The Darkest Romance คือ วงดนตรีร็อกที่อยู่ในสังกัด Gene Lab

            ก่อนหน้านี้มันคือโปรเจคต์ที่ส่วนตัวมากๆ ของ แม็ก-ธิติวัฒน์ รองทอง (ร้องนำและเบส) ซึ่งเขาได้ชักชวนเพื่อนๆ อีกสามคนมาร่วมทำเพลงด้วยกัน ประกอบด้วย ก้อง–ก้องอุดม ใจทัศน์กุล (กีตาร์) เต้–ปัฏฐสิทธิ์ ห้วยห้อง (กีตาร์) และซีเกม–ธณัตชัย เหลือรักษ์ (กลอง) จนกลายมาเป็น The Darkest Romance ที่ลงตัวและยืนหยัดทำเพลงด้วยกันอยู่ถึงทุกวันนี้

            ซึ่งถึงแม้จะเพิ่งเป็นศิลปินมีสังกัดได้ไม่นาน แต่ก็มีเพลงที่ทำให้เราจดจำพวกเขาได้ อย่างที่เราเคยร้องไห้กับความเยาว์ (ร้องจริงๆ-ผู้เขียน) หรือขนลุกกับเคย ที่ร้องร่วมกับแพทแห่งวง Klear และล่าสุดกับซิงเกิ้ลใหม่ที่กำลังจะปล่อยในอีกไม่กี่วันนี้

            ถ้าพูดถึงความเป็นโปรเจคต์ส่วนตัว แม็กบอกเราว่า ในเนื้องานทั้งหมดของ The Darkest Romance ก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความคิดความอ่านและมีจิตใจ

            แต่ถ้าพูดถึงตัวตนในมุมของสมาชิกอื่นๆ เต้บอกว่างานของเขาเหมือนรถไฟเหาะ (ฮา)

            ซีเกมบอกว่าเป็นเหมือนพิซซ่าที่มีทอปปิ้งหลากหลาย…ไปหน่อย (ฮา)

            ส่วนก้องบอกว่า นี่คือความดุเดือดเลือดพล่านแบบน่ารัก (ฮา)

            ไม่ว่าสมาชิกจะนิยามหรือตีความวงหรืองานของพวกเขาแบบไหน แต่เราในฐานะคนฟังเพลงคงนิยามต่อให้อีกหน่อยว่า พวกเขาคือวงร็อกที่มีตัวตนชัดเจนในเรื่องทางดนตรีที่หนักแน่น ชัดเจน และเสน่ห์บนเวทีแสดงสดที่เป็นตัวของตัวเอง และเป็นมนุษย์ที่สุด

            เรานัดพบพวกเขาก่อนจะขึ้นเป็นวงปิดบนเวทีหนึ่งของ Monster Music Festival ซึ่งบทสนทนาทั้งหมดก็คือ การสำรวจเส้นทางดนตรีของพวกเขา ก่อนที่จะยืนหยัดมาเป็น The Darkest Romance ที่ไม่ได้ถูกตีกรอบ ไม่ได้ถูกบังคับ

            แต่เป็นตัวของตัวเองอย่างถึงที่สุด จนเป็นที่ถูกจดจำ

ดนตรีนั้นคือชีวิต

            ซีเกม: สำหรับผม ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้มีอิทธิพลอะไร แต่มันเป็นส่วนหนึ่งมากกว่า ตั้งแต่เด็กจนโต ทุกอย่างที่เห็นทุกอย่างที่คิดมันก็คือดนตรีหมด เสียงที่เราได้ยินเราก็ไม่ได้ตีความเป็นเสียงธรรมดา ทุกอย่างเป็นดนตรีหมด เหมือนเป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ก็เลยไม่รู้ว่ามันไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นของข้างนอก ไม่ได้พิเศษอะไรด้วย เป็นเรื่องธรรมดาที่เราก็มีอยู่แล้วมันก็เลย คือเราเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้ว่าจะต้องมีอิทธิพลอะไร เราก็อยู่กับมันมาตั้งแต่แรกมากกว่า

            แม็ก: ผมตอบเหมือนตรงข้ามกับซีเกมเลย ผมรู้สึกว่าชีวิตผมถูกหล่อหลอมด้วยดนตรีประมาณนึง  เพราะว่ามันจะมีเรื่องของสิ่งที่เจอ ความคิดความอ่านตั้งแต่สมัยเด็ก แล้วก็แน่นอนว่ามันไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะมีคนอยู่ข้างๆ ด้วย แต่ว่าดนตรีบางทีมันสอนหลายๆ อย่าง สำหรับผมมันสอนให้เราคิด  มันมีเนื้อเพลงที่ทำให้เราได้มองเห็นอะไรเพิ่มเติม ทั้งในแง่ความคิด สังคมศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ผ่านการเล่าของใคร ผ่านมุมมองของใคร มันไม่ได้มีอิทธิพลแค่ในแง่ของลักษณะการช่วยขัดเกลาในสิ่งที่ผมคิด เป็น หรือรู้สึก มันให้อาชีพผมด้วย ผมก็เลยรู้สึกว่าในสิ่งที่เราชอบหรือสิ่งที่เราทำอยู่ พอมันมีดนตรีมาเกี่ยวข้องเราก็รู้สึกว่าเราทำมันได้ดีเป็นพิเศษ เราทำดนตรีได้ดี ก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ เราได้สิ่งนี้มาจากดนตรีเยอะมาก

            ก้อง: สำหรับผมดนตรีมันมีอิทธิพล มันเหมือนคอยช่วยคุมไม่ให้ผมเป็นบ้าจากหลายๆ อย่างในชีวิต มันเหมือนเป็นสิ่งที่คอยปลอบประโลม พอได้หันมาเล่นดนตรี ก็รู้สึกสงบแล้วก็ผ่อนคลาย ก็ช่วยให้ชีวิตผมสงบได้ประมาณนึง

