ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่คนในวงการบันเทิงจะจริงจังกับการเป็นยูทูเบอร์
แต่เราก็ไม่คิดว่านักร้องหนุ่มเสียงสูงจากเวทีที่ใช้เสียงเพียวๆ ซึ่งโลดแล่นอยู่ในวงการดนตรีมาหลายปีจะลงสู่สนามนี้กับเค้าด้วย แถมยังจริงจังในระดับที่ได้ผู้ติดตามหลักสองแสนในเวลาเพียงปีกว่าๆ เท่านั้น
เรากำลังพูดถึงน้าหนวด หรือสงกรานต์-รังสรรค์ ปัญญาเรือน
น้าหนวดคนนี้โลดแล่นบนยูทูปด้วยคอนเทนต์เพลงและดนตรี ตั้งแต่เล่นเกมกับเพลง คุยถึงเบื้องหลังของเพลง มาจนถึงความรู้เรื่องเพลง สลับกับไลฟ์สไตล์ที่พาไปเที่ยวบ้าง เสิร์ฟอาหารบ้าง หรือคุยกับผู้คนบ้าง
จนมาถึงการเปลี่ยนแปลงของ POP มั้ย ช่องยูทูปบันเทิงเคล้าเสียงดนตรีมาเป็น Mass Music ช่องที่จะปั้น Music Influencers เต็มรูปแบบ ที่น้าหนวดก็อยู่เบื้องหลังเช่นกัน
ชีวิตที่ห่างหายจากการเล่นคอนเสิร์ตมาสู่การเป็น Content Creator เต็มตัว ก็ยังยึดโยงกับดนตรีที่เป็นแกนสำคัญในชีวิตของสงกรานต์อยู่ดี ดังนั้น การสนทนาในวันนี้จึงยังมีพื้นฐานของความเป็นคนดนตรีอย่างที่เขาเป็นมาตลอด แต่ที่เพิ่มเติมคือ การขับเคลื่อนตัวเองให้อยู่ในกรอบเดิม แต่ยึดโยงกับมิติที่หลากหลายผ่านการเป็น Content Creator และผู้ผลักดันศิลปินหน้าใหม่ในอีกรูปแบบหนึ่ง
มา เริ่มเลยแล้วกัน

สงกรานต์-รังสรรค์ ปัญญาเรือน
อาชีพ: ศิลปิน
เคยฝันไหมว่าชีวิตจะกลายเป็นศิลปินในแบบที่ยึดเป็นอาชีพหลักในชีวิตได้จริงๆ
เวลาเราดูทีวี เราก็จะรู้สึกว่าเราเหมือนเราดูหนังสักเรื่องนึง เคยดูอเวนเจอร์สใช่ไหม เคยคิดไหมว่าวันนึงเราจะเป็นกัปตันมาร์เวล หรือว่าวันนึงเราจะต้องเป็นกัปตันอเมริกา เราไม่คิดอยู่แล้ว เราดูเพื่อความบันเทิง แต่วันนึงเราได้เป็น เราก็เลยเหมือนแบบ เอ๊ะ ต้องทำอะไรบ้างวะ เหมือนถ้าเราได้เป็นฮีโร่ วันแรกมึงจะทำอะไรวะ เอ๊ะ กูมีพลังแล้วนี่ เอ๊ะ กูต้องทำอะไรวะ วันแรก ใช้เวลาปรับตัวพักนึงเหมือนกัน ซึ่งนั่นหมายความว่าเราไม่คิดอยู่แล้วว่ามันจะแบบ คนรู้จักเราเยอะขนาดนี้เลยหรอ
แล้วต้องปรับตัวยังไงบ้าง
เอาแค่กระบวนการทำงาน ปกติก่อนที่เราจะไปประกวด เราทำเพลงใต้ดิน พอเราทำเพลงใต้ดินนั้นหมายความว่า ชอบหรือยังวะเพื่อน ชอบละ ปล่อยเลยละกัน แต่พอเป็นศิลปินปุ๊บ ชอบละ แต่โปรดิวเซอร์ไม่ชอบ อ้าว ฉิบหาย ผ่านโปรดิวเซอร์ผ่านผู้ใหญ่ ผ่านนู่นนี่นั่น อ้าว มันไม่ได้แบบแต่งเสร็จแล้วเสร็จเลยหรอวะ นั่นแหละ อันนี้เราพูดถึงแค่ Process งาน นึกออกไหม แต่ถ้าพอโดยรวม หมายถึงว่าองค์รวมทั้งหมดที่เป็นเรา มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว
