an array of light… เมื่อแสงส่องถึง…
ศิลปินเปรียบให้แสงเป็นดั่งชีวิต มีช่วงเวลาที่สว่างไสว แม้ในความมืดที่มีแสงเบาบาง ก็ยังสัมผัสได้ถึงไออุ่น เราเองก็เปรียบให้แสงเป็นดั่งความหวังเช่นเดียวกัน แต่ในมุมของช่างภาพอย่างเราและนักวาด ย่อมมีมุมมองที่มีต่อแสง และวิธีการถ่ายทอดแตกต่างกันอยู่แล้ว
วันนี้เราเดินทางไประแวกเพื่อนบ้านของหอศิลป์กรุงเทพฯ (BACC) ณ ซอยเกษมสันต์ 1 เป็นที่ตั้งของ Saratta Space ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของ Reno Hotel Bangkok นั่นเอง
ขณะนี้กำลังมีนิทรรศการภาพวาดด้วยเทคนิคสีไม้ ชื่อ Ray โดย อิสริยาภรณ์ หวันมะรัตน์ (มู) หรือที่หลายคนรู้จักกันในนาม BlueBlurryMonday เธอทำงานอิสระเป็นศิลปินวาดภาพประกอบ และเปิดเวิร์คช็อปสอนสีไม้อยู่ที่บ้าน
เราจะไปทำความรู้จักกับคุณมูให้มากขึ้น ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการเข้าสู่วงการศิลปะ จนมีนิทรรศการเดี่ยวของตัวเอง และกว่าจะคิดผลงานขึ้นสักชิ้นมันยากไหม แล้วเธอใช้ชีวิตอยู่ในโลกศิลปะได้อย่างไร


เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก
สนใจงานศิลปะตั้งแต่ตอนไหน
ชอบวาดรูปตั้งแต่เด็กเลยค่ะ แต่ว่าวาดเป็นงานอดิเรกมาตลอด มาเริ่มจริงจังตอนทำธีสิส เพราะว่ามูไม่ได้จบด้านศิลปะโดยตรง มูจบสถาปัตฯ ซึ่งตอนทำธีสิสมันค่อนข้างเครียด เราก็เลยหาอะไรมาคลายเครียด หางานอดิเรกทำ จึงเป็นการกลับมาวาดรูปอีกครั้ง แล้วก็เปิดแอคเคาต์บน Instagram เริ่มไปออกบูธจนมีคนติดตามมากขึ้น แล้วก็วาดภาพมาจนถึงทุกวันนี้
เริ่มวาดรูปตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ตอนอยู่ใต้เลยไหมหรือว่าพึ่งมาเริ่มที่กรุงเทพ
มูโตเกิดที่กรุงเทพฯ โตที่กรุงเทพฯ แต่ไปอยู่สตูลตั้งแต่ ตอนอายุ 10 ขวบ มูย้ายไปอยู่ภาคใต้ จำไม่ได้แล้วว่าเริ่มวาดภาพตอนไหน แต่เริ่มตั้งแต่ยังเด็กมาก ซึ่งตอนนั้นมีรายการ Art Attack หรือรายการของช่อง 9 ตอนเช้า รายการของสีเฟเบอร์คาสเทล เราจะตื่นมาดูแล้วก็นั่งวาดรูปตลอด
ด้วยความที่เราเป็นเด็กติดพ่อ ตอนนั้นคุณพ่อทำงานประจำแล้วกลับดึก คือ พ่อมูทำบัญชี มันก็จะมีกองกระดาษเปล่า ๆ ที่เอามาวาดรูปเล่นได้เยอะ ดังนั้นเวลาที่เราจะเชื่อมต่อกับพ่อก็คือ เราจะวาดรูปแล้วเอาไปให้คุณพ่อให้คะแนน คุณพ่อก็ให้คะแนนจริงๆ บางครั้งก็ให้ 8 บ้างก็ให้ 9 และถ้าเราอยากได้ 10 เราก็จะทำอีกเพื่อให้คุณพ่อให้คะแนน เลยรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เราทำแล้วเราโดนชม ไม่รู้ว่าชอบวาดรูปหรือชอบโดนชมกันแน่ แต่น่าจะทั้ง 2 อย่าง (หัวเราะ) เราบ้ายอแหละ แล้วมูไม่ใช่เด็กที่เรียนเก่งขนาดนั้น คือไม่สามารถเอาเกรด 4 ไปแลกเป็นรางวัลได้เหมือนเด็กคนอื่น ไม่มีทางทำได้ แต่พอวาดรูปแล้วได้รับคำชมว่าเก่ง เราก็เลยชอบและอยากจะทำให้ได้ดี

สนใจเทคนิคสีไม้เลยตั้งแต่ตอนเด็กๆ เลยหรือเปล่า
