“ถ้ากรีดเลือดของผมออกมา มันเป็นเลือดของนักลงทุน เพราะผมพิสูจน์มาแล้ว”

            น่าจะเป็นครั้งแรกที่เรา-หมายถึง Rhythm ในฐานะสมาชิกใหม่ล่าสุดของ 2morrowgroup ได้มีโอกาสนั่งคุยกับพี่ป้อม-ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Stock2morrow อย่างเป็นกิจจะลักษณะซักที

            จากอดีตวิศวกรสู่นักลงทุนผู้อยากสร้างวงสังคมคุณภาพ เกิดมาเป็นเว็บบอร์ดที่เน้นคุยกันถึงเรื่องการลงทุนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ จนเกิดเป็นพื้นที่รวบรวมนักลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 

            ก่อนจะต่อยอดผ่านการให้ความรู้เรื่องการลงทุนในแบบที่เข้าใจง่าย จับต้องง่ายมากขึ้น ผ่านทั้งการทำสำนักพิมพ์ที่มีหนังสือเล่มที่ติด Best Seller หลายสิบเล่มและยอดขายกว่าแสนเล่ม! รวมถึงคอร์สเรียนที่มีนักเรียนลงทะเบียนจนเต็ม งานสัมมนาทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ที่จัดทีไรก็มีผู้เข้าร่วมงานแน่นขนัด มาถึงการต่อยอดครั้งใหญ่อย่าง 2read แอปพลิเคชั่นอ่านหนังสือที่จะเป็น “สังคมคุณภาพของนักอ่านตัวจริง” และพื้นที่การ Upskills ให้กับคนที่อยากพัฒนาตัวเองในหลายๆ มิติ

            และล่าสุดกับ Bullmoon Club NFT ที่ให้คุณได้ถือสิทธิพิเศษของนักลงทุนเพื่อเข้าสู่สังคมคุณภาพที่เต็มไปด้วยผู้คนดีๆ ซึ่งพร้อมจะแลกเปลี่ยนความรู้และไลฟ์สไตล์คุณภาพที่เราเชื่อว่า ไม่มีที่ไหนให้ได้เท่ากับที่นี่อีกแล้ว

            เรื่องราวต่อจากนี้คือประสบการณ์ของนักลงทุนที่ผ่านมาทุกยุคจริงๆ ตั้งแต่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง มาจนถึงการเปลี่ยนผ่านเทรนด์ในการลงทุนในหลายๆ มิติ ประสบการณ์ 16 ปีของการสร้าง “สังคม” ของนักลงทุนมีเรื่องราวฉากหลังเยอะมากทั้งในแง่กิจกรรมเพื่อความมั่งในชีวิต การสร้างพื้นที่ๆ เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนทุกคน 

            และบทเรียนจากการลงทุน จากนักลงทุนที่อยู่มาทุกยุค

            ใช่, พี่อยู่มาทุกยุค 

            อันนี้พี่ป้อมไม่ได้พูด เราเติมเอง

อะไรปลูกฝังหรือมีอิทธิพลให้คุณสนใจในการลงทุน

            ต้องบอกว่าจริงๆ คุณพ่อผมเป็นนักลงทุนในหุ้น แต่ว่าพ่อไม่เคยมาถ่ายทอดอะไรเลย ก็รู้อย่างเดียวว่าพ่อลงทุนในหุ้น แล้วเราก็ไม่ได้สนใจด้วย จนตอนที่ทำงานจบมาเป็นวิศวกรคุมไซต์งาน  5 ปีแรกไม่ได้เริ่มลงทุนนะ จนปีที่ 5 บริษัทส่งไปฝึกงานอยู่ที่ญี่ปุ่น 1 ปี ช่วงนั้นก็จากที่ทำงาน ไม่เคยมีช่วงเวลาที่หยุดเพื่อค้นหาตัวเอง แต่พอไปญี่ปุ่น บริษัทก็ไม่ได้ใช้งานหนักเหมือนกับให้ไปฝึกงานด้วย แล้วก็ให้ไปดู ไปเที่ยว ก็เริ่มหันมามองตัวเองว่าเราทำงานมาหนักมากเลยนะ แล้วก็ถ้าเราอายุมากขึ้น เราจะสามารถทำงานหนักได้แบบนี้อีกไหม มันเป็นที่มาว่าก็เริ่มทบทวนตัวเอง ถ้าเราทำงานประจำจนเกษียณอายุ 55 หรือ 60 ปี มันก็คงต้องทำงานอย่างนี้ไปตลอด มันก็ต้องเริ่มหาวิธี หาเครื่องมือ ตอนนี้มันก็แว่บขึ้นมาเลยว่าหุ้น เพราะฉะนั้นพอกลับมาถึงเมืองไทยก็เริ่มศึกษา เริ่มลงทุน