ช่วงที่ทำเพลง คุณตั้งธงการแต่งเพลงไว้ในใจยังไง
มันจะไม่ใช่การปล่อยไหลตามไป แต่มันคือการขายไลฟ์สไตล์ตัวเองมากกว่าว่าเราจะเอาสิ่งที่เป็นเราทำให้ เราจะเอาสิ่งที่เป็นปกติของเราให้คนทั่วไปสนใจได้ยังไงมากกว่า แต่จริงๆ มันมีหลายปัจจัยแหละ สิ่งที่เราจะบอกก็คือ มันมีขั้นตอนมากขึ้น เช่น การทำเพลงหนึ่งเพลงจะต้องมานั่งคุยกัน มันไม่ใช่อยากแต่งอะไรก็แต่ง หรือว่าอยากทำอะไรก็ทำออกมา ทำไปเรื่อยอะ ไม่ใช่ มันต้องมานั่งคุยกันก่อนว่าคอนเซปต์คืออะไร ทำอันนี้ออกไปแล้ว อันที่สองอันที่สามจะยังไงต่อ มันจะไม่ใช่คอนเทนต์ระยะสั้น ถ้าเป็นฟุตบอลคือเราเตะเป็นทัวร์นาเมนต์ไม่ได้เตะเป็นแมทช์


ช่วงที่ฮอตที่สุด รับงานโชว์กี่งานต่อเดือน
30 งาน ก็เต็มแหละ เดือนนึงมี 30 วัน บางเดือนก็ 35 งาน ก็คือวันนึงรับสองงาน แต่จะไม่ทำอีกแล้วนะ จะไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว โห คือถ้าร่างกายพูดได้ ถ้าเส้นเสียงพูดได้นี่แบบ พอแล้วไอ้สัส (หัวเราะ) ก็คงจะพูดอย่างนี้
ลองบอกความรู้สึกได้ไหมว่าตอนที่สงกรานต์ รังสรรค์ ขึ้นไปแสดงบนเวทีให้ฟังหน่อยว่าความรู้สึกของการไปเล่นคอนเสิร์ตมันเป็นยังไง
เมื่อก่อนตอนที่ทำเพลงใต้ดินนะ มันจะมีความฮาร์ดคอร์แฟนสูง คือพอเราทำเพลงใต้ดิน แฟนเพลงเราจะค่อนข้างเป็นฮาร์ดคอร์แฟนอยู่ ติดตาม คือตามคือตามเลย ถ้าเปรียบเทียบ สมมติชอบจุลโหฬาร อภิรมย์ อะไรแบบนี้ ถ้ามาเล่นใกล้ๆ ก็จะไปดูเว้ย เป็นฮาร์ดคอร์แฟน แต่พอ ในแบบของเราที่มหาชนมากๆ บางคนไม่ได้เป็นแฟนเพลงแต่ไม่ได้เป็นแฟนคลับ ซึ่งจริงๆ ความต่างมันตรงที่เขาอาจจะไม่ได้รู้จัก เขาไม่ใช่ฮาร์ดคอร์แฟน แต่ว่าเป็นแฟนเพลงที่ดีที่เราชื่นชมผลงานคุณ แต่ว่าตัวคุณจะยังไง เราไม่รู้ แต่เราชื่นชม พอเราเห็นแฟนเพลงเรารู้สึกว่า โห ดีใจที่เพลงมันทำงาน เราไม่ได้ห่วงอยู่แล้วว่าตัวเราจะดังหรือเปล่า เราแค่อยากให้เพลงมันทำงานในมุมของมัน ดีใจที่เพลงๆ นั้นที่เราทำมีจุดร่วมกับคนฟังมากขนาดนั้นได้ นั้นคือความรู้สึกบนเวที
แล้วการที่เพลงของคุณไปเป็นชุดประสบการณ์หรือเป็นจุดร่วมของคน เรื่องนี้มีความหมายกับคนทำเพลงยังไงบ้าง
ไอ้คนที่เล่นสดแล้วร้องตามมันกำไรอยู่แล้ว แต่ว่าสิ่งที่มันส่งผลกับคนทำเพลงมากๆ เลยก็คือเวลา สังเกตปะ เอายุคสมัยนี้ ยุคสมัยนี้เวลาเราลงเพลงแล้วมันสามารถคอมเมนต์ได้ใช่ไหม แล้วก็แบบ ผมฟังเพลงพี่ เพลงพี่ช่วยผมไว้ เราจะรู้สึกดีใจที่เพลงเรามีประสบการณ์ร่วม ผมฟังเพลงพี่แล้วผมรอด ผมผ่านมันมาละ ผมร้องไห้กับเพลงพี่ทุกวัน บางทีเรารู้สึกโอเคอะ สำหรับผมในมุมคนทำเพลง อย่างน้อยๆ ก็เพลงเราไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร หรือว่าให้ใครรู้สึกไม่ใช่เรียกว่าสร้างความเดือดร้อน เราแค่รู้สึกว่าดีใจที่มันมีจุดร่วมกับคนฟังจริงๆ

