หากในจักรวาลกว้างใหญ่ มีดาวสักดวงให้เราแวะพักในวันที่ใจเหนื่อยล้า ดาวดวงนั้นคงมีแสงแดดอุ่นพอดี มีสายลมแผ่วเบาเหมือนมือใครบางคนที่แตะหลังเราเบา ๆ ว่าทุกอย่างจะดีขึ้น เสียงดนตรีจากดาวดวงนี้ไม่ดังจนเกินไป แต่ไพเราะพอที่จะปลอบโยนความรู้สึกในใจให้ค่อย ๆ คลี่คลายได้เป็นอย่างดี

ดาวดวงนั้นอาจมีชื่อว่า Safeplanet

“ดอย” และ “เอ” สมาชิกจาก Safeplanet รู้ดีว่าการเดินทางด้วยเสียงดนตรีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จากก้าวเล็กๆ ในวันแรกจนถึงวันนี้ พวกเขาเชื่อในพลังของดนตรี และยังสนุกกับการสร้างโลกใบนี้ โลกที่เปิดพื้นที่ให้แฟนเพลงได้ซ่อนตัวจากความวุ่นวาย และปล่อยใจลอยไปกับจังหวะที่ค่อยๆ เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน

ในโอกาสที่ Safeplanet กำลังเดินทางเข้าสู่ปีที่สิบ เราชวนทั้งสองคนมาทบทวนเส้นทางของตัวเองอีกครั้งว่า เสียงดนตรีพาพวกเขาไปถึงจุดไหน เปลี่ยนแปลงอะไรในใจพวกเขาบ้าง และถ้าการเดินทางทั้งหมดนี้ถูกกลั่นออกมาเป็นหนึ่งบทเพลง เพลงนั้นจะเล่าเรื่องแบบไหนให้เราฟัง? มาหาคำตอบกันได้ที่บทความนี้

กำเนิดดวงดาว

จุดเริ่มต้นของการเล่นดนตรี

ดอย: จุดเริ่มต้นของผมคือ ป.6 ครับ ตอนนั้นเริ่มชอบฟังเพลง วงที่ทำให้ผมอยากเล่นดนตรีคือ Silly Fools กับ BLACKHEAD อัลบั้ม Juicy กับ Handmade ครับ รู้สึกว่าเสียงดนตรีมัน Impact ใจเรามาก ก็เลยลองเคาะตาม นั่นน่าจะเป็นจุดแรกที่ทำให้สนใจดนตรี

เอ: ของผมเริ่มช้าหน่อยครับ ประมาณ ม.4 ที่เริ่มจับกีตาร์ เริ่มจากโรงเรียนมีประกวดวง ผมเล่นไม่เป็นแต่ขาดนักร้องเลยเข้าไปแจม คล้ายๆ ดอยครับ ผมโตมากับ Silly Fools, Bodyslam, BLACKHEAD น่าจะเริ่มตอนนั้น

ดอย: พอเริ่มตีไปเรื่อยๆ ก็รักดนตรีมาก เลยอยากเรียนดนตรี ก็เลยตัดสินใจสอบเข้าคณะดนตรี

เอ: Season Change ใช่ไหม

ดอย: ใช่ เป็นหนังที่ทำให้เราเห็นว่ามีคณะดนตรีที่เราไปเรียนต่อได้ ก็เลยตัดสินใจสอบเข้าครับ

แล้วทั้งสองคนมาเจอกันได้ยังไง

ดอย: ผมเจอเอครั้งแรกที่ค่าย NO EGO JAZZ เป็นค่ายของศิลปากรครับ ผมมาจากเชียงใหม่ ส่วนเอเป็นคนกรุงเทพฯ เราเล่นกันคนละวง แต่ตอนนั้นเห็นเอไว้หางเต่า เล่นกีตาร์แจ๊ส (หัวเราะ) พอเข้ามหาวิทยาลัย ผมเข้ามหิดล เพื่อนๆ ก็อยู่ศิลปากร เอก็อยู่ศิลปากร เลยมีโอกาสได้รู้จักกันแบบผ่านๆ ครับ ตอนนั้นน่าจะประมาณปี 3 เรายังอยากทำวง ก็เลยทำวงกับเพื่อนจากศิลปากรและมหิดลด้วยกัน ประกวดครั้งแรกคืองานโออิชิ ชื่อวง Shadow Flare มีใน YouTube นะครับ ไปดูได้

