เราเดินทางมาที่ River City Bangkok ตามนัดหมายเพื่อคุยกับ SUNTUR (ซันเต๋อ) หรือ ยศนันท์ วุฒิกรสมบัติกุล ศิลปินที่กำลังมีนิทรรศการของตัวเองจัดแสดงเป็นครั้งที่ 3 ในชื่อ Take Your Time

            คราวนี้เป็นนิทรรศการเดี่ยวที่เขาบอกว่าเป็นการสำรวจตัวเองเมื่อเข้าสู่วัย 30 ผ่านวงกลมของชีวิตตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งยังคงใช้วิธีการสื่อสารในแบบของซันเต๋อ-ที่เราก็ไม่รู้ว่าจะนิยามมันด้วยตัวอักษรอย่างไร

            แต่เกือบๆ 30 ภาพที่เราได้ชมในรอบปฐมทัศน์นั้น มันคือเครื่องสะท้อนการเรียนรู้ชีวิตของเขาที่บอกเล่าผ่านช่วงเวลาต่างๆ และทุกองค์ประกอบของชีวิตเท่าที่จะเป็นไปได้

            เป็นอีกครั้งที่เราได้ฟังทรรศนะ-ของคนในวงการทัศนศิลป์ที่คราวนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง เพราะอย่างที่เรารู้กันว่า ซันเต๋อคือศิลปินที่มีความเป็นตัวเองสูงมาก พิสูจน์ได้ผ่านชิ้นงานที่เราเคยเห็นไม่ว่าจะในสื่อไหนๆ ซึ่งรากฐานการเป็นคนโฆษณาของเขาคือฐานสำคัญในการสร้างงานแต่ละชิ้นให้ออกมาในแบบของเต๋อ-ยศนันท์ 

            หลังจากซันเต๋อ Take Your Time ในการเล่าเรื่องผ่านแคนวาสแล้ว

            คราวนี้ก็เป็นตาของเราที่จะได้ Take Your Time เพื่อคุยกับเขาบ้างเหมือนกัน

            และขอให้ผู้อ่าน Enjoy Your Time ด้วยเช่นกัน

เด็กชายซันเต๋อ

ที่มาของชื่อเล่น SUNTUR 

            พ่อชอบอาเต๋อ (เรวัต พุทธินันทน์) ครับ ผมก็เลยชื่อว่า เต๋อ ส่วนคำว่า SUNTUR มาจากชื่อหลวงจีนในหนังกำลังภายในสมัยเมื่อก่อนครับ เขามีตัวละครหลวงจีนชื่อซันเต๋อครับ

เด็กชายซันเต๋อโตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน

            ผมว่าผมโตมาในครอบครัวที่อบอุ่นมากครับ ผมเป็นลูกคนเดียว มีหลายคนเคยถามว่า ‘มีปมอะไรหรือเปล่า ทำไมทำงานเศร้า’ ผมว่าปมมันมีอยู่แหละครับ แต่มันไม่ได้เป็นเรื่องของการถูกทำร้ายอย่างเหมือนในภาพของผมนะ ผมแค่ชอบเอาความรู้สึกใส่เข้าไปในภาพแล้วส่งต่อมากกว่า 

            แต่ผมโตมาในครอบครัวที่อบอุ่นมากนะ เพราะว่าผมไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย แล้วก็จะได้ความรักแบบเต็ม ๆ ตอนแรกผมไม่รู้หรอกว่าผมได้รับความอบอุ่น แต่พอผมโตขึ้นมา ผมได้เห็นครอบครัวของเพื่อนหรือคนรอบๆ ตัว ผมเลยรู้สึกว่า ผมโตมาในครอบครัวที่ซัพพอร์ตผมทุกอย่างเลย

            ผมได้รับความรักจากคนในครอบครัว ผมโชคดีที่ผมได้สิ่งนี้ แล้วก็ด้วยความเป็นลูกคนเดียวด้วยมั้ง อยากได้อะไรก็ได้ บ้านผมไม่ได้รวยนะ พ่อแม่เป็นข้าราชการ แต่คำว่า อยากได้อะไรก็ได้ หมายความว่าเมื่อผมอยากได้คอมพิวเตอร์ พ่อแม่ก็ไม่มีลูกคนอื่นแล้ว เขาก็หามาให้ แต่ไม่ใช่ว่าอยากได้อะไรที่มันเกินตัวนะครับ 

ในห้องเรียน ซันเต๋อเป็นเด็กหน้าห้อง เด็กกลางห้อง หรือเด็กหลังห้อง 

            ผมเป็นเด็กหลังห้อง เพราะว่าไม่ค่อยตั้งใจเรียน ไม่มีสมาธิในการเรียน ผมว่าผมสมาธิสั้นนะ แต่ว่าจะเป็นคนที่เอาตัวรอดได้ อย่างถ้าผมมีสอบ ผมไม่เคยคิดว่าอยากได้ที่หนึ่งหรืออยากได้เกรดสี่เลย แต่ผมคิดว่าทำยังไงให้มันไม่ตก ทำยังไงให้มันผ่าน อย่างช่วงประถม บอกตรงๆ ว่าผมไม่เข้าใจเลยว่าการเรียนคือต้องทำอะไร เมื่อก่อนแม่จะหยุดงานมาอ่านหนังสือให้ฟัง เพราะผมไม่อ่านเอง เด็กคนอื่นเขาก็จะตั้งใจเรียนกัน ผมก็เลยสงสัยนะว่าเขารู้ได้ยังไงว่าจะต้องเรียนและฟังครูแบบนี้ ทำไมผมทำไม่ได้เลย ผมคุยกับเพื่อนตลอดเวลา ในสมุดพกก็จะโดนครูเขียนว่า ‘ไม่ตั้งใจเรียน’ 

