แดดเดือนมีนา-เมษาในกรุงเทพฯ เป็นแดดที่ทุกคนแทบไม่อยากก้าวขาออกบ้าน

ทว่าแดดในช่วงนี้ที่นครศรีธรรมราชกลับไม่แสบร้อนอย่างที่คิด เราเดินบนฟุตบาทรับแสงแดดได้สบายๆ ในย่านท่าวัง-ท่ามอญโดยไม่ต้องกางร่ม กองบก. Rhythm เดินกันไม่นานก็ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เพราะย่านนี้เป็นย่านที่เดินเท้าถึงกันได้สบาย

จุดหมายของเราในวันนี้คือ Norm Space หรือ พิพิธภัณฑ์บ้านครูน้อม บ้านหลังสีขาวที่ตกแต่งด้วยสไตล์ Art Deco ที่โดดเด่นกว่าบ้านหลังอื่นๆ ในย่าน 

คุณเจมส์-ศรีโรจน์ อนุตรเศรษฐ นั่งรอพูดคุยกับเราในมุมกาแฟของบ้าน คุณเจมส์เป็นอีกฟันเฟืองเล็กๆ ที่อยากขับเคลื่อนเมืองนครศรีธรรมราชให้สนุกขึ้น แต่ในที่นี้เราอยากให้ทุกคนรู้จักคุณเจมส์ ในฐานะประธานชมรมรักบ้านเกิดนครศรีธรรม และผู้กลับมาชุบบ้านครูน้อมให้มีชีวิตอีกครั้ง

เดิมทีบ้านหลังนี้เป็นบ้านของครูน้อม อุปรมัย บุคคลสำคัญของนครศรีธรรมราช ผู้มีหลายบทบาทตั้งแต่เป็นคุณครู เป็นนักการเมือง และเป็นผู้ที่ตั้งชื่อถนนในเมืองนครศรีธรรมราชอย่างถนนศรีปราชญ์

ก่อนหน้าที่คุณเจมส์จะชุบชีวิตบ้านของครูน้อมให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่นี่เคยเป็นโรงเรียนอนุบาลภัทรวิทย์ แต่ได้หยุดการเรียนการสอนไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว บ้านหลังนี้จึงถูกปิดไว้อยู่เฉยๆ คุณเจมส์ที่ได้ทำงานร่วมกับสถาบันอาศรมศิลป์จึงมองเห็นว่า บ้านหลังนี้มีเรื่องราวมากมายที่ควรเป็นที่รู้จัก เป็นบ้านที่แสดงถึงรากเหง้าเมืองนครฯ และอาจเป็นสถานที่ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนที่นี่ได้ คุณเจมส์จึงตั้งใจให้บ้านครูน้อมเป็นหมุดหมายแรกเมื่อคนมาเยือนนครศรีธรรมราช การชุบชีวิตบ้านเก่าสไตล์ยุโรปหลังนี้จริงเริ่มต้นขึ้น

จากบ้านสู่พิพิธภัณฑ์

“จริงๆ บ้านหลังนี้ใช้เวลาสร้างอยู่ 15 ปีตามคำบอกเล่าของพี่ติ๋ม (ลูกของครูน้อม) ก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นโรงเรียนแต่ได้หยุดไป ผมเลยคุยกับพี่ติ๋มว่า ผมสนใจที่นี่ เพราะผมอยากกลับมาทำให้บ้านนี้มีชีวิต ซึ่งความต้องการของผมกับลูกๆ ของครูน้อมก็เห็นตรงกัน เพราะการชุบชีวิตครั้งนี้ ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ในท้องถิ่นบ้านเกิดของพวกเราเองด้วย ดังนั้นผมไม่ได้มาเพื่อครอบครองหรือซื้อกิจการเลยครับ”

คุณเจมส์เกิดที่นครศรีธรรมราช ในย่านเมืองเก่าอย่างท่าวังที่เรากำลังนั่งคุยกันอยู่ตอนนี้ ปัจจุบันคุณเจมส์ทำธุรกิจเกี่ยวกับไอที แต่การกลับบ้านทำให้คุณเจมส์มองเห็นโอกาสฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เมืองนครฯ มีชีวิตชีวามากขึ้น ซึ่งตัวคุณเจมส์เองก็บอกกับเราว่า การกลับมาฟื้นฟูย่านนี้เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับในอาชีพของเขาอยู่เหมือนกัน เพราะธุรกิจไอทีมักอยู่กับเทคโนโลยีและความว่องไว ในขณะที่การชุบชีวิตบ้านครูน้อมเป็นการยึดโยงกับศิลปะและวัฒนธรรมแบบค่อยเป็นค่อยไป

