย่างได้เสมอ แต่เป็นมนุษย์ติดกาแฟ คิดวนไปวนมา ตอนนี้กำลังฝึกตัวเองให้เป็นมนุษย์ที่สามารถมองเห็นความสุขง่ายๆ ของชีวิต