ถามจริงๆ คุณตัดสินใจเข้าวงการนักลงทุนเพราะหวังรวยใช่มั้ย

            แน่นอนครับ (หัวเราะ) ต้องบอกว่าไม่อยากรวยก็คงตลก ก็อยากให้ตัวเองมีเงินก้อนนึงแล้วก็เกษียณตัวเอง แล้วก็หาสิ่งที่ชอบทำ

การเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ในเวลานั้นมีความเสี่ยงมั้ย

            มาก ยุคนั้นไม่มี Facebook ไม่มีโซเชียล วิธีที่จะศึกษาก็คือไปห้องสมุด ไปอ่านหนังสือ ไปเข้าเว็บไซต์บ้าง แล้วก็ที่สำคัญที่สุดก็คือเรียนลูกจากการลงมือทำเลย เปิดพอร์ตเลย แล้วก็จำได้เลยว่าหุ้นตัวแรกที่ซื้อก็จะเป็นหุ้นที่เรารู้จัก เป็นพิมพ์นิยม มันก็เริ่มเข้าใจในการลงทุนมากขึ้น

เมื่อตัดสินใจเข้าวงการนักลงทุน คุณสัมผัสอะไรในฐานะนักลงทุนหน้าใหม่บ้าง

            ต้องบอกว่าตอนนั้นผมเข้าตลาดหุ้นหลังวิกฤตต้มยํากุ้ง ปี 2540 ซึ่งเขาเรียกว่าคนที่ลงทุนในหุ้น พอคนอื่นรู้ว่าเป็นนักลงทุนหุ้น เขาจะยี้ก่อนเลย เขาจะรู้สึกว่า เฮ้ย เนี่ย แมงเม่า โง่ไหม การพนัน เพราะว่าตอนนั้นมันผ่านช่วงเหตุการณ์ที่แมงเม่า คนหมดเนื้อหมดตัว บริษัทหลายบริษัทเจ๊ง แล้วดัชนีหุ้นก็ดิ่ง ตอนนั้นภาพของนักลงทุนหุ้นดูไม่ดีเลย ถ้าทำงานประจำด้วย เล่นหุ้นด้วย ทุกคนที่ลงทุนในหุ้นดูเท่ดูสมาร์ท แล้วก็คนทำงานประจำก็สามารถที่จะลงทุนในหุ้นได้เป็นเรื่องปกติ

            แต่ว่านาทีนั้น คนที่ลงทุนในหุ้นแล้วก็ทำงานประจำ เขาจะมองว่าแอบเล่นหุ้น ซึ่งมันจะเป็นภาพที่อะไรก็ไม่ดี แล้วก็มันจะมีมุมหนึ่งที่นักลงทุนในหุ้นมักจะพูดเสมอว่า วิชาหรือประสบการณ์ในการลงทุนในหุ้นไม่ควรไปบอกใคร เพราะว่าถ้าบอกคนอื่นไปเขาจะมาแย่งตังค์ตัวเอง 

            ทั้งหมดนี้เป็นที่มาของระหว่างที่ลงทุนในหุ้นด้วย ทำงานประจำด้วย ผมก็ทำ Stock2morrow ด้วย เพราะว่ามุมที่เห็นทั้งหมด ผมรู้สึกว่ามันเป็นจุดของนักลงทุนหุ้น แล้วนักลงทุนหุ้นแต่ละคนกว่าจะเข้าตลาดได้ กว่าจะหาเงิน กว่าจะมีความรู้ความเข้าใจ เพราะจริงๆ นักลงทุนหุ้นควรจะต้องสมาร์ท ควรจะรู้สึกเท่ห์ ควรจะรู้สึกว่าควรจะแบ่งปันความรู้จากคนหนึ่งถึงอีกคนนึง แต่ทีนี้มันไม่มี ก็เลยเป็นสิ่งที่สามที่ทำในชีวิตตอนนั้น ผมลงทุนในหุ้นด้วย ทำงานประจำด้วย แล้วก็ทำ Stock2morrow ด้วย ด้วยการเห็น Pain Point จากที่ความรู้สึกว่านักลงทุนในช่วงนั้นไม่ได้รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่สมาร์ท