            เต้: ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอิทธิพลได้ไหม เพราะว่าตอนเด็กๆ ผมเรียนก็ไม่ดี เล่นกีฬาก็ไม่รุ่ง แต่พอมาเจอดนตรี มันก็เหมือนว่าเรามีสมาธิกับสิ่งนี้ที่สุดแล้ว ถ้าจะมีอิทธิพลจริงๆ ก็น่าจะเป็นความรู้สึกเวลาที่ได้ฟังเพลง แล้วเวลาเราเล่น เราได้ถ่ายทอดอารมณ์ในระหว่างการเล่นสด ผมว่ามันเยียวยาจิตใจผมนะ เพราะว่าทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้ทำอาชีพดนตรีเหมือนคนอื่นๆ ผมก็ทำงานประจำ แต่ถ้าผมไม่มีสิ่งนี้ไว้ในชีวิต ผมก็รู้สึกไร้ค่ายังไงไม่รู้ ก็เลยอยากอยู่กับมันไปนานๆ 

ปลายทางของการเล่นดนตรี

            เต้: ถ้าตอนเด็กก็อยากเล่นดนตรีเพราะอยากดัง อยากเท่ก่อน เล่นกีตาร์โชว์หญิง แต่ต่อมาก็เหมือน ที่วงมาถึงจุดนี้ผมก็รู้สึกว่าสำเร็จในฝันของผมแล้วเหมือนกัน แต่ถ้าอยากมองให้ไกลกว่านี้ ผมอยากไปเล่นต่างประเทศสักที อย่างเช่นญี่ปุ่น

            ก้อง: ก็เหมือนนักดนตรีทั่วไปครับ ก็ต้องอยากมีชื่อเสียง เพราะเวลาเราไปเล่นคอนเสิร์ตที่ไหน เวลามีคนมาดูเราก็ใจชื้น มันก็ดีกว่าไม่มีคนดู แล้วก็สำหรับผมทุกวันนี้ก็ได้เล่น ได้ทำเพลงกับเพื่อน ได้มีอะไรบ้างก็มีความสุขมากแล้วครับ มันก็ดีแล้วครับ

            แม็ก: ผมว่าความฝันของผมมี 2 ระยะ ถ้าเป็นสิ่งที่ผมมองว่าเป็นระยะไกลมาก ไกลถึงขั้นแบบเป็นไปไม่ได้เลย ไม่รู้จะเป็นไปได้จริงหรือเปล่า คือ หนึ่ง-ฝันเฟื่องสุดๆ เลยว่าถ้าเพลงมันเปลี่ยนโลกได้สักเพลงนึงก็ดีใจแล้ว สอง-ก็คืออยากไปทัวร์เมืองนอกเยอะๆ เพราะว่าส่วนตัวผมชอบการที่จะได้ไปเล่นดนตรี แล้วได้ไปเล่นดนตรีกับเพื่อนๆ ยิ่งไปเล่นเมืองนอก เราก็ยิ่งรู้สึกว่าเราได้ไปท่องโลก ได้ไปเห็นอะไรมากมายเพิ่มขึ้น แล้วมันน่าจะไปอุดมุมมองในส่วนที่เราขาด ซึ่งในด้านอื่นๆ ผมถือว่าเป็นกำไรหมดเลย เช่น อย่างเพลงประกอบการ์ตูน การดังหรือว่ามีเงินเข้ามา ผมถือว่าเป็นกำไร พอพูดอย่างนี้เสร็จปุ๊บผมก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนในเรื่องของฝันระยะใกล้หรือว่าเป้าหมายจริงๆ ของตัวเอง อาจจะตอบต่างจากเพื่อนทุกคนเลย ผมไม่ได้คิดจะเล่นดนตรีตั้งแต่แรกเพราะว่าอยากดัง แต่ผมอยากพูดในสิ่งที่อยากพูดจริงๆ อีกอย่างหนึ่งคืออยากเล่นดนตรีโดยที่มีความสุข ซึ่งผมโชคดีที่ว่าเพื่อนๆ ที่เล่นด้วย ผมมีความสุขที่เล่นกับพวกเขา

            ซีเกม: คือถ้าเอาตอนเด็กๆ ผมว่าผมอยากมีตัวตน เพราะว่าตอนเด็กๆ ผมเคยสอบได้คะแนนเกือบเต็ม แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันจะเป็นความสำเร็จตรงไหน ไม่รู้สึกว่าชีวิตคอมพลีทอะไร แต่พอได้เล่นดนตรีโชว์ปุ๊บ มันคือความรู้สึกว่า เออ กูได้อวดแล้ว เราอยากอวดสิ่งนี้มากกว่าคะแนนสอบ อันนั้นไม่เห็นจะมีอะไรเลย แต่พอเป็นอันนี้ต่อให้เราจะเล่นได้โคตรกาก ตอนเด็กๆ เล่นไม่ได้ ก็รู้สึกภาคภูมิใจกับตรงนั้นมากกว่า พอโตมาก็เหมือนเพื่อนๆ เลย ก็คือคนเล่นดนตรีก็อยากจะให้มีคนฟัง อยากให้มีคนชอบ ผมเคยหลอกตัวเองว่า ไม่ต้องมีคนดูก็ได้ กูมาเล่น กูอยากเล่นด้วยตัวเอง แต่ทำไมเวลาคนดูเยอะเราดีใจ แปลว่าไม่ใช่แล้ว สุดท้ายเราก็ต้องการของพวกนั้นอยู่ดี แล้วก็ถ้าเอาฝันแบบแปลกๆ ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นไปได้ อยากมีเพลงประกอบอนิเมชั่น แล้วก็อย่างสุดท้ายก็คือแค่อยากเล่นไปเรื่อยๆ เพราะผมรู้สึกว่า ผมกลัวว่าวันหนึ่งอะไรสักอย่างในร่างกายมันจะทำให้เล่นไม่ได้มากๆ เช่น หมอนรองกระดูกอักเสบแล้วผมต้องหยุด 3 ปี ก็เท่ากับเลิก ตรงนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น อยากเล่นได้ไปเรื่อยๆ จนตาย

