“พวกเราโอเค แล้วนายล่ะ… โอเคมั้ย?”
คำถามขี้เล่นที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใยจากโบ๊ท – นิธิศ วารายานนท์ มือเบสจาก NINEOKMAI 1 ใน 3 อดีตสมาชิกจากวง The Yers ที่กลับมาพร้อมกับเพื่อนเก่า อย่าง บูม – ถิรรัฐ ภู่ม่วง (มือกลอง) และชิ้น – พนิต มนทการติวงค์ (กีตาร์) ผู้รับบทนักพยากรณ์ประจำวง สามสมาชิกที่กอดคอกันพ่วงมาด้วยอีกหนึ่งสมาชิกใหม่ น้องเล็กสุดของวงอย่าง คีตะ – คีตะ แจ้งวัฒนะ (นักร้องและกีตาร์)
ด้วยความที่คนเขียนเป็นติ่ง The Yers มาก่อน เรียกได้ว่าเป็นแฟนเพลงของวงเลยก็ได้ เพราะฟังเพลงของ The Yers กับพ่อมาตั้งแต่ยังเด็ก และในวันนี้ได้มีโอกาสมาคุยกับพี่ๆ อดีต The Yers ตัวต่อตัว เรียกได้ว่าดีใจจนเก็บอาการเกือบไม่อยู่เลยทีเดียวที่ได้มีโอกาสมาพูดคุยกับพี่ๆ ศิลปินในดวงใจ
แต่ในวันนี้เมื่อได้มาพูดคุยกับพี่ๆ แล้ว ได้ลบภาพจำเก่าๆ ออกไปเลย เพราะความ “J” ของเราที่ไม่เท่ากัน จากบทเพลงเปิดตัวอย่าง นายโอเคมั๊ย? ที่ใส่เชื้อเพลิงที่เปี่ยมไปด้วยความสนุกของหนุ่มๆ ชาว NINEOKMAI ที่จะมาทำให้เราได้ทบทวนตัวเองว่าที่ผ่านมาได้ทำใครหล่นหายไปหรือเปล่า ตลอดเวลาที่กำลังเติบโต ลืมเด็กคนนึงไว้ที่มุมมืดสักห้องหรือไม่…
เพราะก่อนจะเริ่มรักใคร นายรักตัวเองแล้วหรือยัง?

จากซ้ายไปขวา: คีตะ–บูม–โบ๊ท–ชิ้น
ก่อนจะมาเป็น NINEOKMAI แต่ละคนมารวมกันได้ยังไง
บูม : จริงๆ มันเริ่มมาจากปีที่แล้วครับ ในช่วงที่วงเก่าเรายังทัวร์อยู่ แล้วเราได้ไปเห็นรูปๆ หนึ่งที่ถ่ายกับพี่โบ๊ท เลยพูดแซวกันเล่นๆ ว่า “พวกเราเหมือนวงญี่ปุ่นเลย พวก ONE OK ROCK แต่พวกเราน่ะ Ok มั้ย?” โบ๊ทก็เลยปิ๊งไอเดียวว่าเรามาทำวงญี่ปุ่นกันดีมั้ย แต่ ณ ตอนนั้นมันไม่ได้จริงจัง แล้วสมาชิกก็ไม่ใช่เซ็ตนี้ อืม เรื่องมันยาวเนอะ…
โบ๊ท : ถ้าถามว่าเจอกันได้ยังไง ก็ต้องบอกว่านอกเหนือจากที่พวกเราอยู่วงเดิมกันมาก่อน ก็มีน้องคีตะที่เป็นเหมือนลูกศิษย์ของพวกเรามาก่อน และเคยเล่นดนตรีด้วยกัน ปรากฏว่าวันนึง เกิดอยากทำวงขึ้นมา แต่เป็นวงที่ให้ฟีลญี่ปุ่นหน่อย แล้วพอเห็นรูปนั้นกับบูมก็เกิดความรู้สึกที่ว่า เห้ย รูปมันดูเหมือน ONE OK ROCK เลย มาทำวงเล่นๆ กันดีกว่า ชื่อ NINEOKMAI เหมือนเป็นการเล่นเสียงเนอะ แล้วมันก็มีภาพแว๊บขึ้นมาในหัวเป็นภาพที่พวกเราอยู่บนเวที่แล้วตะโกนออกไปว่า “สวัสดี พวกเรา NINEOKMAI” แล้วคนดูตะโกนกลับมาว่า “Okay!” แค่นี้ก็มันส์ละ