ความตั้งใจในการทำ Stock2morrow ตั้งแต่วันแรกมันคืออะไร

            ส่วนตัวเราเป็นคนบ้าๆ ขันๆ อย่างนี้แหละมั้ง พอรู้อะไรก็รู้สึกว่าอยากจะแชร์ให้คนอื่นรู้ ตอนนั้นยังไม่มี Facebook แต่มีเว็บบอร์ด ก็เลยไปสมัครเว็บบอร์ดเว็บนึง แล้วก็ไปโพสต์ ก็รู้สึกว่ามีคนชอบมาอ่านบทความเราแล้วก็มีคนติดตาม ถ้าเป็นปัจจุบันก็คือมีผู้ติดตาม ก็รู้สึกว่าโอเค เรามีความสุขในการส่งมอบคอนเทนต์ดีๆ แต่ปรากฏว่าพอทำไปสักพัก เราจะรู้สึกเลยว่ามีคนตามดราม่ากับเรา คือเหมือนกับจ้องจะเล่นประมาณว่าไอ้นี่ทำอะไรก็ผิด ถ้าอย่างนั้นถามว่า Stock2morrow ตอนนั้นคืออะไร ก็ต้องบอกว่าStock2morrow สิ่งที่ทำเนื่องจากเห็น Pain Point จากเรื่องที่พูดเมื่อกี้ กับอีกสิ่งหนึ่งคือเรารู้สึกว่ามันไม่มีแพลตฟอร์ม  มันไม่มี Community ที่คนจะลุกขึ้นมาเป็นเวทีให้คนที่พร้อมจะส่งมอบคอนเทนต์ดีๆ ให้กับคนอื่น 

            เพราะฉะนั้นตั้งแต่ตอนต้น Stock2morrow โดน Design ว่าเป็น Community ของนักลงทุน แล้วถ้ามองย้อนตัวเองกลับไป ผมจะมีแพสชั่นในเรื่องของการสร้าง Community  มีความสุขในการที่เปิดโอกาสให้คนรู้กับคนไม่รู้ได้มาเจอกัน เพราะฉะนั้นตอนที่ดีไซน์ Stock2morrow ตั้งแต่แรก สิ่งที่เราทำอย่างแรกก็คือเว็บไซต์ แต่สิ่งที่เราทำคู่กันตั้งแต่ตอนต้นเลยคือ การสร้างสังคม เพราะสโลแกนของมันก็คือ Stock2morrow สังคมหุ้นคุณภาพ เพราะฉะนั้นมันมีคำว่าสังคมหุ้น มันก็จะเป็น Community แต่ละคนก็จะมี Username แล้ว มักจะไม่ใช่ชื่อจริง เราก็จะมีการไปนัดหมายในเว็บบอร์ดว่า พอทุกคนรู้จักกันมากขึ้นแล้วเราจะมีมิตติ้ง ก็จะมีการดึงเอาคนที่อยู่ออนไลน์มาเจอกันที่ออฟไลน์ ทั้งหมดนี้มันเป็นการเชื่อมในเรื่องของ Community เพราะอย่างนั้นภาพรวมของ Stock2morrow ก็คือ Community 

ณ ตอนนั้นการสร้าง Community ของคนที่เป็นนักลงทุนซึ่งสังคมก็อาจจะมองไม่ดี แล้วมันเป็นเรื่องแปลกใหม่หรือเป็นเรื่องท้าทายสำหรับคุณขนาดไหน

            เล่าให้ฟังแล้วจะฮาเลย คือพอมันมีมิตติ้ง คนตื่นเต้นนะ มันเป็นฝันที่คนได้มาเจอกันจากการที่ได้ติดตามบางคน รู้จัก Username ของบางคน เรานัดมาเจอกันในที่ๆ นึงอ ส่วนตัวก็อยากจะให้ภาพตรงนี้มันฉายออกไปให้คนอื่นเห็นว่า Community ดีๆ ในเรื่องหุ้นก็มีนะ ก็ถ่ายรูปไปแล้วก็จะโพสต์ ก็คือขออนุญาตเอารูปไปโพสในเว็บไซต์ได้ไหม จำได้เลยว่าครั้งแรกที่ขออนุญาตไป ทุกคนขอเบลอหน้า (หัวเราะ) ขอคาดหน้า แต่ก็มีบางคนที่โอเค ซึ่งตอนนี้มันเหมือนกับว่าคนก็ยังไม่คุ้นชินกับการที่เปิดเผยตัวตน เพราะฉะนั้นตอนแรกมันก็จะขำๆ แต่ว่ามันเป็นมีตติ้งแรกๆ แค่นั้นเอง แต่พอหลังจากนั้น มีตติ้งที่ 2 ที่ผ่านมาจากตรงนั้นประมาณเดือน 2 เดือน เรากลายเป็น Community หุ้นแรกที่ทุกคนมาแล้วภาคภูมิใจ แล้วเวลาโพสต์รูปออกไปไม่ต้องคาดตาแล้ว 