โปรเจคต์ส่วนตัว

            แม็ก: ย้อนกลับไปคือ The Darkest Romance มันเคยเป็นวงที่เป็น Solo Band มาก่อน คือผมคนเดียวแล้วก็ค่อยประกอบๆๆ แล้วก็มันเคยเป็นโปรเจคตอนเรียนจบเพื่อทำส่งอาจารย์ แล้วมันต่อยอดมาว่าเราก็อยากมีเพลงแต่งอยู่แล้ว ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมชอบการทำวงมากกว่า แต่ว่าเป็นคนที่เพื่อนไม่เยอะ จนกระทั่งผมก็ไปกราบไหว้ ล่อหลอก ขอพรให้พวกเขาได้มาร่วมเล่นด้วย ซึ่งก็ได้เป็นซีเกมมาก่อนเพราะว่าตอนแรกจะทำเอ็มวีกันแล้วอยากหาคนมาถ่ายเอ็มวีให้ เอ็มวีนั้นไม่เคยเกิดขึ้น แต่มันก็เล่นมาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ (หัวเราะ) ก้องก็มาแทนเพราะว่าสมาชิกคนนึงจะกลับบ้านไปทำงานของตัวเอง แล้วด้วยความที่พื้นฐานที่ว่าก้องเป็นคนที่เรียนอยู่ที่เดียวกัน ถึงแม้ว่าตอนเรียนจะไม่ได้คุยหรือสนิทกันมากเท่าไหร่ แต่พอมาเล่นปุ๊บ มันด้วยเคมี แล้วก็มันเหมือนว่าเราไม่ได้เจอกันบ่อยก็จริง แต่ทุกครั้งที่เจอก็ค่อยๆ ละลายพฤติกรรมกัน ในความรู้สึกของผมที่เคยเป็นคนทำเพลงคนเดียว แล้วก็อยู่กับตัวเองมามากกว่า การได้มีเพื่อนมาเล่นด้วยมันเติมเต็มตัวเองมากๆ มันรู้สึกว่า โอเค กูเป็นวงจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่แค่คนหนึ่งคนที่ไปขอความช่วยเหลือคนอื่นตลอดเวลา อย่างน้อยเขาก็ยังใจดีและเมตตาพอที่จะมาร่วมเล่นด้วย (หัวเราะ)

โปรเจคต์ส่วนตัวที่ไม่ส่วนตัวอีกต่อไป

            แม็ก: คือมันมีสองอย่าง เพราะว่าพอเรียนดนตรี หรือแม้กระทั่งว่าการที่ตัวเองเป็นคนเล่นดนตรีอยู่แล้ว แล้วมีเสียงที่อยู่ในหัว มีเนื้อเพลงที่อยากเล่า เพราะฉะนั้นมันก็รู้สึกว่าการ Perform ไม่ว่าจะเป็นเดี่ยวหรือวง ผมมองว่ามันสำคัญก็จริง แต่เราต้องมีของก่อน เราต้องมีสิ่งที่เราอยากจะพูดจริงๆ ก่อน แล้วเราก็ทำมันขึ้นมาเลย แล้วมีรุ่นพี่ที่ผมเคารพมากๆ แล้วก็เป็นอาจารย์ทางอ้อมของผม เขาบอกว่า ถ้าอยากจะทำอะไรแล้วทำให้มันสำเร็จ ทำให้มันเกิดขึ้นจริง อย่ารอ ถ้าคิดว่าทำได้แล้วรอคนอื่น จะทำให้มันช้าไปกว่าเดิม ผมก็เลยเริ่มทำก่อนแล้วก็คิดว่า เราอยากมีวงแหละ เราขอความช่วยเหลือก่อนแล้วกัน เพราะว่าเราเริ่มจากศูนย์ เราไม่มีอะไรให้เขาเลย เราก็รู้สึกว่าเราจะขอใช้แรงเขาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อย่างนี้มันก็คงจะเกรงใจไปทุกวันๆ แล้วก็มันไม่ดีต่อใจตัวเอง แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมต่อเขาด้วย จนกระทั่งมันเริ่มจริงใจมากขึ้นจริงๆ ก็เลยแบบ ต้องแล้วว่ะ ก้องสนใจไหม มาช่วยหน่อยได้ไหม แล้วก็ต่อให้มันไม่เกิดก็ช่วยกูหน่อยนะ

โปรเจคต์ส่วนรวมที่เติมเต็มความรู้สึกที่หายไป

            ซีเกม: ต้องบอกก่อนว่าก่อนที่ผมจะมาเล่นกับวงนี้ ผมก็เล่นมาหลายคน หลายวง ก็มีทั้งที่เล่นแบบเอาสนุก จริงจัง ไปจนเบอร์ที่มันจริงจังเกินไป หมดเลย แต่ตรงนี้ผมไม่มีคำถามอะไรพวกนั้น เหมือนมาเล่นแล้วได้เล่น สบายใจ กลับบ้าน จบ คิดว่าที่เราไม่ได้สนิทกันตั้งแต่ตอนมหาลัยมีผลเหมือนกัน มันเหมือนค่อยๆ ทำความรู้จักกันไป ค่อยๆ ละลายพฤติกรรม เหมือนมันเป็นกราฟขาขึ้นตลอด คือกราฟโดยรวมมันไม่เคยตก มันก็จะขึ้นๆ ลงๆ แต่สุดท้ายมันก็จะขึ้น มันก็สบายใจมาเรื่อยๆ 