จาก Shadow Flare สู่ Safeplanet

เอ: หลังจากประกวดเสร็จพวกเราก็แยกย้ายมาทำวงใหม่ มีผม มีดอย และมีพี่ต่อ (นักร้อง Shadow Flare)

ดอย: ทำกัน 3 คน แล้วพี่ต่อเขาก็หนีไป (หัวเราะ) ช่วงแรกก็ทำกัน 2 คน ตอนนั้นเป็นเพลง กล่องดำ, โอยา และ ระบาย แล้วผมก็มีน้องที่รู้จักชื่อน้องยี่ ก็เลยดึงยี่เข้ามาด้วย จนกลายมาเป็น Safeplanet ยุคแรกที่มี 3 คน

Safeplanet = พื้นที่ปลอดภัย

ที่มาของชื่อ Safeplanet และนิยามแนวเพลงของแนวเพลงเซฟ

เอ: เราอยากตั้งขึ้นมาให้เป็นโลกของเรา เป็น Gallery ที่เราอยากมีที่แสดงผลงาน อยากมีโลกที่เราจะโพสต์ยังไงก็ได้ ทำเพลงแบบไหนก็ได้โดยที่เราไม่โดนตัดสินจากคนอื่น เลยเรียกมันว่า Safeplanet เพราะเรารู้สึกปลอดภัย

ดอย: สำหรับผม เราเอาความชอบหลายอย่างมาผสมกันครับ คือเราชอบความ Catchy ของ Melody ความเป็น Guitar Band ที่ใช้กีตาร์เล่าเรื่อง

เอ: เราไม่ได้เซ็ตแนวว่าเราจะทำ Rock ทำ Jazz เหมือนเราปล่อยให้มันไกด์เรามากกว่า

เทคนิคและวิธีการแต่งเพลง

เอ: จริงๆ ก็ Random เลยครับ ไม่มีเทคนิคตายตัว แล้วแต่ว่าเอหรือดอยใครคิด Melody ใครมี Material เราก็จะมาแชร์กันที่บ้านเรา

เอ: บางทีดอยก็เตรียม Rhythm มา บางทีเราก็มี Melody มีพาร์ตกีตาร์ แล้วก็ค่อยมาเกลาว่าเราจะทำอะไร เพลงเราจะเอา Mood ไหน มันจะไม่มีวิธีที่ตายตัวเท่าไหร่ครับ

ดอย: ใช่ แต่ถ้าสำหรับผม ผมชอบที่จะอยู่บ้านนานๆ ครับ สมมุติว่าได้อยู่กับตัวเองสัก 3 วัน หมายถึงว่ามันจะชิลๆ พยายามหาเพลงฟัง หาคอนเสิร์ตฟัง มันจะค่อยๆ นวด มีเวลาอยู่กับตัวเองสัก 3 วันจะเริ่มจับจุดและมีไอเดียขึ้นมา

เพลงที่ชอบที่สุดของแต่ละคน

ดอย: ถ้าเลือกตอนนี้ ผมชอบเพลง ตัดสินใจ เป็นเพลงเก่าจากอัลบั้ม Safeboys อัลบั้มแรก ที่ชอบเพราะช่วงที่เอากลับมาเล่น เป็นเพลงที่สนุก คนสามารถโดดได้จริงๆ

เอ: ผมโหวต ห้องกระจก ละกัน เหมือนเป็นเพลงที่ทำให้เราค้นพบ Direction ที่เราผสมความ Pop กับความเป็น Rhythm ก็น่าจะเป็นเพลงที่เปิดประตูให้เราไปเจอทางอื่นๆ

ดอย: ใช่ เหมือนเป็นเพลงแรกที่ทำให้เราได้เดินทางด้วยนะ หลังจากปล่อยเพลง ห้องกระจก ทำให้เราได้มีโอกาสไปเล่นดนตรีตามร้านต่างๆ ได้เล่นในเทศกาลดนตรี เหมือนเป็นเพลงที่เปิดประตูให้เราไปสู่โลกกว้างครับ