บูม : แต่จริงๆ แล้ว มันก็ยังรู้สึกว่าจะเอาชื่อนี้จริงๆ เหรอ พอเป็นเราเนี่ย ถ้าเราจริงจังแล้วชื่อมันตลกมันจะยังได้อยู่ไหม แต่พอเวลามันผ่านไป มันไม่สามารถมีชื่อไหนมาลบล้างชื่อนี้ได้เลย
ชิ้น : น้องแนทว่าได้ไหมครับ (หัวเราะ)
แนท (ผู้เขียน) : แนทว่าได้ค่ะ (หัวเราะ)
โบ๊ท : คนเฟี้ยวจะเข้าใจ (หัวเราะ)
บูม : ช่วงแรกที่ทำในตอนนั้นมีสมาชิก 3 คน มีน้องอีกหนึ่งคนที่เป็นมือเปียโน แต่ด้วยความที่ตอนนั้นเป็นเพียงวงที่ทำเล่นๆ ทำให้น้องไม่สามารถมาเป็นสมาชิกให้เราจริงจังได้ เพราะน้องออกงานเยอะ แต่พอในภายหลังที่วงเริ่มจริงจัง เขาก็เลยต้องถอนตัวออกไป ช่วงนั้นก็เลยชวนคีตะมา ซึ่งคีตะเป็นลูกศิษย์ที่โรงเรียน เราเห็นว่าน้องเขาเล่นกีตาร์ได้ ร้องเพลงก็ดี เราเลยชวนมาเล่น หลังจากนั้นอาจารย์ชิ้นก็ตามเข้ามาครับ
เหมือนเป็นสมาชิกจากวงเดิมที่มาตั้งวงใหม่แล้วเพิ่มสมาชิกถูกไหม
ชิ้น : เหมือนพวกเราหาที่เล่นสนุกกับเพื่อนมากกว่าครับ เพราะถ้าบอกว่าวงใหม่มันก็ไม่เชิง เหมือนเป็นที่ที่นึงที่ให้พวกเราได้มาสนุกกัน เหมือนเป็นกลุ่มเพื่อนที่ได้มาเล่นดนตรีด้วยกันมากกว่า
คุณคีตะรู้สึกยังไงบ้างกับการได้ร่วมวงกับพี่ๆ จนกลายเป็น NINEOKMAI
คีตะ : จริงๆไม่ได้รู้สึกถึงความเหินห่างหรือว่าอะไรเลยนะครับ ต่อให้ระยะห่างระหว่าง Gen. มันจะมีอยู่บ้าง
โบ๊ท : แต่พลังงานพอๆ กันเนอะ
คีตะ : ใช่ครับ ด้วยความที่แบบว่าถูกหล่อหลอมและเป็นคนประเภทที่คล้ายๆ กัน จะมีความ pop culture ทางฝั่งญี่ปุ่น ที่ผสมๆ กันเข้ามา เวลาคุยกันมันเลยคุยกันรู้เรื่องเหมือนคุยภาษาเดียวกัน เวลาฟังเพลงก็จะชอบเพลงคล้ายๆ กัน คุยกันรู้เรื่อง เหมือนได้อยู่กับเพื่อนๆ ที่โตกว่านิดนึง


วางคอนเซ็ปต์วงไว้ประมาณไหน
คีตะ : เอาเรื่องของอะไรก่อนดีนะ ชื่อหรือภาพลักษณ์ดี…
ทุกคน : ชื่อก่อนๆ
ชิ้น : ความหมายชื่อ NINEOKMAI มันมีความหมายประมาณว่า “เห้ย เป็นไง วันนี้โอเคไหม” เหมือนเป็นห่วงเป็นใยกันในมุมของเพื่อน
โบ๊ท : เหมือนเป็น attitude ของวง
ชิ้น : ใช่ ตามชื่อของวงเหมือนเป็น attitude ของวงมากกว่า แต่ในบางครั้ง NINEOKMAI ของบางคนมันก็อาจจะมีความลึกซึ้งกว่านั้น อย่างเช่น วันนี้เพื่อนอาจจะกำลังเศร้าอยู่ แล้วเราก็ถามว่า “เห้ย วันนี้โอเคไหม” เพื่อนก็อาจจะรู้สึกแบบ “คำนี้มันทัชมาก มันรู้สึกว่าแบบ โห…” มันเป็นความเป็นห่วงที่เราอยากได้ครับ