ใน Community แห่งนั้นมีอะไรบ้าง  

            มีคนที่พร้อมจะแบ่งปัน เชื่อไหมฮะ มี User ท่านหนึ่งชื่อคุณหมอสวัสดี มาโพสต์ทุกวันโดยไม่มีผลประโยชน์อะไรเลยนะ เสมือนเป็นทีม Content เราก็จะเห็นคนที่ขาเรียกว่ามีของ มีความรู้ ชอบในการให้ ชอบในการแบ่งปันเข้ามาส่งมอบคอนเทนต์ดีๆ เราจะเห็นผู้ติดตามหลายคนที่เข้ามาคุย เข้ามาสร้าง Community ให้มันสนุกสนาน เข้ามาแซว เข้ามารู้จักกัน แล้วสิ่งที่เห็นในช่วงต่อๆ ไปก็คือ เห็นแรงสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการสมัครสมาชิกของเว็บไซต์ พอหลังจากนั้นประมาณนึงเราเริ่มทำสำนักพิมพ์ พอออกหนังสือเล่มแรกก็ Best Seller ทุกคนตกใจว่าหนังสือหุ้นมัน  Best Seller ได้ยังไง แต่ว่า Stock2morrow เราทำได้เพราะว่าคนที่ติดตามเว็บไซต์คือคนที่ช่วยสนับสนุนเราเสมอ

คุณตั้งต้นยังไงกับการทำสำนักพิมพ์

            ถ้ามองย้อนไป ต้องบอกว่าเหมือนกับตัวเองอยากทำบางสิ่งที่เราไม่เคยทำ แต่ถามตรงนี้ทำให้ย้อนกลับไปว่า จริงๆ ก็ไม่ได้มองถึงขนาดว่าเป็นสำนักพิมพ์ เพราะว่าการพิมพ์เล่มแรกเราขายในเว็บไซต์อย่างเดียว ไม่ได้วางที่ร้านค้า จนพิมพ์มาประมาณ 2,000 เล่ม แล้วปรากฏว่ามันหมด พอมันหมด เราก็เริ่มมองในจุดที่แบบว่ามันจะดีไหมถ้าหากว่าแทนที่จะขายผ่านเว็บไซต์อย่างเดียว เราไปขายทั่วประเทศด้วย นั่นเป็นก้าวต่อไปที่เราขยายเป็นสำนักพิมพ์ แล้วก็หลังจากนั้นก็ยาวเลย

โดยที่คุณก็ไม่ได้คาดคิดด้วยว่าหนังสือจะติดอันดับขายดี

            เอาจริงๆ นะ ตัวเองตกใจว่าทำหนังสือเล่มแรกเลยก็ Best Seller แล้วก็ทำให้วงการหนังสือช่วงนั้นฮือฮาว่าหนังสือหุ้นมันจะติดอันดับได้ยังไง แล้วหลังจากนั้นก็มีคนออกหนังสือแนวหุ้นเยอะมากๆๆ เราก็ถือว่าเป็นคนถือธงนำมาได้ประมาณนึง

ความท้าทายของคนที่ไม่เคยทำสำนักพิมพ์มาก่อนคืออะไร

            ความท้าทายก็คือการไม่เคยทำสำนักพิมพ์มาก่อน ถ้าใครซื้อหนังสือเล่มแรกของคุณภาววิทย์ กลิ่นประทุม จะเห็นคำสะกดผิดเยอะมาก  จะเห็นหน้าปกที่ดูรู้ว่าไม่ใช่กราฟิกมืออาชีพ บอกได้เลยว่าเล่มแรกที่ออกไป ตัวเองเป็นทั้งบก. เป็นทั้งกราฟิก เป็นคนไปหาโรงพิมพ์เอง ก็คือไม่มีทีม เราก็หาเองทุกสิ่งอย่าง จำได้เลยก็คือเป็นความท้าทาย แล้วก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะขายดี แต่มันกลับขายดี

ซึ่งคำว่า Community ก็ยังสำคัญกับคุณอยู่

            ใช่ครับ เพราะเราเดินในเรื่องของ Community ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่เราก็มีตัวเลขของคนที่เข้ามาในเว็บตัวเลขเป็นแสนๆ เราก็เห็นในเรื่องของการที่เราต่อยอดในเรื่องของการทำสัมมนา เชื่อไหมว่าช่วงแรกที่เราทำสัมมนาเรื่องหุ้น น่าจะเป็นที่แรกที่เราเอานักลงทุนหุ้นมาสอนกันเอง จากเดิมที่อาจจะมีคนสอนเรื่องหุ้นแต่อาจจะเป็นนักการตลาดหรือเป็นนักวิเคราะห์

