รัฐอานธรประเทศ (Andhra Pradesh) เป็นรัฐที่ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศอินเดียค่อนไปทางทิศตะวันออกติดกับชายฝั่งของมหาสมุทรอินเดีย พื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่ที่มีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ยาวนาน เป็นบริเวณที่ร่ำรวยไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของพระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู รวมถึงเป็นจุดบรรจบของศิลปะอินเดียภาคเหนือและศิลปะอินเดียภาคใต้ด้วย

            โดยปกติแล้ว ในทางวิชาการจะใช้เกณฑ์ในการแบ่งศิลปะอินเดียภาคเหนือและศิลปะอินเดียภาคใต้โดยใช้เส้นแบ่งทางภูมิศาสตร์คือการวางตัวของเทือกเขาวินธัย (Vindhya Range) ซึ่งทอดตัวขวางในแนวทิศตะวันออก – ทิศตะวันตกอยู่บริเวณตอนกลางของประเทศ อย่างไรก็ตามนี่คือเส้นแบ่งตามธรรมชาติที่สามารถแบ่งเขตทางศิลปะและเขตการปกครองออกได้อย่างคร่าว ๆ เท่านั้น เพราะวัฒนธรรมนั้นเป็นสิ่งที่เคลื่อนที่ไปมาได้ และบริเวณที่เป็นรอยต่อของความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม ย่อมปรากฏการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่กลายเป็นรูปลักษณ์และบรรยากาศอันงดงามได้เสมอ

            พื้นที่ของรัฐอานธรประเทศถือเป็นเขตอินเดียภาคใต้หากใช้การวางตัวของเทือกเขาวินธัยเป็นเกณฑ์ อย่างไรก็ตามบริเวณเมืองศรีกากุลัม (Srikakulam) ซึ่งเป็นบริเวณทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐมีพื้นที่ติดกับรัฐโอริสสา (Orissa) กลับปรากฏเทวาลัยในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูที่มีลักษณะเป็นศิลปะอินเดียภาคเหนืออย่างชัดเจน อันที่จริงแล้วหากพิจารณารูปลักษณ์ทางศิลปกรรมของบรรดาโบราณสถานทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในพื้นที่นี้ เมืองศรีกากุลัมควรตั้งอยู่ในเขตรัฐโอริสสา แต่เนื่องจากการแบ่งรัฐของอินเดียนั้นมักใช้ภาษาถิ่นเป็นเกณฑ์ และประชาชนในบริเวณนี้พูดภาษาเตลูกู (Telugu Language) ซึ่งเหมือนกับประชาชนส่วนใหญ่ในรัฐอานธรประเทศและเตลังคนา เพราะฉะนั้นเทวาลัยแบบศิลปะอินเดียภาคเหนือที่เรากำลังจะกล่าวถึงต่อไปนี้ จึงอยู่ภายใต้เขตการปกครองของอินเดียภาคใต้ไปโดยปริยาย

            เทวาลัยหลังนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อว่าหมู่บ้านมุขลิงคัม (Mukhalingam) มองดูเผิน ๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ในชนบทของอินเดียทั่วไป มีฝูงวัวฝูงแพะเดินไปเดินมาจอแจ ผู้คนมากมายขวักไขว่ รถจักรยานยนต์แล่นปรู๊ดปร๊าดไม่เป็นระเบียบ กลิ่นควันไฟผสมกลิ่นเครื่องเทศลอยคละคลุ้งอยู่ในบนอากาศ และบนพื้นถนนก็เกลื่อนกลาดไปด้วยขยะมูลฝอยและมูลสัตว์ แต่เทวาลัยหลังนี้กลับได้รับการเปรียบเปรยว่าเป็น Hidden Gem ชิ้นหนึ่งของศิลปะอินเดียภาคเหนือ และยังคงคึกคักคลาคล่ำไปด้วยศาสนิกชนผู้ภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าจากทุกสารทิศที่เดินทางมาเพื่อสักการะศิวลึงค์อันศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่นี้