เคยหมดไฟบ้างมั้ย
ไม่เคย เพราะเราเก่ง (หัวเราะ)
คือจะบอกว่าไม่ Burn Out เพราะว่าเราใช้ชีวิตมาแบบปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่เด็ก เราก็เลยรู้สึกว่า เนี่ย งานสบาย เข้าใจใช่ไหม เราก็เลยรู้สึกว่า เขาบอกว่า Burn Out แล้วมันคืออะไรวะ ไม่เคยรู้สึกเลยว่ากำลังจะ Burn Out ฉันอยากจะหยุดตรงนี้ มีคนเคยมาถามว่าได้เที่ยวบ้างไหมพี่ พักผ่อนอะพี่ ก็นี่แหละกูพักอยู่ (หัวเราะ) เพราะอะไรรู้ปะ เราทำทุกอย่างเพื่อให้วันนึงเรากลายเป็นศิลปินแล้วเราได้มาทำเพลงจริงๆ ทำเป็นอาชีพเลี้ยงตัวเอง แล้วพอเราได้ทำ เรารู้สึกว่าเราพักอยู่ตลอดเวลา เราไม่ได้ทำงาน เราก็เลยรู้สึกว่า ก็นี่แหละพักอยู่ ถ้ามองจากข้างนอกก็จะรู้สึกว่า มึงบ้างาน เปล่า กูพักอยู่ แต่แค่จะรู้สึกทำงานก็ต่อเมื่อ งานชิ้นนั้นหรือเพลงๆ นั้นมีโจทย์ไง เช่น เพลงโฆษณา เพลงองค์กร เนี่ย ทำงาน ก็เลยไม่รู้สึกหมดไฟเลย
มีคนบอกว่า อย่าเอาสิ่งที่รักมาเป็นอาชีพ แต่ดูเหมือนว่าคุณจะเป็นข้อยกเว้นของเรื่องนี้นะ
เออ อันนี้ไม่รู้เหมือนกันแฮะ แต่อาจจะอย่างที่บอกแหละ เราแบบปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่เด็ก ถ้ามึงไม่ทำก็คือไม่มีกิน เรื่องก็มีอยู่แค่นั้น แล้วเราเป็นอย่างนั้นตั้งแต่เด็ก เหมือนแบบภูมิต้านทานมันสูง เราก็เลยรู้สึกว่าไม่ได้ Burn Out


สงกรานต์-รังสรรค์ ปัญญาเรือน
อาชีพ: ยูทูบเบอร์
เคยคิดมั้ยว่าจะได้มาประกอบอาชีพยูทูปเบอร์
เชื่อมั้ยว่าโซเชียลเป็นสิ่งที่เราไม่ได้รู้สึกว่าสำคัญเลยเว้ย เราไม่คิดว่าวันนึงแม่งทุกอย่างจะอยู่ในโทรศัพท์ เวลาเราไปดูคอนเสิร์ตอะ จุดร่วมในคอนเสิร์ตมันเยอะมากนะ พอมันไม่ดูผ่านจอ ถ้าสังเกตดูอย่างนึง สมมติเจ็ดสีคอนเสิร์ตเมื่อก่อน โห แม่ง มันสนุกมากอะ สิ่งที่เราจะบอกก็คือเราแค่รู้สึกว่าเมื่อก่อนเวลาที่เราไปดูคอนเสิร์ต เรารู้สึกว่าหลังๆ มาพอในวันที่เรามีชื่อเสียง เราไปเล่นคอนเสิร์ต ทุกคนแบบ ทุกคนดูคอนเสิร์ตผ่านหน้าจอ ถ่ายรูปกับเราอ คนเจอศิลปินต้องทำอะไร ขอลายเซ็นนะ เนี่ย เราอยู่ช่วงเปลี่ยนถ่ายพอดี