            เราเป็นที่แรกที่เอานักลงทุนหุ้นมาสอนนักลงทุนด้วยกันเอง ปรากฏว่าพอเปิดปั๊บ เต็ม จากนั้นก็จะมีคนที่เข้ามาสัมมนาในคอมมูนิตี้ หนังสือกลายเป็นคนอ่านเล่มหนึ่งเป็นแสนๆ คน ถ้ารวมทุกเล่มเลย ผมว่าคนที่เคยสัมผัสกับหนังสือของ Stock2morrow มีเป็นล้านคน สิ่งนี้มันมีการตอบกลับมาให้เรารู้สึกว่า คนรู้จักคำว่า Stock2morrow มากๆ เพราะว่าตอนที่ไปเรียน Ultra Wealth (หลักสูตรอบรมการลงทุน) คนที่เข้าเรียนทุกคนก็ระดับสุดยอดในประเทศ ปรากฏว่าเกือบทุกคนรู้จัก Stock2morrow คือไม่ผ่านในเรื่องของเข้าเว็บไซต์ก็มาจากหนังสือ ทีนี้ก็เลยมีความรู้สึกว่าในการอ่านหนังสือ ทุกคนจะรู้จักแบรนด์ เคยผ่านหูผ่านตาเคยอ่านหนังสือบ้าง

แล้วคุณต่อยอด Community ไปในรูปแบบไหนอีกบ้าง

            ก็หลังจากนั้นเราก็จัดอีเว้นท์ใหญ่ระดับประเทศ อย่างอีเว้นท์ Five Fest ไปจัดที่อิมแพคฯ นะครับ จำได้เลยว่าสนุกมาก เอาพี่ตูน Bodyslam (อาทิวราห์ คงมาลัย) มาพูดในเวทีเราน่าจะเป็นเวทีแรก เราจะจัดให้มันมี 5 เวทีพร้อมกัน  มีเวทีด้านการให้ความรู้ด้านการลงทุน หุ้น อสังหาฯ สตาร์ทอัพ  การพัฒนาตัวเอง แรงบันดาลใจ พี่ตูนอยู่เวที Inspirtation ก็เป็นอะไรที่เราก็ดึงคนเข้ามาในอีเวนต์นี้ได้หลักพันคน

            เราทำ Thailand Investment Fest จัดที่ศูนย์สิริกิติ์ ก็มีคนเข้ามาในงานหลายพันคน เพราะฉะนั้นสเต็ปมันก็ขยับขึ้นมาเป็นระดับประเทศมากขึ้น แล้วหลังจากนั้นก็มีมิตติ้งมากขึ้น มีคนเป็นร้อย แล้วก็มีอีเวนต์ที่คนเข้าอีกเป็นพัน จากนั้นเราก็เริ่มร่วมผลิตรายการทีวีมันก็เลยเห็นสิ่งที่มัน Reaction กลับมา เราได้เห็นความสำคัญในเรื่องของ Community กับ Content เพราะฉะนั้นเราก็มองอีกมุมนึงว่าเราสามารถที่จะเป็น Content Provider เพราะเรามีความเชื่อว่า Content is King มันก็เลยเดินทางมาถึงจุดที่คอนเทนต์ดีๆ มันไม่ใช่มีแค่หุ้น แล้วก็เราเชื่อว่าคนที่อยู่ในแวดวงของ Community หุ้น ชีวิตเขาก็ไม่ได้มีมุมหุ้นอย่างเดียว เขาก็จะมีมุมแบบ ลงทุนคอนโดเขาก็ลง เขาก็ต้องการแรงบันดาลใจต้องการในเรื่องของความรู้ในด้านธุรกิจก็เลยเป็นทางที่เราให้ความสำคัญกับเรื่อง Content

            อย่างเช่นในเรื่องของ Prop2morrow ที่เป็นคอนเทนต์ด้านอสังหาฯ เรามีคนที่มีแพสชั่นในเรื่องของการลงทุนคอนโด เราก็เลย โอเค คุณไปบริหาร เราเป็นผู้ถือหุ้น แล้วก็ใช้ทรัพยากรของเรา จนปัจจุบันก็เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

            รวมถึงในเรื่องของ you2morrow ก็จะเป็นแนวให้ความรู้ทางธุรกิจ อย่างคุณบอย (วิสูตร แสงอรุณเลิศ) ก็อยู่ใน you2morrow จนปัจจุบัน you2morrow อัพเลเวลมาเป็น 2read ที่เป็นเรื่องของแพลตฟอร์มในการอ่านออนไลน์ ที่เราพยายามผลักดันให้มันเกิด เพราะฉะนั้นจะเห็นว่ามันสามารถต่อยอดได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ Community ที่มันสามารถเอาไอเดียของ Stock2morrow ไปทำในมุมอื่นได้