“ช่วงก่อนโควิดผมมีโอกาสได้ร่วมกิจกรรมกับกลุ่มที่มาทำงานให้กับจังหวัดอย่าง สถาบันอาศรมศิลป์และหอการค้าของจังหวัด ทำให้ได้ศึกษาข้อมูลของเมืองเก่าว่า แท้จริงแล้วนครศีธรรมราชได้รับการเลือกให้เป็นเมืองเก่าตั้งแต่ปี 2546 เราเลยคิดว่า 10 ปีที่ผ่านมา พวกเราที่เป็นภาคเอกชนได้มีโอกาสทำอะไรเพื่อพัฒนาเมืองได้บ้างหรือเปล่า คำตอบคือเรายังไม่ได้ทำมากขนาดนั้น จนกระทั่งได้มารู้จักชมรมรักบ้านเกิด ชมรมที่รวมตัวนักวิชาการ สถาปนิกและนักธุรกิจในท้องถิ่นที่มองเห็นความสำคัญของศิลปะวัฒนธรรม มาระดมความคิดกันเพื่อเปลี่ยนเมืองให้น่าอยู่ เปลี่ยนให้เมืองน่าท่องเที่ยว ซึ่งผมก็เป็นสมาชิกในรุ่นกลาง เพราะปัจจุบันรุ่นอาวุโสก็อายุเกิน 70 กันหมดแล้ว (หัวเราะ)” 

จุดเริ่มต้นที่พาคุณเจมส์ได้เจอกับบ้านครูน้อมเกิดจากกิจกรรม “ปลุกยักษ์” กิจกรรมที่กลุ่มท่าวังร่วมกับสถาบันอาศรมศิลป์และเทศบาลนครศรีธรรมราช จัดขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของเมืองนครศรีฯ ในปี 2561 โดยหนึ่งในแผนของกิจกรรมนี้คือการสำรวจเมืองนครศรีธรรมราชแล้วนำข้อมูลมาทำแผ่นพับ เพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในย่านท่าวัง-ท่ามอญอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งการสำรวจจุดต่างๆ ของเมืองในครั้งนั้นนำพาให้คุณเจมส์ได้ค้บพบบ้านครูน้อม

“ผมได้คุยกับลูกๆ ของครูน้อมแล้วเห็นตรงกันว่า อยากชุบชีวิตที่นี่ด้วยการทำเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งมันตรงกับการที่บ้านครูน้อมเองก็มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเมืองนครศรีฯ มาเยอะอยู่แล้ว มีทั้งประวัติท้องถิ่น มีทั้งภาพเก่าที่น่าสนใจ และมีข้อมูลที่น่าสนใจที่อยากเอามาแชร์กันเยอะมาก ผมเลยจัดตั้งบริษัทขึ้นมา ชื่อว่าบริษัท Norm Space ครับ”

คุณเจมส์ให้คำนิยามของ Norm Space ไว้ว่าเป็น Museum – Coffee – Hostel  โดยทั้งสามคำเป็นคำที่ร้อยเรียงกันแบบตรงไปตรงมา เพราะที่นี่เป็นทั้งพิพิธภัณฑ์เล่าเรื่องเกี่ยวกับครูน้อมที่อาจจะไปสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนในพื้นที่ได้ เป็นทั้งมุมกาแฟที่ใช้เป็น Co-Meeting & Co-Working Space ได้ และแม้ว่าพิพิธภัณฑ์จะเปิดอย่างทางการมาได้เพียงสองเดือน แต่ที่นี่ยังมีโฮสเทลเล็กๆ เอาไว้รองรับสำหรับผู้มาเยี่ยมเยือนอีกด้วย ซึ่งกลุ่มผู้มาเยี่ยมชมที่นี่อาจจะยังมีไม่มากนัก แต่ก็มากันไม่ซ้ำประเทศเลยทีเดียว เพราะคุณเจมส์เคยต้อนรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่ชาติเกาหลี อเมริกัน สเปน ญี่ปุ่น และอิสราเอล  เรียกได้ว่าที่ไม่เพียงแค่เป็นโฮสเทลเล็กๆ ธรรมดาเท่านั้น แต่ยังเป็นฮับสำหรับการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และให้ข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในเมืองนครศรีธรรมราชด้วย  