ทีนี้พอเรารู้สึกว่าเราไม่ได้รู้จักโซเชียลดีขนาดนั้น พอเราอยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายอะ เฮ้ย วันนึงอะ น้องคนนึงเดินมาบอกว่ามึงต้องทำโซเชียลว่ะ เชี่ย ทำยังไงวะ แล้วคืออะไรวะ แม่งไม่เข้าใจเลยเว้ย จนเรามาหาพี่เหว่ง (ภูศณัฎฐ์ การุณวงศ์วัฒน์-Little Monster, เทพลีลา) ที่บ้าน ไม่เคยเจอกันมาก่อนนะ โทรคุยกันครั้งนึง เรารู้สึกเหมือนว่าเขาจะไลฟ์อะไรกันอยู่สักอย่างนี่แหละ แล้วพอดีรุ่นน้องอะอยู่ แล้วบอกก็แนะนำให้เรารู้จัก เราก็แบบ เอ้ย พี่เหว่งพี่ ผมขอเบอร์หน่อย แล้วโทรคุยกัน เดี๋ยวผมไปหาที่บ้านพี่ ไม่เคยเจอกันมาก่อนแล้วอยู่ๆ ไปหาที่บ้านเขา แล้วก็ถามว่าโซเชียลคืออะไรนี่แหละ เขาก็บอกว่าโซเชียลนะ มันคืออย่างนี้เว้ย 1-2-3-4 เราก็เลยเอาสิ่งที่เขาบอกเรามาปรับใช้ว่าแล้วเราต้องทำอะไรบ้าง โอ้โห คนละเรื่องเลย เราเคยคิดว่าเราคือสงกรานต์อะ ที่ร้องเพลงอะ พอเข้าไปโซเชียลเนี่ย เรียบร้อย มึงคือคนธรรมดาคนนึงเว้ย มันคืออีกตัวตนนึงของคุณ เพียงแต่ว่าคุณจะซิงก์กับโลกจริงยังไงแค่นั้นเอง
แล้วก่อนหน้านี้จริงๆ คุณเล่นโซเชียลมั้ย
เล่น แบบมีไว้ติดต่อ แค่คนกดไลก์ 300 ก็ดีใจตายห่าแล้ว ทุกวันนี้คนกดไลก์ 2-300 นี่เครียดเลย (หัวเราะ) คือไม่ได้ยกคำว่าหิวแสงไว้ก่อนเนอะ จริงๆ บางคนบอกหิวแสงรึเปล่า ก็ต้องตอบว่า ครับ (หัวเราะ)
ทำไมอะ ทำไมต้องให้คนมากดไลก์เยอะ หิวแสงเหรอ ครับ ผมทำงานครับ แต่แสงที่เราอยากได้มันไม่ใช่แสงที่มันทำใครเดือดร้อนหรือไปพาดพิงใคร แสงที่มันจะสามารถส่งต่อให้องค์กรของเราแข็งแรงต่างหาก ตอนนี้มันไม่ได้มองเป็นเรียกส่วนตัวแล้ว มันมองเป็นเรื่ององค์กรแล้ว เราอยากให้องค์กรของเราแข็งแรง เมื่อก่อนเรารู้สึกว่าทำไมงานเราน้อย งานเราน้อยลงนะ ทำยังไงให้งานมันเท่าเดิม ออกเพลงใหม่แม่งเลย เราคิดในแบบของเรา มันไม่มีองค์กรอยู่ มันไม่มีองค์กรอยู่ใน Mind Set อะ มันคือเราคนเดียว ทุกวันนี้มันกลายเป็นเรื่องขององค์กรแล้ว ก็เลยแบบมันเปลี่ยนไป point ของการทำงานมันเปลี่ยนไป

ไอเดียการทำช่องยูทูบของตัวเองมาจากอะไร
เริ่มจากมีเงินอยู่ก้อนนึงตอนโควิด แล้วเป็นก้อนสุดท้ายละ หลังจากที่มาคุยกับพี่เหว่ง เขาก็แนะนำแล้วเราก็มาปรับใช้ดู เงินเราเหลืออยู่แค่นี้ ทำอะไรได้บ้าง ทำช่องยูทูบอะ นึกออกไหม แล้วเพื่อนโดนเลย์ออฟออกจากบริษัทช่วงโควิด เราก็เลยบอกว่า กูมีเงินอยู่เท่านี้ ซึ่งกูจะแบบจ่ายมึงเป็นเดือนได้แค่ 6 เดือน ถ้า 6 เดือนนี้ กูคิดว่าเราลองมาทำยูทูบดูไหม ถ้า 6 เดือนไปแล้วเนี่ย ไม่ซ้ายไม่ขวา เลิก ไปขายก๋วยเตี๋ยวกันดีกว่า (หัวเราะ) กะว่าอย่างนั้นเลย บอกวัดเลย ก็วัดเลย แล้วเราก็วางกลยุทธ์ของเราตามแบบของเราที่เราเข้าใจว่า ไตรมาสแรกก็คือสามเดือนแรก มันต้องเห็นอะไรบ้าง ไตรมาสที่สองต้องเห็นอะไรบ้าง บังเอิญว่ามันไปตามที่เราคิดไว้ อาจจะไม่ได้ 100 เปอร์เซนต์ แต่มันก็ดีขึ้น เราก็เลยสู้กับมันจนมาถึงตอนนี้แหละ ตั้งแต่วันนั้นเกือบ 2 ปีละ