พอคำว่า NFT มีอยู่บนโลก คุณเห็นโอกาสอะไรในการสร้าง Community จากมันบ้าง

            คำว่า NFT ผ่านหูมาไม่ต่ำกว่า 5-6 ปี พอมันมีช่วงโควิด มันก็มีเวลาว่างเยอะ แล้วทุกอย่างมันออนไลน์ ช่วง 2-3 ปีนี้ต้องบอกว่ามันมีอะไรที่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้แล้วคนฮือฮากันเยอะมาก โดยเฉพาะในเรื่องของ Digital Asset ก็ต้องบอกว่าตัวเองกับเพื่อนกลุ่มนึงเริ่มลงทุนในบิทคอยน์ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ประมาณเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก็มีขายหมู (การขายสินทรัพย์ที่ได้กำไรเร็วเกินไป) จนบิตคอยน์เริ่มมาอู้ฟู้เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นก็รู้แหละว่า NFT มันเป็นเรื่องของงานอาร์ต ให้คนเอาศิลปะมา List ผ่าน Blockchain ผ่าน Marketplace แล้วก็ทำให้คนทั้งโลกสามารถเข้ามาซื้อขายกันได้ ก็รู้แค่นั้น

            พอ 2-3 ปี พอเริ่มมีเวลา ก็เริ่มเข้าไปศึกษา NFT มากขึ้น แล้วจริงๆ Stock2morrow เราก็เริ่มเห็นเทรนด์ในเรื่องของ Digital Asset แล้ว เรามองว่ามาแน่ มาแบบยาวๆ เลย เพราะว่ามีการใช้งานจริง มีประโยชน์ เราก็เริ่มออกหนังสือในแนวของคริปโต ของบิตคอยน์ก็ Best Seller ส่วนตัวก็เลยไปศึกษาแล้วก็เริ่มมีบทความเพิ่มอยู่ใน Stock2morrow จนไปศึกษาถึงระดับหนึ่งเลยก็มองว่า NFT มันมีคุณสมบัติบางอย่างที่มากกว่าแค่งานอาร์ต ด้วยคุณสมบัติของมันก็คือว่า NFT แต่ละชิ้นมันมีชิ้นเดียวในโลก มันกลายเป็นคุณสมบัติที่ดีในการที่จะให้มันกลายเป็น Member Card เป็นบัตรผ่าน แล้วประกอบกับว่าเราไม่สามารถทำให้คนที่อ่านหนังสือเรามาอยู่ใน Community เราได้ เพราะว่าเขาอ่านแล้วเขาก็ไป 

            ด้วย Pain Point ตรงนี้ประกอบกับมีความเข้าใจในเรื่องของ NFT มากขึ้น ก็เริ่มเห็นประโยชน์ว่านี่แหละคือจิ๊กซอว์ตัวที่หายไปของเรา ทำไมเราไม่ใช้ NFT นี้ล่ะ ใช้แทนบัตรผ่านเพื่อเข้าสู่ Community ของเรา เพราะฉะนั้นพอการที่มันมีคุณสมบัติว่ามันเหมือนเป็นบัตรผ่านที่มีชิ้นเดียวในโลก ใครถือ NFT นั้นก็คือคนที่อยู่ในคอมมูนิตี้ของเรา 

            มันก็มีเรื่องของ NFT ที่มันเริ่มเป็นเลเวลที่ 2 แล้ว มันไม่ใช่งานอาร์ตอย่างเดียวแล้ว มันถูก Develop ขึ้นมาเป็นการใช้เป็นบัตรผ่านเข้าสู่ Community แล้วมันก็เป็น DNA ของเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราถนัดตรงนี้มาตั้ง 16 ปี เราสามารถดีไซน์พวกอีเวนต์หรือการดีไซน์เรื่องของ Utitlity  ก็คือในเรื่องของการใช้งานสิทธิประโยชน์ ทุกอย่างมันเลยลงตัวเป๊ะ 

            แล้วก็ในเรื่องของแบรนด์ Stock2morrow เอง ส่วนตัวมองว่าทุกคนไว้เนื้อเชื่อใจในการที่ว่าเราทำเรื่องของ Community ตลอด เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันมาลงตัวที่การใช้  BullMoonClub NFT เป็นบัตรผ่านเข้ามาสู่ Community ดีๆ ของคนที่ชอบเรื่องของการลงทุน เราสังเกตนะว่าตัว BullMoon มันเป็นสัญลักษณ์ของคนที่ชอบการลงทุนอยู่แล้ว Moon หรือพระจันทร์ ก็เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ กระทิงเป็นตัวแทนของคนรุ่นเก่า เราก็อยากให้คลับตรงนี้เป็นการรวมกันของคน 2 เจน คนรุ่นเก่าคนรุ่นใหม่ มารวมอยู่ใน Community เดียวกัน

ซึ่งจากเสียงตอบรับที่ดีมากๆ ผ่านการรวมตัวกันในหลายๆ อีเวนต์ มันบ่งบอกอะไรในตัว BullMoonClub NFT บ้าง