โบ๊ท : NINEOKMAI ของเราไม่เท่ากัน แต่เราหวังว่า NINEOKMAI ของเราจะไปอยู่ข้าง ๆ นายและช่วยนายได้
บูม : จริงๆ ผมว่ามันก็เป็นเชิงตลกได้ เชิงล้อเลียนได้ มันเป็นคาแรคเตอร์ที่ทั้งตลกแล้วก็จริงจังในเวลาเดียวกัน
ให้ฟีลเหมือนภาพรวมที่ไม่ได้ตายตัว…
บูม : ใช่ๆ แล้วแต่คนจะตีความเลยว่าเราจะเป็นวงที่จริงจังหรือไม่จริงจัง


สไตล์เพลงที่ NINEOKMAI ทำเป็นสไตล์แบบไหน
บูม : จริงๆ เป็น Pop/Rockครับ แต่ว่าเราได้รับอิทธิพลจากญี่ปุ่นเยอะหน่อย ด้วยสิ่งที่เราฟังหรือไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ พอมันเล่นออกมามันเลยเป็นแบบนั้น เราไม่ได้บอกตัวเองว่าเป็น J-Rock หรือ J-Pop เพราะเหมือนเรารู้สึกว่าเราอาจจะทำ J-Pop ได้ไม่ถึงเท่าคนญี่ปุ่น แล้วเราเป็นวง Pop/Rock ที่เล่นแบบนั้นดีกว่า
คอนเซ็ปต์และสไตล์เพลงของวงใหม่ แฝงความเป็น The Yers เข้าไปด้วยไหม
บูม : ผมคิดว่ามันมีบ้างเล็กน้อย ด้วยวิธีการเล่นมากกว่า เอาจริงๆ เราเล่น The Yers มา 14 ปี มันก็คือเป็น สิ่งที่เราเล่นจริงๆ มันเหมือนลายเซ็น เพียงแต่พอมีคีตะเข้ามา สิ่งที่เราเล่นมันเลยถูกตีความหมายในแบบใหม่ที่ถ้าถามว่าเหมือนไหม ก็ไม่ได้เหมือน 100% แต่ก็ยังเป็นตัวเราที่เป็น The Yers เล่นอยู่
นิยามสไตล์เพลงของ NINEOKMAI ไว้ว่าอย่างไร
โบ๊ท : ถ้าให้ระบุให้ชัดเจนเลย เราจะเรียกว่า Modern pop/Rock ยกตัวอย่าง อย่างร้านอาหารนานาชาติที่เชฟทุกคนดันถนัดอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน รสชาติอาหารที่ส่งออกมามันเลยเอียงมาทางนี้ ที่ดูจากคอมเมนต์ใน YouTube คนก็จะนึกถึงความ J-Rock และเพลงญี่ปุ่น ผมบอกเลยว่าความ J ของทุกคนมันไม่เท่ากัน บางคนอาจจะเป็น J จากเพลงญี่ปุ่นเก่า ๆ บางคนอาจจะมาจากการ์ตูนหรือจากหนังสือ สิ่งต่างๆ มันมาจากตรงกลางแล้วแตกแขนงออกไปเป็นพื้นที่ที่ทำให้เขาเตือนและสะดุดใจตัวเองถึงความ Japan ของเขา แต่ด้วยความที่เราไม่ได้ตั้งใจ วงของเราเป็นวงแนวญี่ปุ่นๆที่ทำมาจากความชอบส่วนตัว ส่วนรสชาติและฝีมือที่เราปรุงออกมามันดันออกมาเป็นแบบนี้เอง แล้วทุกคนก็สะดุดใจกับมัน ณ จุดนี้ เพราะฉะนั้น “ความ J ของเราไม่เท่ากัน”
