ขอเกริ่นก่อนว่า ผู้เขียนได้เข้ามาอยู่อาศัยในเขตปริมณฑลได้เกือบครบ 1 ปี และมาทำธุระในเมืองกรุงเพียงชั่วครั้งชั่วคราว การออกเดินทางครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ได้ตะลุยเดินถ่ายรูปและทำความรู้จักเส้นทางต่าง ๆ ด้วยสัมผัสทางสายตาอย่างช้า ๆ 

“เขตพระนครเป็นเขตอนุรักษ์เมืองเก่า มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการปกครองกระจายอยู่ทั่วบริเวณ” 

นั่นเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ผู้เขียนหาเจอจากอินเตอร์เน็ต ซึ่งพอเห็นแบบนี้มันก็น่าสนใจไม่น้อยที่เด็กต่างจังหวัดอย่างผู้เขียน อยากจะออกไปสำรวจและถ่ายภาพ 

ผู้เขียนได้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม บังเอิญเจอว่ากรุงเทพมหานคร มีคำขวัญประจำเขตอยู่ด้วย เราน่าจะคุ้นเคยกับคำขวัญประจำจังหวัดกัน แต่พอรู้ว่ามีคำขวัญประจำเขตก็รู้สึกแปลกใจ คำขวัญประจำเขตพระนครเขียนไว้ว่า กรุงรัตนโกสินทร์วังวัดกษัตริย์สร้าง ศูนย์กลางสนามหลวงกระทรวงศาล แหล่งสถาบันการศึกษาประชาธิปไตย รวมดวงใจไทยทั้งประเทศ…เขตพระนคร ฟังดูยิ่งใหญ่อลังการ เพราะอย่างที่ทราบกันว่า เขตนี้เป็นที่ตั้งของพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเท่าที่อ่านมาก็น่าจะพอครอบคลุมความสำคัญของพื้นที่บริเวณนั้น

ผู้เขียนต้องการสำรวจว่าภายใต้ฉากหลังซึ่งเป็นเมืองเก่า พื้นที่แห่งนี้มีสิ่งใดที่ผู้คนยังอนุรักษ์ไว้ สิ่งใดถูกดัดแปลงให้เข้ากับวิถีชีวิตปัจจุบัน สิ่งใดเป็นความทันสมัยที่สอดแทรกขึ้นมาใหม่ตามอาณาบริเวณ ผู้เขียนจึงนำเสนอออกมาผ่านผลงานภาพถ่ายแนวตั้ง เพราะถ้าพูดถึงกรุงเทพในภาพรวม ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพตึกสูงสลับไปมากับบ้านเรือน อาคารหลังเล็ก หลังน้อย ป้ายไวนิลที่ได้นำมาเป็นเพิงพักอาศัยของคนไร้บ้าน ซึ่งมันคือจุดศูนย์กลางความเจริญบวกกับความแออัดนั่นเอง ผู้เขียนจึงเลือกถ่ายภาพแนวตั้ง คงเอาไว้ให้เป็นภาพจำที่อยู่ในใจของผู้เขียน ส่วนภาพจริงที่ได้นั้น จะออกมาเป็นแบบไหนเราก็มาเริ่มกันเลย

ผู้เขียนออกเดินทางด้วยการโดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีที่อยู่ใกล้กับเขตพระนครมากที่สุด คือ สถานีสามยอด และสถานีสนามไชย จากนั้นก็เดินเท้าไปเรื่อย ๆ   

Day 1 

จุดแรกที่ผู้เขียนเดินผ่านหลังจากออกจากสถานีสามยอดคือ บริเวณถนนลงท่า มีลำคลองตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับสวนรมณีนาถ ลำคลองนี้ก็อยู่รายล้อมด้วยชุมชน มีต้นไม้สร้างความร่มรื่นในวันที่อากาศร้อน แต่ก็มีกลิ่นน้ำเหม็นเข้าจมูก ซึ่งจะไหลไปบรรจบกันที่คลองรอบกรุง มันคือที่ตั้งของคลองหลอดวัดราชบพิตรนั่นเอง 

คลองหลอดวัดราชบพิตร ใกล้กับสวนรมณีนาถ

เสาชิงช้า-สถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในพิธีโล้ชิงช้า ในพระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (ยกเลิกพิธีไปในสมัยรัชกาลที่ 7)