            พอขึ้นมาเรียนมัธยมผมเริ่มเข้าใจการเรียนมากขึ้น แต่ดันไปเข้าใจว่า การตั้งใจเรียนคือการสอบได้อันดับดีๆ หรือเกรดดีๆ ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่ตั้งใจเรียนเหมือนเดิม นั่งอยู่ท้ายห้องเพราะคิดว่าครูจะไม่โฟกัส แต่จริงๆ คนที่ครูไม่โฟกัสคือคนที่นั่งข้างหน้า ครูมักโฟกัสคนที่ไม่ตั้งใจเรียนมากกว่า ซึ่งผมก็จะโดนคุณครูติงบ่อยว่าไม่ค่อยตั้งใจเรียน แต่สุดท้ายผมก็ไม่อยากทำให้ที่บ้านกังวลเกี่ยวกับการเรียน หลังจากนั้นมันก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ นะครับ เกรดผมตอนม.ปลายก็ได้เกรด 3.00 กว่า คือผมเอาตัวรอดได้นะ ซึ่งผมเริ่มอ่านหนังสือช่วงม.ปลาย เป็นการอ่านเพื่อสอบแค่นั้นเลย พอรู้ว่าต้องสอบอะไรบ้าง ผมก็อ่านบทน้อยๆ เพื่อให้สอบผ่าน แม้ว่าจะไม่ชอบอ่านหนังสือเลย

            หลังเข้ามหาลัย ช่วงนั้นทำให้ผมเข้าใจว่าการตั้งใจเรียนคืออะไร เพราะผมได้มาเรียนในสิ่งที่อยากเรียนมาตลอด สิ่งนั้นคือการเรียนศิลปะ อย่างช่วงมัธยมคือผมไม่ได้อยากเรียนเลข มันไม่จำเป็น แล้วผมก็จำได้ว่าผมเอ็นฯ (ระบบการสอบ Entrance) ติดคนแรกของห้อง มหาวิทยาลัยศิลปากรเขาเปิดรับสอบตรงก่อนที่อื่นด้วย ผมเลยไม่ต้องไปสอบ O-NET, A-NET 

            มีครูคณิตศาสตร์คนหนึ่งที่ผมจำได้แม่นเลย เขาเคยว่าผมเรื่องไม่ตั้งใจเรียน ผมเคยโดนเรียกให้ออกไปทำโจทย์เลขหน้าห้อง แต่ผมทำไม่ได้ ครูท่านนี้ก็โมโหผมมาก ทั้งห้องก็มองมาที่ผมด้วยสายตาประมาณว่า ‘ทำไมมึงทำไม่ได้’ คือผมรู้สึกว่ามันยาก ผมไม่เข้าใจและทำไม่ได้ด้วย ซึ่งหลังจากที่เอนฯ ติดแล้ว ครูท่านนี้เขาก็บอกว่า ‘ยังไงก็หนีเลขไปไม่ได้หรอก ถึงจะเอ็นฯ ติดแล้วก็ใช่ว่าจะหนีเลขไปได้’ ซึ่งผมก็เข้าใจในสิ่งที่ครูอยากจะบอกนะ แต่ว่าผมก็หนีมาได้แล้วเหมือนกัน (หัวเราะ) คณิตศาสตร์ไม่ได้จำเป็นกับชีวิตขนาดนั้น มันอาจจะจำเป็นสำหรับบางคน แต่ผมว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะต้องรู้ แล้วผมก็คิดว่า ทำไมต้องบังคับให้ผมสนใจในสิ่งที่ไม่อยากทำด้วย พอเข้ามามหาวิทยาลัยมันเลยเปลี่ยนโลกของผมไปเลย ผมได้อยู่กับเพื่อนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน คุยภาษาเดียวกัน ผมก็เลยคิดว่าชอบศิลปะมากๆ ตั้งแต่ตอนเข้าไปมหาวิทยาลัยศิลปากรครับ

การติวในโรงเรียนติวศิลปะเพื่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย มีบรรยากาศยังไงบ้าง

            ผมชอบนะครับ เคยไปติวตั้งแต่ ม.5 – ม.6 ติวกันเป็นปี หลังเลิกเรียนก็นั่งรถไปที่โรงเรียนติว ตอนนั้นผมรู้สึกว่าผมชอบการวาดครับ เหมือนเราทำออกมาแล้วมันได้ดีกว่าอย่างอื่น ไม่ใช่ว่าเก่งมาก แต่วผมก็ค่อยๆฝึกครับ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทำให้เราได้กลับมาวาดรูปอีกครั้ง เพราะช่วงมัธยมเราไม่ได้วาดรูปเลย ช่วงติวกลายเป็นช่วงที่เรียกความมั่นใจในการวาดรูปกลับมา 

