ย้อนกลับไปสักสิบปีที่แล้ว หากมีคนถามว่า นึกถึงหนังสายลับ คุณคิดถึงหนังสายลับเรื่องอะไรเป็นเรื่องแรก? 

ชื่อแรกที่ผุดขึ้นมาก็เดาไม่ยากว่าอาจเป็นสายลับอังกฤษจากหน่วย MI6 เจ้าของรหัส 007 อย่าง เจมส์ บอนด์ หรือถ้าคิดให้ลึกขึ้นไปอีกหน่อย อาจเป็นสายลับความจำเสื่อมผู้ค้นหาอดีตตัวเองที่ต้องหักเหลี่ยมเฉือนคมกับองค์กรผู้กุมความลับของเขาอย่าง เจสัน บอร์น น้อยคนนักที่จะนึกถึงหรือจะเอ่ยชื่อ อีธาน ฮันต์ 

แต่หากถามคำถามในเวลานี้ ชื่ออีธาน ฮันต์ อาจกลายเป็นชื่อแรก ๆ ที่แฟนหนังนึกถึงไปแล้ว หากคิดถึงหนังสายลับที่มีฉากแอ็คชั่นน่าตื่นตา ฉากปฏิบัติภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ และการเล่าเรื่องที่สนุกน่าติดตาม 

ใครจะไปคิดว่า แฟรนไชส์สายลับแห่งหน่วย IMF หน่วยปฏิบัติการลับที่ขึ้นตรงกับรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ องค์กรสมมติจากทีวีซีรีส์ที่ออนแอร์ในปี 1966 และถูกหยิบมาสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งแรกในปี 1996 จะมาไกลถึงขนาดที่หนังภาค 7 กำลังจะเข้าฉายในปีนี้ ในฐานะหนังฟอร์มยักษ์ทุนสร้างร่วม 300 ล้านเหรียญ… ทั้งที่แฟรนไชน์นี้มันเคยถูกมองว่าน่าจะหมดลมหายใจไปแล้วในภาคที่ 3 

การทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ หนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำได้แค่กับภารกิจในหนัง แต่ทำได้ด้วยในโลกความจริง

สิ่งที่น่าสนใจคือ ทำอย่างไร และจุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงไหนกัน? 

คนบ้าที่ชื่อ ทอม ครูซ

เหตุผลแรกที่ไม่ต้องคิดให้มากความ คือซูเปอร์สตาร์ฮอลลีวูดผู้นี้ที่เป็นแม่เหล็กอย่างแท้จริง ชนิดที่ว่าชื่อเสียงบารมีมากขึ้นตามลำดับอายุที่เข้าเลขหกเข้าไปแล้ว ในช่วงวัยหนุ่มเขาโด่งดังแล้วก็จริง แต่พลังดาราและผลงานไม่ได้เป็นที่ประจักษ์ขนาดนี้ แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด ทั้งในฐานะนักแสดงและโปรดิวเซอร์ 

ความสำเร็จระดับปรากฏการณ์กับ Top Gun: Maverick (2022) ที่ทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า 1,495 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นเครื่องยืนยันสถานะของทอม ครูชได้เป็นอย่างดีถึงพลังดาราเชิญชวนแฟนหนังเข้ามาดู และคุณภาพของตัวหนังก็การันตีตัวเขาในฐานะโปรดิวเซอร์อีกได้ด้วยว่าระดับนี้ไม่มีคำว่าหนังห่วย 

นอกจากนั้น เสน่ห์ของความเป็น Mission Impossible มันได้ผูกติดกับความแบบทอม ครูซ แบบที่แยกกันไม่ออก ชนิดที่หากทอม ครูซ ตัดสินใจเลิกทำเลิกเล่นหนังเรื่องนี้ แฟรนไชน์นี้จะอาจต้องอำลาไปพร้อมกับการตัดสินใจของเขา นี่คือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต 

เพราะอีธาน ฮันต์ ต่างกับเจมส์ บอนด์โดยสิ้นเชิงด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ไม่มีใครบ้าพอที่จะเล่นฉากเสี่ยงตายด้วยตัวเองแบบที่ทอม ครูซทำ’ 

เพราะหลังจากที่พี่เขาได้ลองปีนตึกเบิร์จ คาลิฟา ตึกที่สูงที่สุดในโลก ณ มหานครดูไบแล้ว พี่เขาก็เหมือนเพิ่งค้นพบความสุขที่แท้จริง (นั่นคือการแสดงฉากหวาดเสียวที่เสี่ยงตายทั้งหลาย) ทั้งที่ตอนหนุ่มก็ไม่เห็นจะบ้าพลังขนาดนี้ 

ใครเล่าจะปฏิเสธว่าฉากเสี่ยงตายทั้งหลายที่แทบจะเป็นเครื่องหมายการค้าที่ผูกติดกับแฟรนไชส์ไปแล้วไม่ใช่จุดขายสำคัญ? มันคือจุดขายเด่นมาก ๆ ที่แฟรนไชส์หนังแอ็คชั่นเรื่องอื่นไม่มีทางมีเลยต่างหาก หากคุณไม่มีทอม ครูซ