ดังนั้นที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับครูน้อม เพราะที่นี่ยังมีการเชิญศิลปิน และคุณครูสอนศิลปะเข้ามาใช้สถานที่ตรงนี้เป็นพื้นที่สอนศิลปะกับเด็กๆ หรือผู้ที่สนใจอยากเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะ คุณเจมส์จึงบอกกับเราว่าที่นี่เปรียบได้เป็นพื้นที่ทำกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) ที่มีทั้งรายได้ไปพร้อมๆ กับการพัฒนาสังคมด้วย

“ในส่วนของโฮสเทลเพิ่งเปิดตัวมาเมื่อกุมภาพันธ์นี้เอง เพราะอยากให้มีรายได้กลับมาหล่อเลี้ยงที่นี่ครับ แต่ผมมองกลุ่มเป้าหมายที่ชาวต่างชาติก่อน เพราะโฮสเทลเป็นห้องน้ำรวม ชาวต่างชาติอาจจะยอมรับในเงื่อนไขนี้มากกว่า เพราะโดยหลักๆ ผมต้องการทำที่นี่ให้เป็นหมุดหมายของการมาแวะพัก แล้วเดินทางท่องเที่ยวในย่านเมืองเก่าท่าวัง-ท่ามอญครับ ยิ่งไปกว่านั้นคือ ผมมองว่าถ้ามีชาวต่างชาติเข้ามา แล้วนำเงินมาจับจ่ายใช้สอยที่นี่เยอะๆ ก็จะทำให้เศรษฐกิจของเมืองนครฯ ดีขึ้น ประเทศไทยอยู่ได้ด้วยภาคท่องเที่ยวและบริการ การดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเยอะๆ จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายมากครับ”

บ้านคือพื้นที่ของศิลปะ

“ถ้าให้เรียกว่าตรงนี้คือพื้นที่ของศิลปะก็ได้ครับ เพราะก่อนหน้านี้มีศิลปินอยู่สามสี่ท่านที่เขาเข้ามาใช้พื้นที่นี้สำหรับนั่งทำงาน อย่างโปสการ์ดที่โชว์และวางจำหน่ายอยู่ที่นี่ก็เป็นงานของศิลปินหลายกลุ่มที่เขามาที่นี่กันครับ แต่ตอนนี้ศิลปินที่มาประจำก็คงเป็นป้าวาดครับ ป้าวาดเป็นอดีตครูสอนศิลปะ ซึ่งป้าวาดก็มีการจัดคอร์สเรียนศิลปะในเดือนเมษานี้ด้วย นอกจากเป็นพื้นที่เรียนคอร์สศิลปะแล้ว ที่นี่ยังมีภาพของคุณไมตรี ลิมปิชาต ท่านเป็นนักเขียนหนังสือนอกเวลาที่ผันตัวมาเป็นนักวาดภาพ ความบังเอิญก็คือคุณไมตรีมีภรรยาเป็นหลานของครูน้อม ซึ่งพอท่านทราบว่าพวกเราทำพิพิธภัณฑ์ตรงนี้ คุณไมตรีเลยมอบภาพวาดมาให้เรา 30 ภาพ เพื่อจำหน่ายและหารายได้มาช่วยทำพิพิธภัณฑ์ คนที่มาที่นี่ก็จะได้ชมงานศิลปะของคุณไมตรีด้วยครับ” 

ภาพวาดเหล่านั้นก็ขายไปได้บ้างแล้ว เพราะการขายงานศิลปะในต่างจังหวัดเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร แต่ภาพที่ขายออกไปแล้ว ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวที่นี่แล้วซื้อภาพสวยๆ ติดไม้ติดมือกลับบ้านมากกว่า คุยกันมาถึงตรงนี้เรายิ่งรู้สึกว่า ศิลปะคือส่วนสำคัญที่ช่วยชุบชีวิตบ้านที่เคยปิดตายหลังนี้ไว้ได้จริงๆ 