            เต้: ของผม พอพวกมันโอเคกับผมแล้ว ผมก็เอาก็เอา

            ก้อง: อย่างที่แม็กกับซีเกมบอกว่า เรารู้จักกันก็จริง แต่เราไม่ได้สนิทกันตั้งแต่สมัยเรียน แล้วก็จุดที่ทำให้ผมตัดสินใจก็คือ พอได้มาเล่นสดด้วยกันจริงๆ มันรู้สึกได้ว่าแบบ นี่แหละ คือคนที่พร้อมจะลุยไปด้วยกัน ด้วยการเล่น ด้วยพลังงานหลายๆ อย่าง เหมือนเติมเต็มความรู้สึกของผมที่หายไปนานมากครับช่วงนั้น 

            เต้: แต่ผมมั่วเข้ามา ผมเป็นแฟนเพลงวงเขามาก่อน ตอนแรกผมทำอยู่อีกวงหนึ่งชื่อ Last Hoper แม็กก็เป็นแฟนวงนี้เหมือนกัน ก็เป็นแฟนกันไปกันมา ผมก็ชอบเพลงเค้า แล้วก็มีวันหนึ่งแม็กทักแชทมา ก็มาชวนให้ผมไปเล่นเป็น Backup ให้เพราะว่ามือกีต้าร์คนเก่าเขาต้องกลับไปทำงานต่างจังหวัด ผมก็เลยมาช่วยจนอยู่ทุกวันนี้ นัวเป็นก้อนกลมก้อนเดียวกันไปแล้ว

            ซีเกม: เพราะว่าตอนนั้นยังไม่มีพี่เต้ แล้วก็ตอนที่พี่เต้มาก็ยังไม่ได้ตกลงว่าจะร่วมเลยไหม มาช่วยเล่นก่อน

            แม็ก: พูดแบบดูดีคือ พี่เต้ว่างไหม มาลองเล่นด้วยกัน พูดแบบดูไม่ดีคือเหมือนผมหลอกใช้พี่อยู่ (หัวเราะ) ขอโทษครับ เล่นด้วยกันมาปีนึงแล้วค่อยบอกว่าเป็นสมาชิกวง

            เต้: ผมก็สมยอมด้วยแหละ (หัวเราะ)

ถึงเวลาหาทิศทางการทำงาน

            ซีเกม: ส่วนมากมันเริ่มมาจากแม็ก แล้วที่เหลือก็เหมือนเติมเอา ปรับเอา มันเลยไม่ได้มีการมาวางทิศทางว่าเราจะต้องเป็นวงแบบนี้นะ เราจะต้องทำงานแบบนี้เพื่ออันนี้นะ มันไม่มี จนกระทั่งมีเดดไลน์เมื่ออยู่ค่ายนั่นแหละ มันถึงมี มันถึงค่อยมีสเต็ปว่า โอเค มีสิ่งนี้

            แม็ก: อย่างที่เกริ่นไปว่าพอเริ่มจากทำงานคนเดียว นั่นแปลว่าแต่ก่อนทุกเครื่องดนตรี ทุกองค์ประกอบ ผมสามารถเป็นคนจัดการเองได้หมด แต่พอทีนี้คือด้วยความที่ว่าการทำงานมันอาจจะเร็วกว่า ในแง่การปฏิบัติงานจริง ผมจะเป็นคนที่มีเรื่องที่อยากเล่า แล้วผมจะร่างพิมพ์เขียวทุกอย่างให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะชัดเจนได้ เช่นไกด์ดนตรีอยากได้ประมาณนี้ หรือเราจะพูดเนื้อเพลงประมาณนี้ แต่ว่าพอถึงขั้นตอนที่ออกแบบขั้นต้นเสร็จแล้ว เมื่อส่งไปให้เพื่อนๆ ทุกคน ผมถือว่าผมปล่อยทิ้ง ทุกคนสามารถโละทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำมา แล้วดีไซน์ต่อ หรือเปลี่ยน หรือดัด แล้วค่อยเอาเหตุผลมาคุยกัน สำหรับผม-ผมรู้สึกว่ามันโอเคแล้วในขั้นเล็กน้อยที่สุด ถ้าจะมองว่าแบบต่ำที่สุดเลยนะ มันเป็นการทำวงที่ผมไม่ได้คิดทั้งหมดจากหัวตัวเอง แต่เป็นการลอกเลียนจากมือคนอื่นมาอีกทีนึง 

            เวลาทุกคนเล่นอะไร ผมจะชอบมอง หรือชอบฟังว่าพี่ชอบฟังเพลงอะไร ทุกคนมีลักษณะการเล่นกีตาร์หรือตีกลองอย่างไร แล้วผมจะพยายามเลียนแบบตัวเองเพื่อให้ประกอบเดโม่ให้มันเป็นขั้นต้นที่สุดก่อนที่จะส่งไปขายทุกคน แล้วทุกคนก็จะคอมเมนต์กลับมาว่า พี่ขอเล่นแบบนี้ได้ไหม เราขอเล่นแบบนี้ได้ไหม มันเลยเป็นเชิงการประชุมมากกว่า นี่คือในทางปฏิบัติจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่าผมจะชอบพูดและบอกทุกคนเสมอว่า เราทำงานกันเป็นวง เพราะว่าทุกคนลงแรงกันจริงๆ ลงมือกันจริงๆ อย่างกีต้าร์หรือว่าพวกกลอง ต่อให้ผมเลียนแบบได้ก็จริง แต่ผมไม่สามารถเป็นมือเขาได้จริงๆ ไอเดียบางอย่างไม่ได้มาจากผม บางส่วนของเพลงเขาเป็นคนแต่งมาเลย ดังนั้นเราไม่ควรเคลมว่านี่คือใครเป็นลีดเดอร์ ผมจะชอบบอกทุกคนเสมอว่าแม้การทำงานมันจะเป็นการแลกเปลี่ยนรับส่ง ซึ่งผมว่า Modern Production ของวงดนตรีในปัจจุบันโดยส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ด้วยซ้ำ แต่เราจะชอบบอกว่านี่คือก้อนการทำงานแล้วก็คือไอเดียทุกอย่างมันมาจากการที่พวกเรา 4 คนที่อยู่ด้วยกัน