หากเราลองเดินต่อไปตามถนนตีทองก็จะถึงย่านเสาชิงช้า สองฝั่งของถนนบำรุงเมืองเราจะพบกับร้านขายสินค้าสังฆภัณฑ์ พระพุทธรูปสีทองอร่าม และสินค้าที่เกี่ยวข้องอยู่เต็มพื้นที่ ทั้งถนนเส้นหลักและตามตรอกซอกซอยที่ทะลุไปถึงถนนตะนาว ผู้เขียนได้ข้อมูลมาว่า ในอดีตเป็นชุมชนคนจีนที่มีฝีมือด้านการตัดเย็บผ้าเหลืองและพัฒนามาทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องสังฆภัณฑ์จนถึงปัจจุบัน 

พระพุทธรูปย่านเสาชิงช้าที่ตั้งเรียงรายทั้งในร้านและนอกร้าน 

คนเชิดสิงโตบริเวณศาลเจ้าพ่อเสือ ถนนตะนาว และเครื่องรางจีนที่ประดับตามพุ่มไม้ 

ผู้เขียนได้เจอกับสิ่งที่ดูสะดุดตาไปจากพื้นที่มาก มันดูคล้ายกับประตูทางเข้าหมู่บ้าน เลยเข้า Google ดู เพราะป้ายตรงนั้นมันเลือนรางไปมากแล้ว ได้ความว่า บนถนนตะนาวนี้ ยังมีถนนแยกไปอีกชื่อว่าถนนแพร่งสรรพศาสตร์ ถนนแพร่งนรา และถนนแพร่งภูธร ซึ่งแต่เดิมถนนทั้ง 3 สายเคยเป็นที่ตั้งของวังมาก่อน โดยถนนแพร่งสรรพศาสตร์ ถนนเส้นตรงข้ามนี้ ตั้งชื่อตามพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ พระองค์เคยประทับอยู่ที่วังสรรพสาสตรศุภกิจ ริมถนนตะนาวศรีนี่เอง

ต่อมาเมื่อสิ้นพระชนม์ พื้นที่ตรงนั้นเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ พื้นที่เลยถูกปรับให้เป็นถนนและสร้างอาคารพานิชย์ ไม่มีหลักฐานของวังเหลืออยู่ในบริเวณนี้ มีเพียงซุ้มประตูวังแพร่งสรรพศาสตร์ที่ซ่อมแซมใหม่ เป็นสถาปัตยกรรมเป็นแบบยุโรป-ไทย มีรูปปั้นเทพธิดากรีก ล้อมด้วยกระจกสีอยู่ที่หน้าบันเหนือซุ้มประตูโค้ง ปกติผู้เขียนเคยเห็นแต่หน้าบันสามเหลี่ยมตรงอุโบสถวัดไทย พอออกแบบให้เป็นแบบตะวันตก ก็ดูนำสายตาให้มองไปยังรูปปั้นได้อีกแบบ

ซุ้มประตูวังแพร่งสรรพศาสตร์

พอเดินต่อไปอีกช่วงตึก ก็พบกับถนนแพร่งนรา ผู้เขียนเดิมทีเป็นคนชอบสีเขียวอยู่แล้ว เมื่อเห็นประตูบ้านมันจึงดึงดูดตาผู้เขียนมาก ๆ ถนนแพร่งนรา ตั้งชื่อตามพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ วังที่ประทับชื่อว่าวังวรวรรณ ในสมัยนั้นทรงโปรดให้สร้างโรงละครปรีดาลัยในบริเวณวัง ซึ่งเป็นโรงมหรสพใช้แสดงละครร้อง ผู้ชมก็จะเป็นชาววัง ชนชั้นสูง ราชทูตต่าง ๆ ต่อมาถูกเช่าเป็นโรงเรียนตะละภัฏศึกษาซึ่งปิดกิจการไปแล้ว ปัจจุบันคงเหลือเพียงแค่เค้าโครงเดิมของพระตำหนักไม้ท่ามกลางตึกแถวพานิชย์ที่ออกแบบด้วยความเรียบง่าย อาคารทาสีเหลือง-สีเขียว ที่นิยมใช้กันในยุโรป ซุ้มประตูกรอบโค้งแบน ทึบ โดดเด่นด้วยประตูบานเฟี้ยมสีเขียว 

(ซ้าย) โรงเรียนตะละภัฏศึกษา หรือ วังวรวรรณเดิม 
(ขวา) อาคารพานิชย์ถนนแพร่งนรา ซุ้มประตูมีกรอบโค้งแบน ไม่มีช่องระบายอากาศ จากรูปประตูได้พัฒนาเป็นประตูเหล็กม้วน 