“ผมว่าบ้านครูน้อมกับศิลปะมันแยกกันไม่ออก เพราะมันเป็นสุนทรียศาสตร์ครับ ผมมองว่าพอถึงจุดหนึ่งของชีวิตมนุษย์ สุนทรียะในชีวิตอย่างดนตรี ศิลปะ หรืองานคราฟต์คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีความสุข มีจิตใจที่สงบ ศิลปะมันเข้าถึงได้กับทุกคน อยู่ที่ว่าเลือกที่จะเสพอะไรมากกว่า อย่างน้องชายของผมเขาชอบดนตรี ซึ่งนั่นก็เป็นสุนทรียศาสตร์อีกศาสตร์หนึ่งเหมือนกัน อยู่ที่ว่าคุณชอบด้านไหน ศิลปะคือศาสตร์ที่ไม่ซ้ำใครครับ”

ก่อนที่เราจะมาพบกับคุณเจมส์ เราได้ลองเดินชมย่านท่าวัง-ท่ามอญ ร้านรวงในละแวกนี้ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหาร ร้านขายของเครื่องใช้ที่จำเป็น ห้างร้านทองจนไปถึงธนาคารต่างๆ ดังนั้นโอกาสที่จะได้พบเจอพื้นที่สำหรับศิลปะจึงมีอยู่น้อยมาก เราเลยสงสัยว่าการมีอยู่ของพิพิธภัณฑ์ครูน้อมหรือการสร้างพื้นที่ศิลปะให้กับที่นี่ ได้สร้างมุมมองใหม่ๆ ให้คนนครฯ ได้บ้างไหม

“ถ้าถามว่าศิลปะสร้างแรงกระเพื่อมให้ที่นี่ได้ไหม ต้องเล่าว่า หลักจากที่เราจัดงานปลุกยักษ์ในช่วง 2561 เราตัดสินใจซื้ออาคารเก่าหลังหนึ่งที่เมื่อก่อนคนทิ้งถิ่นฐานตรงนั้นไปเพราะน้ำท่วมง่าย บ้านก็ทรุดโทรมง่าย และที่กลับไปซื้อตึกหลังนั้นเพราะผมเกิดแถวนั้นพอดี ซึ่งผมมองว่าถ้าปีหนึ่งน้ำท่วมซัก 15 วัน แต่ก็ยังมี 345 วันที่ให้เราค้าขายได้ ผมเลยตัดสินใจทำคาเฟ่โบราณในตึกโบราณ แล้วเอาชื่อของอากงที่เคยเป็นซินแสในย่านมาตั้ง จากยงคังคลินิกกลายเป็นยงคังคาเฟ่ พอคาเฟ่ตรงนี้เปิดตัว ก็มีคนมาเที่ยวและถ่ายรูป มีคนกลับมาเช่าบ้านเก่าในย่านเพื่อทำร้านเสริมสวยบ้าง ทำร้านอาหารบ้าง มี Chef’s Table บ้าง มีร้านไวน์บ้าง”

“นี่คือแรงกระเพื่อมหนึ่งที่มันเกิดขึ้น เป็นการเอาศิลปะสมัยใหม่ใส่เข้าไปในศิลปะแบบเก่า ทำให้คนเห็นคุณค่าของความงดงามทั้งในอดีตและปัจจุบันของบ้านเกิดมากขึ้น เช่นเดียวกันกับบ้านครูน้อม ที่เรานำเอาประวัติครูน้อมซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในอดีตมาผสมผสานกับศิลปะให้คนเข้าถึงได้ง่าย อย่างในตอนนี้เอง ศิลปะกับคนนครฯ ก็มีคนสนใจคอร์สเรียนของป้าวาดมากขึ้น เพราะโดยบริบทจริงแล้ว คนที่นี่เขาให้ความสำคัญกับวิชาอื่นๆ อย่าง วิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์เป็นหลัก แต่แค่มีคนเริ่มสนใจคอร์สศิลปะทั้งๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน นี่ก็ถือเป็นแรงกระเพื่อมที่ดีสำหรับพวกเราในระดับหนึ่งแล้วครับ เราก็ต้องค่อยๆ เติบโตกันไป”