มูวาดได้ทุกสีเหมือนเป็ด ทำได้หลาย ๆ อย่าง (หัวเราะ) ไม่ใช่เป็ดแบบเก่งนะ ประมาณว่าทำได้อันนี้นิด อันนี้หน่อย อย่างตอนที่ทำธีสิส เวลาไปทำงานร้านกาแฟอย่างนี้สีไม้มันพกง่าย ตอนแรกมูวาดจากดินสอก่อน แล้วมูรู้สึกว่าสีไม้ตรงใจที่สุด มันคือจากสมองถึงมือ เหมือนการเขียน มันคือการควบคุมน้ำหนักมือเราล้วนๆ มันคือการควบคุมสติที่ดีและได้ลืมเวลาไป และสีไม้มันเป็นสีที่หลายคนมองข้ามไปแม้ว่ามีสีไม้ติดอยู่ที่บ้าน ไม่ได้หยิบมาลองทำจริงจัง พอได้ลองวาดจริงๆ สีไม้ทำอะไรได้มากกว่าที่คิด
ข้อดีของการเป็น “เป็ด” (คนที่มีความสามารถรอบด้าน แต่ไม่มีด้านไหนที่โดดเด่นไปกว่ากัน) สำหรับมูคืออะไร
เราจะไม่มีทางล้ม ทุกอย่างยืดหยุ่น เราจะเปลี่ยนและปรับตัวได้ตลอด มูว่าโอกาสจะมีเยอะขึ้น เราจะมีจุดเริ่มต้นในการต่อยอดเยอะ เพราะเราจะไม่ได้เริ่มจากศูนย์ไปหมดทุกอย่าง การจะเริ่มอะไรใหม่ ๆ ก็จะมีพื้นฐานของเราอยู่แล้วนิดหนึ่ง เพราะการเริ่มจากศูนย์มันยากนะ ด้วยความที่มูเป็นคนแบบพลังงานต่ำ แต่ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้นะ สมมติว่าให้มูไปทำสีอะคิลิกเลยวันนี้ มันยังเป็นอะไรที่ยากเนอะ แต่มูพอจะรู้บ้างแล้วนิดหนึ่ง อันนี้มูรู้สึกว่านี่คือข้อดีของการเริ่มต้น
มีใครเป็นไอดอลไหม
ไม่ได้มีตายตัว แต่ตอนเด็ก ๆ ส่วนใหญ่มูชอบวาดการ์ตูนญี่ปุ่นที่เราเคยเห็นกัน พวกการ์ตูนช่อง 9 ตอนเช้า เริ่มจากการวาดการ์ตูนเป็นช่องๆ ก่อน พอโตมาแล้วเราได้ไปต่างประเทศก็รู้สึกว่า เราอินกับทางญี่ปุ่นหรือเกาหลี เพราะมูรู้สึกว่า งานศิลปะแถบเอเชียมีเอกลักษณ์ตรงที่เราชอบมองเรื่องเล็กๆ ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง แล้วทำให้มันเป็นเรื่อง มูชอบศิลปินเอเชียตรงที่เขาหยิบเอาเนื้อหาที่ทุกคนมองข้าม ลืม ๆ ไป มาพัฒนาเป็นงาน มันดูสร้างสรรค์ดีค่ะ

เมื่อแสงส่องถึง
ที่มาของนามปากกา BlueBlurryMonday
ชื่อ BlueBlurryMonday มาจากเรื่องที่บังเอิญ มีอยู่วันหนึ่ง มูไปเดินเล่นที่ลิโด้และบังเอิญเห็นโปสการ์ดเขียนว่า “blueberrymonday is calling” เลยซื้อกลับมาและแปะบนผนัง ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร แต่รู้สึกชอบประโยคนี้ ประกอบกับช่วงนั้นที่มูเริ่มกลับมาวาดรูปเป็นช่วงที่มูทำธีสิสและต้องตรวจแบบวันจันทร์ เลยรู้สึกว่าวันจันทร์เป็นอะไรที่น่ากลัวมาก เลยได้ไอเดียเอามาตั้งชื่อ Instagram จากประโยค blueberrymonday กับการไม่ชอบวันจันทร์ ลองปรับให้ความหมายดูหม่นขึ้น เปลี่ยนจาก berry เป็น blurry เลยกลายเป็น BlueBlurryMonday เหมือนเป็นวันจันทร์ที่บลูและเบลอสุดๆ จุดเริ่มต้นอาจจะมาจากอะไรที่เป็นแง่ลบมาก แต่พอมองย้อนกลับไป นั่นคือสิ่งที่ทำให้เห็นช่วงชีวิตที่เราผ่านมาได้ เราก็รู้สึกภูมิใจขึ้นมานิดหนึ่ง
งานชิ้นแรกที่ทำให้ทุกคนรู้จักเรา งานชิ้นนั้นคืองานอะไร