            ผมเคยเสียความมั่นใจเพราะสมัยประถม คุณครูเคยส่งผมประกวดวาดรูปครับ แต่พอมาถึงสมัยเรียนมัธยมไม่ได้วาดรูปเลย  แล้วก็ผมไม่รู้ว่า ผมวาดเก่งหรือเปล่าด้วยซ้ำ ผมหายไปจากการวาดรูปอยู่หลายปีมาก หรือผมอาจจะรู้ลึกๆ อยู่แล้ววว่าผมวาดเก่ง แต่ว่าเพื่อนในห้องไม่รู้ว่าผมวาดเก่ง เพราะว่าผมไม่มีโอกาสได้วาดเลย ด้วยความที่โรงเรียนที่ไม่ได้เน้นศิลปะด้วย ซึ่งมันก็จะมีกลุ่มคนที่โรงเรียนเลือกส่งประกวดงานศิลปะนั่นแหละ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้เลือกเรา เราก็เลยลืมเรื่องการวาดรูปไป

ซันเต๋อเป็นเด็กสายศิลป์

สิ่งที่ทำให้เลือกเข้ามาสู่วงการศิลปะ

            ผมวาดรูปตั้งแต่เด็กแล้ว วิชาศิลปะเป็นวิชาที่เราทำได้ดีที่สุด อย่างตอนประถม มีประกวดวาดภาพวันพ่อ วันแม่ หรือวันครู ผมก็จะได้รางวัลตลอด แต่พอขึ้นมาสมัยมัธยม ที่โรงเรียนไม่ได้มีจัดงานประกวดวาดภาพที่บังคับให้ทุกคนเข้าร่วมแบบสมัยประถมแล้ว ทำให้ช่วงนั้นผมไม่ได้ภาพเลย ในตอนนั้นผมเลยรู้สึกว่าผมไม่ได้มีอะไรเก่งเลย เรียนก็ไม่เก่ง เลขก็ไม่ได้ ภาษาอังกฤษก็กลาง ๆ แต่วในใจผมมักจะรอคอยวิชาศิลปะที่มันมีคาบเดียวของทุกอาทิตย์

            พอมาถึงช่วงสอบเอ็นทรานซ์ ที่ผมต้องคิดว่าผมอยากเรียนอะไร ตอนนั้นสนใจเรื่องงานโฆษณาอยู่ แล้วก็ดูมหาวิทยาลัยหลายแห่งเลยครับ แล้วสุดท้ายก็มาเลือกเรียนนิเทศศิลป์ที่ศิลปากร

            ผมเสริมอีกนิดหนึ่ง ช่วงมัธยมปลาย ผมซื้อแมกกาซีนบ่อย เมื่อก่อนเคยมีแมกกาซีนชื่อ สารกระตุ้น ผมชอบมาก แล้วก็มีนิตยสาร OOM Living ของพี่อุ้ม-สิริยากร (พุกกะเวส มาร์ควอร์ท) พอซื้อมาอ่านผมเลยได้เห็น layout สวยๆ จนทำให้ผมอยากเรียนนิเทศศิลป์ด้วย

            การโฆษณาจริงๆ แล้วต้องสอบวาดรูปเข้าไปครับ ตอนนั้นผมก็เลยคิดว่าตัวเองอาจจะมีสิทธิ์สอบติดก็ได้ ผมเลยก็เลยไปติววาดรูปแล้วก็สอบเข้า แต่พอได้เข้าไปเรียนจริงๆ ผมไม่ได้เรียนแค่โฆษณาอย่างเดียวครับ เพราะต้องเรียนวาดรูป เรียนออกแบบ เรียนการทำแพคเกจ เรียนการทำหนัง คือเรียนทุกอย่างเกี่ยวกับการออกแบบนิเทศศิลป์เลยครับ ผมเลยได้ค้นพบหลายๆ อย่าง 

            จนกระทั่งไปเรียนวิชาภาพประกอบตัวหนึ่ง ตอนที่เรียนอยู่ผมรู้สึกว่าผมวาดไม่ได้ มันเหนื่อยมาก แต่ผมกลับได้ A ตลอดเลยวิชานี้ กลายเป็นว่าผมเริ่มอยากทำงานภาพประกอบครับ เพราะรู้สึกว่าผมไม่ได้ฝืนตัวเองแล้วมันได้ผลดีด้วยหลังจากเรียนจบ ผมก็มาทำงานโฆษณา การเป็น Creative โฆษณาคือความฝันของเราด้วย ช่วงแรกๆ ผมก็เลยได้ทำโฆษณาไปด้วย แล้วก็ควบคู่กับการทำภาพประกอบไปด้วย

สังคมของมหาวิทยาลัยศิลปะเป็นแบบไหน

            ผมว่ามันอิสระสำหรับผม เพราะผมมาอยู่หอด้วยครับ ผมอยู่หอกับเพื่อน 3 คน ตอนที่ผมเข้าไปมหาวิทยาลัยศิลปากรครั้งแรก ผมชอบบรรยากาศของที่นั่น มันเป็นมหา’ลัยเล็กๆ แล้วก็เก่าๆ ดูอบอุ่น ดูขลัง มันจะไม่เหมือนที่อื่น ที่นักศึกษาต้องขึ้นตึกใหญ่ๆ มันเลยทำให้ทุกคนเห็นหน้ากันบ่อยมาก อย่างผมเรียนนิเทศศิลป์ ห้องหนึ่งจะมีนักศึกษา 40-50 คน เป็นแบบนี้ไปตลอดจนจบเรียนจบ มันมีความสุขดีครับ แล้วคณะผมจะเป็นส่ง project แล้วก็เก็บคะแนน ไม่ต้องมีสอบแบบมหา’ลัยอื่น ผมชอบแบบนี้มากกว่าการไปสอบครับ