            มันบอกได้ว่าอันหนึ่งก็คือเทรนด์ตรงนี้มันมาแล้ว มีคนเห็นประโยชน์แล้ว แล้วสิ่งที่เราทำมันเป็นการคอนเฟิร์มว่าสิ่งที่เราคิดมันเป็นจริง NFT เป็นบัตรผ่านได้จริงๆ แล้วมันเป็นการพิสูจน์อีกอย่างหนึ่งว่า พอเราเห็นคนที่มารวมกันใน ไม่ว่าจะอยู่ใน Discord (ของ BullMoonClub NFT)  ในออนไลน์ กับการที่เจอกันในอีเวนต์ BullMoon Party เราเห็นถึงคุณภาพของคนในคอมมูน ที่ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่แต่ละคนมีคุณภาพ มีความรู้ที่มากพอที่จะเข้าใจว่าอะไรดีอะไรไม่ดี ซึ่งสิ่งนี้พอผ่านมีตติ้งไปแล้ว ก็ทำให้ตัวเองพูดเสียงดังขึ้นกับคนที่อาจจะยังรีรอว่า NFT มันเป็นการพนันไหม มันมีประโยชน์จริงไหม แต่พอผ่านตรงนั้น พอเห็น Community มันเกิดจริง เห็น Networking  มันเกิดขึ้นจริง มันก็กลายเป็นพลังที่เรามาพูดเสียงดังขึ้นกับคนที่ยังไม่ได้เข้า BullMoonClub

จากการเก็บระยะกว่า 16 ปีเพื่อสร้างสังคมคุณภาพ คุณคิดว่าการที่ Stock2morrow ยืนอยู่ตรงนี้ได้มันสะท้อนความเชื่อหรือตอบคำถามอะไรในใจคุณบ้าง

            มันสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่ว่าเราจริงใจกับผู้ติดตาม เขาไม่ต้องบอกเรา แต่ว่าเรารู้สึกได้นะ ถ้ามองย้อนกลับไปเมื่อ 16 ปีที่แล้ว เราอยากจะให้ความรู้ดีๆ เราอยากจะสร้างคอมมูนดีๆ ซึ่งในช่วงนั้นก็จะมีคนที่เหมือนกับว่าสร้างเว็บไซต์คล้ายๆ กัน มีการใบ้หุ้น ซึ่งมันดูว้าว แต่เราก็เห็นว่าการทำแบบนั้นมันค่อนข้างฉาบฉวย อาจจะฮือฮาแต่มาแล้วก็ไป แต่สิ่งที่เราทำมาตลอดเวลา 16 ปี เราให้ความรู้ เราให้สังคมที่ดี แล้วเราก็จะเห็นการเติบโต เห็นพัฒนาการของตั้งแต่คนที่เข้ามาอบรมในคอร์สรุ่นเราตั้งแต่ช่วงแรกๆ ปัจจุบันกลายเป็นอาจารย์ กลายเป็นกูรู กลายเป็นนักลงทุนที่มีชื่อเสียง มันก็สะท้อนให้เห็นว่าการที่เราทำตรงนั้นไปด้วยความคิดว่าอยากจะสร้าง Community ดีๆ แล้วก็ใส่ความจริงใจเข้าไป มันได้ผล จนมาถึงตอนนี้เราเป็นที่รู้จักของคนในวงกว้าง ถ้าบอกว่าชื่อป้อมมันอาจจะมีหลายป้อมให้ทาย แต่ถ้าบอกว่าป้อม Stock2morrow คนรู้จักเยอะนะ ก็เป็นอะไรที่เราก็ภูมิใจว่าสิ่งที่เราทำมันสื่อไปถึงคนอื่นได้

หนึ่งสิ่งที่ทำให้ Stock2morrow ยืนหยัดมาได้กว่า 16 ปี

            ผมคิดว่าความจริงใจ เพราะว่าเคยแอบให้ทาง Marketing เขาสำรวจมา ถามว่าอะไรคือสิ่งที่เขาคิดถึงเป็นสิ่งแรก เมื่อได้ยินคำว่า Stock2morrow เสียงส่วนใหญ่บอกว่าเรื่องความจริงใจ เขาเห็นว่าสิ่งที่เราส่งมอบให้เขาเป็นการที่เราดูแล เรื่องความรู้เรื่องประโยชน์ของเขามากกว่าประโยชน์ของเรา

