“ยิ่งเธออยู่ไกลหัวใจ ยิ่งต้องเจ็บร้ายแรง” 

            เป็นเนื้อท่อนหนึ่งจากเพลง ‘ปืน’ ของวงดนตรีซินธ์ป๊อปที่ทุกคนรู้จักดีอย่าง Polycat แน่นอนล่ะว่าต้องมาจากอัลบั้ม 80 Kisses ซึ่งมีเพลงดังๆ มากมายที่แฟนเพลงคุ้นหูทั้ง ‘เพื่อนไม่จริง’ (Forever Mate), ‘เวลาเธอยิ้ม’ (You had me at Hello) และ ‘พบกันใหม่’ (So Long)

            อ้อ แต่ถ้าคุณยังไม่เคยฟัง (หรือเคยฟังผ่านๆ) เราแนะนำให้ไปเปิดฟังสักรอบหนึ่ง ฟังให้จบจนกว่าจะถึงท่อน “I Love You, Always. Let me be the one who calls you my baby.” เพราะวันนี้เราไม่ได้พาคุณมาโฟกัสเสียงดีๆ ของพี่นะ แต่เราพาคุณมาโฟกัสกับเสียงผู้หญิงปริศนาในเพลงนั้นต่างหาก 

            เพราะบางครั้งองค์ประกอบของเพลงที่ทำให้เรารู้สึกว่าฟังแล้ว ‘เพราะ’ ไม่ได้มีแค่เสียงนักร้องหลัก ‘คอรัส’ จึงเป็นอีกส่วนหนึ่งที่มาช่วยเติมให้เพลงดูเต็มมากขึ้น แม้ประสบการณ์ตรงของแพร-วนิตนาถ วีรกิตติ กับความเข้าใจของคนรอบตัวต่ออาชีพ ‘คอรัสรับจ้าง’ ของเธอจะผิดเพี้ยนไปกว่าที่ควรจะเป็นเยอะมากก็ตาม 

            “คือจุดเริ่มต้นที่มีคนมาเรียกไปทำงานครั้งแรก มันไม่ใช่คำว่าคอรัสด้วยซ้ำ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจผิดนั้น มันก็คงไม่มีเราในวันนี้ แต่ใจคนเป็นคอรัสน่ะ เรามีแบรนดิ้งเป็นอาชีพนี้ เราก็ต้องทำให้เป๊ะ เรามีมาตรฐานของเราที่ต้องทำให้ถึง

            ดังนั้นเราอยากให้คุณลองลบภาพจำหรือความเข้าใจเดิมๆ ทิ้งไป แล้วมาตั้งต้นใหม่ไปกับนิยามอาชีพ ‘คอรัสรับจ้าง’ อาชีพแสนสำคัญที่บางครั้งถูกลืมในเพลงทุกเพลง 

Verse 

นิยามและขอบเขตงานของคำว่า ‘คอรัสรับจ้าง’ 

            มันก็คืองานรับอัดเสียงนั่นแหละ อัดคอรัส อัดไกด์ ให้คิดคอรัสให้ก็ได้ค่ะ แต่ตอนที่เราเริ่มทำมันมีน้อย คือมันก็มีคนทำนะ แต่ปริมาณงานกับจำนวนคนที่ทำมันสวนทางกัน งานมันด่วนและเยอะมากอะไรแบบนี้มากกว่า เลยเหมือนต้องทำให้มันจบๆ ไป เราก็จะรู้สึกว่า เออถ้ามันเป็นเราเราคงจะทำได้ดี จะพยายามทำให้ดี ตอนนั้นแหละเลยคิดว่าถ้าเรามีโอกาสได้ทำงานเป็นคอรัส อัดร้องแนวๆ นี้ ก็คือชอบแน่นอน แล้วสุดท้ายก็ได้ทำงานด้านนี้จริงๆ ดังนั้นจะจำว่าเป็นคอรัสรับจ้างก็ได้ แบรนดิ้งจะได้ชัดๆ 

ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นก่อนจะเป็นคอรัส 

            เราเรียนเธียร์เตอร์มหิดลมา ตอนเรียนมันก็เป็นเรื่องปกตินะ ที่เราจะมีความคาดหวังว่าต้องได้ร้องโซโล่ จะได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่พอค้นหาตัวเองไปเรื่อยๆ มันอาจจะเจอทางอื่นที่ทำแล้วชอบมากกว่า 

            แต่ถ้าให้พูดเรื่องคอรัสเนี่ย เราชอบตั้งแต่ก่อนที่จะมาอยู่เธียร์เตอร์แล้ว จุดเริ่มต้นคือเราโตมากับเพลง 90’s เพราะมีพี่สาวที่ชอบฟัง แล้วยุคนั้นฝั่งตะวันตกคือมี Backstreet Boys กับ NSYNC  ซึ่งตอนนั้นที่จำความได้คือเรา 3 ขวบ เด็กมาก พอโตมาอีกนิดหน่อยถึงได้ไปไล่ตามฟัง ว่าเออพี่เขาฟังอะไรกัน ก็ค่อยๆ ไล่วนฟังตามมาเรื่อยๆ ฟังจนรู้สึกว่าเพลงยุคนี้เท่มากสำหรับเรา เพราะถ้าไปฟังดีๆ ตัวไลน์ประสานมันจะชัดมาก อย่าง Backstreet Boys มี 5 คน เขาจะร้องหลักอยู่คนนึง ที่เหลือก็ร้องนะ แต่เป็นคอรัสอยู่ด้านหลัง เพราะฉะนั้น เลเยอร์มันสวยกว่าแค่เอามาวางเรียงกัน ฟังแล้วรู้สึกมีอะไร นั่นล่ะเราก็โตมาแบบนั้น 