            ซีเกม: แต่ระหว่างทาง ถามว่ามันมีความเห็นไม่ตรงกันไหม มันมีตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่สุดท้ายมันกลับมาที่เรามองเห็นภาพเดียวกันอยู่ดีในคนละไอเดีย สุดท้ายมันเลยกลับมาเป็นก้อนได้อยู่ คือมันไม่มีทางที่เราจะชอบเหมือนกัน 100 เปอร์เซ็นต์ตลอดเวลาแน่ๆ เราอาจจะฟังเพลงคล้ายกัน แต่มันไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด เราผ่านอะไรมาไม่เหมือนกันแน่ๆ เพราะฉะนั้นมันต้องมี แต่สุดท้ายเรามองภาพเดียวกัน คอนเซปต์เดิม สุดท้ายมันจบได้

            ก้อง: เรามองภาพรวมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เราจะไม่ได้แบบ กูอยากเล่นอย่างนี้ เล่นกันอย่างนี้ได้ไหม เราจะไม่ได้ทำกันอย่างนั้น เราจะมีเหตุและผลกัน สมมติผมแต่งกีต้าร์มา แล้วถ้ามีคนในวงสักคนทักขึ้นมาว่า มันแปลก เปลี่ยนดีกว่าไหม ผมก็จะเปลี่ยนเลย แต่ถ้าเมื่อก่อนผมก็จะยื้อว่า กูจะเล่นอย่างนี้ ก็กูชอบ แต่ทุกวันนี้ถ้ามีใครทักสักคน ผมยินดีพร้อมที่จะโละ ผมจะไม่เก็บมาคิดให้มันลบอีกเลย  ถ้าแต่ละคนดึงดันจะเล่นแต่สิ่งที่ตัวเองชอบ ภาพรวมมันเละครับ คือเราดูโดยรวมว่าอันไหนเหมาะสม

            เต้: เหมือนกับซีเกมกับก้อง เราแคร์ที่ภาพรวมปลายทางมากกว่า แต่เราก็จะเหมือนที่แกบอกเลย ว่าแต่ละคนจะมีภาพไม่เหมือนกันเวลาแม็กโยนงานมาให้ เราไม่ได้ทะเลาะกันเลย ไม่เคยทะเลาะเลยจริงๆ นะ เราจะแบบ ตรงนี้เหมาะไหม แล้วถ้าเห็นอีกอย่างคิดยังไง ขอเหตุผลหน่อย คือผมก็มีที่คิดคิดมาแล้ว มั่นใจแล้วชอบแล้ว แม็กบอกว่า พี่เต้ ไม่ได้ แล้วก็จะแบบ จริงเหรอวะ มันคือเสียงในหัวกูเลย แต่พอมันอธิบายเหตุผลมา เออ จริงของแม็ก เรารับฟังกันมากๆ เลยในเวลาทำงาน ก็เลยไม่ได้ทะเลาะกัน ไม่เคยมีปัญหา แต่มันก็จะมีปัญหาเวลาแม็กทำอะไรยากๆ มา (หัวเราะ)

ฝันที่ไม่กล้าฝันว่าจะได้เป็นศิลปินมีค่าย

            แม็ก: อย่างแรกเลย ผมด้วยความที่รู้ตัวเองว่าทำเพลงแบบนี้ ผมไม่เคยเชื่อว่าเพลงผมจะอยู่ค่ายไหนได้เลย ดังนั้นผมเลยไม่เคยส่งค่ายที่ไหนเลย เพราะรู้ว่าส่งไปไม่ได้แน่ เพราะว่าผมรู้สึกว่าในเส้นทางของการที่การตลาดมันเป็นไป ถ้าสมมติเราส่งไปในตอนที่วงร็อกพังก์-เมทัล มีอยู่แล้ว มองในแง่ของการเป็นคู่แข่งต่อกัน เราคือรอง ถ้าเราเลือกที่จะทำในสิ่งที่ต่างจากที่เขามีอยู่แล้ว นั่นแปลว่ามันก็มีความเสี่ยงกับการที่เขาเลือกที่จะไม่รับเหมือนกัน เพราะว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เขาคุ้นเคย ดังนั้นก็เลยรู้สึกว่า ตัดไฟแต่ต้นลมเลย ก็คือถ้าส่งไปแล้วผิดหวัง ส่งไปแล้วรอ เราไม่อยากรอ เรามีความสามารถในการที่จะออกแบบ Artwork เองได้ กูทำเพลงมิกซ์มาสเตอร์เองได้ กูทำ แล้วมันดีกว่าการที่จะเอาตัวเองไปรอแล้วมันมีความเสี่ยงที่เราจะท้อไปเอง