อะไรคือความเข้าใจผิดที่คุณได้ยินเยอะที่สุดเกี่ยวกับการลงทุน

            ที่ได้ยินบ่อยๆ นะ คนอยากจะซื้อหุ้นหรือซื้อคริปโตในจุดที่ต่ำที่สุด ถูกที่สุด แล้วก็ไปขายจุดที่สูงสุด ซึ่งความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าใครคิดตรงนี้มันจะกลายเป็นว่า ตัวเองก็อาจจะไม่กล้าซื้อเลย เพราะว่ามัวแต่รอว่ามันลงแล้ว มันควรจะลงอีก เหมือนไปต่อราคา แต่ปรากฏว่ามันไม่ลงแล้ว ขณะเดียวกัน เวลาที่มันขึ้นไปแล้วเราคิดว่าจะไปขายในราคาที่สูงสุด ความเป็นจริงมันทำไม่ได้ ถ้าเรามีเป้าในเรื่องของราคาแล้ว อาจจะทยอยขายหรือว่าขายทั้งหมดก็ได้ มันไม่มีคนบนโลกนี้ที่มีความสามารถมากพอที่จะไปรู้ว่าราคาหุ้นหรือคริปโตมันจะไปสุดที่ไหน แต่มันจะมีอย่างเดียวก็คือว่าถ้าหากว่าคุณคิดว่าราคามันโอเคแล้ว การทยอยเข้าซื้อหรือการซื้อแล้วถือให้มันมีต้นทุนที่เราคิดว่าเหมาะสม มันไม่จำเป็นต้องต่ำสุดก็ได้

แล้วคุณมีคำแนะนำอะไรสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่บ้าง

            ไม่ว่าจะลงทุนอะไรก็ตามในโลก สิ่งที่สำคัญมีสองส่วน ส่วนแรกคือความรู้ อารมณ์ในตลาดการลงทุนมี 2 อารมณ์ ก็คืออารมณ์โลภกับอารมณ์กลัว โลภไปก็เจ๊ง กลัวไปก็ไม่ได้เริ่มสักทีนึง ถ้าเราเข้าด้วยเห็นคนนี้เข้ามาลงทุนแล้วรวย คนนั้นบอกว่าหุ้นตัวนั้นดี คริปโตตัวนี้ดี แล้วก็ลงทุนไปด้วยตัวเองแบบไม่มีความรู้ เจ๊งทุกราย เพราะฉะนั้นส่วนตัวมองว่าเรื่องความรู้สำคัญมาก ก่อนที่เราจะลงทุนอะไรก็ตามต้องศึกษา 

            ส่วนที่สองก็คือประสบการณ์ การลงทุนหุ้นถ้าอ่านให้ตายยังไงแต่ไม่เคยเริ่ม มันไม่มีทางเป็น ไม่มีทางมีประสบการณ์ได้ ตำราไม่เคยสอนเรื่องประสบการณ์ ฉะนั้นศึกษาให้เยอะพอแล้วก็ลงมือทำให้ได้ประสบการณ์ แล้วก็โดยส่วนตัวมองว่าเรื่องของการลงทุนในหุ้นหรือคริปโตก็ตาม คุณควรต้องอยู่ให้ได้อย่างน้อย 2 ปี อยู่ให้รอดก่อน 2 ปีแล้วค่อยไปคิดเรื่องรวย อย่าไปคิดว่าเข้ามา เขาบอกซื้อก็ซื้อโดยไม่ศึกษา มันอยู่ได้แค่ไม่เกินปีหรอก เพราะตลาดพวกนี้เป็นตลาดที่มันไม่ได้ปูด้วยดอกไม้ ด้วยพรม แต่ว่ามันมีมีด มีเศษขวดเศษแก้วอยู่ในสนามหญ้า

            เพราะฉะนั้นขอให้มองในมิติ 2 มุม มันไม่ได้สวยงามตลอดไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มันมีเรื่องของความเสี่ยง อันตรายแฝงอยู่ด้วย ถ้าเรามีความรู้ที่มากพอ เราจะเอาตัวรอดได้ ถ้าเรามีประสบการณ์ที่มากพอ เราจะเห็นโอกาสบางอย่างที่คนอื่นเขาอาจจะเข้ามาด้วยความไม่รู้ แต่เรากลับได้โอกาสจากการที่เรามีประสบการณ์

คติประจำใจในการเป็นผู้บริหาร Stock2morrow คือ

            มันมี 4 ข้อ มีแพสชั่น มีไอเดีย มีการลงมือทำ แล้วก็มีความมุ่งมั่นทำจริงทำจัง มันจะประสบความสำเร็จได้แน่นอน

Contributors

Contributors

นักเล่าเรื่องที่ใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมือและศรัทธาในพลังของงานเขียน ผู้ชอบตัวเองตอนนั่งสัมภาษณ์ผู้คนที่สุด

ผู้ที่ชื่นชอบการ Backpack เที่ยวคนเดียวพร้อมกับกล้องคู่ใจ ออกเดินทางเพื่อตามหาสถานที่และมิตรภาพใหม่ๆ