            เพื่อนๆ ที่เรียนออกแบบนิเทศศิลป์มีหลายสายครับ มีหมดเลยจนงงเหมือนกัน อย่างบางคนเรียนเก่งมาก ทั้งเก่งเลข เก่งวิชาการ มีเด็กวิทย์ด้วย แต่พวกเขาก็เลือกเรียนคณะนี้ หรือบางคนมาจากต่างจังหวัด ไม่ค่อยรู้เรื่องในกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ แต่เขาก็เลือกมาเรียนที่นี่ มีคนหลากหลายมาก แต่ไม่ใช่เราจะคุยได้กับทุกคนนะ มันคือเรื่องของเคมีด้วย แต่กลุ่มเพื่อนที่ผมรู้จัก หรือสนิทด้วยพวกเราจะเข้าใจเรื่องต่างๆ เหมือนกัน สนใจศิลปะเหมือนกัน และเก็ตมุกแบบเดียวกันครับ

อะไรที่ทำให้ซันเต๋อในตอนนั้นอยากเป็นครีเอทีฟโฆษณา

            ผมอยากเป็นตั้งแต่อยู่มัธยมแล้วครับ เพราะว่าช่วงนั้นโฆษณาไทยบูมมากๆ และมีคนเคยบอกว่าทำโฆษณาแล้วรวย ซึ่งผมก็เป็นคนที่ชอบดูโฆษณาด้วย โฆษณาไทยยุคหนึ่งจะตลกนะ อย่างที่พี่ต่อทำ ซึ่งผมชอบมาก แล้วก็รู้สึกว่าอยากเป็นคนคิดโฆษณาเลย บวกกับมีคนบอกว่ารวยด้วย (หัวเราะ) แต่พอไปทำจริงก็ไม่รวยนะ ผมก็ทำมาตลอด เรียนโฆษณาทุกตัว จนได้เข้าไปทำอยู่กับเอเจนซี่ 5 ปี ผมได้เรียนรู้อะไรเยอะมากเลยครับ เพราะทุกวันนี้ได้ใช้คือสกิลจากเอเจนซี่มาปรับกับการทำงานทั้งนั้น มันไม่ใช่ได้แค่วิธีการคิดสร้างสรรค์งาน แต่ว่ามันได้การดีลกับคน เรียนรู้การพรีเซนต์งาน ซึ่งมันสอนอะไรเยอะมาก เหมือนทำให้เราเห็นกระบวนการทั้งหมดในการทำงาน Production ว่าต้องทำอะไร ทำยังไง ผมก็เลยได้เรียนรู้จากตรงนั้นเยอะครับ

ซันเต๋อได้เห็นอะไรจากการทำงานในวงการโฆษณา

            เหนื่อย เพราะตอนนั้นผมทำโฆษณาด้วย แล้วก็รับจ็อบวาดรูปไปด้วย กลาเป็นว่าผมทำ 2 อันพร้อมกัน ซึ่งการทำโฆษณาหนักมากนะ อย่างตอนนั้นผมกลับบ้านสามทุ่มถึงสี่ทุ่ม ก็ต้องไปนั่งวาดรูปต่อถึงตีสามตีสี่ก็เหนื่อยแล้ว 

            อีกอย่างคือบ้านผมไกล สมมติว่าวันนี้ตอนเช้ามีขายงานตอน 10 โมงที่สีลม ผมต้องออกจากบ้าประมาณตีห้าถึงหกโมง เพื่อที่จะขับรถมาที่ออฟฟิศแล้วมานอนในรถ แล้วพอประมาณ 9 โมงเช้า ค่อยนั่ง BTS ไปที่ออฟฟิศ เพราะว่าถ้าเราออกจากบ้านช่วงแปดโมงเช้า ทุกอย่างจะไม่ทัน แล้วก็เหนื่อยด้วย แต่ถามว่ามันรู้สึกว่าคุ้มไหม ผมว่าผมน่าจะเรียนรู้เต็มที่แล้วนะ แต่เป็นผมคน Play Safe ครับ ไม่ค่อยกล้าเสี่ยง คือพอผมคิดว่าอยากจะทำภาพประกอบอย่างเดียว ผมก็ต้องลองทำไปก่อน จนกว่าจะรู้ว่ามันรอด 

ในตอนนั้นวงการโฆษณามีการแข่งขันที่สูงขนาดไหน 

            ผมว่าสูงครับ แล้วคนก็มีหลายแบบ มีทั้งแบบกระหายรางวัล Creative อยากกวาดถ้วยรางวัลมากๆ แต่ก็ยังมีบางคนเขาก็มีความสุขกับการทำโฆษณา มี Balance ชีวิต เช่นการเลิกงานตรงเวลา แล้วกลับไปหาครอบครัว

            แต่ในตอนนั้นใจของผมไม่ได้อยู่ที่โฆษณาเพียงอย่างเดียว ผมยังมีการวาดรูปด้วย ถ้าผมรักโฆษณา ผมคงอยู่ต่อ แต่ผมแค่รู้สึกว่าผมอาจจะทำอย่างอื่นได้ดีกว่าโฆษณา ผมก็เลยลองทำไปเรื่อยๆ 