            พอขยับมาเรียนดนตรีจริงจังก็เริ่มเลย ร้องทุกโน้ตที่ไม่ใช่ไลน์หลัก (หัวเราะ) เหมือนมาเริ่มทำความเข้าใจจริงๆ ตอนนั้น ซึ่งยุคที่เราทันมันก็คือ Britney Spears แล้วเขามีคอรัสแบบนี้หมดเลย ดังนั้นถ้าจะต้องขอบคุณใครสักคน คงต้องขอบคุณ Max Martin ที่เป็นโปรดิวเซอร์มือทองยุคนั้น เขาทำให้เพลงออกมาเป็นแบบที่เราชอบ ชอบมาก แต่ยังไม่รู้นะว่าจะเอามันมาใช้งานได้ยังไง

            จนกระทั่งที่มหาวิทยาลัยมีวิชา Choir เลยได้มีโอกาสกลับมาทำ คือรุ่นพวกเรามันเนิร์ด เราชอบมากที่จะได้เรียนวิชานี้ เพราะนึกภาพถ้าคุณจะร้องละครเพลง มันก็มีไลน์ประสานกัน เราก็ต้องรู้ต้องเข้าใจ ยิ่งมันจะมี Duet อีกในการเรียนการทำงาน ถ้าไม่เข้าใจเลยหรือทำไม่ได้มันก็จะยากนะ เราเลยพยายาม แล้วก็ตั้งใจกับมันมากๆ บวกกับมันเป็นยุคที่พ่อแม่เริ่มส่งเสริมให้เราได้เรียนดนตรีอย่างเต็มที่ เราเลยไม่เคยตั้งคำถามเลยว่าเรียนไปทำไม มีแต่ตั้งใจกับตื่นเต้นทุกครั้งเวลาเปิดโน้ตมาแล้วมองหน้ากันว่า มันร้องยังไง (หัวเราะ) 

งานแรกในวงการดนตรีไทย

            เป็นงานที่คนเสนอมาก็เข้าใจผิด คนที่มาดีลกับเราก็น่าจะเข้าใจรายละเอียดคลาดเคลื่อนนิดหน่อย คือตอนนั้นรู้จักกับรุ่นพี่ที่ทำงานใน Smallroom แล้วเหมือนสมาชิกในวงที่พี่เขาอยู่ถามว่า “เออเนี่ย รุ่นน้องยูเขาร้อง Choir ใช่มะ เขาน่าจะร้องประสานได้ เอาเขามาร้อง มาช่วยในงานนี้ดีมั้ย” คือใช้คำนี้เลยนะ Choir เลย แต่รายละเอียดงานจริงๆ คือเป็นละครเพลง น่าจะแสดงช่วงประมาณปี 2013 ก็นานนะ เก่า 10 ปี 14 ปีเลยอย่างไกล (หัวเราะ) ใช้คำว่าไกลมากๆ แล้วงานนั้นทางผู้จัดมาขอ Smallroom ให้ไปเป็นฝ่ายดนตรีของละครเพลงเรื่องนี้ เบื้องหน้าก็มีศิลปินมาร่วมแสดงคับคั่งประมาณนึง แต่วงดนตรีเบื้องหลังมันคือ Polycat

            ตอนที่เขาเพิ่งปล่อยอัลบั้มแรก 05:57 (2554) ไปน่ะ (หัวเราะ) ดังนั้นวงดนตรีเบื้องหลังเลยเป็น Polycat เล่นทั้งหมด ซึ่งตอนนั้นยังอยู่เต็มวง แต่เสียงคอรัสที่ต้องร้องประกอบกับคนที่เล่นบนเวทีที่เขาเรียกว่า Choir คือ แพร พี่นะ พี่ฝน Superbaker กับพี่ตุ๊กตา จมาพร ก็คือยืนเรียงกันแบบงงๆ แพรก็ทักทุกคนแบบไม่รู้จักนั่นแหละ แล้วตอนนั้นพี่นะยังแต่งตัวแบบจัดจ้านอยู่เลย แพรก็แบบ “พี่คนนี้คือใคร” (หัวเราะ) ถือว่าได้ทำงานได้รู้จักกับพี่นะครั้งแรกคืองานนั้น หลังจบโชว์ทุกอย่างพี่นะก็มาคุยไว้

            “เอ้ย เดี๋ยวพี่จะทำเพลงของอัลบั้มต่อไป มันอาจจะต้องมีการปรับคอรัสให้มันมีเสียงผู้หญิง ถ้ามีเมื่อไหร่เดี๋ยวเรียก” เป็นเหมือนสัญญาใจ แล้วก็เป็นงานนั้นแหละที่พาเราเข้ามาเป็นอย่างทุกวันนี้ กลายเป็น 80 Kisses (2559) ก็คือ 3 เพลงแรกค่ะ พบกันใหม่, เพื่อนไม่จริง, เวลาเธอยิ้ม 