คีตะ : ถ้าให้นิยาม มันคือส่วนผสมของเพลงที่มาจากความสนุกของพวกเรา ความสบายใจของพวกเรา มันคือตรงกลางของพวกเรามากกว่า มันเลยนิยามได้ยากครับ ว่าจะเป็นแนวอะไร
โบ๊ท : แหล่งเชื้อเพลิงของ NineOkMai ในการพรีเซ้นต์ออกมาก็คือ ความสนุกของพวกเราล้วนๆ


จากความ “J” ของ NINEOKMAI ที่อาจจะไม่เท่ากับใครและไม่มีใครเท่า จนทำให้เกิดเพลง “นายโอเคมั้ย?” เพลงนี้มีแรงบันดาลใจมาจากอะไร
ชิ้น : มันเริ่มจาก demo ที่ผมทำก่อน ผมทำขึ้นมาคร่าวๆ คล้ายๆ กับการตั้งธงให้ตัวเองว่าทำเพลงนี้ให้มันจบเพลง จนได้ปรับเปลี่ยนกันตอนเอามาทำเพลงร่วมกัน แต่ในส่วนของเนื้อร้องมันเหมือนได้คำนี้มาจากชื่อวง เนื้อร้องมันเลยเกี่ยวกับเรื่องของการคุยกับตัวเองและได้ลองสื่อสารให้เข้าใจ

คีตะ : หลังจากที่พี่ชิ้นทำเดโม่มา เราก็ลองใส่คำและทำนองกับดนตรีเข้าไป แล้วมันดันออกไปทางชื่อวง เราเลยเอาคอนเซ็ปต์ของวงและชื่อเพลงแรกของพวกเราเป็นชื่อเดียวกัน ซึ่งพอคุยกันแล้วมันน่าสนใจดี เหมือนเป็นการตีกรอบโจทย์ไม่ให้กว้างมากเกินไป เพราะถ้าเรากำหนดให้มันกว้างมากเกินไป เราจะไม่รู้ว่าเราควรจะไปทางไหน หลังจากจุดนี้ เริ่มมีโจทย์เพิ่มขึ้นมา นั่นก็คือ ผมเขียนเพลงไม่เป็นและไม่เคยเขียนเพลงมาก่อน แถมยังไม่เคยเป็นนักร้องมาก่อนดด้วยเพราะว่าปกติผมเล่นกีตาร์เป็นหลัก เลยได้ความช่วยเหลือจากพี่กอล์ฟ Superbaker และพี่แจ๊ป The Richman Toy ซึ่งพี่ๆ สองคนนี้เป็นคนที่คอยสอนวิธีคิดและการเขียนเนื้อเพลง รวมไปถึงมุมมองเรื่องต่างๆ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ต่อให้เราจะใช้วิธีคิดในแบบของเขาแต่ภาษาที่เราร้องออกไปมันก็จะเป็นภาษาของเราอยู่ดี ยกตัวอย่างอย่างวันที่เขาช่วยเขียนคร่าวๆ มาให้ แต่พอร้องจริงมันดันไม่เข้าปากและเหมือนไม่ใช่เราพูด ผมเลยหยิบ Material ในการคิดแบบพวกพี่เขาทั้ง 2 คนผนวกกับเรื่องราวส่วนตัวของตัวเอง รวมกันเป็นการเดินทางไปบำบัดจิต โดยเรื่องราวที่พูดถึงผ่านมุมมองของผมเอง ความหมายของเพลงก็คือเรื่องราวของตัวเราเองและการยืนเคียงข้างตัวเองที่หมายถึงการยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น แต่มันก็จะสามารถตีความไปอีกมุมนึงได้ นั่นก็คือ การที่พวกเราขอยืนข้างๆ นายจะได้ไหม… ซึ่งไอเดียนี้มันแมทช์กับโจทย์เพลงอีกด้วย
โบ๊ท : หลังจากเขียนกันเสร็จคีตะก็ไปเรียบเรียงโดยการนำเสนอผ่านเรื่องราวของชีวิตของเขา ซึ่งมันก็เป็นแกนหลักของเรื่อง กลายเป็น “นายโอเคมั้ย” ที่เราได้เห็นกัน ซึ่งมันลงตัวมากๆ เลย