อะไรคือสิ่งที่ทำให้ซันเต๋อตัดสินใจออกจากวงการโฆษณา

            มีช่วงหนึ่งผมอยากไปต่างประเทศครับ อยากไปเรียนรู้ แต่ไม่ใช่การไปเรียนต่อปริญญานะครับ เพราะผมไม่ชอบเรียนอยู่แล้ว ผมแค่อยากลองไปใช้ชีวิต อยากไปหาแรงบันดาลใจ ซึ่งตอนนั้นมันมีช่วงเวลาที่เหมาะเจาะพอดี พ่อแม่ก็ยังสุขภาพแข็งแรง ช่วงวัยของผมก็สมควรที่จะได้ไปต่างประเทศแล้ว ประเทศที่ผมไปคือ อเมริกา นิวยอร์ก แต่ระหว่างนั้นก็คือเที่ยวในอเมริกา แล้วก็มีไปประเทศข้าง ๆ อย่างเปรูครับ

            ผมได้ไปเรียนเป็นคอร์สภาษาสั้นๆ เพื่อเอาวีซ่าครับ แล้วก็มีไปลง Painting Print Screen หรืองานอาร์ตอะไรที่เราสนใจ แล้วก็ใช้เวลาไปดู Museum ดูในสิ่งที่เราจะไม่ค่อยได้ดูที่ไทย เพราะต่างประเทศเขามักมีศิลปินระดับโลกหลายคนที่ได้แสดงงานในนิวยอร์ก แต่ที่ไทยคือมีโอกาสหาดูได้ยาก การได้อยู่ตรงนั้นมันเลยได้เปิดโลกครับ ผมเลยเริ่มย้ายจากงานภาพประกอบ มาทำงานเพนต์แคนวาส เพราะว่าเราได้ไปเดินพิพิธภัณฑ์แล้วผมเห็นงานพวกนี้ มันเลยกลายเป็นแรงบันดาลใจว่า ผมน่าจะทำแบบนั้นได้บ้างนะ

สิ่งที่ยากที่สุดของการเริ่มต้นประกอบอาชีพที่ต้องวาดภาพอย่างเดียวสำหรับซันเต๋อ

            ช่วงที่ไปอยู่ต่างประเทศ ผมก็รับงานวาดภาพประกอบเพื่อเลี้ยงชีพไปด้วยนะครับ แต่เงินที่นู่นมันแพง ไม่ได้อยู่สบายนะ มาอยู่ไทยเราสบายกว่า ที่ต่างประเทศเราจะกินอะไรแพง ๆ ก็คิดต้องคิดเรื่องค่าใช้จ่ายมากขึ้น พอผมกลับมาที่ไทย ผมได้ลองทำและจัดงานศิลปะของตัวเองที่ไทยครั้งแรก ผมทำแบบไม่ได้คาดหวังด้วยซ้ำ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการขายงานต้องทำยังไง ผมก็มาเรียนรู้ แล้วมันก็พัฒนามาเรื่อยๆ

            ด้วยความที่ผมกล้าลองทำมากขึ้น การทดลองครั้งนั้นก็ถือว่าประสบความสำเร็จเท่าที่ตัวผมในตอนนั้นที่คาดหวังไว้ งานก็ขายได้ แล้วผมก็ดีใจมากเลยที่วาดรูปออกมาแล้วมีคนซื้อ เหมือนเขายอมให้เงินกับผลงานของเรา คนทำผลงานมันก็มีความสุข ผมก็เลยทำมาเรื่อย ๆ ครับ

เป้าหมายสูงสุดในใจของการเป็นศิลปินวาดภาพคืออะไร 

            แรกเริ่มเกิดจากความคาดหวังที่อยากให้คนชอบงานของผมก่อนแค่นั้น ไม่ได้คิดถึงเรื่องเงินเลยในตอนแรก ความชอบวัดจากการที่เริ่มมีคนมคนกดไลก์เยอะขึ้น เขาอยากให้ผมลงงานอีก ซึ่งพอย้อนกลับไปมองแล้ว เรื่องนี้มันอาจจะไม่ได้สำคัญขนาดนั้น แต่ว่ามันสำคัญในความรู้สึกเรา มันเหมือนเป็นกำลังใจให้เราอยากทำงานต่อเรื่อย ๆ นั่งคิดว่ารูปต่อไปจะวาดอะไรที่คนน่าจะชอบดีนะ 

            จริงๆ เป้าหมายของผม ผมมักตั้งเป็นสเต็ปสั้นๆ ครับ ไม่ได้กล้าตั้งเป้าหมายยาวๆ เพราะกลัวว่ามันจะทำไม่ได้ อย่างปีที่แล้วผมก็จะแพลนว่า ปีนี้ผมจะจัดนิทรรศ แล้วผมจะทำอะไรบ้าง ขั้นแรกคืออยากขายงานให้หมด ขั้นที่สองคืออยากให้คนมาดูแล้วรู้สึกแบบคุ้มค่าที่เขาเสียเวลามาดู ผมก็จะตั้งเป็นสเต็ปสั้นๆ แบบนี้ แล้วก็ลงมือทำ หลังจากนั้นค่อยตั้งเป้าหมายใหม่ครับ 

TAKE YOUR TIME by Suntur

เล่าถึงคอนเซปต์ของนิทรรศการ Take Your Time ให้ฟังหน่อย

            นี่เป็น Exhibition เดี่ยวครั้งที่สามของผมครับ โดยตัวคอนเซปต์ Take Your Time มันมาจากช่วงโควิดที่ผมรู้สึกว่า ผมอยู่กับตัวเองเยอะ แล้วก็เห็นคนตายบ่อย ซึ่งเป็นการตายที่คนเหล่านั้นอายุยังไม่เยอะด้วย ผมเลยรู้สึกว่าความตายมันใกล้ตัวมาก ทำให้ผมอยากจะเล่าเรื่องเวลาครับ