เล่าให้ฟังถึงคอนเสิร์ตล่าสุดหน่อย

ดอย: Bon Voyage เป็นคอนเสิร์ตที่เหมือนเราเห็นธันเดอร์โดมมานานแล้ว ตั้งแต่เราเป็นเด็ก เหมือนเราเห็น Bodyslam แล้วอยากไปเล่นที่นั่นสักวัน มันเป็นหมุดหมายมานานแล้ว พอทำวงมาเรื่อยๆ เราไปถึงตรงนั้นได้ก็รู้สึกตื่นเต้นและดีใจที่ฝันเป็นจริงครับ

เอ: ตอนแรกมันดูเป็นไปได้ยากมาก แต่ว่าพอเราเดินทางมาเรื่อยๆ เราได้เจอทีม ได้เจอแฟนเพลงที่คอยซัพพอร์ตเรา ก็เลยรู้ว่าจังหวะมันพอดีที่เราจะกล้าจัดตรงนั้นได้ครับ

อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยเสียงดนตรี

การเปลี่ยนแปลงจากวันแรกถึงวันนี้

ดอย: เปลี่ยนแปลงเยอะครับ อย่างแรกคือสมาชิกหายไปคนนึงเลย (หัวเราะ) แล้วก็เหมือนเราก็โตขึ้นแหละ เหมือนคนทั่วไปที่ผ่านการเดินทางมาเรื่อยๆ

เอ: เปลี่ยนทุกช่วงครับ เปลี่ยนทุกอาทิตย์ ทั้งความชอบ ทั้งสกิลเรา ทั้งรสนิยม เราก็จะพยายามจูนกับอะไรที่เป็นปัจจุบันเราที่สุด

โมเมนต์ที่ชอบที่สุดในการทำเพลง

ดอย: ชอบโมเมนต์เวลาเจอแนวเพลงใหม่ๆ เวลาทำ Demo หรือเจอท่อนหรือสักทางที่แบบ เฮ้ย นี่แหละ

เอ: มันคือโมเมนต์ที่เรา Break Through ทะลุบางอย่างเวลาที่เราเจอทางตัน แบบว่าเราเจอ Sound ใหม่ เราเจอแบบเสียงใหม่ๆ ครับ แต่ถ้าแบบ Break Through สุดๆ ก็เล่นต่างจังหวัดครั้งแรกๆ ที่แบบว่ามีคนมาดูเราเยอะมาก แล้วเขาร้องตามเราได้

ดอย: ใช่ แบบว่ามัน Impact เหมือนการเล่นดนตรีของเรามีความหมายแล้วนะ

มองภาพ Safeplanet ในอนาคตไว้ว่ายังไง

เอ: อย่างแรกสุดก็ยังอยากจะทำ อยากจะคงความสนุกกับดนตรี ให้มันเป็น Goal หลักของเราเสมอ มันอาจจะไม่ใช่ยอดวิวหรือ แมสหรือไม่แมส อาจจะเป็นเรื่องเพลงที่ที่เราทำแล้วภูมิใจมากกว่า เราเล่นออกไปแล้วเราไม่รู้สึกจั๊กจี้ตัวเองครับ

ดอย: ผมก็อยากมีผลงานไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตาย (หัวเราะ) หมายถึงว่าอยากจะอยู่ในวงการดนตรีให้นานที่สุดครับ อยากตามหาสิ่งใหม่ๆ ตลอด ปล่อยผลงานไปเรื่อยๆ พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เติบโตไปเรื่อยๆ ครับ ไม่อยากเจอทางตัน อยากจะหาทางใหม่ๆ ให้กับตัวเองและต้องมีแฟนเพลงด้วย ต้องมีคนฟังอยู่

ดนตรีมีอิทธิพลกับชีวิตยังไงบ้าง

ดอย: มีทุกอย่างเลยครับ ตั้งแต่ตื่นนอนก่อนนอนก็คือเราชอบฟังเพลงมาก เหมือนเป็นเพื่อนเราเลยครับ และตอนนี้เหมือนเป็นงานด้วย เหมือนเป็นทุกอย่างของชีวิตเลยครับ