ซึ่งคุณก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นรายได้หลักหรือว่าเป็นสิ่งที่จะยึดโยงเป็นอาชีพที่ไม่ต่างจากการทำเพลง
ใช่ เรามองว่าถ้าจะนับแค่เรื่องรายได้นะ สิ่งเนี่ยมันไม่ใช่ สู้เราไปเล่นคอนเสิร์ตไม่ได้หรอก ไม่มีทางเลย แต่สิ่งนี้มันทำให้เราวางแผนชีวิตได้ว่า เฮ้ย เดือนนี้เราไปเล่นคอนเสิร์ตประมาณนี้ โอเคแล้ว แล้วตัวงานของมันเองต่อยอดจากทางอื่นมากกว่ามันไม่ใช่เรื่องว่ารายได้ของเรามาจากยูทูบ โห เงินนิดเดียวเอง แต่ว่าเรามองว่ามันเป็นรายได้อีกทาง แล้วก็มันต่อยอดจากทางอื่นที่ทำให้เราอยู่ได้
ช่วง 6 เดือนที่ชี้เป็นชี้ตายเลยว่าทำยูทูบรอดหรือไม่รอด ช่วงนั้นปรับตัวหรือเรียนรู้อะไรจากยูทูเบอร์คนอื่นๆ บ้าง
เราใหม่มากๆ เลย เราก็โทรถามพี่เหว่งเรื่อยเลย แบบ พี่ ผมลงคลิปแรกแล้ว คนดู 800 พี่ ยังไงต่อดีวะ คือเราเคยคิดว่าคนน่าจะรู้จักเราอยู่แล้วในโซเชียล หารู้ไม่ว่าไม่ใช่สงกรานต์แล้วไง ลองทำ Vlog เล่นๆ แล้ว เงียบ ฉันไม่อยากรู้ว่าเธอทำอะไร ก็เลยได้คำแนะนำวว่า สงกรานต์ก็ร้องเพลงดิ มันเลยเป็นเรื่องของจุดร่วมที่ระหว่างคนดูกับเราว่า เราให้ความสนใจตรงกันหรือเปล่า เราไม่ต้องพยายามนำเสนอหรือยัดไลฟ์สไตล์เราเข้าไป แต่อันนี้คือหมายถึงตัวเรานะ คนอื่นอาจจะขายไลฟ์สไตล์ตัวเองแล้วมันน่าดู แต่คือวิถีชีวิตเรามันไม่น่าดูไง เราดันบ้างานไง วิถีชีวิตเรามันเลยเรียบๆ ไม่ได้น่าดูขนาดนั้น คนเลยอาจจะไม่สนใจก็ได้ เราก็เลยต้องทำอะไรสักอย่างที่มีจุดร่วมกับคนดูของเราจริงๆ

เอาจริงๆ เลย การเป็นคนมีชื่อเสียงมาทำช่องยูทูบมันง่ายหรือยาก
ยาก (ตอบทันที) เพราะว่าเราไม่เข้าใจมัน เราคิดว่าคนที่เป็นที่รู้จัก ต้องบอกว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงแบบเราด้วยนะ อย่างที่บอกว่าแฟนเพลงเยอะ แต่แฟนฮาร์ดคอร์มันน้อย คือไม่ได้ตามตัวศิลปินขนาดนั้น แต่ว่าคนที่ตามเพลงจะเยอะ เพราะฉะนั้นพอบางทีเขาตามเพลง บางทีเขาอาจจะไม่ได้ตามที่ตัวเรา เขาไม่ได้อัพเดทว่าเราไปทำอะไรอยู่ จริงๆ เขาอาจจะพร้อมดูแหละ เพียงแต่ว่าเขาไม่รู้ไง เขาไม่เห็น เขาไม่ได้พร้อมดูหรือว่าเขาอาจจะไม่ได้เล่นโซเชียลเก่ง ก็เขารุ่นเรา เขาก็ไม่ได้มองว่า เอ๊ะ ทำอะไร ต้องติดตามอะไรขนาดนั้นหรือเปล่า บางทีเขาไม่ได้อัพเดทหรือว่าเขาอาจจะเล่นโซเชียลไม่เก่ง เราก็เลยคิดว่าแอบยาก เพราะเราต้องสร้างตัวตนใหม่
การที่คุณเป็นคนที่ตัวตนชัดเจนมากๆ เมื่อต้องสร้างตัวตนเพื่อไปกับช่องยูทูบ จำเป็นที่คุณจะต้องเปลี่ยนอะไรเพื่อสร้างตัวตนในช่องมั้ย