ด้วยความที่ MV เพลงนายโอเคมั๊ย? ภาพรวมมันมีความญี่ปุ๊นญี่ปุ่น อยากให้เล่า Process ของการทำ MV นี้ให้ฟังหน่อยค่ะ
บูม : จริงๆ ภาพของ MV ที่เราวางกันไว้อยากให้มันค่อนข้างเป็นการ์ตูน โดยอิง Ref. จากพวกเพลงประกอบตอนเปิดอนิเมะ มีความสนุก สีสันค่อนข้างที่จะสว่างจี๊ดจ๊าด อยากทำให้มันเข้ากับวง
โบ๊ท : อยากให้ MV ตัวแรกเป็นเพลงที่ได้ลงทะเบียนแจ้งเกิด อยากให้เห็นหน้าค่าตากันบ้าง สิ่งที่อยากโชว์คือ Vibe, สีสัน, แล้วก็เอเนอร์จี้ที่เราอัพเกรดใหม่ เพราะพวกเราในเมื่อก่อนจะเป็นอีกโทนหนึ่ง พอมาเป็นวงใหม่เราเลยอยากนับหนึ่งใหม่เลย
อยากส่งสารอะไรผ่านเพลงนี้ไปถึงคนฟัง
คีตะ : สิ่งที่อยากสื่อผ่านเนื้อเพลงที่เขียนไปคือการอยากให้ทุกคนเริ่มรักตัวเองให้เป็นก่อนที่จะรักคนอื่น ยอมรับตัวตนของตัวเองในด้านที่ผ่านมา เราไม่ควรจะฆ่าเขาทิ้งไปแต่เราควรย้อนกลับไปหาเขาให้เจอ เขาอาจจะหลบอยู่ในมุมมืดของห้องอยู่ก็ได้ เมื่อเจอแล้ว… ไปจูงมือเขาออกมาแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไรนะ เราจะยืนอยู่ข้างๆ นายเอง” มันคือการยอมรับตัวเอง และด้วยความที่ยุคนี้มันเหนื่อย มันต้องทำให้ได้ทุกอย่างผมเลยอยากเขียนออกมาในท่อนพรีฯ Hook ในทำนองที่ว่า หากต้องพยายามจะเป็นทุกสิ่ง พยายามไขว่คว้าและหาความหมายให้กับทุกอย่าง ในบางครั้งมันอาจจะทำให้เราปฏิเสธตัวตนที่ผ่านมาและคิดว่ามันเหลวไหล ใช้ไม้ได้ มันอาจจะเป็นสิ่งที่เราก้าวพลาด แต่มันคือสิ่งที่ทำให้เราเติบโต ดังนั้นแล้ว เราควรจะพาเขาคนนั้นไปด้วยกัน โตไปพร้อมกันและยืนอยู่เคียงข้างเขา ก่อนที่เราจะทำอะไรที่เป็นผลไม่ดีกับตัวเองในภายหน้า ดังนั้น เราต้องเริ่มรักตัวเองก่อนครับ
โบ๊ท : กลับไปหาตัวเราในตอนเด็กหรือตอนนั้นแล้วถามเขาว่าโอเคมั้ย ไม่เป็นไรนะ อยู่ตรงนี้ไม่เป็นไรนะ เราค่อยไปข้างหน้าใหม่ด้วยกันอย่างสดใสกว่าเดิม เพลงนั้นเหมือนอยากทำหน้าที่นั้นให้กับทุกคน
เหมือนเป็นเพลงที่เป็นตัวแทนในการบอกทุกคนให้สามารถเป็นตัวเอง ไม่ต้องเป็นไปตามบทที่สังคมบีบให้เป็น…
คีตะ : รักตัวเอง ชั่งน้ำหนักให้ดี แล้วก็หาคนที่พูดด้วยได้ อย่าลืมรักตัวเองครับ
โมเมนต์ที่ประทับใจในการทำเพลงนี้