ขณะที่พวกเรายังมีเวลาอยู่ เราควรจะใช้ให้มันคุ้มค่าที่สุดหรือว่ามีความสุขที่สุด ผมก็เลยอยากพูดเรื่องเวลา ณ วัย 33 ของผม มันเลยเกิดเป็น Exhibition นี้ขึ้นมา

ขั้นตอนในการทำงาน Solo Exhibition ครั้งที่นี้มีสิ่งที่เปลี่ยนไปบ้างไหม

            หลังนิทรรศการจบ ทุกครั้งผมจะรู้สึกเหนื่อยมากและอยากจะพักก่อน แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก ผมเริ่มคันไม้คันมือ อยากจะจัดอีก อยากทำอีกเรื่อยๆ แต่สิ่งมันเปลี่ยนไปตลอดคือ มุมมองการใช้ชีวิต ผมรู้สึกว่าพอโตขึ้น ภาพที่ผมเล่ามันจะเล่าจากวัยที่เข้าใจโลกมากขึ้น แต่ไม่ได้เข้าใจในแบบฉบับของคนอายุ 33 ที่เข้าใจโลกแบบนี้ ซึ่งในอีก 5 ปีผมอาจจะเข้าใจไปอีกแบบนึงก็ได้ แต่ผมคิดแค่ว่าอยากเล่ามุมมอง ณ เวลานี้ออกไป ภาพวาดในครั้งนี้ เมื่อเทียบกับครั้งก่อนแล้วถือว่าภาพของผมก็จะลึกขึ้น สื่อสารพูดในมุมที่ปลงกับชีวิตมากขึ้น

            งานในรอบนี้มันเลยมีตั้งแต่ช่วงเวลาที่มีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ จนไปถึงช่วงเวลาของความตาย ช่วงเวลาของความสุขก็อาจจะเป็นช่วงเวลาของการรอใครคนหนึ่งส่งข้อความาหา ภาพก็จะเล่าว่าช่วงเวลานั้นมันมีความสุขยังไง หรือช่วงเวลาที่สูญเสียใครบางคนไป ความรู้สึก ณ ตอนนั้นมันเป็นยังไง ภาพก็จะเล่าหลายช่วงเวลาในชีวิตเลย

            ภาพไฮไลท์คือ ภาพใหญ่ของงานเลยครับ ทุกคนเดินเข้าไปก็จะเห็นภาพนี้เป็นแรก ซึ่งเป็นภาพที่ใช้เวลานานสุดด้วย เพราะว่าผมวาดคนตัวเล็ก ๆ หลายคนทำให้งานนี้ใช้เวลาเยอะ  และภาพี้เป็นภาพที่จะเล่าถึงงานทั้งหมดเกี่ยวกับความตายครับ

การวาดภาพของซันเต๋อมีเทคนิคที่แปลกใหม่เพิ่มเติมขึ้นมาบ้างไหม

            เทคนิคยังเหมือนเดิม แต่สกิลมันจะเพิ่มขึ้น เพราะมันคือการทำสิ่งเดิมซ้ำไปเรื่อย ๆ จนเชี่ยวชาญขึ้น ทั้งเรื่องการใช้สีและเรื่องเทคนิคการวาด สิ่งเหล่านี้ก็จะซ่อนอยู่ในตัวงาน คนที่ได้มาดูงานอาจจะรู้สึกว่ามีบางอย่างในภาพที่อาจจะน้อยลง แต่ว่ามันมีสกิลที่มันมากขึ้น  มันมีความละเอียดของภาพที่ทำให้การสื่ออารมณ์ได้ดีขึ้นด้วย 

งานแต่ละชิ้นใช้เวลานานแค่ไหน และระหว่างที่วาดภาพอยู่มีอุปสรรคอะไรบ้าง

            แต่ละชิ้นใช้เวลาแตกต่างกันมากครับ บางภาพผมทำเร็วสุดก็ 3-4 วัน บางภาพผมทำเป็นเดือนเลย ซึ่งช่วงที่ใช้เวลานานคือช่วงที่ใช้ความคิดมากกว่า  ผมต้องตกตะกอนว่า ภาพนี้ผมอยากจะเล่าออกมายังไง หรือว่าอยากจะสื่อสารยังไง ผมใช้เวลาตรงนั้นค่อนข้างเยอะกว่าตอนวาด พอขั้นตอนการคิดเสร็จแล้วผมก็เริ่มสเกตช์ และทำตามขั้นตอนที่วางไว้ ในส่วนนี้จะไม่นานมากครับ

อะไรคือแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานสำหรับซันเต๋อ

            ผมเอาวิธีคิดมาจากโฆษณาครับ สมมติเรามีไอเดีย No Rabbit on the Moon ผมก็มาคิดว่า ผมจะวาดอะไรที่สามารถเล่าคำนี้ได้ ในภาพผมเลยคิดว่าไม่ต้องมีกระต่ายอยู่ก็ได้ ผมก็เลยเอาแครอทมาเล่าแทน เป็นการเอาวิธีการคิดแบบการทำโฆษณามาใช้ บางผลงานของผมก็มีภาพขึ้นมาในหัวก่อน บางงานก็มาจากคำพูด ก็แล้วแต่ว่าอะไรมันปิ๊งขึ้นมาในหัว ฉะนั้นการคิดงานเลยไม่มีรูปแบบตายตัวครับ 

สิ่งที่ซันเต๋อคิดว่าตัวเองและผู้ชมจะได้รับจากการดื่มด่ำนิทรรศการ Take Your Time คืออะไรบ้าง 