Pre-chorus

Chorus และ Choir ความเหมือนที่ต่าง 

            แพรว่าที่ไทยอาจจะไม่ได้เข้าใจนิยามของสองคำนี้ขนาดนั้น เพราะเวลาคนพูดคำว่า Choir กับ Chorus  คนอาจจะคิดว่ามันเป็นอันเดียวกัน แต่แพรรู้สึกว่า Choir สำหรับแพรมันคือมาเป็นคณะเลย และก็ร้องกันสัก 4 – 5 คนเป็นอย่างน้อยเพื่อให้มาเป็นก้อนเสียงใช่มั้ยคะ แต่ Chorus ของแพรคือต่างเลยนะ จริงๆ สิ่งที่ควรใช้มันอาจจะเป็น Backup Vocalist หรือ Backup Vocal มันควรจะเป็นอย่างนั้นมากกว่า เพราะว่า Choir คือมัน Support กันเองใช่มั้ยคะ แต่ถ้าเป็น Backup Vocal คือมันต้อง Support นักร้องหลัก ก็เลยต่างกัน

            เพราะฉะนั้นถ้าย้อนกลับไปที่การบรีฟหรือคำนิยามของงานแรก จะเห็นว่ามันค่อนข้างคลาดเคลื่อนไปพอสมควร แต่ท้ายที่สุดเราชอบมันนะ เราเคยคุยเรื่องนี้กับครูเหมือนกัน ว่าถ้าเราไม่ได้รับงานนั้นไปเราต้องเสียใจแน่ๆ แล้วจริงๆ งานนั้นก็ไม่ได้ง่าย ยิ่งถ้ามองย้อนกลับไปในมุมละครเพลงก็คืองานนั้นมันไม่ง่ายเลย แต่มันเป็นงานที่เราทำงานผลงานออกมาได้โอเค ทุกคนชอบ เพราะเราประสานได้เยอะ บางทีเขาบอกเยอะไปด้วย “แพรอันนี้ไม่ต้องก็ได้ พี่คนร้องหลักเขาเขวหมด” (หัวเราะ)

            แต่ถ้าเป็นงานอื่นๆ ตั้งแต่เจอพี่นะ อันนี้ถือเป็นความโชคดีเลยที่พี่นะเขาเสพ 80’s – 90’s มาก่อนแล้วพี่นะน่าจะฟังเยอะมากประมาณนึง ดังนั้นเขาก็จะมีบรีฟที่ชัดเจนแบบ 

            “แพร เพลงนี้พี่อยากได้ reference เป็นอย่างนี้” 
            “อ๋อ 90’s ใช่มะ โอเคได้” 

            คือบรีฟมาแบบนี้ เรารู้เลยว่างานมันน่าจะลักษณะประมาณไหน ก็เลยทำงานได้สนุก

รสนิยมในการฟังเพลงมีผลต่อการทำงานมั้ย

            เอาจริงๆ มีผลนะ เพราะถ้าฟังไม่เหมือนกันวิธีการทำงานก็คงฉีก ยกตัวอย่างถึงคนอื่นๆ ที่ทำงานด้วย ทุกคนฟังเพลงแนวๆ เดียวกันหมด นอกจากเราที่ทำอยู่ตอนนี้ก็มี อดัม – ปิยบุตร ฉิมมณี กับ โยชิ – ทยา แสงอรุณ จริงๆ มีคนอื่นอีก แต่หลักๆ จะเป็นเสียงสองคนนี้ โยชิเขาจะเป็นคริสเตียน แล้วโบสถ์ที่เขาอยู่เป็น Gospel ถ้าให้โยชิแนะนำเพลง โยชิก็จะ “แพรไปแกะ Whitney Houstonส่วนอดัมก็ “พี่แพรครับ พี่แพรน่าจะฟัง Musiq Soulchildคือ Soul มาเลย ทั้งหมดคืออยู่ในแนวเดียวกัน ซึ่งเป็นอะไรที่พี่นะชอบอยู่แล้ว ก็เลยเอามารวมกันได้ ถ้าอย่างนี้ก็คือมันจะยังไม่ค่อยฉีก มันยังเข้าใจกัน 

            แต่ถ้ามองย้อนไป สิ่งที่เราฟังเมื่อก่อนกับปัจจุบันมันต่างกันอยู่แล้ว เรนจ์การฟังของคนมันไปข้างหน้าตลอด ในแง่การทำงาน ถ้าเจอคนที่เข้ากันได้มันก็น่าสนใจ แต่ถ้าเจออันที่มันต่างมากก็จะรู้สึกแปลกใหม่นิดนึง เช่น เคยเจอคนที่ชอบ Billie Eilish มาก ก็โอเคนะ แสดงว่า Sound เสียงเขาคล้ายๆ ซึ่งคล้ายเลย ชาเลนจ์ใหม่ก็คือเขาร้องทุกอย่าง และมันเป็นโทนนั้น แสดงว่าเขาฟังมาจนมันครอบคลุม ครอบงำแล้ว แต่ถ้าถามว่ามันดีมั้ย มันดีมากๆ แหละ เพราะมันคือการซึมซาบสิ่่งที่ชอบเข้าไป แค่อาจจะทำให้เวลาไปร้องเพลงแนวอื่นๆ ยากขึ้นนิดหน่อย 