มูไม่ใช่คนที่อยู่ดี ๆ ผู้ติดตามก็เพิ่ม ไม่ใช่แบบนั้น ไม่มีทางลัดอะไร แต่ที่ตอนที่มีคนมาติดตามเยอะขึ้น เป็นตอนที่มูเอาผลงานลงใน Twitter แล้วมีคน retweet เยอะแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันอาจไม่ได้เยอะสำหรับคนอื่น แต่มันเยอะสำหรับมู ยอดรีทวิตอยู่ที่ประมาณ 4,000 เป็นเซ็ตที่มูวาดรูปคนในสวนสาธารณะ เซ็ตสีเขียว เซ็ตรูปมือที่ระบายสีนุ่ม ๆ ฟุ้ง ๆ เป็นเซ็ตสามรูปที่ดูไปด้วยกัน ส่วน Instagram ก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ต่างจาก Twitter อย่างช่วงโควิดมักจะมีเทรนด์แฮชแท็ก (#) แนะนำตัวศิลปินต่าง ๆ เราก็หาแสงให้ตัวเอง โดยเอางานไปเล่นในแฮชแท็กพวกนั้น ก็เลยมีคนมาติดตามจากตรงนั้นเยอะค่ะ


ก่อนหน้านี้มีเคยจัดนิทรรศการมาก่อนใช่ไหม
เคยจัดที่ Kalwit Studio & Gallery ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น Kich Gallery อยู่ตรงเพลินจิต ตอนนั้นจัดแบบงูๆ ปลาๆ แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี เหมือนเป็นการต่อยอดให้เรามาจัดครั้งต่อๆ ไป ครั้งแรกเป็นการรวมงานที่เคยทำมาทั้งหมดที่เป็นสไตล์นี้ ไม่ได้มีแนวคิดอะไรมากมาย ก็มีคนตอบรับดี เพราะเหมือนเป็นงานที่เป็นเทรนด์ใน Twitter พอคนได้มาเห็นของจริง ก็รู้สึกว่าของจริงมันเล็กนิดเดียวเอง
นิทรรศการล่าสุด (Ray Exhibition) ที่จัดขึ้นกับทีมสารัตถะ ได้รับแรงบันดาลใจจากไหน
ปกติมูจะทำงานแนว realistic (เหมือนจริง) คือก็อาจจะมีแบบบ้าง หรือไม่มีแบบบ้าง แต่ทุกอย่างจะอิงจากความจริง เป็นแนวบันทึกไดอารี่ส่วนตัว ไปที่ไหนก็วาดค่ะ พอได้มีโอกาสจัดนิทรรศการก็เลยอยากลองทำอะไรใหม่ๆ แต่ยังเป็นตัวเองอยู่ เราเลยลองทำแนวคิดที่มันนามธรรมมากขึ้น จึงเล่นเรื่องแสงเพราะมูเป็นคนชอบแสง-เงา เพราะรู้สึกว่ามันทำให้ภาพมีชีวิตมากขึ้น ประกอบกับช่วงที่ผ่านมา มูได้ไปพบจิตแพทย์ แล้วเขาแนะนำให้พาตัวเองออกไปเจอแสง จะได้มีชีวิตชีวาขึ้น ซึ่งมูรู้สึกว่าแสงในแง่กายภาพมันคือความร้อน แต่อีกแง่หนึ่งมันหมายถึงความหวังได้ด้วย เลยรู้สึกว่าน่าสนใจ แล้วก็พัฒนาต่อไปเรื่อยๆ กับทีมสารัตถะ จนมาได้เป็นชิ้นงานที่เห็นค่ะ
ความรู้สึกของการลงงานในโซเชียลมีเดีย กับการเอางานศิลปะมาจัดในนิทรรศการให้ผู้ชมได้เห็น ให้ความรู้สึกต่างกันยังไง
ความต่างคือ พอเราทำงานด้วยมือ มันจะมีรายละเอียดของกระดาษ เส้น สี และขนาด แต่ถ้าไปอยู่ในจอ ทุกรูปมันขนาดเท่ากัน มันเห็นรายละเอียดเยอะจริง แต่พอมาดูแบบกายภาพ รูปที่เราเห็นในจอมือถือมันเล็ก แต่ความจริงมันใหญ่กว่านั้นนะ มูรู้สึกว่า การมาดูของจริง มันจะได้มวลพลังงานกลับไป เพราะเราไม่ได้ดูแค่ความสวย แต่เราจะได้เห็นความพากเพียรของศิลปิน อย่างเวลามูไปดูงานคนอื่น เราเห็นหยาดเหงื่อแรงกายของเขา เห็นชีวิตของศิลปินในงานเขา มูว่าอันนี้เป็นประสบการณ์ที่ต้องดูด้วยตาเปล่า