บูม : จริงๆ ประทับใจทุกโมเม้นต์เลยครับ การที่เราจะเข้าไปทำอะไรกับวงในแต่ละอย่าง สิ่งที่เราต้องเตรียมมันไม่ใช่แค่การที่ต้องเล่นท่อนนั้น แต่เป็นการเตรียมอาวุธ ไอเดียและความคิดว่าเราอยากเล่นอะไร เอาเสียงจากในหัวตัวเองออกมา สิ่งที่ทำ ณ ช่วงเวลาที่อัดคือสิ่งที่เราเตรียมมามันจะได้ใช้ในห้องอัด ซึ่งมันจะออกมาในรูปแบบของไอเดียที่ค่อนข้างสด บางครั้งเทคนิกที่เราอัดอาจจะมาจากอะไรที่เราไม่ได้ตั้งใจแต่มันดันออกมาดีก็ได้
ชิ้น : เราตื่นเต้นตรงที่เรามีแค่เดโมก้อนนึงแล้วเราก็ไปหา Producer ที่บ้านเขา โดยที่เราก็ไม่รู้ว่า ณ โมเมนต์นั้นมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะว่ามันคือการที่ทุกคนมาใส่ไอเดียกัน เหมือนมาเพื่อจอยกันตรงนั้นเลย ภาพที่ออกมามันเลยมีแต่ความสนุกเพราะพวกเราใส่ความสนุกเข้าไป
คีตะ : ผมประทับทุกๆ โมเมนต์ที่เกิดขึ้นเพราะมันเป็นการทำงานที่สนุกครับ ไอเดียและโมเมนต์ที่มันเกิดขึ้น มันเป็นไอเดียที่พวกเราเซอร์ไพรส์กันเอง แถมเรายังได้คุณปกป้อง จิตดีมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้อีก กลายเป็นบ้าจี้ ไม่มีใครห้ามใคร
โบ๊ท : จริงๆ ตอนที่เราทำเพลงสมบูรณ์เนี่ย เรารู้สึกว่ามันโอเคแล้วแหละ แต่ด้วย Vibe หรือโจทย์ที่เราอยากได้มันคือโมเดิร์นขึ้น ร่วมสมัยขึ้น สว่างขึ้น ญี่ปุ่นขึ้นด้วยก็ดี แต่ว่าเราไม่สามารถที่จะใช้คำว่าซาวด์ดีไซน์ที่ไปถึงขนาดนั้นได้เท่าปกป้อง จนปกป้องมาช่วยจัดการให้มันเป็นนายโอเคมั้ย ที่มันเป็นเวอร์ชั่นแบบนี้ได้ รู้สึกว่าอันนี้ประทับใจ จากที่แค่อยากทำเล่นๆ กลายเป็นอยากทำให้มันดีและจริงจังขึ้นไปเลย นี่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนใหญ่เหมือนกัน
คีตะ : เรียกว่าเต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์และประทับใจในการทำเพลงทุกขั้นตอนเลยครับ


มีศิลปินที่อยาก Feat.ด้วยไหม
บูม : ตอบได้เหรอ (หัวเราะ) จริงๆ ก็… Wonder Frame ครับ ถ้าให้ขยายต่อ เป็นเพราะว่าอยากร่วมงานกับศิลปินที่ฉีกจากเราไปเลย เรารู้สึกว่าความท้าทายมันคือ เราจะได้อะไรใหม่ๆ จากการที่เราจะไปเจออะไรก็ไม่รู้ เราไม่สามารถคาดเดาได้ ตัวอย่างเช่น สมมตเราได้ Ft.กับWonderframe หรือใครพวกนี้ที่เป็นศิลปินคนละประเภทซึ่งวิธีการคิดหรือนำเสนอของเขาจะแตกต่างกันไป เลยรู้สึกว่าถ้าเราไปร่วมงานกับคนแบบนั้น คนอีกประเภทแนวเพลง มันจะได้อะไรใหม่ ๆ อันนี้สำหรับในมุมเราเองนะ