            ที่นี่คือเทวาลัยมุขลิงเกศวร (Mukhalingeshawara) แห่งรัฐอานธรประเทศ

หยาดสุดท้ายแห่งศิลปะอินเดียภาคเหนือ

            “มุขลึงค์” นั้นหมายถึงศิวลึงค์ที่ปรากฏการสลักพระพักตร์ (ใบหน้า) ของพระศิวะลงไปบนศิวลึงค์ด้วย เป็นการเพิ่มพลังอันศักดิ์สิทธิ์และความสำคัญให้กับศิวลึงค์องค์นั้น

            หากมองจากสายตาของนักเดินทางทั่วไปที่ไม่จำเป็นต้องรู้จักกับประวัติศาสตร์ศิลปะอินเดียอย่างซับซ้อน เราสามารถแบ่งรูปแบบเทวาลัยในศิลปะอินเดียภาคเหนือและศิลปะอินเดียภาคใต้ได้อย่างชัดเจนด้วยวิธีการสังเกตง่าย ๆ คือเทวาลัยในศิลปะอินเดียภาคเหนือมักจะสร้างเป็นทรงศิขระ (Shikhara) (อันมีความหมายว่าภูเขา นัยว่าให้เปรียบเสมือนภูเขาไกรลาสซึ่งเป็นที่สถิตของพระศิวะ เนื่องจากพระศิวะเป็นเทพเจ้าที่คนอินเดียภาคเหนือบูชาเป็นเทพเจ้าพระองค์หลัก) เทวาลัยทรงศิขระนี้มีลักษณะเหมือนกับฝักข้าวโพด ส่วนฝักข้าวโพดที่ว่านั้นจะเรียงตัวสลับซับซ้อนขนาดไหนนั้น ขึ้นอยู่กับสกุลช่างในแต่ละพื้นที่

ภาพตัวอย่าง: จากเทวาลัยอื่นในหมู่บ้านมุขลิงขัม

            ส่วนเทวาลัยในศิลปะอินเดียภาคใต้นั้นสร้างเป็นทรงวิมาน (Vimana) ซึ่งมีลักษณะเป็นหลังคาซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ส่วนจะมีกี่ชั้นนั้นไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัวกำหนด เทวาลัยทรงวิมานบางแห่งอาจจะมีการทาสีสันฉูดฉาดมองเห็นสะดุดตาได้จากระยะไกล ถ้าหากจินตนาการไม่ออกให้นึกถึงเทวาลัยใกล้ตัวอย่างวัดพระศรีมหาอุมาเทวีหรือ “วัดแขกสีลม” ลักษณะเช่นนั้นเป็นลักษณะเทวาลัยแบบอินเดียภาคใต้อย่างชัดเจน พร้อมกันนี้ตามหลังคาที่ซ้อนชั้นกันขึ้นไปมักจะมีการปั้นประติมากรรมพระเป็นเจ้าองค์ต่าง ๆ ในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูประดิษฐานกันขึ้นไปในแต่ละชั้นด้วย ข้อสันนิษฐานประการหนึ่งก็คือเป็นการ “รวมพลัง” ของเทพเจ้าองค์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่เทวาลัยในพื้นที่นั้นนั่นเอง

            เทวาลัยมุขลิงเกศวรในหมู่บ้านมุขลิงคัมนี้เป็นเทวาลัยทรงศิขระซึ่งตั้งอยู่ในเขตอินเดียภาคใต้อย่างที่ผมได้เกริ่นไว้ข้างต้น เพราะฉะนั้นจึงสามารถปักเป็นหมุดหมายทางภูมิศาสตร์ได้ว่า เทวาลัยนี้คือหยาดอัญมณีหยดสุดท้ายในศิลปะอินเดียภาคเหนือที่ตั้งอยู่ในละติจูดต่ำที่สุด (หรือตั้งอยู่ใต้สุด) ก่อนที่เมื่อพ้นจากเขตนี้ไป เทวาลัยทั้งหลายทั้งปวงก็จะตกอยู่ภายใต้ของอิทธิพลศิลปะอินเดียภาคใต้เป็นสำคัญ