            ทางเข้าของงานเป็นอุโมงค์ที่ทำร่วมกับ 4Nologue ครับ อุโมงค์นี้เป็นโซนที่อยากให้ทุกคนทิ้งความเครียด ทิ้งภาระทั้งหมดในชีวิตก่อนที่จะเข้าไปดูนิทรรศการด้วยกัน เป็นเหมือนเป็นช่วงปรับอารมณ์ครับ

            พอเข้าไปในงานแล้ว ทุกคนจะได้เห็นที่มีทั้งหมด 33 ชิ้น คลอด้วยเพลงที่ผมทำกับ Korky (จั้ม-ก่อเกียรติ ชาติประเสริฐ) เขาเป็นเป็นนักทำเพลงโฆษณาด้วยครับ ซึ่งเพลงในงานคือเพลง Day 1 to end  ซึ่งผมให้บรีฟไปว่า ผมอยากได้เพลงที่เล่าตั้งแต่วันแรกที่เกิดจนวันสุดท้ายที่ตาย 

            ส่วนโซนข้างในสุดจะมีการขายของที่ระลึก เป็นสินค้าต่าง ๆ มีสินค้าทำกับ THE SUMMER COFFEE เป็นกาแฟแคปซูลรสชาติพิเศษได้แรงบันดาลใจจากรูปวาดในงานครับ และมีสินค้าเชิงไลฟ์สไตล์ที่คอลแลปกับ Madmatter อย่างเสื้อและกระเป๋าด้วยครับ

จำความรู้สึกตอนจัดนิทรรศการครั้งก่อนได้ไหม ความรู้สึกไหนที่เติมเต็มหัวใจของซันเต๋อบ้าง

            ทุกครั้งที่จัดนิทรรศการ ผมได้รับพลังกลับมาเยอะมากๆ ครับ เพราะปกติผมวาดรูปอยู่คนเดียวที่ห้อง ผมไม่รู้ฟีดแบ็กจากใครเลย แต่ว่าพอจัด Exhibition หรือมีคนมาดูงาน อย่างบางคนมาจากที่ไกลๆ ผมก็รู้สึกดีที่ยังมีคนชื่นชม เพราะว่าศิลปินจะอยู่ไม่ได้เลยถ้าไม่มีใครให้ความสำคัญหรือชื่นชมครับ 

            การจัดนิทรรศการช่วยเติมเต็มผมได้เลยครับ คือผมไม่ค่อยไปข้างนอก ไม่ค่อยไปงาน ไม่ค่อยออกไปเจอผู้คนอยู่แล้ว ผมจะอยู่สตูดิโอหรือไม่ก็อยู่กับเพื่อน ผมเป็น Introvert ครับ ผมไม่ค่อยกล้าที่จะไปคุยกับคนใหม่ๆ ด้วย แต่พอมีนิทรรศการขึ้นมา เราได้เห็นสายตาหรือคำพูดของคนที่มา สิ่งนั้นทำให้ผมได้รับพลัง และรู้สึกอยากทำงานดีๆ ต่อไปอีก เพราะฉะนั้นการจัด Exhibition ทุกครั้งคือการเติมพลังให้ผมแบบสุดๆ เลย เหมือนได้ชาร์จพลังแบบ 2 ปีชาร์จหนึ่งครั้ง อย่างนิทรรศการรอบนี้ก็ชาร์จพลังเต็มตั้งแต่วันแรกเลยครับ

ทรรศนะ-ศิลปะ สไตล์ซันเต๋อ

เคย Burn Out กับการทำงานศิลปะบ้างไหม

            เคยครับ แต่ผมจะ Burn Out กับงานโฆษณาบ่อยกว่า เพราะตอนนั้นเหมือนผมโดนบังคับ ซึ่งผมเป็นคนที่ไม่ชอบการบังคับเลย  เช่น ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องตัดผมตอนเป็นนักเรียน หรือว่าทำไมต้องอยู่ในกรอบ ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ รวมถึงเวลาที่พ่อแม่บังคับด้วยนะครับ สุดท้ายพักหลังๆ เขาก็ไม่บังคับผมแล้วครับ เพราะเขารู้ว่าเขาห้ามไม่ได้อยู่แล้ว พอได้มาทำงานโฆษณา ผมก็ยังรู้สึกว่าโดนบังคับอยู่เหมือนกันเพราะผมเป็นลูกจ้าง ผมต้องเข้างานตามเวลาเท่านั้นเท่านี้ หรือต้องทำงานตามที่ลูกค้าบรีฟมา เหมือนมีกฏระเบียบที่เราต้องทำตามองค์กร แต่พอผมได้งานศิลปะ ผมให้เวลากับตัวเองได้ ผมกำหนดทุกอย่างได้เองและจัดการตัวเองได้ ผมก็เลยชอบที่งานอิสระครับ 

ช่วงที่ Burn Out อะไรยังยึดเหนี่ยวให้ซันเต๋อกลับมาวาดรูปอีกครั้ง

            ถ้าช่วงที่รู้สึก Burn Out ผมก็ลองไปทำอย่างอื่น เพราะรู้ตัวดีว่ายังไงก็ต้องกลับมาวาดรูปได้อยู่ดี การวาดรูปเป็นสิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุด ผมคิดว่าต่อให้ผมไปทำอย่างอื่น ผมก็ทำได้ไม่ดีเท่ากับการวาดรูป ศิลปะให้ความสุขกับผมเวลาได้รับฟีดแบ็กที่ดี ผมว่าศิลปินทุกคนมีความสุขกับอะไรแบบนี้ครับ