แต่ถ้าใครไม่มีเวลาก็ดูโซเชียลได้เหมือนกัน เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีมันก็พัฒนา เครื่องสแกนมันก็ดี มูรู้สึกว่าถ้ามีโอกาสก็อยากให้มาดูนิทรรศการจริง เพราะว่าศิลปินแต่ละคนก็ไม่ได้มีโอกาสจัดนิทรรศการกันบ่อย ๆ แต่ศิลปินก็ไม่ต้องกดดันนะ ถ้าไม่มีเวลาก็ไม่เป็นไรเลยค่ะ
แล้วผู้ชมที่ได้มาสัมผัสนิทรรศการ Ray ด้วยตัวเอง เขาว่าอย่างไรบ้าง
มีหลายคนส่งข้อความมาว่าชอบนะ นอกเหนือจากเทคนิคแล้ว หลายคนก็ได้พลังงานบวกกลับไป ซึ่งเป็นสิ่งที่มูไม่ได้คาดหวังเลย เพราะมูรู้สึกว่าถ้าเราจะทำงานหรือเแสดงงาน เราต้องชอบก่อน พูดแล้วมันดูเหมือนเห็นแก่ตัวเนอะ แต่เราต้องทำเพื่อตัวเองก่อน เพราะถ้ามัวแต่คิดว่าเราจะจัดนิทรรศการนี้ เพื่อให้คนกลุ่มหนึ่งชอบ เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าแท้จริงเราชอบอะไร ทุกการตอบรับที่ได้จึงเป็นเหมือนกำไร ซึ่งมูรู้สึกว่าการตอบรับที่ดีมากจริงๆ

ช่วงนี้จะมีเวิร์กช็อปในนิทรรศการด้วยใช่ไหม
ใช่ค่ะ ทำกับทีมสารัตถะ เป็นเป็นเวิร์กช็อปสีไม้ในธีมนิทรรศการ Ray นี่แหละค่ะ แต่ว่าในเดือนกรกฎาคมจะเป็นธีมของ aurora จะพาทัวร์นิทรรศการก่อน แล้วสอนวาดรูป สอนระบายสีในธีม aurora ก็จะได้ผลงานตัวเองพร้อมกรอบรูป และสีกลับบ้าน
มูรู้สึกว่าเวิร์กช็อปมันคือการทดลอง ไม่ใช่การเข้าคอร์สเรียนจริงจังขนาดนั้น มูก็ไม่ได้เก่งขนาดที่ว่าสอนใครได้เป็นขั้นตอน แต่แค่อยากให้ลองดูว่า จริงๆ แล้วสีไม้มันทำอะไรได้มากกว่าที่คิดนะ และเราทุกคนทำได้ถ้าจับจุดถูก แล้วพอได้มาเวิร์คช็อปก็จะได้รู้ว่า เราทำได้แต่เราแค่ไม่มีแรงกระตุ้น และเรายังไม่รู้จะเริ่มยังไง เพราะไม่มีคนสอน
เวิร์คช็อปเป็นเหมือนสวิตช์มากกว่า ที่ทำให้คนได้รู้ตัวว่าเราได้เปิดสวิตช์แล้ว ได้เริ่มต้นแล้ว ทีนี้เขาก็จะได้นำความรู้ตรงนี้ไปต่อยอด ไม่จำเป็นว่าจะต้องจบด้วยการทำสีไม้ก็ได้ แต่เป็นศิลปะในแขนงอื่นก็ได้ ลองมาเริ่มต้นดู เพราะมูว่าสิ่งที่ยากที่สุดในการทำงานศิลปะ มันคือตอนเริ่มนี่แหละ

กว่าจะเป็นผลงานหนึ่งชิ้น
ชอบผลงานชิ้นไหนในนิทรรศการนี้เป็นพิเศษไหม
ชอบหลายชิ้นนะ แต่ชิ้นที่ทำแล้วออกมาดีกว่าที่คิด คือ aurora (Enchanted Night) เพราะมันเป็นโทนสีที่มูไม่ค่อยได้ใช้ ปกติมูจะใช้สีอ่อน สีสว่าง ๆ แล้วรูปนี้เป็นสีเขียวสะท้อนแสงเลยด้วยซ้ำ ยิ่งน้ำเงินยิ่งไม่ได้ใช้เข้าไปใหญ่ หลายภาพในนิทรรศการ มูมีสเก็ตทุกภาพ แต่ว่าไอเดียมักผุดออกมาระหว่างทางเสมอ มูก็ลุ้นเหมือนกันว่าภาพมันจะออกมาเป็นอย่างไรตอนจบ ดังนั้นภาพ aurora เลยกลายเป็นภาพที่ดีกว่าที่คิด เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เราคุ้นเคย เหมือนมูออกจาก comfort zone ก็เลยรู้สึกประทับใจมาก ๆ
แต่ละชิ้นใช้ระยะเวลาทำนานไหม
มันมีชิ้นเล็กกับชิ้นใหญ่ ถ้า A3 ก็ประมาณ 3-4 วันค่ะ ถือว่าเร็วนะ เพราะมีระยะเตรียมตัวสั้น คือมูคิดว่า เราเอ้อระเหยได้มากกว่านี้ แต่อันนี้มูเข็นตัวเองขึ้นมาทำงานมากกว่า