คีตะ : อยากลอง ft.กับศิลปินต่างประเทศดูเหมือนกันนะ เช่น ศิลปินญี่ปุ่น เพราะเราก็ได้รับอิทธิพลทางนี้มาค่อนข้างเยอะ รู้สึกว่าน่าสนใจ ถ้าเกิดแบบว่าเราได้คุยกับเจ้าของ Culture มันคงจะดีมากๆ
ชิ้น : พี่เสก โลโซครับ นี่… เป็นไง เบอร์ใหญ่ไหม คิดว่ามันน่าสะพรึงมากเหมือนกันนะ ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาจริงๆ
โบ๊ท : เราและนายโอเคมั้ย เฟี้ยวๆ
บูม : จริงๆ เราก็เป็นแฟน โลโซ อยู่แล้ว
โบ๊ท : ผมว่าน่ารักดีนะ มันจะได้มีทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่า ซึ่งในส่วนของผมเนี่ย ชัดเจนเลยว่าเป็นรุ่นใหม่ ผมต้อง ft.กับ Newjeans เท่านั้น แต่ว่าจะบอกมันเป็นอิทธิพลทั้งจากความน่ารักของน้องๆ อยู่แล้วแต่ว่าในเชิงของดนตรี เราได้อิทธิพลมานะ ถ้าสังเกตดีๆ มันจะมีซาวด์แบบจุ๊กจิ๊ก หรือกลอง เจสซี่ ซาวด์ต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Newjeans
ดนตรีมีอิทธิพลอย่างไรกับ NINEOKMAI
คีตะ : เรียกได้ว่ามีอิทธิพลเป็นหลัก ด้วยความที่แต่ละคนก็เสพ culture มาคล้ายๆ กัน ด้วย
โบ๊ท : มันpureจากการที่ทุกคน ชอบอันนี้จริงๆ แล้วก็แบบไม่ได้คาดหวัง ไม่ได้สนใจว่าฉันจะทำอย่างนี้เพื่อให้มันเจริญเติบโตแล้วเป็นอันนี้ที่ยิ่งใหญ่ มันเป็นอะไรที่มาจากใจ เราจะเห็นจากพวกคอมเมนต์ ที่เห็นล่าสุดจะมีคนญี่ปุ่นมาคอมเม้นต์ แปลมาแล้วเขาบอกว่า เราดูเป็นวงที่ศึกษาทางนี้มา ค่อนข้างลึกซึ้ง ใช่ไหม
บูม : ซึ่งจริงๆ แล้วรู้สึกเหมือนเป็นคำชมมากๆ เพราะว่าเราเองก็เล่นดนตรีญี่ปุ่นแต่เราก็ยัง ร้องเป็นภาษาไทยอยู่ ซึ่งเหมือนพอสารไปถึงเขา เรารู้สึกว่าเราได้รับการยอมรับจากเจ้าของภาษา หรือเจ้าของประเทศแนวดนตรี มันก็รู้สึกดีใจ
โบ๊ท : มันทำให้รู้สึกว่า สิ่งที่เราชอบก็เป็น input มาตลอดของเรามันไม่ต้องเก็บไว้ มันไม่ใช่ของที่ต้องเขินหรือต้องแอบชอบละ ได้ส่งต่อให้คนที่มีอย่างนี้และชอบอะไรที่มันคล้ายๆกัน มันเหมือนได้ต่อยอดตรงนั้นมากกว่า
ชิ้น : จริงๆ ถ้าพูดในมุมดนตรีกับวง ถ้าไม่มีดนตรีอะไรที่มันมีความญี่ปุ่นอย่างที่เราฟัง เราก็อาจจะไม่เกิดดนตรีแบบที่เราทำกันขึ้นมา เพราะว่าเราได้รับอิทธิพลกันมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่การ์ตูน เพลง ของเล่น เกมและอื่นๆ อีกมากมายที่เกี่ยวกับญี่ปุ่น ถ้าไม่มีดนตรีญี่ปุ่นคงไม่เกิด NINEOKMAI