ภาพ: การท่องเที่ยวรัฐทมิฬนาฑู

            ตัวอาคารประธานของเทวาลัยแห่งนี้ดูเรียบง่ายที่สุดเมื่อเทียบกับส่วนต่าง ๆ ของเทวาลัย คือมีการแกะลวดลายสลักเสลาตามพื้นที่ต่าง ๆ ไว้น้อยที่สุด นักวิชาการบางท่านอธิบายว่าเหตุที่อาคารประธานซึ่งเป็นที่ประดิษฐานศิวลึงค์ประธานของเทวาลัยมีความเรียบง่ายมากกว่าส่วนอื่น ๆ นั่นอาจเป็นเพราะศิลปินต้องการสื่อความหมายว่าพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงแล้วคือความเรียบง่าย เพราะอันที่จริงแล้วเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูนั้นล้วนแล้วแต่สร้างขึ้นมาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ การบูชาศิวลึงค์ก็เช่นเดียวกัน เพราะลึงค์หรืออวัยวะเพศชายนั้นมักปรากฏอยู่คู่กับฐานโยนีซึ่งหมายถึงอวัยวะเพศหญิง และประดิษฐานในรูปแบบที่ลึงค์สอดทะลุโยนีเข้ามา คือสัญลักษณ์ของการร่วมเพศซึ่งเป็นกระบวนการให้กำเนิด ที่ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูสร้างสรรค์ศิลปกรรมในรูปแบบนี้ขึ้นมาก็เพื่อต้องการสื่อสัจธรรมข้อหนึ่งที่ว่าธรรมชาติมีการสร้างสรรพสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นโลกมนุษย์จึงดำรงอยู่ได้ด้วยการ “ร่วมเพศตลอดกาล” ของพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง

            รอบเทวาลัยแห่งนี้จึงปรากฏการแกะสลักพระศิวะปาง “ลกุลิศะ” ซึ่งหากสังเกตให้ดีจะเห็นองคเพศของพระศิวะตั้งชันขึ้นมาตลอดเวลา ซึ่งแทนการ “พร้อมให้กำเนิด” ตลอดเวลาตามสัจธรรมที่เป็นมาเสมอนั่นเอง

สลักเสลาลาย

            สิ่งที่ผู้มาเยือนจะต้องตกตะลึงเมื่อเดินทางมาถึงเทวาลัยแห่งนี้นั่นคือการสลักเสลาลวดลายอันวิจิตรบรรจงรอบเทวาลัย โดยเริ่มจากส่วนของครรภคฤหะ (อาคารประธานที่ประดิษฐานศิวลึงค์ประธาน) และมณฑป (ส่วนของอาคารที่ยื่นต่อออกมาจากอาคารประธาน) ไล่ออกมาตามด้านนอกของอาคารบริวาร ซุ้มประตู จนมาถึงรั้วด้านนอก แต่อย่างไรก็ตามเราเห็นร่องรอยว่าเทวาลัยแห่งนี้สร้างได้ “เกือบสมบูรณ์” เท่านั้น เพราะที่บริเวณกำแพงและประตูชั้นนอกสุดยังขาดการสลักเสลาลายอย่างที่ควรจะเป็น คงเหลือไว้เพียงแต่พื้นที่ว่าง ๆ ที่เป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ว่าเทวาลัยแห่งนี้สร้างไม่เสร็จด้วยสาเหตุใดกันแน่ หากจะให้คาดเดา เหตุผลที่มักจะเกิดขึ้นและทำให้เทวาลัยสร้างไม่เสร็จก็อาจจะเป็นการสิ้นรัชกาลของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงอุปถัมภ์การก่อสร้างไปเสียก่อนและพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่มิได้ทรงสานงานต่อ เกิดสงคราม หรือเกิดการย้ายถิ่นของผู้คนออกจากบริเวณนี้ เป็นต้น

            แน่นอนว่าภาพสลักที่ปรากฏอยู่โดยรอบเทวาลัยนั้นย่อมเป็นมงคลสัญลักษณ์อันจะนำมาซึ่งสิ่งที่ชีวิตของทุกผู้คนปรารถนา หนึ่งในนั้นคือความอุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นปากท้องของทุกสังคม สัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ที่ปรากฏอยู่ในเทวาลัยแห่งนี้ นอกเหนือจากศิวลึงค์แล้ว (การ “ให้กำเนิด” ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความอุดมสมบูรณ์ได้เช่นเดียวกัน) ยังปรากฏ “ภาพเมถุน” ซึ่งหมายถึงภาพชายและหญิงคู่กัน ในบางสกุลช่างภาพเมถุนนี้อาจทำเป็นภาพของชายหญิงที่ร่วมเพศกันจริง ๆ หรือจะเป็นเพียงภาพคู่ของชายหญิงในอิริยาบถต่าง ๆ ก็ได้ สำหรับเทวาลัยแห่งนี้เป็นภาพของชายหญิงกำลังเกี้ยวพาราสีกัน ยังไม่ถึงขั้นร่วมเพศ นับว่าลดความตื่นเต้นให้แก่ผู้ชมลงไปได้เล็กน้อย