แล้วแต่ละภาพ เราได้ถ่ายรูปไว้ หรือไปนั่งวาดตรงนั้น หรือคิดภาพขึ้นมาใหม่หมดเลย
นิทรรศการนี้แต่ละภาพจะไม่ได้มีแบบมาจากภาพจริง เราอิงจากแนวคิดแล้วก็พัฒนาเป็นงาน เป็นภาพจากในจินตนาการหมดเลย

สภาพแวดล้อม อาหาร หรือเพลงแบบไหน ทำให้เรามีจินตนาการในการสร้างงานแต่ละชิ้นขึ้นมาได้
มูเป็นประเภททำงานตอนกลางคืน ย้อนแย้งไหมที่บอกว่าชอบแสง (หัวเราะ) คือเราชอบแสง เราอยากเอ็นจอยกับมัน แต่เราไม่ได้อยากทำงานกับมัน เราอยากนั่งดูหนังฟังเพลง ปลูกต้นไม้ เล่นกับแมว ท่ามกลางแสงนะ แต่มูรู้สึกว่าที่ชอบทำงานตอนกลางคืน เพราะมูชอบความเงียบมากกว่า อย่างที่เห็น กลางวันมันเหมาะกับการใช้ชีวิต ทำกิจกรรม ออกไปกินข้าว ดูหนัง พอตอนกลางวันมันจะมีช่วงแสงเยอะ แสงน้อย อาจมีแสงสะท้อน ทิศทางในการนั่ง บางทีเราก็หมุนไปเรื่อย ๆ ตามแสงที่มันเปลี่ยนทิศไป การวาดรูปในแสงธรรมชาติมันก็ดี แต่ว่าบางทีมันก็ควบคุมไม่ได้ ถ้าเป็นกลางคืนเราได้แสงจากไฟอย่างเดียว มันมั่นคงกว่านะ เราจัดไฟประมาณนี้ แล้วก็วาดไปเลยยาว ๆ ซึ่งเวลาที่เราสร้างงาน แล้วถ้าช่วงไหนเครียดก็สั่งอาหารใต้มากินด้วยนะ เพราะมันเป็น comfort food ของเราเลย
ทำไมอาหารใต้ถึงเป็น comfort food
เพราะว่าเราโตมากับอาหารใต้ มูเป็นคนกินเผ็ด มูรู้สึกว่าถ้ามื้อไหนไม่มีน้ำพริก มันบาป (หัวเราะ) แต่พอมาอยู่กรุงเทพฯ ตัวเลือกก็มีไม่เยอะ โดยเฉพาะพ่อแม่เราที่เป็นคนต่างจังหวัด เวลาเขาทำอาหาร เขามักทำเยอะๆ ตอนที่เราบอกแม่ว่าเราอยากกินอะไร แม่ก็จะทำเป็นหม้อ เติมเมื่อไรก็ได้ ทำทีละหลายๆ อย่าง แล้วในครอบครัวมู ใครจะยุ่งหรืออะไรก็ตาม สุดท้ายก็ต้องกินข้าวพร้อมกัน เลยรู้สึกว่าเวลากินข้าว คือ การพักแล้วก็คุยกัน แต่พอเริ่มโตทุกคนก็แยกย้ายกันไป
เรารู้สึกว่าอาหารมันเป็นมากกว่าอาหาร มันเป็นการเชื่อมโยงถึงกัน เวลาพักของมูจริงๆ คือ เวลากิน โห โคตรเด็กอ้วนเลย (หัวเราะ) เพราะเราได้เอนจอยกับอาหาร ได้ดู Youtube เลยรู้สึกว่าการอยู่รอมื้ออาหารต่อไป มันเป็นแรงในการใช้ชีวิต
ยุคนี้นอกจากมี AI แล้ว ยังมีการวาดภาพบน ipad ด้วย คิดว่าเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป เป็นอุปสรรคหรือมีความยากต่อการทำงานศิลปะด้วยสีไม้ไหม
ไม่ยากนะคะ เพราะมูก็ทำใน ipad ไม่เป็น (หัวเราะ) เพราะเราถนัดแบบนี้ ถ้ามูเป็นคนที่เก่งทั้งสองอย่างอาจยากก็ได้นะ แต่ว่ามูไม่มีทางเลือก เพราะมูทำดิจิตอลเพ้นต์ไม่เก่ง แล้วมูรู้สึกว่าเรื่องอุปกรณ์ เรื่องวิธีการวาดมันสำคัญ แต่พอถึงจุดหนึ่งคนเราจะมองที่แนวคิดมากกว่า ส่วนอุปกรณ์ก็เก็บไว้เป็นเอกลักษณ์ของเรานี่แหละว่า เราใช้สีไม้นะ