สุดท้ายถนนแพร่งภูธร ตั้งชื่อตามพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทวีถวัลยลาภ กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ วังที่ประทับชื่อว่าวังสะพานช้างโรงสี เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ บริเวณวังก็ถูกปรับเปลี่ยนเป็นถนนและตึกแถว สิ่งที่น่าสนใจของตึกแถวบริเวณนี้ การตกแต่งทางสถาปัตยกรรมจะแตกต่างไปจากแพร่งนราเล็กน้อย คือ มีการทำช่องระบายอากาศเหนือประตู บริเวณกันสาดก็มีการฉลุลายเอาไว้ ถ้าโดนแสงตกกระทบคงสวยงามไม่น้อย แต่ก็ยังคงลักษณะของประตูบานเฟี้ยมไว้อยู่ 

ตึกแถวบริเวณถนนแพร่งภูธร เหนือประตูมีช่องระบายอากาศ กันสาดมีการฉลุลวดลายตกแต่งโดยรอบจากรูป (ขวา) ประตูได้พัฒนาเป็นประตูเหล็กม้วน

สิ้นสุดวันท่ีเดินฝ่าอากาศร้อน ผู้เขียนพบว่าย่านเสาชิงช้าเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมที่หลากหลายทั้งไทย จีน ยุโรป ศาสนาพุทธ พราหมณ์-ฮินดู สถาปัตยกรรมตั้งต้นหลายรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลมาก็ถูกปรับให้เข้ากับสถาปัตยกรรมประเทศไทย ปัจจุบันบางอาคารก็เหลือเค้าโครงเดิมไว้ บ้างก็ถูกปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัย  

Day 2 

อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

วันนี้เราเดินข้ามถนนราชดำเนินกลางซึ่งเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไปยังถนนดินสอ และเดินต่อไปที่ถนนพระสุเมรุ ถ้าเปรียบให้ย่านเสาชิงช้ามีสีทองอร่ามไปด้วยพระพุทธรูปแล้ว แถบนี้เองก็มีสีทองอร่ามของกรอบของพระบรมฉายาลักษณ์อยู่เต็มสองข้างทาง เพราะบริเวณนี้เป็นแหล่งขายธง ตราสัญลักษณ์ พระบรมฉายาลักษณ์ โดยผู้เชี่ยวชาญที่ขายมานานนับสิบปี 

ร้านขายธง ตราสัญลักษณ์ พระบรมฉายาลักษณ์ บริเวณถนนพระสุเมรุ

เมื่อเดินต่อไป ซากสถาปัตยกรรม อิฐสีส้มแดงที่คุ้นตาเหมือนผู้เขียนได้หลุดไปอยู่ที่เจดีย์วัดเชียงของในเชียงใหม่ ก็ปรากฏขึ้นมาที่ริมฟุตปาธถนนพระสุเมรุ มันคือที่ตั้งของประตูวังเจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา เดิมทีเป็นวังที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ก็ถูกรื้อถอนออกเหลือเพียงซุ้มประตูอิฐและศาลบูชาและสร้างบ้านเรือนประชาชนแทนที่วังเดิม เราเลยได้เห็นภาพที่สอดประสานกลมกลืนระหว่างยุคสมัยในจุดนี้

ประตูวังเจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎาและศาลบูชา รายล้อมด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และบ้านเรือน

หลังจากที่เดินกันมาได้ประมาณนึง ผู้เขียนเจอจุดแวะพัก คือ สวนสันติชัยปราการอยู่ข้างกันกับป้อมพระสุเมรุ ซึ่งเป็น 1 ใน 2 ป้อมที่เหลืออยู่จาก 14 ป้อม ในอดีตใช้เป็นแนวปราการป้องกันเมือง ปัจจุบันไม่ได้ใช้ จึงปรับเป็นโบราณสถานให้เราได้เที่ยวชมกันได้ ถ้าไปเดินในช่วงเย็นและรอให้พระอาทิตย์ตก เราจะได้ภาพความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้า เปลี่ยนอากาศที่ร้อนแบบเกรี้ยวกราดมาทั้งวันให้เย็นลงได้ พออากาศเย็นลง คนก็มาวิ่งออกกำลังกาย เต้นแอโรบิก พูดคุยกัน สวนตรงนี้เองที่มีคลองรอบกรุงซึ่งมีอีกชื่อคือคลองบางลำพูเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยา ชาวบ้านแถบนี้ก็จะเรียกบริเวณนี้ว่าย่านบางลำพู 

สวนสันติชัยปราการและป้อมพระสุเมรุ มองไปเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาและสะพานพระราม 8