บ้าน-พิพิธภัณฑ์ หมุดหมายแรกของเมืองนครฯ

ระหว่างที่นั่งคุยกัน เรามองไปรอบๆ บ้านของครูน้อมก็พบว่า ตรงบาร์กาแฟก็มีแผ่นพับให้ข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเมืองนครฯ มีภาพเมืองนครฯ ที่หาชมได้ยาก รวมถึงมีพนักงานประจำร้านกาแฟที่มีข้อมูลเกี่ยวกับนครศรีธรรมราชด้วย

อยากให้ที่นี่เป็น First Destination ของเมืองนครศรีฯ ครับ ช่วงแรกมีผู้ใหญ่มาเยือนเยอะเลย อย่างนายกเทศมนตรีนครศรีธรรมราช ดร.กณพ เกตุชาติ ที่ท่านเข้ามาชมงานก็บอกว่า ถ้ามีโอกาสก็อยากจะพาเยาวชนหรือนักเรียนมาเดินเยี่ยมชมที่นี่ด้วย เพราะถ้าเด็กนักเรียนมาชมพิพิธภัณฑ์กับคุณครู เด็กก็จะถามในสิ่งที่อยากรู้ แล้วครูก็จะเล่าให้ฟัง ทำให้เกิดการกระจายคำว่าครูน้อมออกไปเรื่อยๆ เดิมที่คนอายุ 65 ปีขึ้นไปจะรู้จักครูน้อม แต่กลายเป็นว่าคนที่อายุน้อยจะเริ่มรู้จักครูน้อมด้วยเหมือนกัน นี่คือความคาดหวังของพวกเราเลยครับ”

“แต่ถ้าถามว่าสมหวังหรือยัง ก็ต้องบอกว่ายังนะครับ เพราะเราก็เพิ่งผ่อนคลายจากสถานการณ์โควิดกันมาไม่นาน อาจจะต้องรอเด็กๆและคุณครู อีกสักเทอม อย่างน้อยผมก็อยากให้คนได้รู้รากเหง้าของเมืองไปด้วยกัน ได้เห็นด้วยกันว่าท้องถิ่นของตัวเองมีใครอยู่บ้าง”

เราเลยลองถามต่อไปว่าในมุมมองของคุณเจมส์ อะไรคือสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นหากผู้คนได้เข้าใจและรู้จักรากเหง้าบ้านเกิดของตัวเอง 

“ผมมองว่าทุกคนมีแรงบันดาลใจที่เกิดจากการเรียนรู้นะ การเรียนรู้จากชีวประวัติของคนที่ประสบความสำเร็จ ถ้ามีโอกาสได้เจอบุคคลต้นแบบแล้วรู้จักคิดตามว่า อย่างครูน้อมที่แม้ว่าเขาจะไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่มีความพร้อม แต่เขาก็สามารถเรียนรู้ และไต่เต้าจนประสบความสำเร็จได้ ผมว่าเด็กทุกคนก็เช่นเดียวกัน ถ้ามีความใฝ่ดีใฝ่รู้ เขาก็สามารถประสบความสำเร็จได้”

“ผมเองก็เป็นเด็กต่างจังหวัดและไปเรียนที่กรุงเทพฯ ในวันที่เรากลับมาทำธุรกิจไอที ผมมีโอกาสก็พาทีมของผมไปสอนตามโรงเรียนต่างๆ ตั้งแต่สอนเรื่องของการทำภาพยนตร์ ด้วยกล้องดิจิตัลกับไอแพด จนมีวันหนึ่งผมเจอเพื่อนของลูกชาย คุณแม่ของเขามาเล่าให้ผมฟังว่า พอลูกชายของเขาจบคอร์สนั้น ลูกชายตั้งธงไว้เลยว่า เขาจะต้องเรียนนิเทศศาสตร์ และไปต่อในสายภาพยนตร์ให้ได้ ผมเลยมองว่าเด็กหลายๆ คนจะค้นหาแรงบันดาลใจจากเรื่องราวที่เขาเจอ และต้องเป็นเรื่องราวโดนหัวใจเขาด้วย ซึ่งผมเองก็หวังว่าพิพิธภัณฑ์ประวัติครูน้อมจะให้แง่มุมบางอย่างให้กับเด็กๆ ที่มาเยี่ยมที่นี่ได้บ้างเหมือนกันครับ”