ถ้ามองไปอีกขั้นหนึ่ง เราจะมองหาว่าภาพนี้ใช้ความคิดอะไรในการวาด หรือมองแค่ว่าภาพนี้สวยหรือไม่สวย แค่นั้นเลยก็ได้ ถ้าคนจะซื้อ เขาไม่ได้สนใจหรอกว่าจะวาดด้วยสีไม้ หรือวาดด้วยดิจิตอลเพ้นต์ ก็มันสวย ฉันชอบ ฉันซื้อ จบ มูเลยรู้สึกว่าถ้าเรามองให้เป็นปัญหา มันก็เป็นแหละ ถ้าเราหนักแน่นในแนวคิด มูว่ามันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรนะ
มูรู้สึกว่าจนแล้วจนรอด เราก็จะหาทางที่จะสื่อสารงานของเราออกมาได้เอง เราทำงานมืออาจจะยากตรงที่เราว่าจะทำเป็นดิจิตอลยังไง แต่สุดท้ายเราจะเจอวิธีทำมันออกมาได้เอง มันไม่ใช่ว่าเดี๋ยวนี้ดิจิตอลมันแพร่หลายมากนะ เพราะฉะนั้นเราที่ทำงานมืออยู่ก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นดิจิตอลสิ มันไม่ใช่ค่ะ นั่นคือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ มูว่าทุกอย่างจะมีทางของมันเอง แค่ว่าต้องหามากกว่าคนอื่นนิดหนึ่งอย่างนี้ แต่ว่าพอมันหาเจอแล้วมันก็จะเป็นกำไรคืนสู่เรานะ

ใช้ชีวิตอยู่กับงานศิลปะ
วงการ Ilustrator ไทยเป็นยังไงบ้างเล่าให้ฟังหน่อย
คิดว่ามูค่อนข้างหน้าใหม่นะ ไม่ได้อยู่มานาน ไม่ได้คลุกคลีด้วยซ้ำ เพราะตอนเรียนมูไม่ได้เรียนสายนี้ ก็เลยไม่ค่อยรู้ว่าเค้ามีกลุ่มอะไร คนไหนดัง ไม่ดัง เราจะไปรู้เรื่องเกี่ยวกับสถาปนิกมากกว่า ซึ่งมูคิดว่าอันนี้เป็นข้อดี เพราะพอมูไม่รู้อะไรเลย เราเลยได้ลองทำหลายอย่างโดยไม่กลัว เพราะไม่รู้ข้อจำกัดของมัน แต่พสิ่งที่ยากน่าจะเป็นการให้ความรู้เรื่องศิลปะของคนไทย หรือการรับรู้เกี่ยวกับศิลปะ หรือการปลูกฝังในสังคมมากกว่า
มูรู้สึกว่างานศิลปะมันเฉพาะกลุ่มมาก ๆ ในประเทศไทย มันค่อนข้างเข้าถึงยาก ทำให้การที่เราจะเป็นจุดสนใจ หรืองานเราจะถูกยอมรับ เราจะต้องขุนตัวเองให้ดัง ต้องถีบให้ตัวเองมีชื่อเสียง ต้องเข็น ให้ตัวเองมีเอกลักษณ์สุดๆ เราต้องรู้เรื่องการตลาด ต้องมีเงินในการโปรโมตตัวเอง แล้วไหนจะค่าอุปกรณ์อีก มูรู้สึกว่ามันต้องใช้ต้นทุนในการถูกยอมรับเยอะมากจนเกินไป มันไม่ควรต้องยากขนาดนั้น มันควรเป็นอาชีพที่สามารถทำ แล้วเข้าถึงได้ง่ายกว่านี้
มูว่ามีคนที่มีความเป็นศิลปินในตัวเยอะมาก แต่ไม่ได้มาทำในจุดนี้ เพราะไม่มีต้นทุน ไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัว ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ไม่มีความหวังในการทำอาชีพนี้ หรือบางคนอยู่ๆ ก็ถอดใจไป เราเลยรู้สึกว่าวงการไม่ได้เป็นพิษขนาดนั้น แต่สิ่งที่เป็นปัญหาเลย คือ สังคมโดยรวมมากกว่า มูว่าน่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่ง แต่เราก็เริ่มจะเห็นความหวังกันนิดหนึ่งแล้วใช่ไหม เพราะตอนนี้มันก็ดีกว่าเมื่อ 3-4 ปีก่อนมานิดหนึ่งนะ ถึงจะไม่ค่อยเยอะ แต่มูว่าในอนาคตน่าจะดีขึ้นไปอีก

อยากฝากบอกอะไรถึง starter artist ที่มีต้นทุนน้อยในการทำศิลปะบ้าง