            เหวอนิดนึงตอนที่ Gene Lab บอกว่าสนใจไหม เพราะว่าพี่โอม (ปัณฑพล ประสารราชกิจ-ผู้บริหาร Gene Lab) ติดต่อมาว่า ลองทำเดโม่มา เพราะว่าเขาบังเอิญฟังตอน Cover สิ่งที่ไม่เคยบอกด้วย แล้วเขาก็เห็นงานที่ตัวเองทำอยู่ด้วย สำหรับส่วนตัวผมเลยรู้สึกว่า เขาก็บ้าดีเหมือนกัน

            ก้อง: การที่ได้มาเป็นศิลปินแกรมมี่ สำหรับผมส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึกต่างไปจากเดิมสักเท่าไหร่ แต่ถามว่าตอนแรกกลัวไหม กลัวครับ เพราะว่าผมเคยมีสังกัดมาก่อนที่ไม่ใช่ในนามวงนี้ ตอนนั้นคือทำยังไงก็ได้เพลงมันขาย ทุกอย่างทุกคำร้องทุกคอร์ดทุกการเล่นโซโล่ต้องเป็นฮิตโน้ต คือต้องขายให้ได้ ไม่อย่างนั้นเพลงจะถูกเขี่ยทิ้ง แล้วทีนี้ด้วยความที่ The Darkest Romance ออกแนวเมทัล ผมก็เลยกลัวว่า ที่ผมเล่นคือผมชอบจะเล่นในแนวนี้ ชอบเล่นแนวหนัก พอมาเข้าค่ายผมก็กังวลว่าจะโดนบีบไหม จะโดนเปลี่ยนไหม จากสิ่งที่เราชอบ ถ้าโดนบีบมากๆ แล้วกลายเป็น ถ้าผมเล่นแล้วไม่มีความสุข ผมก็ไม่รู้จะเล่นไปทำไม แล้วอีกอย่างก็คืออย่างที่แม็กบอกว่าก็มีวงที่เป็นรุ่นใหญ่อยู่แล้ว มันมีแนวนี้อยู่แล้ว คือเขาจะเอาเบอร์ 2 มาทำไม แล้วตอนนั้นมันก็เหมือนช่วงกระแสแนวร็อกมันค่อนข้างซบเซา ก็เลยมีความกังวลครับ แต่ก็รู้สึกดีครับ อย่างที่ซีเกมบอก มันทำให้อะไรหลายๆ อย่างง่ายขึ้น ทั้งเรื่องตัวเพลงแล้วก็ตัวเอ็มวี ก็คือมันมีโปรดักชั่นที่ดีมากขึ้น

            เต้: ได้มาอยู่ในสังกัดก็รู้สึกดีนะครับ มันเป็นความฝันตอนเด็กๆ เหมือนกัน ถ้าเราเป็นเด็กที่ทำวงดนตรีเล่นแนวร็อค เราก็มีความฝันว่าสักวันหนึ่งอยากให้แม่ได้ภูมิใจเหมือนกันว่าเล่นแนวนี้แล้วมันไปได้เหมือนกัน แต่พอมาถึงจุดตรงนี้ มันก็ไม่ได้อะไรถึงขั้นนั้น คือผมรู้สึกดีที่ว่าพี่โอมชอบ คือชอบเพราะเพลงจริงๆ แล้วผมคิดในมุมแฟนเพลงด้วย คือผมชอบวงนี้ แล้วก็ผมก็หวังว่าอยากให้วงนี้ได้ถูกไฟส่องมากขึ้น รอตั้งแต่ตอนก่อนผมอยู่ผมก็รู้สึกว่าเพลงเขาดีจัง แต่ทำไมแสงไม่ค่อยส่องเขาเลย คือของดีต้องถูกไฟส่องหน่อย แล้วก็รู้สึกในเรื่องเพลง ผมอาจจะโลกสวยมั้ง เพราะผมเชื่อในคำพูดพี่โอมเหมือนกัน เรามีประชุมแล้วพอเวลาพี่โอมจะให้อิสระในการที่แม็กคิดมาว่าคอนเซปต์คือ คอนเซปต์ ในอัลบั้มเปิด ถึงไม่มีค่ายเราก็จะทำแบบนี้แหละ แล้วพี่โอมก็ปล่อยให้ทำกันแบบนี้จริงๆ แล้วทุกวันนี้ผมก็เลยรู้สึกดีนะ แล้วก็ไม่ได้กลัวเรื่องที่ว่าเขาจะมาปรับเปลี่ยนอะไร ไม่อย่างนั้นเพลงไม่ ก็คงไม่ได้ออก

            ซีเกม: ผมขออนุญาตเสริมนิดนึง พูดถึงพี่โอมวันแรก ผมจำคำพูดได้แล้วผมชอบมาก พี่โอมบอกว่า สมมติถ้าตีเป็นสินค้า ทุกอย่างมันมีที่อยู่ของมัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณหาเจอหรือเปล่าว่าต้องเอาไปวางไว้ที่ไหนถึงจะมีคนเห็น เปรียบเทียบกับแนวเพลงเรา ถ้าเรามานั่งคิดว่ามันไม่มีคนฟังหรอก แปลว่าคุณไม่รู้ว่าคนฟังคุณอยู่ไหน แค่นั้นเอง เดี๋ยวหาให้ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะว่างานคอนเสิร์ตแรกหลังจากมีค่าย จำได้ว่าปกติเราเล่นคอนเสิร์ตก็จะเจอแบบ มึงอีกแล้ว หน้าเดิมๆ จำได้แล้ว แต่วันนั้นไปคือแบบ พรึ่บ ใครไม่รู้ พวกมึงเป็นใครเนี่ย มันก็คงเป็นผลมาจากอันนี้แน่ๆ ไม่อย่างนั้นมันไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก

แฟนหน้าใหม่

            ซีเกม: อันนี้เหมือนผมเคยพูดกับแม็กมั้ง หรือพูดกับใคร แล้วมันก็เป็นการตอบโจทย์ให้ตัวเองได้ดีว่านี่คือสิ่งที่เรายังทำได้ไปอีกเรื่อยๆ อาจจะตลอดชีวิตเลยก็ได้ เพราะว่ามันคือสิ่งที่เราทำแล้วก็ยังมีคนตอบรับอยู่จริงๆ มันไม่ได้เสียเปล่า เราไม่ได้บ้ากับมันอยู่คนเดียว มันมีคนเห็นจริงๆ มันคือสิ่งที่มีค่าจริงๆ เพราะบางทีในบางสิ่ง ถ้ามันไม่มีใครเห็นเลยจริงๆ ต่อให้เราเห็นค่ามันแค่ไหน มันจะมีจุดแป้วบ้างแหละ มันจะมีจุดเอ๊ะว่า หรือจริงๆ มันไม่ได้เรื่องวะ พอมีตรงนั้นมันก็กลายเป็นเครื่องย้ำให้ว่า มันทำได้ คือดีไม่ดีผมตัดทิ้งไปเลยนะ แต่ทำได้แน่ๆ ยังทำได้ต่อไปด้วย

            ก้อง: เรื่องกลุ่มคนหน้าใหม่ๆ ที่มาดู เวลาผมเห็นก็จะดีใจครับ เพราะว่าเหมือนว่าเราได้เปิดโลกให้คนอื่น ไม่ได้ว่าแฟนเพลงหน้าเดิมๆ ไม่ดี ดีครับ ขอบคุณมากครับ แต่ก็เหมือนว่าเรากำลังท้าทายว่างานที่เราทำจะมีกลุ่มคนจากแนวอื่นที่เขาไม่ฟังร็อกเมทัลเป็นหลักมาชอบบ้างหรือเปล่า ผมจะคุยกับพี่เต้บ่อยๆ เลยว่า เราจะชอบไปเล่นงานที่มันไม่ใช่ซีนเมทัล ก็รู้สึกมีความสุขครับ

            เต้: สำหรับแฟนเพลงหน้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมา เวลาเห็นก็ดีใจนะครับ ก็เราทำเพลงกัน เรามีความสุขนะที่เวลาเห็นคนมายืนแหกปากร้องตาม เห็นเขาโยกหัว เขาเชื่อในงานของเรา คือมันแค่นี้จริงๆ นะ สำหรับผมในการทำเพลงเล่นดนตรี มันเติมกำลังใจในการใช้ชีวิตให้ผมด้วย เวลาลงเวทีมานั่งคุยกันแล้วมันมีความสุขมากเลย เฮ้ย วันนี้คนเยอะว่ะ วันนี้โคตรมันเลย แม่งฟินไปหลายวันเลย กลับไปทำงานประจำก็โคตรมีความสุขเลย มันเหมือนเป็นคุณค่า เป็นกำลังใจสำหรับผม

            แม็ก: ตอนเห็นคนดูใหม่ๆ หรือคนดูเยอะขึ้นในวันที่ Showcase ครั้งแรกในนามศิลปินค่าย ความรู้สึกหนึ่งคือ ดีใจ มันเป็นความดีใจแน่ๆ จากที่เราเคยเชื่อว่ามันจะมีคนฟังเพลงเราหลัก 10 คน คนคงมาตามเราไม่กี่สิบ จนมันเดินทางมาถึงวันที่เราเจอคนฟังตั้งแต่หลักสิบไปถึงหลักร้อยหลักพัน แล้วเราก็รู้สึกว่า มันไม่มีคำอื่นเลยพี่จะพูดได้นอกจากคำว่าดีใจ แล้วก็ขอบคุณที่เขาสละเวลามา การที่คนหนึ่งคนจะเปิดใจฟังเพลงอะไรใหม่ๆ เรารู้สึกชอบหรือเก็บมันเข้าไปไว้ในใจ ผมรู้สึกว่าส่วนหนึ่งมันคือความใจดีอีกส่วนหนึ่งมันคือความกล้าหาญ เขาต้องกล้าหาญก่อนที่จะรู้สึกว่าอะไรแบบนี้ ถ้ามันจับใจ มันจับใจเลย แต่ถ้าไม่ชอบก็คือไม่ชอบเลย ซึ่งเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าทุกคนจะต้องมาชอบเราตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว 

            จริงๆ มันคือคำว่าดีใจแล้วก็คำว่าขอบคุณ ไม่มีคำอื่นเลย แล้วในขณะเดียวกันมันสะท้อนให้เห็นว่ายิ่งเราทำได้ดีแล้วมีคนฟังมากขึ้น มันแปลว่าเราจะทำงานแย่ลงไม่ได้ มันจะเป็นในมุมของคนที่เขียนเนื้อเพลงอย่างผมจะรู้สึกว่า เราไม่ควรชุ่ยกับงานที่เรารัก ไม่ควรเด็ดขาด

            ซีเกม: ทำเพลงก็เรื่องนึง แสดงสดก็อีกเรื่อง เขาอุตส่าห์เสียเวลามาดู เราก็ต้องใส่เต็มให้เขาอย่างเต็มที่ มันคือการแลกเปลี่ยน มันไม่ใช่ใครได้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เราได้พลังจากเขา เราก็ต้องส่งกลับไปให้เขาให้มันดีๆ ด้วย