ใกล้กันกับป้อมพระสุเมรุมีสถานที่ที่ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินิยมไปเที่ยวกัน คือ ถนนข้าวสาร  ถนนเส้นนี้ได้ชื่อข้าวสารเพราะสมัยก่อนคนแถวนี้เขาค้าข้าวสารกัน และพัฒนาธุรกิจตามเวลาที่เปลี่ยนไป นับว่าเป็นย่านติดต่อค้าขาย แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ที่ได้รับความนิยมต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ดูได้จากชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยว เส้นทางนี้เราก็จะพบกับถนนคนเดิน เกสเฮ้าส์ บาร์ และรถตุ๊กตุ๊ก

บาร์ ตรอกทางลัดไปสู่ถนนข้าวสารที่กำแพงเต็มไปด้วยลวดลายกราฟฟิตี้ และรถตุ๊กตุ๊ก

วันที่ 2 ของการเดินทางนี้ หากเราจะหยุดพักแบบชิลล์ ๆ ตลอดทั้งคืนที่ถนนข้าวสารก็น่าสนุกไปอีกแบบ ผู้เขียนมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของยุคได้ชัดเจน มีการผสมผสานกันของวัฒนธรรมไทย-ตะวันตก แตกต่างจากย่านเสาชิงช้าประมาณนึง ที่เห็นได้ชัด คือ ประตูวังเจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา ที่ผู้เขียนมองว่าแปลกตาดีสำหรับใครที่เคยเห็นครั้งแรก และที่ชอบเป็นพิเศษ คือ ความเป็นธรรมชาติกลางเมืองที่สวนสันติชัยปราการ

Day 3 

วันนี้เราจะย้อนกลับไปฝั่งพระบรมมหาราชวัง เดินเลียบคลองรอบกรุงบนถนนอัษฎางค์  จุดนี้ถ้าข้ามถนนมาเราจะเจอกับตรอกสาเกซึ่งเป็นที่ตั้งของจุดแจกอาหารสำหรับคนไร้บ้าน ซึ่งดูแลความเรียบร้อยโดยสำนักงานเขตพระนคร ผู้เขียนรับรู้มาตลอดผ่านโลกออนไลน์ว่า ก่อนหน้านี้เคยมีการแจกอาหารโดยผู้หวังดีบริเวณถนนราชดำเนิน แต่เพื่อความเป็นระเบียบ สำนักงานเขตจึงเข้ามาดูแล นับว่าบริเวณนี้มีคนไร้บ้านกระจายกันเยอะพอสมควรเป็นหลักร้อย ระหว่างทางผู้เขียนก็เจอกับป้ายเตือนที่ติดตามประตูบ้าน ห้ามนั่งหรือนอนบริเวณนี้ 

เข้าใจว่าคนไร้บ้านเองก็คงไม่สามารถไปไหนได้ไกลจากจุดช่วยเหลือ เขาจึงใช้ชีวิตกินข้าว อาบน้ำ นอน กันริมคลองตรงนี้เลย 

แค่ผู้เขียนเดินผ่านก็รู้สึกหดหู่ และเข้าใจทั้งสองฝ่าย ถ้าไม่มีใครให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เหล่านี้อย่างจริงจัง หรือแก้ปัญหาเพียงปลายเหตุ คนบริเวณชุมชนก็คงอยู่ด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจเช่นกัน 

(ซ้าย) เพื่อนสี่เท้าของคนไร้บ้านที่นอนอยู่ที่ฟุตบาทริมคลอง 
(กลาง) “ห้ามนั่งหรือนอนบริเวณนี้” ป้ายเตือนคนไร้บ้านตามบ้านเรือน ถนนอัษฎางค์ 
(ขวา) ซุ้มแจกอาหารแก่คนไร้บ้านโดยสำนักงานเขตพระนคร 

บริเวณพระบรมมหาราชวังที่ยิ่งใหญ่ เราจะพบกับวัดวาอารามอยู่โดยรอบ ต่างจากบริบทที่พบเจอกันก่อนหน้า เพราะเหมือนหลุดมาอยู่อีกโลก บริเวณถนนอัษฎางค์เองก็มีวัดสำคัญตั้งอยู่ คือ วัดราชบพิธสถิตสีมาราม วัดประจำรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวัดมีสุสานหลวงตั้งอยู่ ใช้เป็นที่บรรจุพระสรีรางคาร วัดนี้เองที่มีคลองหลอดวัดราชบพิตรไหลผ่าน ดังที่ผู้เขียนกล่าวไปข้างต้น

วัดราชบพิธสถิตสีมารามและสุสานหลวงในเขตวัด

นอกจากนี้ยังมีวัดอื่น ๆ อีก คือ วัดมหาธาตุยุวรารังสฤษฎ์ ราชวรมหาวิหาร อยู่ใกล้กับสนามหลวง วัดพระศรีรัตนศาสดารามในเขตพระบรมมหาราชวัง และวัดพระเชตุพลวิมลมังคลารามหรือวัดโพธิ์ อยู่ใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยา 