มูว่าทำเท่าที่มีไปก่อน เพราะเริ่มแรกมูก็ลองผิดลองถูก ค่อยๆ ทำ แต่ว่าอย่าหยุดทำนะ อย่างแวนโก๊ะขายรูปได้ก็ตอนที่ตายไปแล้ว คือเราไม่จำเป็นต้องเป็นแวนโก๊ะก็ได้ มูก็ไม่ได้สนับสนุนให้ทุกคนทำงานจนตายแล้วก็ไม่ได้เงินเลย เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่มีทุนเลย เราก็ไม่จำเป็นต้องลาออกจากงานมาเป็นศิลปิน เราก็ทำงานของเราไป เพียงแค่ในหนึ่งสัปดาห์ เราอาจกำหนดว่า ควรมีสักหนึ่งวันไหมที่เราต้องวาดรูป แม้ว่ามันอาจจะเสร็จช้ากว่าใครเขา แต่มันก็เสร็จนะ มูว่าลองปรับสมดุลเอาเพราะเงินก็สำคัญมาก ฉะนั้นถ้าเรายังไม่มีเงิน อันดับแรกเลยคือ เราต้องหาเงินก่อน พอเราหาเงิน เราจะหาเวลาได้ และชีวิตจะมีทางไปต่อเอง
แน่นอนถ้าพูดเชิงอดุมคติคือ “เธอต้องสู้ เธอก็จะทำได้เอง” แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เราก็เก็บความฝันนี้ไว้ จนถึงจุดหนึ่งที่เรารู้สึกว่าพร้อม เราก็รอจังหวะที่โอกาสจะเข้ามา และเราจะคว้าได้แบบไม่ลังเล เพราะเรามีทุกอย่างแล้ว เหมือนหนังสือของพี่อุรุดา โควินท์ ชื่อว่า “ค่อย ๆ ไปแต่ไม่หยุด” แค่ชื่อก็โดนใจแล้ว เขาบอกว่า “ถ้าเราวิ่งไม่ได้ เราก็เดิน ถ้าเราเดินไม่ได้เราก็คลาน” เราหยุดได้ แค่หยุดพัก แต่เราอย่ากลับหลัง ไม่ต้องกดดันตัวเอง มันมีเยอะเลยคนที่ทำแล้วประสบความสำเร็จเร็ว แต่อย่าลืมว่ามันแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นของคนทั้งหมด เราไม่ต้องน้อยใจว่าเราไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น เพราะยังไงเราก็เกิดมาไม่เท่ากันอยู่แล้ว แค่ต้องยอมรับในจุดนี้
มูเองก็ไม่ได้ดัง เพราะมีคนที่ดังกว่ามูมาก ต้องยอมรับว่างานที่จะถูกพูดถึงและถูกซื้อขายกันมากมักเป็นงานประเภทน่ารัก งานสีสันสดใส มูเคยคิดน้อยใจว่า งานเรามันจะดูหม่นไปไหม จะอ่อน จะจาง หรือจะ niche (เฉพาะกลุ่ม) ไปไหม แต่ว่ามูว่าทุกตลาดมันมีเป้าหมายของมันนะ เราแค่ยอมรับว่าคนซื้อของตลาดเราไม่ได้เยอะ แต่มันมี ไม่งั้นเราก็ต้องเปลี่ยนตามตลาดไปเรื่อยๆ ซึ่งมันจะเหนื่อยแน่ๆ
ศิลปะมีอิทธิพลยังไงกับชีวิตของคุณมูบ้าง
ที่บอกว่าเรามีความสุขกับมัน ต้องบอกก่อนว่า ไม่ว่างานอะไรก็ตาม ต่อให้เราชอบแค่ไหน ก็มักมีจุดที่ทำให้เราเป็นทุกข์ได้นะ จุดนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการที่ตั้งคำถามว่า เราชอบมันไหม ข้อดีของมันเราชอบอยู่แล้วนะ แต่เราต้องประเมินว่าข้อเสียของมันด้วยว่า เรารับข้อเสียของมันได้หรือเปล่าไหม เราถึงจะอยู่กับมันได้จริง ๆ
ทุกวันนี้ เห็นว่ามูชอบวาดรูปขนาดนี้ บางวันมูก็เบื่อมาก ไม่อยากวาด สีไม้อะไรเนี่ยยากมาก วาดแล้วมือไม่ขึ้น ไม่ชอบเลย แต่เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป มูเลยรู้สึกว่า การที่จะอยู่กับมันคือ การที่เราสามารถอยู่กับวันเหล่านั้นได้จริงๆ มากกว่า ไม่ใช่ว่าเราได้ทำอาชีพที่เรารักแล้วนะ ทำไมถึงยังทุกข์อยู่อีก? มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่ทุกข์เลย อันนี้คือสิ่งที่มูเรียนรู้ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เพราะสิ่งที่เริ่มทำตอนแรก ๆ มันมักจะดี แต่ทำไปทำมาก็ไม่มีเงินเลย อะไรแบบนี้มันก็เศร้า เพราะฉะนั้นมูว่ามันคือการหาสมดุล