            แต่จุดนี้ก็ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่าการใช้ Streaming Service เป็นทางออกของเรฟในการร้อง เดี๋ยวนี้ทุกคนอาจจะไม่ได้มีศิลปินที่ชอบเหมือนเวลาเราตั้งคำถามกันเองเมื่อก่อน ตอนนี้มีแค่ Playlist ที่ Spotify จัดให้ ซึ่งมันไม่ครอบคลุมนะ เราฟังเพลงแค่นั้นเราจะรู้ได้ยังไงว่าเทคนิคที่นักร้องคนนั้นใช้มันมีอะไรบ้าง ชั่วโมงบินในการฟังมันไม่เท่ากัน อีกอย่างถ้าเราฟังเยอะมากพอ สิ่งที่เราจะมีคือแมททีเรียลในการเปรียบเทียบ เราจะดูออกเลยนะว่าอันไหนคือการ Copy แล้วอันไหนที่เป็นแค่ Reference จุดนี้ก็สำคัญ

Chorus

การทำงานของแพร วนิตนาถในฐานะคอรัสรับจ้าง 

            เอาที่ทำงานกับพี่นะก่อนเลยแล้วกัน สมมติถ้าเป็นพี่นะก็จะเริ่มด้วยการทักมาก่อน 

            “แพร มันมีเพลงใหม่ ต้องอัดนะ”
            “โอเค งั้นเดี๋ยวไปเจอกัน” 

            ถ้าเป็นช่วงแรกๆ ที่ยังไม่ค่อยรู้จักกันพี่นะจะส่งเดโม่ตอนที่ไม่มีเสียงคอรัสมาให้ก่อน ซึ่งเดโม่มันก็เป็นดนตรีเกือบจะครบแล้ว แต่เสียงพี่นะจะยังไม่ได้รับการปรับแต่งเท่าไหร่ ก็จะเป็นโทนแบบ Raw ยังไม่ได้มีการแก้มาก แต่นั่นก็คือเพื่อให้แพรฟังว่า เออ ทำนองมันหน้าตาแบบนี้นะ แล้วมันควรจะได้ยินคอรัสแทรกตรงไหนบ้าง ก็อาจจะลองนั่งร้องประสานดูเลย เหมือนกิจกรรมสมัยเรียนที่ร้องอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ไลน์หลัก เพื่อให้รู้ว่า เอ้อ มันมีตรงนี้นะมันเป็นไปได้ แล้วค่อยไปเจอกันในห้องอัด พออัดเสร็จแล้วพี่นะก็จะถามว่า “มีขายมั้ย มีแถมมั้ย” (หัวเราะ) กลายเป็นโจ๊กว่า มีอีกป่ะ มีอีกป่ะ (หัวเราะ) จนบางงานแบบ พี่ มันมี 5 ไลน์ละ ไม่ต้องแล้วก็ได้ เราบน เราล่าง แล้วเราก็ Dub เสียงหลัก แล้วเราก็เอา Octave ของเสียงหลัก ร้องสูงกว่าเสียงหลักไปอีก

            คือมันจะมีการถกกันก่อนเพื่อหาส่วนที่ดีที่สุดค่ะ “ไลน์ที่พี่เสนอมาเมื่อกี้ ถ้าร้องแบบนี้มันจะมีกัดกันนะ” ก็คุยกันให้เรียบร้อย เราก็อาจจะต้องลองเสนอแบบ “มีเทคนี้ เป็นร้องแบบ A ร้องแบบ B ชอบอะไร” อ๋อ ชอบหมดเลย งั้นเอา B แบบบางๆ (หัวเราะ) เขาก็จะไปปรับต่อ บางเพลงเขาก็เก็บอะไหล่ไว้เยอะ  

            หลังๆ พี่นะให้อิสระเยอะหน่อย เพราะเขาเข้าใจ สมมุติว่า “แพร อันนี้พี่อยากได้แบบ 90’s hair bands” อะไรแบบนี้ แล้วก็แต่ละสไตล์ของเพลงที่พี่นะทำตอนนี้มันก็หลากหลายแล้วใช่มะ ถ้าเป็นยุค 80 Kisses มันคือ 80’s 90’s เลย เพราะฉะนั้นอย่างปืนที่ได้ร้องเยอะๆ อะ ก็คือพี่นะบอกว่า “แพรทำตัวเหมือน Mariah Carey ร้องหวีดๆ ไปเลย” พี่นะบรีฟมาแบบนี้ ซึ่งพอเราทำได้พี่เขาชอบมาก แต่ตอนนั้นเขินนะ เพราะเพิ่งจบใหม่ยังทำงานปีแรกค่ะ มันก็เลยยังไม่ค่อยมั่นใจ “แพร Adlib ไปเลย” Adlib คืออะไร? (หัวเราะ) ที่เรียนมามันไม่เจอคำนี้นะ เวลาร้องแบบละครเพลงเราไม่เจอการ Improvise เท่าไหร่ค่ะ ก็ไม่ชินตอนนั้น แต่ตอนนี้ชินมากขึ้น