สมมติว่าวันนี้คนที่มาชมนิทรรศการของ SUNTUR ไม่เคยรู้จักคุณเต๋อมาก่อน คุณจะแนะนำตัวกับเขาว่าอะไร

            ผมอยากจะแนะนำตัวว่า ผมเป็นคนชอบวาดรูปนะครับ และนี่คือรูปของผม คุณคิดยังไงบ้างครับ

คุณนิยามตัวเองว่าเป็นศิลปินแบบไหน

            ผมว่าผมเป็นคนชอบการเล่าเรื่องนะ เพราะในทุก ๆ ภาพมีเรื่องราวหมดเลย มีทั้งเรื่องที่มาจากตัวเราด้วย จากคนรอบข้าง จากเพื่อน หรือจากสิ่งที่ผมได้พบเจอ ไม่ว่าจะจากการดูหนัง การฟังเพลง ผมเก็บทุกอย่างเป็นสต็อกในการเล่าเรื่อง เพราะฉะนั้นทุกภาพ ผมเน้นการเล่าเรื่องเป็นหลักมากกว่าความสวยงามด้วยซ้ำครับ

ศิลปะมีอิทธิพลกับชีวิตของคุณยังไง

            ศิลปะมีอิทธิผลกับผมมากเลยนะครับ คิดว่าคงอยู่แบบไม่มีความสุขถ้าไม่ได้ศิลปะมาช่วย ศิลปะเยียวยาผมจริง ๆ แล้วผมดันเป็นคนที่เก่งเรื่องการวาดรูปที่สุด ในที่นี่หมายความว่า ความสามารถทั้งหมดที่ผมมี สกิลการวาดรูปมันอยู่สูงกว่าสกิลอื่น ผมเลยอยากทำสิ่งนี้ให้ดีที่สุด แล้วก็พัฒนาไปเรื่อย ๆ เลยครับ

วิชาศิลปะมีให้เกรดหรือคะแนนตามระดับความสวยงาม คุณคิดว่าศิลปะควรถูกตีกรอบด้วยตัวเลขเหล่านี้ไหม

            ศิลปะมันไม่มีถูกไม่มีผิดครับ ขึ้นอยู่กับแค่เรื่องชอบหรือไม่ชอบ อย่างบางภาพที่อยู่ในมิวเซียม ผมก็ไม่ได้ชอบทั้งหมดนะ ขณะที่บางภาพอยู่ข้างถนน ผมกลับชอบมันทันทีเลย ฉะนั้นมันวัดกันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ส่วนคะแนนตอนเรียนวิชาศิลปะ ผมว่าคุณครูเขาก็ต้องทำหน้าที่ของเขานั่นแหละ แม้จะเป็นคะแนนจากคนๆ หนึ่ง แต่ว่าผมว่าเราก็ต้องมั่นใจในผลงานของเรา ต้องภูมิใจในผลงานของตัวเอง วิชาศิลปะเป็นเพียงแค่คนหนึ่งมาให้คะแนนเฉยๆ เพราะยังมีอีก 10 ล้านคนบนโลกที่เขาก็สามารถให้คะแนนเราได้เหมือนกัน ดังนั้นตัวเราเองก็ต้องเลือกว่าอยากฟังใคร แต่ผมว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือ การที่เราวาดผลงานออกมาแล้ว เราเองภูมิใจกับมัน นี่คือก้าวแรกที่ดีมาก และไม่ต้องไปคาดหวังว่าทุกคนจะชอบงานของเรา

หากไม่ได้เป็นศิลปิน ซันเต๋อในวันนี้จะทำอะไรอยู่

            ผมชอบทำอาหารนะ ผมคงไปทำอาหารแหละ เพราะว่ารู้สึกอาหารกับศิลปะมีความใกล้เคียงกัน การผสมสีมันก็คงเหมือนการใส่พริก การใส่รสหวาน เติมรสเค็ม แต่ผมคิดว่า ผมอาจจะทำอาหารออกมาแบบประหลาดก็ได้ครับ

การเดินทางตลอด 33 ปี บนเส้นทางการทำงานศิลปะของซันเต๋อ อะไรที่เป็นสิ่งที่น่าจดจำที่สุด

            ผมเป็นคนประเภทที่เอาความสำเร็จมาอยู่ในความสุข ซึ่งจริง ๆ มันก็ไม่ดีเท่าไรนะเพราะทำให้รู้สึกกดดัน แต่ผมรู้สึกว่าสิ่งที่น่าจดจำคือ การเป็นที่ยอมรับและมีคนชื่นชม คำตอบมันอาจจะดูคลีเช่นิดนึงแต่ว่ามันคือเป็นเรื่องจริงนะครับ 

TAKE YOUR TIME A solo exhibition by SUNTUR เปิดให้เข้าชมแล้วถึง 23 เมษายน 2566 ณ RCB Galleria 2 ชั้น 2 River City Bangkok

Contributors

Contributors

เด็กมนุษย์ฯ ผู้ชื่นชอบการออกไปเดินเที่ยวคนเดียว เอนจอยกับการเต้นและการกิน ปัจจุบันกำลังพยายามใช้ชีวิตแบบ Slow Life อยู่

นักเล่าเรื่องที่ใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมือและศรัทธาในพลังของงานเขียน ผู้ชอบตัวเองตอนนั่งสัมภาษณ์ผู้คนที่สุด