เราก็ไม่ผิดถ้าเรารู้สึกว่าทางเลือกนี้มันผิด แล้วเราจะเปลี่ยน อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเรารักการวาดรูป ต้องวาดรูปเท่านั้น และเราจะไปเป็นพนักงานประจำไม่ได้ ซึ่งแท้จริงแล้วเราไปเป็นพนักงานประจำได้ถ้าไม่มีเงิน แล้วค่อยกลับมาวาดรูป มูรู้สึกว่าอะไรมันก็ไม่แน่นอน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ต้องไปใส่ใจคนอื่นที่บอกว่า ทำไมถึงเปลี่ยนงานบ่อยหรือเปลี่ยนสิ่งที่ชอบบ่อย ไม่ต้องสนเลยเพราะสิ่งเหล่านี้มูก็คอยบอกตัวเองด้วยเหมือนกัน


เพราะฉะนั้นความสุขของการทำงานศิลปะมาทั้งชีวิตสำหรับคุณมูคืออะไร
มูเป็นตัวเองที่สุดตอนวาดรูป เรารู้สึกอิสระที่สุดตอนวาดรูป ถึงแม้มันจะเป็นงานจ้างก็ตาม เรารู้สึกว่าเขาจ้างเราเพราะมันคือเราไง มันคือเราจริงๆ ตอนแรกมูอยากเรียนสายศิลปะ แต่ไม่ได้เรียน สุดท้ายไปเรียนสถาปัตฯ แล้วดันรู้สึกว่า 5 ปี ที่ผ่านมาเราไม่ได้เลือกในสิ่งที่เราชอบเลย มูก็เลยรู้สึกเอนจอยกว่าคนอื่นที่เรียนศิลปะมา เพราะมูก็ไม่ได้คลุกคลีกับมันมากนัก มูรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกอิสระที่สุด แล้วมันมีไม่กี่อย่างในโลกนี้ที่มูทำได้ดี ดังนั้นมันโชคดีมากที่ในสิ่งที่มูทำได้ดี มูก็ยังทำมันเป็นอาชีพ แล้วมูก็ดันชอบด้วย
ตั้งแต่เริ่มต้นวาดรูปแล้วก็ใช้ชีวิตอยู่กับมัน ศิลปะให้บทเรียนชีวิตอะไรกับคุณมู
คำที่ช่วยชีวิตมูทุกวันนี้แล้วกัน คือ ไม่มีอะไรสำคัญขนาดนั้น เราไม่ได้สำคัญขนาดนั้น มูรู้สึกว่าเมื่อก่อนมูเป็นคนที่ชอบคิดมาก เก็บทุกอย่างมาคิด แต่พอเราลองออกมา เราจะรู้ว่าสิ่งที่เราเก็บมาทุกอย่าง มันเป็นแค่จุดเล็กๆ เมื่อก่อนเวลาเราจะวาดอะไร เรามักคิดว่าคนจะชอบไหม เราแคร์ทุกคนไปหมด แต่ในความเป็นจริง ไม่มีใครคิดอะไรกับเราขนาดนั้น อาจจะมีบ้างแหละคนที่เขาคิด แต่ไม่นานเขาก็ลืมแล้ว มีแค่เราเท่านั้นเลยที่ยังอยู่กับความคิดนั้น
ถ้าเรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับใคร ก็ทำไปเถอะ การตอบรับที่ได้หรืออะไรที่เราควบคุมไม่ได้ มันก็ควบคุมไม่ได้อยู่ดี อย่าไปพยายามควบคุมมันเลยค่ะ อันนี้มูก็ยังบอกตัวเองอยู่ทุกวันนะ ไม่ใช่ว่ามูเป็นคนเก่งหรือว่าตรัสรู้แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็พยายามควบคุมแค่สิ่งที่เรายังควบคุมได้ก็พอ ไม่งั้นเราจะเป็นบ้าจริงๆ ค่ะ (หัวเราะ)
นิทรรศการ Ray เปิดให้เข้าชมทุกวันถึงวันที่ 3 กันยายน 2566 เวลา 10.00-19.00 น.
ณ Saratta Space, Reno Hotel Bangkok (BTS สนามกีฬาแห่งชาติ ทางออก 1)
Contributors
Contributors
ช่างภาพฝึกหัด ชอบแมว ชอบสีเขียว ชอบเฝ้าดูและเก็บบันทึกความเป็นไปของโลกผ่านภาพถ่าย