เราก็ใช้ตัวของเราเองนี่แหละ เพื่อที่จะซิงค์กับคนรุ่นใหม่ที่เขาอาจจะเล่นโซเชียลแบบ 100 เปอร์เซนต์แล้วเราก็นำเสนอสิ่งที่เขาสนใจในแบบของเรา เหมือนอย่างบางคนงี้ ขอสารภาพว่าเพิ่งรู้ว่า สงกรานต์ รังสรรค์กับน้าหนวดอะคนเดียวกัน ตอนนี้ Branding เราชัดแล้ว น้าหนวด ช่องน้าหนวดแม่งคือช่องไอ้เนี่ย ไอ้เนี่ย กลายเป็นน้าหนวด สำหรับเด็กรุ่นใหม่ เขาจะมองว่า ไม่รู้ว่าพี่คือใคร ไม่ได้สนว่าประวัติพี่เป็นมายังไง พี่คือแชมป์อะไร หรือแบบพี่มีเพลงอะไร วันนี้พี่ทำคลิปอะไร อะไรอย่างนี้มากกว่า
ถ้าให้นิยาม ช่องน้าหนวดนำเสนออะไร
นำเสนอความเอนเตอร์เทนแหละ จริงๆ แล้วมันคือเอาเรื่องเพลง เอาเรื่องความรู้มานำเสนอในมุมวาไรตี้ต่างๆ แต่มีไลฟ์สไตล์อยู่บ้าง เช่น ที่มียอดสุดๆ เลยคือ ไปกินลาบ ไปกินส้า กินหลู้อย่างเนี่ย คนผ่อนักขนาด (ภาษาถิ่นเหนือ-คนดูเยอะมาก) แต่ถ้าแบบ วันนี้ผมพาทุกคนไปเที่ยวครับ เรียบร้อย ยอดเป็นหมาเลย อะไรที่ดูซีเรียสหรือว่ามีไลฟ์สไตล์ตัวเองที่ชัดมากๆ อะ ถ้าเราไม่ได้สเปเชียลขนาดนั้นอะ คนไม่อยากรู้หรอก ยกเว้นว่าคนนั้นเป็นคนที่เล่าเรื่องตัวเองได้สนุกจริงๆ เป็นข้อยกเว้น เราไม่ใช่ คือด้วยไลฟ์สไตล์เรามันเรียบ เราดันแบบคนทำงาน คนบ้างานอะ
เรื่องล่าสุดที่เพิ่งเรียนรู้จากการทำยูทูบคืออะไร
คิดว่าน่าจะเป็นเรื่อง การสังเกต Engagement ของหลังบ้านของตัวเองว่าจริง ๆ สิ่งที่เรานำเสนอเนี่ย มันมีผลต่อยอด ต่ออายุ ต่อเพศ ต่ออะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรานำเสนอออกไป บางทีมันอาจจะต้องคำนึงด้วยว่าฐานแฟนของเราที่อยู่ในช่อง เป็นใคร ให้ความสนใจเรื่องอะไร เราไม่เคยคิดมาก่อนว่า กูต้องรู้เรื่องนี้ด้วยหรอวะ เมื่อก่อนมีแค่ แต่งเพลงยังไงดีวะ มีแค่นั้น เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าต้องมานั่งดูหลังบ้าน อายุเท่าไหร่ดูคลิปนี้ ดูไปกี่นาที นู่นนี่นั่น มันข้ามตอนไหนบ้างวะ เนี่ยคือสิ่งที่เรียนรู้


น้าหนวด
อาชีพ: ผู้บริหาร Mass Music
ทำไมถึงมี Mass Music ขึ้นมา
คือจะบอกวาตอนนั้นที่ทำ POP มั้ย ใช่ไหม ตอนที่พี่ปิงปอง (ศิรศักดิ์ อิทธิพลพาณิชย์) เขาทำมันก็กำลังดีแล้วแหละ แต่บังเอิญว่าพอพี่ปองเหลือคนเดียวมันเหมือนกำลังจะดาวน์ พอช่องมันดาวน์อะ เราคุยกันตลอด เรารู้จักกันอยู่แล้ว ตัวช่องไม่มีคนนำ แต่น้าหนวดเนี่ย มีคนนำแต่ไม่มีทีม หุ้นไหม ได้ งั้นจับเลย พอ Match กันปุ๊บ เปลี่ยน POP มั้ยเป็น Mass Music เลยทันที แล้วก็ทำกับเอ้ย (จิรัชญา โมรารัตน์) นี่แหละ แล้วก็เอาคอนเทนท์ทั้งหมดมาลงน้าหนวด แล้วเปลี่ยน Mass Music ให้เป็นวงดนตรีเลย เป็นช่องของคนที่ชอบฟังเพลงเลยก็ว่าได้