            พอมันมาเป็น Pillow War (2563) มันจะเริ่ม R&B ขึ้น คราวนั้นเขาก็เริ่มอยากได้คอรัสผู้ชายผู้หญิง ก็มีเปลี่ยนไปมาเรื่อยๆ จนมาจบที่ปัจจุบันคือ อดัม โยชิ และก็มีเพื่อนชื่อ มายด์ – สรัญธร ทวีรัตน์ นักร้องนำจาก Supergoods ซึ่งดีมากที่มายด์กับอดัมฟังเพลงเหมือนกัน แล้วในการทำงานปกติอดัมร้องเส้นนึง โยชิร้องเส้นนึง เราร้องเส้นนึง มายด์ก็อาจจะแบบ “แพรงั้นเราร้องทับกับเมโลดี้ดีมั้ย” ซึ่งดีเพราะถ้ามายด์เป็นคนร้องทำนองหลัก พอพี่นะรู้ว่ามีคนร้องเสียงเมโลดี้ให้ พี่เขาก็จะไปร้อง adlib เป็นการทำงานที่เข้าขากันดี ยิ่งหน้างานยิ่งเรียกว่าทุกคนมีสติและไหวพริบที่ดี 

ทำไมต้องมีเสียงคอรัสในเพลง จำเป็นมั้ย ไม่มีได้มั้ย 

            คือนิยามของคำว่าคอรัสมันเยอะมากเลย มันเป็นได้หลายแบบมาก แพรว่าเพลงจะไม่มีคอรัสได้มันต้องมีเงื่อนไขว่าตัวมันเองแน่น แน่นชิบหาย แน่นไปเลย แน่นแล้วต้องสนุกด้วยนะ เพราะว่าถ้าแน่นแล้วเยอะก็คือมันรก ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นก็คงไม่ดี ยกตัวอย่างเพลง มันเป็นใคร ก่อนหน้าที่จะมีคอรัส พี่นะทำทุกอย่างเอาไว้เท่แล้ว “เธอเป็นเดียวที่ไม่ควรเสียใจ” จะมีเสียงซินธ์เข้าก่อน “Alright” คือไม่ให้หูรู้สึกน่าเบื่อ ในทุกๆ อณูคือมันมีอะไรแทรกอยู่ตลอด แล้วพี่นะชอบแบบชอบแผงแนวตั้งมากกว่าแนวนอนที่มันมีแทรกๆ กัน ดังนั้นถ้าเพลงนึงมันมันสามารถเต็มด้วยตัวมันเองได้ขนาดที่ไม่มีตรงไหนน่าเบื่อเลย แพรว่าคอรัสอาจจะไม่จำเป็น แต่แน่นอนคอรัสก็ต้องมีไว้เพื่อทำให้เพลงดีขึ้น ถ้าทำให้เพลงรก ก็ไม่ควรจะมี ในความรู้สึกเรา ถ้าลูกค้าหรือพี่นะถาม “เอ้ย ตรงนี้ควรมีมั้ย” ก็จะมองหน้าหน้ากันแบบ “พี่ ถ้ามีมันรกแน่เลยว่ะ” พี่นะก็ “เออ งั้นไม่เอา” ก็จะคุยกันได้ 

            หรืออีกแบบหนึ่งคือยึดตามบริบทของเพลง ยกตัวอย่าง เป็นเพราะฝน มันจะมีท่อน “มีเพลงผิดหวังที่เรา ได้เปิดมันฟังด้วยกัน” ตอนนั้นพี่นะอยากให้มันทิ้งไว้คนเดียว ขอประสานหนึ่งไลน์ ก็มีเสียงผู้หญิงเข้ามาหนึ่งไลน์ แล้วก็คุยกันว่าควรจะมีอีกมั้ย แพรก็บอกว่า เพลงนี้เป็นเพลงของคู่รัก ก็เลยน่าจะมีแค่เสียงของผู้หญิงผู้ชายร้องกันแค่สองคน ถ้ามันมีเสียงแทรกมามากกว่านี้ อันนี้มันมือที่สาม (หัวเราะ) มันดูเยอะไป มันดูแบบ อ้าว มันดูมีเราสองสามคน ก็ไม่ได้ ตัวเพลงต้องทำให้เรารู้สึกถึงเรื่องราวของคนรักที่ “ได้เปิดมันฟังด้วยกัน” แล้วก็พอถึงท่อน “อย่าปล่อยให้เป็นแบบนั้น” จริงๆ ในที่อัดมันไม่มี เพราะจะได้รู้สึกว่า ก็ไม่รู้จะมีอีกมั้ย พี่นะซื้อเหตุผลนี้ เหมือนจะเข้าใจตรงกันว่ามันน่าจะมีเรื่องของเนื้อหาเพลงด้วย เหมือนเพลงล่าสุดที่ไปอัด ถ้าเนื้อเรื่องมันเหงาแล้วเราใส่คอรัสให้มันบรึ้ม เพลงมันก็ไม่เหงาอะไรแบบนี้เป็นต้น ก็เลยต้องดูแต่ละเพลงเป็น case by case มากกว่า