เอ: เราสองคนไม่ได้ทำอะไรเลยครับนอกจากเล่นดนตรี เรียกได้ว่ามันคือทุก Aspect ของชีวิตเลย ทั้ง Life Routine, Entertainment เป็นทุกอย่างครับ และเราจะวนเวียนอยู่กับดนตรีเสมอครับ

กิจกรรมยามว่างนอกเหนือจากดนตรี

ดอย: ดูซีรีส์ ดูหนัง ดูบอล 

เอ: ช่วงนี้ออกกำลังกายครับ วาดรูปบ้าง ดูซีรีส์เหมือนกันครับ แต่ก็เล่นกีตาร์ซะส่วนใหญ่ครับ

ซีรีส์/หนังที่ชอบสุดในช่วงนี้

ดอย: ช่วงนี้ผมดู The Devil’s Plan เป็นรายการเกาหลี พาคนมามีเกมประลองปัญญา ใช้จิตวิทยาแข่งกันครับ

เอ: ช่วงนี้ผมดู My Hero Academia ครับ สนุกมาก

บอกข้อดีของกันและกัน

เอ: ยากอีกละ 

ดอย: ยากเหมือนกัน (หัวเราะ)

ดอย: เอมีความเป็นผู้นำ เป็นคนที่พยายามตามหาอะไรใหม่ๆ ให้กับวง พยายามค้นหา เหมือนพอมีอะไรก็มาโยน มาแชร์ให้ผมกับทีมงานครับ และผมกับเอบ้าดนตรีมากๆ ถือว่าเป็นข้อดีเพราะว่าพอบ้าดนตรีมากๆ เหมือนจะหาอะไรดีๆ ใหม่ๆ มาแชร์ให้กับทุกคนครับ ก็เหมือนเป็นผู้มีความคิดริเริ่มครับ

เอ: ดอยก็คล้ายๆ กัน คือเป็นคนคอยซัพพอร์ตกัน บางทีก็ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ขึ้นไอเดีย ดอยเป็นมือกลองที่แต่งเพลงได้ มีหูที่ชอบฟัง Melody ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่มือกลองหลายๆ คนไม่ค่อยมีครับ เล่นกีตาร์ได้ แต่งเพลงได้ มีความอดทนสูง ทนได้ในทุกสภาพอากาศ ทุกแรงกดดันอันมหาศาล (หัวเราะ)

ดอย: สบายๆ

ขอ 3 คำให้ Safeplanet

ดอย: Safe-pla-net

เอ: ง่ายจังวะ (หัวเราะ)

ถ้าให้สรุปการเดินทางตลอด 10 ปีเป็น 1 บทเพลง เพลงนั้นจะ…

เอ: มีความ Epic ยาว 20-30 นาที

ดอย: เล่าการเดินทางที่ผ่านมา มีการเติบโตขึ้น มีประสบการณ์ อยู่กับความเจ็บปวดได้เก่งขึ้น

เอ: มันจะมีหลายอารมณ์มาก ตั้งแต่ Start จนถึงวุ่นวาย น่าจะเป็นเพลงที่ยุ่งเหยิงหน่อย ดีเทลเยอะๆ มี Orchestration มีหลายๆ อย่างในนั้น

ดอย: เออ เราก็ไม่เคยคิดเหมือนกันนะ ว่าเรามาแต่งเพลงให้กับ 10 ปีของเรากัน  มันก็ดูเป็นโจทย์ท้าทายมาก

Contributors

อาร์ตไดผู้รักงานออกแบบที่เขียนคอนเทนต์ได้นิดหน่อย ชอบเล่าตัวเลขและข้อมูลด้วยภาพ ชอบกินเส้นมากกว่าข้าว ชอบดูหนัง ชอบแมว และชอบเธอ

มิวเมลผู้หลงไหลการเดินป่าและท่องโลกกว้าง เสียงเพลงคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจ แล้วเมื่อไหร่จะได้รักกัน