ซ้าย: ภาพเมถุน, ขวา: ภาพยักษิณีเหนี่ยวกิ่งไม้

            อีกภาพหนึ่งนั่นก็คือภาพของยักษิณีเหนี่ยวกิ่งไม้ ซึ่งคนอินเดียโบราณมีความเชื่อว่าในต้นไม้จะมียักษิณีซึ่งเปรียบเสมือนวิญญาณ (Spirits) ของต้นไม้นั้นอาศัยอยู่ และยักษิณีนี้เองที่สามารถบันดาลให้ต้นไม้ต้นนั้นออกดอกออกผลสร้างความอุดมสมบูรณ์ได้

            พร้อมกันนี้ยังปรากฏภาพสลักของลายพรรณพฤกษา ซึ่งก็คือบรรดาพฤกษชาติต่าง ๆ ที่อาจเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ได้เช่นกัน หรืออาจเป็นตัวแทนของกลิ่นหอมจากดอกไม้ชนิดต่าง ๆ ที่เปรอพระขวัญพระผู้เป็นเจ้าที่ประทับอยู่ในเทวาลัยแห่งนั้น ลวดลายที่ละเอียดลออซึ่งปรากฏอยู่แทบจะทุกจุดของเทวาลัยเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ชาวอินเดียแทบทุกยุคทุกสมัยเป็นยอดแห่งนักสลักโดยแท้จริง

            นอกจากสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์แล้ว ภาพสลักโดยรอบยังปรากฏเรื่องราวการปราบอสูรของเทพเจ้าองค์ต่าง ๆ ในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูด้วย การปราบอสูรของเหล่าทวยเทพนี้ถือเป็นการสะท้อนปรัชญาที่ว่า “ธรรมะควรต้องชนะอธรรม” อันเป็นยอดปรารถนาของผู้รักความถูกต้องในทุกสังคม ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างภาพสลักที่บอกเล่าเรื่องราวที่คนไทยพอจะคุ้นเคย เช่น

            ภาพสลักเรื่องมหิงษาสูรมรรทินี หรือพระแม่ทุรคาซึ่งเป็นปางหนึ่งของพระอุมา ชายาของพระศิวะปราบมหิงษาสูรซึ่งเป็นอสูรที่มีรูปลักษณ์เป็นควาย อสูรตนนี้มีความเจ็บแค้นมาจากต้นตระกูลของตนที่ถูกพระเป็นเจ้าสังหารเนื่องจากประพฤติตนเป็นพาล จึงบำเพ็ญตบะขอพรจากพระพรหมให้ตนเป็นอมตะ แต่แน่นอนว่าไม่มีทางที่ใครจะเป็นอมตะได้ พรของพระพรหมจึงมีเงื่อนไขว่ามหิงษาสูรจะสามารถถูกสังการได้โดยอิสตรี เมื่อได้รับพรเช่นนั้นแล้วมหิงษาสูรก็เกิดความลำพองใจเที่ยวก่อความเดือดร้อนวุ่นวายไปทั่ว เป็นเหตุให้บรรดาทวยเทพทั้งหลายต้องไปขอความช่วยเหลือจากพระศิวะ พระศิวะจึงได้โปรดให้พระอุมาในปางดุร้ายหรือพระทุรคาเทวีไปปราบมหิงษาสูร พระแม่ทุรคาและมหิงษาสูรทำสงครามต่อสู้กันอย่างดุเดือด และในท้ายที่สุดมหิงษาสูรก็ถูกปราบลงได้ที่บริเวณเชิงเขาวินธัยนั่นเอง