คอรัสเป็นอาชีพที่ถูกลืมรึเปล่า

            เออ เราว่าคนยังไม่ค่อยรู้จักเรารึเปล่า นั่นสิเขารู้จักคอรัสกันรึเปล่าวะ (หัวเราะ) แพรว่ามันก็คงมีคนรู้จักอาชีพนี้เยอะแหละ แต่มันเป็นงานเบื้องหลังน่ะ เราคงคาดหวังให้คนเห็นปุ๊ปจำได้ปั๊ปไม่ได้ แต่เรากล้าพูดว่าเราไม่เคยถูกลืมนะ อย่างเวลาทำงานกับพี่นะ พี่เขาหย่อนชื่อไว้เลยว่าน้องเขาชื่อนี้ ชัดสุดเลยคือปืน เพราะมันมีแต่เสียงเรา 8 ไลน์ เสียงเราชัดจนเวลาไปเล่นงานมันจะมีมุกแบบ

            “พี่นะไม่เล่นปืนหรอ คอนที่ผับนี้ที่พี่นะมาอะ พี่นะไม่เล่นปืนหรอ” 
            “อ๋อ แพรไม่ว่าง” 

            คือพี่ไม่เรียกไง (หัวเราะ) ถ้าขำๆ ก็คือแบบนี้ แต่จริงๆ จังหวะมันยากแหละ หรืออย่าง อาวรณ์ “อาวรณ์เอาคอรัสมาร้องข้างหน้าหน่อย” เหมือนให้คอรัสข้างหลังสี่คนออกมาร้องท่อนนึงเต็มๆ เลยน่ะค่ะ ก็คือพี่นะค่อนข้างจะไว้ใจ แพรว่าเขาเป็นคนทำให้คอรัสมันชัดเจนขึ้น ชัดจนคนเริ่มเห็นความสำคัญของคอรัส สำหรับแพรนะคะ แพรรู้สึกว่าตั้งแต่ พบกันใหม่ ออกมา แพรไม่เคยเห็นใครมานั่งถามว่าคอรัสคือใครจนกระทั่งเพลงนั้นน่ะ ซึ่งแพรตกใจมากๆ ที่เพลงมันสร้างอิมแพคขนาดนั้น

            จำได้เลยว่าตอน MV ออกในยูทูบถึงกับมีคนมาถามพี่นะว่า เสียงคอรัสคือพี่ผู้หญิงนักร้องในค่ายรึเปล่า มันชัดเจนมากเลยว่าคนเริ่มให้ความสนใจกับส่วนนี้ ไม่ใช่แค่ในแง่ของคนฟัง แต่ในด้านศิลปินเองแพรก็เห็นหลายๆ วงที่เริ่มทำไลน์คอรัสให้ได้ยินชัดขึ้น พูดแล้วก็รู้สึกว่าขอบคุณค่ะ ในมุมคนทำอาชีพนี้เราก็ดีใจที่มีคนตาม มีคนฟังเรา เห็นเราแล้วจำเราได้ ขนาดมีคนมาทักตอนคอนเสิร์ต Polycat ที่ Siam Paragon แบบเดินเข้ามาถามเลยว่า “พี่คือคอรัสใช่มั้ยครับ” (หัวเราะ) ตกใจนะ แต่ก็ดีใจ 

Bridge

ส่วนที่ดีและส่วนที่ยากในการทำงาน

            ถ้างานเยอะมันก็ดีหมดแหละ ยิ่งได้เจอศิลปินเยอะๆ เรายิ่งชอบ แต่งานอย่าเร่งพอ ล่าสุดเราก็ไปร้องในคอนเสิร์ตนึงมา งานมันด่วน ก็คือไม่ถึงสองอาทิตย์ก่อนหน้าคอนเสิร์ตจะเริ่มอะค่ะ มีทีมงานที่รู้จักกันเขาโทรมาอยากได้คอรัสไปร้องในคอนค่าย เราก็โอเค มันมีกี่เพลง มีสักประมาณ 47 เพลง ตอนนั้นตกใจมาก สุดท้ายไปจบที่ 50 (หัวเราะ) ข้อดีเลยคือโชว์ศักยภาพจัดๆ เพราะเราต้องเนี้ยบ เรามีแบรนดิ้งของเราต้องรักษา แพรก็ไปนั่งฟังนั่งแกะเลยใน 47 เพลงนั้น ตัดออกมาที่ต้องคอรัสจริงๆ เหลือประมาณ 35+ ก็ยังเยอะอยู่ แต่คือเราสู้

            เราต้องทำให้รู้ว่าในแง่ของ Backup vocalist ถ้างานไวคือทีมเรา เราทำได้และทำได้ดี เราทำรอด ซึ่งท้ายที่สุดมันมากกว่ารอดนะ มีทีมงาน Backup ข้างหลัง ทีมงาน stage เขาแบบ “เฮ้ย พวกน้องแบบเก็บเนียนมาก” พวกแพรต้องรู้กันอะ ว่าตรงไหนเราต้องทำอะไร เป็นการนำเสนอว่า “เฮ้ยคอรัสทำได้” เราทำกันดีขนาดที่ศิลปินรุ่นใหญ่ๆ ก็ออกปากว่า “เอ๊ะ พวกน้องไม่เคยซ้อมด้วยกันเลย นี่ร้องได้แล้วหรอ” ดังนั้นเราว่า งานเยอะๆ มาเหอะ มีแค่อย่ารีบมาก เคยเจออัดสปอตเสร็จใน 6 นาที เพื่อขายเลยแบบนี้ก็อย่ามีบ่อยๆ เลขมันน่ากลัว (หัวเราะ) 