วัดมหาธาตุยุวรารังสฤษฎ์ ราชวรมหาวิหาร วัดพระศรีรัตนศาสดารามในเขตพระบรมมหาราชวัง และวัดพระเชตุพลวิมลมังคลารามหรือวัดโพธิ์ 

ไม่เชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ การเดินเท้าวันนี้ทำให้ผู้เขียนได้พบกับความหลากหลายของชีวิตน้อยใหญ่ในเขตเดียวกัน มีระยะห่างกันเพียงข้ามคลอง ก็อาจจะเป็นเรื่องจริงตามคำขวัญที่เขตพระนครนี้เป็นจุดรวมใจของคนไทยทั้งประเทศ แต่เราก็ไม่สามารถมองข้ามปัญหาที่พบเจอได้อยู่ดี

Day 4 

วันสุดท้ายของการเดินสำรวจเมือง เราไปต่อกันที่ย่านค้าขายอีกฝั่งหนึ่งของเขตพระนคร บางคนน่าจะเคยได้ยินชื่อกันอยู่แล้ว นั่นคือ บ้านหม้อ แหล่งรวมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อยู่ติดกัน คือ ย่านพาหุรัดที่เต็มไปด้วยร้านขายผ้า และปากคลองตลาด ตลาดขายดอกไม้ ผัก ผลไม้ ที่มีกลิ่นหอมไปทั้งบริเวณ 

(ซ้าย) บ้านหม้อ ย่านการค้าอิเล็กทรอนิกส์
(ขวา) หากซูมตึกแถวดูดี  ๆ จะเห็น “หม้อ” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชุมชนมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ อยู่ตรงจั่วเหนือหน้าต่าง

ปากคลองตลาด ย่านขายดอกไม้ ผัก ผลไม้ และตึกเพ้นท์ลายดอกไม้เด่นสะดุดตา

ร้านขายผ้าในซอยและริมถนนในย่านพาหุรัด นอกจากขายผ้าแล้ว ก็ยังมีร้านอาหารอินเดีย กระจายไปถึงริมคลองรอบกรุง หรือ คนแถวนี้เรียกว่าคลองโอ่งอ่าง เรียกได้ว่าเป็นย่านที่มีกลิ่นหอมเครื่องเทศคละคลุ้งจริง ๆ 

อาคารบ้านเรือนบริเวณย่านพาหุรัด และวัดซิกข์ศรีคุรุสิงห์สภา มีครุทวารายอดโดมสีทอง สถาปัตยกรรมซิกข์ ซึ่งแต่เดิมเคยอยู่ใกล้ ๆ วัดเลียบ แต่ได้รับความเสียหายจากสงครามมหาเอเซียบูรพา จึงขยับขยาย ย้ายไปอยู่ที่ใหม่

วัดราชบูรณมหาวิหาร (วัดเลียบ)

วันที่ 4 ของการเดินทาง ผู้เขียนสัมผัสได้ว่าย่านแห่งการค้าขาย แม้สายตาจะมองเห็นความแออัดของบ้านเรือนร้านค้า แต่กลิ่นที่ได้สูดดมเข้าไปมันเป็นคนละเรื่องกันเลย ทั้งกลิ่นเครื่องเทศและกลิ่นหอมของดอกไม้ มันคงเป็นเอกลักษณ์ของย่านนี้ไปแล้ว 

อยากชวนผู้อ่านลองออกไปเดินในจุดที่คุณอาศัยอยู่ หรือลองเดินตามรอยในเขตพระนครนี้ก็ได้ บางทีคุณอาจจะเจอบางสิ่งที่ผู้เขียนเองยังไม่เคยค้นพบ

มันเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของบุคคล สิ่งของ และสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลา บางสถานที่ก็ถูกขยับขยายเพื่อเปิดรับสิ่งใหม่เข้ามา และคงเอกลักษณ์ในอดีตให้เราได้เห็น บางสถานที่ บางสิ่ง บางคนก็สูญหายไปตามเวลาที่หมุนไป หรือบางคนที่ว่าก็ยังพยายามมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสังคมที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

แต่เขาเหล่านั้นกลับวิ่งตามไม่ทัน จนเหมือนไม่มีตัวตนเพราะถูกมองข้ามไป

Contributors

Contributors

ช่างภาพฝึกหัด ชอบแมว ชอบสีเขียว ชอบเฝ้าดูและเก็บบันทึกความเป็นไปของโลกผ่านภาพถ่าย