แต่จุดประสงค์จริงๆ ไม่ได้อยากทำค่ายเพลง
จริงๆ มันไม่ใช่ มันคือการผลิต Music Influencers มากกว่า เพราะถ้าค่ายเพลงนะ ตังค์ไม่พอ (หัวเราะ) พูดจริง ตังค์ที่มีอยู่เนี่ย มันมีแต่ Asset อะตอนนี้ ไม่มีทุน ไม่มี Cash Flow เว้ย มีแต่ Value แค่นั้นเลย
แล้วคำว่า Music Influencer มาได้ยังไง
มันก็เหมือนคนที่ทำช่องยูทูบตัวเองแต่เป็นร้องเพลงอย่างเดียว อย่างก่อนหน้านี้ก็จะมีคนที่ชื่อน้องเพลงที่ตอนนี้อยู่ค่ายของโปเต้ (ปิยะพงษ์ เล็กประยูร-Mean) อยู่ค่าย Kiddo Records ก็คือ Music Influencers ถูกมั้ย เรารู้จักตัวเขาด้วยเพราะว่าเขาร้องเพลงเพราะ เขาน่ารัก เขาร้องเล่นดี มันคืออย่างนั้นมากกว่า


อย่าง Music Influencers คนแรกของ Mass Music คือเอ้ย จิรัช น้องคนนี้มีแววยังไง
เอ้ยคือตัดต่อของ Mass Music คลิปที่เราเห็นอะเอ้ยตัด แม่งตัดตัวเอง บอกให้เอ้ยซ้อมร้องเพลงนะ น้องก็บอก ได้พี่ แล้วไอ้นี่มัน Yes Girl อะ ได้พี่ คือเวลาเราสั่งงานมันอะ บางทีเราแบบวัดผลมันเหมือนกันนะ บางทีก็แบบมึงซ้อมห้าเพลง ก็บอก ได้พี่ Multi-Task เหี้ยๆ บอกว่าได้ไม่เท่าไหร่นะ วันจริงมาปุ๊บ แม่งร้องได้จริงด้วย ร้องได้จริงเสร็จปุ๊บ Record เสร็จปั๊บ ถ่าย นั่งตัดตัวเองอีก คือเราเป็นทีมทำเพลงใช่มั้ย แต่ว่าเรื่องพวกนี้ มันเป็น Pre-Production ใช่ไหมล่ะ น้องก็ พี่ เดี๋ยวหนูทำอย่างนี้พี่ เป็น Multi-Task
ถ้ามีเหตุผลเรื่องการปั้นคนเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำไมถึงเลือกเอ้ยมาเป็น Music Influencers
พอมันเป็น Yes Girl อะ แถวบ้านเรียกว่าใจมันได้ว่ะ แล้วเราโตมายังไงอะ โตมาด้วยใจอะ โตมาด้วยลำแข้งอะ แล้วเจอแม่งอย่างนี้ คือแบบ ได้พี่ เอาค่ะพี่ แบบอยู่สว่างคาตากันมาแบบเป็นอาทิตย์ๆ อะ มันยังไม่เคยบ่นเลย พอเห็นเด็กใจมันได้ เราก็รู้สึกแบบ โห ถ้าอย่างนั้นมึงมีใจ กูก็มี มันไม่ใช่แค่ว่าทำไมต้องเป็นเอ้ย มันต้องบอกว่าไม่ใช่เอ้ยแล้วจะเป็นใคร
เมื่อเข้าสู่กระบวนการทำเพลงให้ศิลปินจริงๆ มีหลักการอะไรในการทำเพลงให้เอ้ยบ้าง
ได้แค่ทฤษฎี แต่ว่าปฏิบัติจริงอาจจะไม่ได้ 100 เปอร์เซนต์ เพราะว่าสุดท้ายเวลาเราทำเพลงให้คนอื่น มันก็ต้องมานั่งถามว่า เฮ้ย เอ้ย คำติดปากมึงคืออะไรวะ หรือถามว่า คำที่มึงใช้ถ้ามึงจะเล่าเรื่องนี้ มึงจะเรียงลำดับความสำคัญในการเล่ายังไง ความสำคัญก่อนหลังในการเล่าเรื่องต้องทำยังไง มึงพูดคอนเซปต์มาเลย เดี๋ยวกูเอาเนื้อมาวางให้ แล้วมึงดูว่าใช่มึงหรือเปล่า มากกว่ากระบวนการ-การทำงานนะ มันก็ไปคิดของมันมา