คุณได้รับผลกระทบจากช่วงโควิดที่ผ่านมาบ้างมั้ย

            เราไม่ค่อยได้รับผลกระทบนะ มันไม่ได้กระทบงานอัดเสียงขนาดนั้น โควิดมันห้ามเจอกัน แต่ว่าพวกโปรดิวเซอร์ก็ไม่เจอใครอยู่แล้ว เขาก็อาจจะถามว่าแบบ “แพร เดี๋ยวแพรฟังเดโม่แล้วแพรเข้ามาอัดได้เมื่อไหร่” มันก็เจอแค่สองคนอย่างนี้ใช่มั้ยคะ และเกมเขาก็แค่รับผิดชอบตัวเอง แต่เอาจริงๆ งานมันถี่กว่านี้ได้ถ้าไม่มีโควิดมาสกัดดาวรุ่ง ยิ่งงาน On Ground จะมีปัญหากว่า แต่ว่าถ้าเป็นพวกห้องอัด แพรว่าพวกชาว Producer เขาไม่ได้มีปัญหา เขาก็แค่ทำเลเยอร์มาให้เราฟัง ไม่เหมือนคอนเสิร์ตที่เลื่อนแล้วเลื่อนอีก เลื่อนจนท้อ 

ความสำคัญของออกเสียงภาษาอังกฤษในฐานะคนศึกษาสัทศาสตร์

            เราไม่ได้จบเรื่องการออกเสียง แต่ตัวโทมันคือเหมือนผู้เชี่ยวชาญด้านเสียง มันก็เลยดูเรื่อง Phonetic ก็คือสัทศาสตร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการออกเสียง และมันก็ไปดูเรื่องการจัดการร่างกายว่าทำยังไงให้พูดได้ดี และก็มีส่วนของการร้องเพลง แต่ว่าก็คือเขาก็ให้จับรวมๆ ว่าชอบอะไร บทละครก็ต้องพูด Shakespeare เราก็ต้องเรียน (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นมันกว้างมาก แต่ถ้าถามกลับมาว่าแบบการออกเสียงอย่างงี้มันสำคัญยังไง มันก็ต้องสำคัญ เราว่าศิลปินที่มีเพลงตอนนี้ เขาใช้โดยที่เขาไม่ต้องรู้ตัวอยู่แล้ว การพูดชัด ร้องให้ชัดสำคัญมากนะ

            นึกภาพคำว่า“ด้วยกัน” ถ้าออกเสียงไม่ชัดหรือโน้ตสั้นไป มันอาจจะออกมาเป็น “ด้วยกึน” แค่นี้ความหมายก็เปลี่ยนไปแล้ว ต้องแก้ ซึ่งเรานี่แหละจะช่วยย่อยข้อมูลให้เข้าใจมากขึ้น ไม่ให้มันดูจริงจังหรือยากไป ยิ่งถ้าเป็นเด็กเธียร์เตอร์เราจะยิ่งให้ความสำคัญมากเรื่องการออกเสียง เพราะว่าการเรียนเธียร์เตอร์ต้องใช้ภาษาอังกฤษ เราก็จะกำชับให้ปัดฝุ่นให้ดี แต่ก็จะอธิบายให้เข้าใจถึงเทคนิคด้วยนะ ว่าถ้าพูดต้องออกเสียงแบบนี้ แต่ถ้าร้องเพลงอันนี้ง่ายกว่า บูรณาการร่วมกันได้

Outro

บทเรียนจากการทำงานทั้งหมด

            ต้องยืดหยุ่น ต้องพร้อมรับสถานการณ์ เพราะไม่ว่ามันจะอยู่ในห้องอัดหรือแสดงสด ก็อาจจะมีอะไรให้ต้องเปลี่ยนเร็วๆ ตลอดเวลา สมมุติว่าอัดงานไปแล้ว ลูกค้าไม่เอา เปลี่ยน อันนี้มีแน่นอนอยู่แล้ว ก็ต้องเตรียมตัวให้ดี ส่วนการแสดงสดก็คือเราดูว่าข้างหน้าเขาทำอะไร เราต้องไม่ได้หลับหูหลับตาร้อง backup เช่นถ้าศิลปินกำลัง “ขอเสียงทุกคนหน่อย” เราก็ต้องซัพแทน คือต้องพร้อมรับ แล้วก็ยิ่งในคอนเสิร์ตจริงจังก็ต้องไม่ลืม have fun ต้องพร้อมและไปกับมัน 