คุณเจมส์ย้ำกับเราเสมอว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเพียงเล็กน้อยเท่านั่น แต่เรามองว่าการเริ่มต้นของคุณเจมส์และบ้านครูน้อม คืออีกหนึ่งลูกคลื่นที่จะพาเมืองนครศรีธรรมราช เกิดฉากทัศน์ใหม่ที่จะเปิดโลกให้กับเด็กและเยาวชนของที่นี่ได้มากกว่าที่เคย


“ผมตั้งใจให้ที่นี่เป็นแหล่งเรียนรู้ แล้วก็อย่างน้อยๆ ผมอยากให้ย่านนี้มีกิจกรรมที่เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะบ้านเก่าที่ไม่ถูกใช้ประโยชน์หรือบ้านที่ถูกปิดไว้เฉยๆ ต้องได้ชุบชีวิต เหล่าลูกหลานจะต้องคิดแล้วว่าเขาจะกลับมาพัฒนาบ้านของพ่อแม่ยังไง หรือกลับมาหารากเหง้าของตัวเองด้วยวิธีไหนได้บ้าง เพราะผมเชื่อว่าคนเราไม่ใช่ต้นไม้ที่ต้องอยู่กับที่ และเราเป็นต้นไม้ที่สามารถเติบโตที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าเติบโตในถิ่นเดิมของตัวเองได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการส่งต่อความยั่งยืนส่งต่อถึงลูกหลานได้ครับ”

อย่างที่คุณเจมส์เคยบอกเราตั้งแต่แรกว่า การมาอยู่ในจุดนี้ของเขาไม่ใช่การหวังเพื่อมาครอบครอง เพราะเป้าหมายของคุณเจมส์มีภาพกว้างของเมืองนครฯ ที่มีชีวิตชีวาอยู่ด้วย จึงไม่ผิดนักที่เราจะกล่าวว่า คุณเจมส์กำลังทำงานเพื่อสังคมในอีกมุมหนึ่งไปพร้อมกับคนอื่นๆ ของเมืองนครฯ อยู่เช่นกัน และแน่นอนว่าการทำงานเพื่อสังคมของคุณเจมส์ ย่อมสอนบทเรียนเตือนใจสำคัญทิ้งไว้ให้เขาด้วย

“สิ่งที่ผมเรียนรู้คือต้องเสียสละครับ สิ่งนี้สำคัญที่สุดเพราะบางอย่างที่เลือกทำลงไป อาจจะไม่ได้ถูกใจคนในครอบครัว แต่ผมมองว่าคนเราต้องทำเพื่ออะไรบางอย่างเพื่อหาคำตอบให้กับชีวิตตัวเองเรื่อยๆ แต่ที่คิดแบบนี้ก็อาจจะเป็นเพราะผมชอบทำกิจกรรมเกี่ยวกับสังคมมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว หลายเรื่องที่คนอื่นมองว่าทำได้ยาก ผมก็ชอบคิดว่าเรื่องนั้นผมอาจจะทำสำเร็จก็ได้นะ และสิ่งที่ทำลงไปย่อมได้อะไรบางอย่างกลับคืนมา ไม่ใช่ในรูปแบบของผลพลอยได้ แต่เป็นความสุขที่เราได้ให้กับสังคม เพราะฉะนั้นผมก็คาดหวังว่า ถ้าเด็กคนไหนมาที่นี่แล้วได้รับสิ่งดีๆ ไปได้ แล้วอย่างน้อยชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงเพราะสิ่งนี้ แล้วเราก็จะรู้สึกภูมิใจและมีความสุขแล้วจริงๆ ครับ”

Contributors

Contributors

เด็กมนุษย์ฯ ผู้ชื่นชอบการออกไปเดินเที่ยวคนเดียว เอนจอยกับการเต้นและการกิน ปัจจุบันกำลังพยายามใช้ชีวิตแบบ Slow Life อยู่

นักเล่าเรื่องที่ใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมือและศรัทธาในพลังของงานเขียน ผู้ชอบตัวเองตอนนั่งสัมภาษณ์ผู้คนที่สุด