ซ้าย: พระแม่ทุรคาปราบมหิงษาสูร, ขวา: วารหาวตารปราบหิรัณตยักษ์

            อีกภาพหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ตอนต้นของเรื่องรามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ด้วยนั่นคือเรื่องราวของพระวิษณุอวตารปางที่ 3 ซึ่งทรงอวตารเป็นหมูป่าไปปราบหิรัณตยักษ์ซึ่งสำคัญตนว่ามีฤทธิ์มาก จึงกำเริบเสิบสานประพฤติตนเป็นพาล คิดอ่านม้วนเอาแผ่นดินลงไปใต้บาดาล ทำให้มนุษย์ได้รับความเดือดร้อน (ตอนหิรัณตยักษ์ม้วนแผ่นดินนี้เกิดขึ้นมาจากความเข้าใจของคนในสมัยโบราณว่าโลกมีสัณฐานแบน) จึงทำให้พระวิษณุอวตารเป็นหมูป่า เรียกว่า วราหาวตาร ลงไปปราบหิรัณตยักษ์และสามารถนำเอาโลกมาคลี่แผ่ออกดังเดิมได้ ในภาพนี้เราจะเห็น “โลก” แทนที่ด้วยพระภูเทวีซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการค้ำจุนโลกและแผ่นดิน และเห็นองค์วราหาวตารใช้พระกัประ (ข้อศอก) ดันพระภูเทวีขึ้นมาจากโลกบาดาล (ในขณะที่คัมภีร์บางฉบับระบุว่าวราหาวตารใช้พระพระทาฐะหรือเขี้ยวในการงัดแผ่นดินที่ม้วนอยู่ให้คลี่กลับออกมาดังเดิม)

            นอกจากนี้หากมองขึ้นไปบนซุ้มประตูทางเข้าอาคารประธาน ก็จะเห็นภาพของพระศิวะกำลังปราบอสูรและทรงเต้นรำ (ศิวนาฏราช) อย่างดุดันหลังจากที่ทรงปราบอสูรได้สำเร็จอีกด้วย ภาพเหล่านี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของการกำราบบาปเคราะห์ทั้งหลายในโลกให้หมดไป คงเหลือไว้แต่คุณงามความดีที่จะช่วยค้ำจุนรักษาโลกใบนี้ได้เท่านั้น

มรดกอันล้ำค่า

            ไม่น่าเชื่อว่าภาพสลักทั้งหมดที่เราเห็นอยู่บนเทวาลัยแห่งนี้จะมีอายุเก่าแก่ไปถึงราวคริสต์ศตวรรษที่ 8 ในสมัยราชวงศ์คงคาตะวันออก (Eastern Ganga Dynasty) ซึ่งเป็นราชวงศ์ท้องถิ่นที่ปกครองพื้นที่อินเดียตะวันออกในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นเทวาลัยหลังนี้จึงมีอายุเก่าแก่มากกว่า 1,000 ปีมาแล้ว และยังคงสมบูรณ์งดงาม เป็นอัญมณีประดับศิลปะอินเดียจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

            การเดินทางที่ยาวนานเพื่อมาพบกับเพชรเม็ดงามที่ซ่อนตัวอยู่ในโลกใบนี้มีคุณค่าและงดงามมากเสมอ ทันทีที่เทวาลัยมุขลิงเกศวรปรากฏอยู่ตรงหน้า เราทุกคนก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง อันที่จริงแล้วทุก ๆ สังคมก็อาจจะมีเพชรน้ำเอกเช่นนี้ซ่อนตัวอยู่ในที่ใดที่หนึ่งก็เป็นได้ อยู่ที่เราจะหยิบเพชรเม็ดนั้นขึ้นมาเจียระไนหรือไม่ หรือในฐานะผู้มาเยือน เราจะออกเดินทางเพื่อตามหาเพชรเม็ดนั้นหรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่เราทุกคนสามารถเป็นผู้เลือกได้ด้วยตนเอง

Contributors

Contributors

ครูสอนวิชาภาษาไทยและสังคมศึกษาที่รักการเดินทางเพื่อเรียนรู้โลกกว้างเป็นชีวิตจิตใจ เพราะชีวิตคือการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม มนุษยสัมพันธ์ และการเดินทางจึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเติบโตไปพร้อมกันเสมอ