มีความสุขมั้ยกับอาชีพนี้

            ทุกครั้งที่ได้ร้องคอรัสแล้วได้วนกลับมาฟังงานของตัวเอง ทั้งในยูทูบหรือที่ไหนก็แล้วแต่ เราเหมือนได้นั่งตรวจงานตัวเองน่ะ เราแฮปปี้นะที่ได้ยินว่ามันมีอะไรมาเติมในเพลงแล้วมันสวย เพราะสุดท้ายก็อย่างคำถามที่ว่า ทำไมต้องมีคอรัส มันก็ต้องมีเพื่อให้มันสวยขึ้น รู้สึกว่าดีใจ ที่ได้ทำให้มันสวยแล้วมีคนพูดว่ามันสวยจริงๆ มันเป็นเหมือน expectation ที่เราอยากทำให้ได้ อยากให้มันออกมาดี ก็แฮปปี้ทุกครั้งที่มีงานอย่างงี้เข้ามา

มีอะไรอยากฝากบ้าง จากคนดนตรีถึงคนที่เริ่มชอบดนตรี

            ก็ถ้าชอบอะไรก็ฟังมันเยอะๆ ถ้าสนใจศิลปินคนไหนก็ลองหา level ใหม่ในความละเอียดที่จะสนใจ เช่นถ้าชอบอิ้งค์ วรันธร ก็ฟังจนหารายละเอียดไปเลยว่าในเพลงของอิ้งค์มีอะไรอีก เหมือนกับว่าถ้าเราว่างแล้วอยากจะศึกษามัน ลองลงลึกไปเลยว่าเขาทำอะไรบ้าง เขาร้องคำนี้แบบไหน ถ้าเราค่อยๆ ให้ความสำคัญกับรายละเอียดพวกนั้นได้ ถ้าคุณคือคนร้องเพลงหรือจะมาร้องเพลง ยังไงก็มีประโยชน์

            หลายครั้งการเริ่มต้นอะไรบางอย่างอาจจะเริ่มด้วยการก๊อปปี้แต่ก็เพราะว่าเราชอบสิ่งนั้น หลังจากเราก๊อปปี้ ได้แล้ว เราจึงจะรู้ว่าเราจะทำยังไงให้มันต่างไปได้ ก็คือขอให้ฟังให้เยอะ และถ้ามีโอกาสก็ลองร้องมันออกมา ก็ต้องสนุก แพรจะให้ข้อมูลเยอะกว่านี้ก็ไม่ได้ เพราะว่ามันต้องสนุกอะ ถ้าแพรมานั่งแบบต้องอย่างงี้อย่างงั้น มันก็ไม่ใช่ ตราบใดที่ยังสนุก อยู่ก็ลองลงลึกไปให้ได้กับมันตามที่ใจอยากดีกว่า

แพรกับคำว่าโอกาส

            เชื่อมากๆ เพราะถ้าวันนั้นเขาไม่ได้เข้าใจผิดว่า “แพร แกร้อง Choir แกไปร้องอันนั้นดิ” แพรก็ไม่มีวันนี้ มันก็จะไม่มีโอกาสต่อๆ ไป ไม่มีทางได้เจอพี่นะ ยิ่งได้ทำงานด้วยกันคือแทบจะเป็นไปไม่ได้ 

            ดังนั้นโอกาสคือเรื่องสำคัญ แต่ว่าหลังจากโอกาสมาแล้ว เราเองต้องพิสูจน์ว่าทำได้ เพราะถ้าโอกาสมาซ้ำๆ แต่ทำไม่ถึงเงื่อนไขเขา ในอนาคตเขาก็อาจจะเลือกคนที่เหมาะสมกับงานมากกว่าเรา เรียกว่าผลงานของงานมันเป็นตัวตัดสินการรับงานในอนาคตได้ 

อยากให้แพรวนิตนาถทำงานให้

            ก็รับอัดคอรัสค่ะ จ้างได้ (หัวเราะ) รับอัดเสียง รับอัดไกด์ รับอัดคอรัส อยากให้ช่วยคิดให้ หรือมีให้มาแล้วและให้อัด อยากรังสรรค์ยังไงบอกได้หมดเลย แล้วก็ถ้าเรียบร้องเพลงหรือเรียนการออกเสียงก็รับหมดเลย (หัวเราะ)

            ผลงาน Polycat คือพี่นะเพิ่งปล่อยเพลง Rainbow Eyes ในชื่อ Rattana และเพลงอยากให้เจอรุ้งของเธอ ตามช่องทางสตรีมมิ่งต่างๆ ไปรับชมรับฟังกันได้ หรือถ้าอยากมาพบกัน ขอแนะนำให้มาชมละครเวทีเรื่อง Luna, The Immersive Musical Experience ที่กำลังจัดอยู่ที่ Emquartier ตอนนี้ค่ะ ถ้าสนใจสามารถติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ที่เฟสบุ๊คและอินสตาแกรม Castscape หรือถ้าใครอยากมาดู แอบกระซิบนิดนึงว่าเดือนพฤศจิกายนบัตรเป็นราคาพิเศษทั้งเดือนนะคะ ซื้อบัตรได้ที่ Ticketmelon เสิร์ช คำว่า Luna ได้เลย

Contributors

Contributors

อดีตนักเรียนสถาปัตย์ที่หลงใหลในจังหวะดนตรีและมีความสุขกับการเต้น ปัจจุบันทำเพลงเป็นงานอดิเรกที่จริงจัง และกำลังพัฒนาตัวเองเพื่อให้ฝันเป็นจริง

ช่างภาพอิสระ ... อิสระจากความมั่นคงทางรายได้