ปลายทางของการปั้นเอ้ยเป็น Music Influencers คืออะไร
ไม่ได้คิดอยู่แล้ว สิ่งหนึ่งที่เราคาดหวังเลย มันไม่ใช่เรื่องชื่อเสียงแน่นอน แต่เป็นเรืองการสานฝันเด็กคนนึง เอ้ยเนี่ยขอพรกับพระเจ้าตั้งแต่เด็ก ขอให้ฉันร้องเพลงเพราะ ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่เอ้ยมีคือ ขอให้เป็นเรื่องเพลง พี่ให้หนูทำอะไร หนูทำหมด หนูอยากวิ่งชนทุกเป้าที่พี่วางไว้ นี่คือสิ่งทีเอ้ยเป็น ผมก็เลยรู้สึกว่าสิ่งที่คาดหวังมันไม่ใช่เรื่องชื่อเสียงแน่ๆ แต่เป็นเรื่องทำสิ่งที่มึงอยากทำให้สำเร็จต่างหากที่กูอยากผลักดันมึง กระแทกเข้าไปให้ตรงจุด
สุดท้ายเกินปุยมุ้ย ก็กลายเป็นเพลงดังและไวรัล สิ่งนี้บ่งบอกว่า Mass Music สามารถไปต่อได้ในระยะยาวมั้ย
เราคิดว่าจริงๆ เป้าเรามีหลายแบบ เราก็วางไว้หลาย Section เหมือนกัน พอเอ้ยมีไวรัล เราก็เลยรู้สึกว่าจริงๆ ช่อง Mass Music อะ มันคือ Music Influencers มันไม่ควรมีเอ้ยคนเดียว ฉะนั้น เอ้ยก็ต้องทำชิ้นงานของเอ้ยต่อไป แต่ก็ต้องมีคนมาแทนที่ เป็นอินฟลูฯ คนต่อไปมาแทนที่เป็นรุ่นน้องเอ้ยอีกคนนึง ดันกันไปเรื่อยๆ เพื่อให้ช่องมันแข็งแรงไปเรื่อยๆ วันนึงทุกคนอาจจะมองว่าช่อง Mass Music เอาไม่อยู่แล้ว เอ้ยต้องเปิดช่องของตัวเองแล้วอะ เพื่อให้องค์กรมันเติบโต เราไม่ได้หวงอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันต้องไป มันต้องไปด้วยกันหมด ไม่ใช่ใครคนใดคนนึงไป
แล้วการเป็นยูทูเบอร์สอนอะไรคุณบ้าง
สอนให้รู้ว่าเราเก่ง (หัวเราะ) เดี๋ยว การเป็นยูทูบเบอร์สอนให้เรารู้ว่าจริงๆ เนี่ย เรารู้แล้วว่าความสำคัญในชีวิตของเรามันคืออะไร คือการจัดเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังมากกว่า สำหรับตัวเราเองนะ เราได้รู้สึกว่ายูทูบเบอร์สอนให้เราเรียง Priority ของเราอย่างถูกต้องในแบบไลฟ์สไตล์ของเรา เช่น เมื่อก่อนเราไม่ได้คิดว่า เอ๊ะ เราต้องรู้เรื่องนี้หรือเปล่า เราต้องมีอันนี้ๆๆๆ หรือเปล่า มันทำให้เราละเอียดขึ้น จัดเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังได้ดีขึ้น ละเอียดขึ้น
อย่างเรามาตรงนี้ เรามาในฐานะผู้บริหาร เราไม่ได้มาในฐานะศิลปิน มันไม่ใช่แค่เรื่องการจัดเรียง มันคือการใช้ชีวิตเลย มันมีผลเลย เราอยากทำงานหนัก อยากทำงาน 7 วัน เพื่อที่จะกลับไปทำในสิ่งที่รักอย่างมีความสุข


คำถามสุดท้าย ถ้าถามคุณในฐานะอดีตพ่อค้าขายลูกชิ้น เคล็ดลับในการปิ้งลูกชิ้นให้อร่อยคืออะไร
บอกเลยว่า การที่จะปิ้งลูกชิ้นให้อร่อยนะมีอย่างเดียว ต้องไปรับเขามา อย่าไปทำเองถ้าไม่ชัวร์ ทำเองไม่อร่อยหรอก (หัวเราะ)