SPOILERS ALERT

            แม็ก: พูดถึงเพลงใหม่จะเป็นซิงเกิลต่อไปที่จะปล่อยในช่วงปลายปีนี้ โดยส่วนตัวแล้วผมรู้สึกว่ามันมีเพลงที่มีความเกี่ยวข้องในช่วงของความคิดหนึ่งของตัวผมเองพอสมควร แล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่มีความหมายกับผมมากอีกเพลงนึงเหมือนกัน ผมเชื่อว่ามันจะเป็นเพลงที่มีความหมายต่อทุกๆ คนที่อาจจะอยู่ในช่วงเวลาในการตัดสินใจ หรืออยู่ในทางแยกอะไรบางอย่างสักอย่าง 

            ซีเกม: เพลงนี้เป็นเพลงช้าครับ แค่นั้นเลยครับ

            ก้อง: เพลงนี้มี Solo กัน 2 คนนะครับ ไม่ใช่คนเดียว

            เต้: เพลงนี้สำหรับผม ผมให้ความอลังการมันเท่ากันหรือความกดดันเท่ากันประมาณเหมือนเพลงความรู้สึกผิดครับ เพลงนี้มันจะใหญ่มากๆ ครับสำหรับผม

            แม็ก: ก็อยากจะขอฝากถ้าเกิดมีเวลา หรืออยากลองฟังพวกเราดู ผมไม่แน่ใจว่าเพลงนี้จะเป็น Starter  ในการฟังเพลงของ The Darkest Romance ได้ไหมนะ แต่คิดว่าถ้าทุกคนลองเปิดใจฟังดูก็น่าจะได้อะไรกลับไปบ้าง

สิ่งที่ดีที่สุดในวันที่เราเป็นเรา

            เต้: การที่ผมยังได้เล่นกับเพื่อนๆ ที่มีที่เป้าหมายแบบเดียวกัน ที่เคมีตรงกัน แล้วก็มีความสุขในการเล่น มองตาก็รู้ใจ แค่นี้ล่ะครับสำหรับผม เพราะว่าผมอายุเท่านี้แล้ว มันมีจุดหนึ่งในความฝันการเล่นดนตรีที่แบบเปลี่ยนไปไม่เหมือนตอนเด็กๆแล้ว แล้ว 4 คนนี้มันคิดคล้ายๆ ผมเหมือนกัน ก็เลยมีความสุขมาก

            ก้อง: จุดที่ดีที่สุดก็คือการที่เรายังได้เล่นดนตรีด้วยกันอยู่ทั้ง 4 คน แล้วก็คงไม่มีอะไรมีความสุขไปมากกว่านี้แล้วครับ

            ซีเกม: คิดคล้ายๆ เพื่อนเลยก็คือ เรายังเล่นได้อยู่ แล้วยังจะทำต่อไปเรื่อยๆ ด้วย มันยังคงเป็นสนามเด็กเล่นให้ผมอยู่ในพื้นที่ตรงนี้ การทำงานมันต้องมีเครียด ใช้ชีวิตทั่วไปมันก็ต้องมีเรื่องนู่นนี่ ตรงนี้คือสนามเด็กเล่น ที่ตอนเด็กๆ เราเล่นของเล่น ออกไปเล่นกับเพื่อนโดยที่ไม่ได้สนใจอะไร ตรงนี้ให้ความรู้สึกแบบนั้น

            แม็ก: ทุกคนตอบมาดีแล้ว ผมมีความสุขแล้ว ถ้าอย่างนั้นวันนี้ยุบวงแล้ว สวัสดีครับ (หัวเราะลั่นวง) ไม่ใช่ สิ่งที่ดีที่สุดของการเป็น The Darkest Romance สำหรับผมคือ หนึ่ง-การอยู่ตรงนี้แล้วได้มีความสุข ได้เล่นดนตรีกับเพื่อนแล้วมีความสุข สอง-การที่ยังได้ใช้เสียงของตัวเองพูดในเรื่องที่ตัวเองอยากจะพูดจริงๆ โดยไม่ถูกกรองหรือเปลี่ยนใดๆ มันเป็นสิ่งที่รู้สึกว่า ผมยังมีความเชื่อเหมือนเดิมที่บอกว่าคนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกหรือสิ่งที่ตัวเองอยากจะถ่ายทอดออกมา ไม่ว่ามันจะถูกรับฟังหรือไม่ มันอาจจะถูกรับฟังโดยคนๆ เดียว หรือแม้กระทั่งคนเป็นสิบเป็นร้อยเป็นพัน ถ้าคุณจริงใจกับเรื่องที่พูดมากพอ ความจริงใครจะฟังมันจะไม่เปลี่ยนเนื้อความนั้น ผมรู้สึกอย่างนั้นเสมอ 

            แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองยังคงพอจะโชคดีอยู่บ้างที่สิ่งที่เลือกจะถ่ายทอดออกมา สิ่งที่จะพูดออกมา ยังมีคนร่วมรู้สึกไปด้วย ร่วมรับฟังและร่วมมีความสุข ไปกับมัน ร่วมเดินทางไปกับการผจญภัยที่เราได้ทำขึ้นมาด้วยกัน แล้วก็พวกเราดีใจที่เพลงของพวกเราได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตบางคน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของความรู้สึกที่ชอบเรื่องราวของเรา ไปสักหรืออะไรก็ตามแต่ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่คนที่เคยเชื่อว่าจะมีคนฟังแค่หลักสิบจะมีความสุขได้ 

Contributors

Contributors

นักเล่าเรื่องที่ใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมือและศรัทธาในพลังของงานเขียน ผู้ชอบตัวเองตอนนั่งสัมภาษณ์ผู้คนที่สุด

พนักงานออฟฟิศที่ชอบเข้างานเลทแต่เลิกงานตรงเวลา หลงรักเสียงดนตรีแสงสี งานภาพยนตร์มากกว่าบัญชีรายรับรายจ่าย เป็นคนสู้งานแต่งานสู้กลับจนบ่นปวดหลังในทุกๆ วัน