อีธาน ฮันต์ และผองเพื่อน

สิ่งหนึ่งที่แฟรนไชส์นี้มีมาตลอดทุกภาค คือการทำงานเป็นทีม น้อยครั้งเหลือเกินที่เราจะได้เห็นอีธาน ฮันต์ลุยเดี่ยวกับศัตรูแบบพระเอกโคตรเก่งอยู่คนเดียว (ยกเว้นภารกิจใน MI ภาคสอง ที่ผู้กำกับภาคนั้นถนัดในการสร้างฉากแอ็คชั่นแบบลุยเดี่ยวมากเป็นพิเศษ) มันไม่เหมือนกับสายลับเจ้าเสน่ห์แบบ 007 ที่มาคนเดียวล้มได้ทั้งองค์กรอยู่บ่อยครั้ง

ซึ่งเอกลักษณ์ในจุดนี้มันยิ่งเด่นชัด เหมือนเพิ่งค้นพบตัวเองเจอใน Mission Impossible: Ghost Protocol (2011) ที่ภารกิจในเรื่องนั้นเน้นการทำงานเป็นทีมเป็นจุดสำคัญ มันคือเฉลี่ยบทให้ตัวละครสมทบไม่ได้ทำหน้าที่แค่สมทบ หากแต่มันมีความสำคัญของตัวเองชนิดที่ขาดคนใดคนหนึ่งไป ภารกิจก็อาจล้มเหลวทันที 

เราจึงได้เอาใจช่วยตัวละครอย่าง ลูเทอร์ (รับบทโดย วิง แรมส์) เบนจี้ ดันน์ (รับบทโดย ไซมอน เพกก์) หรือ อิลซ่า เฟาสต์ (รับบทโดย รีเบคก้า เฟอร์กูสัน) ที่โดดเด่นในบทบาทของตัวเองและมีหน้าที่สำคัญต่อเนื้อเรื่องอย่างยิ่ง 

โชคดีเหลือเกินที่แฟรนไชส์ค้นพบทางนี้ได้ทันเวลากับกระแสของยุคสมัยพอดี ที่ตัวพระเอกลุยเดี่ยวแบบ ‘ข้ามาคนเดียว’ เริ่มถูกตั้งคำถามถึงความสมจริง และเป็นแนวทางที่เชยไปแล้วในยุคปัจจุบัน การลุยเป็นทีมกลายเป็นเทรนด์ใหม่ ดังที่เราเห็นกับแฟรนไชส์ Fast and Furious ที่มีหลายตัวละครและพร้อมลุยแบบ ครอบครัว… รวมถึงแฟรนไชส์ดั้งเดิมอย่าง 007 ในภาคหลังก็เริ่มมีฉากที่ทำภารกิจเป็นทีมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

หากแต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ความเป็นทีมใน Mission Impossible ก็เป็นส่วนผสมที่ลงตัวที่สุด 

หนังแอ็คชั่นสายลับสูตรสำเร็จ ที่ลงตัวพอดี

คุณเคยดูหนังสายลับที่ไม่มีความเป็นหนังสายลับไหม? 

อาจจะงงว่าผู้เขียนกำลังถามอะไร มันคือภาพยนตร์ที่หน้าหนังคือหนังสายลับ แต่ไม่มีเสน่ห์ความเป็นหนังสายลับ แล้วเสน่ห์ความเป็นหนังสายลับคืออะไร? 

หน้าที่ของสายลับคือการแฝงตัว ตัวตนที่ปกปิด ความคลุมเครือที่ไม่ชัดเจนในเป้าหมายของภารกิจ การถูกหักหลังจากใครคนใดคนหนึ่ง หรือแม้แต่การถูกซ้อนแผน นี่คือเสน่ห์ของหนังแนวสายลับที่มีมาตั้งแต่อดีต แม้แต่หนังซูเปอร์ฮีโร่อย่าง Captain America: The Winter Soldier (2014) หากวิเคราะห์กันจริง ๆ แล้ว ยังนับว่าเป็นหนังสายลับที่ฉาบหน้าด้วยหนังฮีโร่ได้เลย 

Mission Impossible เป็นหนังสายลับที่ความเสน่ห์ความเป็นหนังสายลับเพิ่งจะเจอจุดที่ลงตัวในภาคที่ 4 เป็นต้นมานี่เอง ก่อนหน้านั้น (โดยเฉพาะภาคสอง) ความเป็นหนังสายลับไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น มันขาดตัวตนและเสน่ห์บางอย่างไป และแม้ผู้เขียนจะเป็นแฟนคลับผู้การบอนด์เพียงใดก็ตาม แต่แฟรนไชส์ 007 ก็มีความเป็นหนังสายลับอยู่น้อยเหลือเกิน 

แต่ ณ ปัจจุบัน Mission Impossible คือหนังสูตรสำเร็จ ที่ถูกปรุงกำลังดีในทุกด้าน ได้รับความบันเทิงเต็มที่ มีเรื่องราวที่ซับซ้อนพอประมาณแต่ไม่ได้ยากเกินจนตามไม่ทัน และมีจุดพลิกผันหรือหักมุมแบบหนังสายลับหักเหลี่ยมเฉือนคมให้ได้กลิ่นพอเป็นเสน่ห์หนังสายลับอยู่บ้าง 

มันจึงไม่ใช่หนังแอ็คชั่นทั่วไปที่ขายฉากแอ็คชั่นเสี่ยงตาย ที่ได้รับความบันเทิงที่จบแล้วก็จบกัน แต่ในระหว่างทางของหนังคนดูยังได้ลองลับสมองเดาผลลัพธ์หรือสิ่งที่หนังกำลังหลอกเราอยู่ก็ได้

เมื่อเจอตัวตนของตัวเอง ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไรอีก

จุดเด่นอย่างหนึ่งของ Mission Impossible ในช่วงแรก จากไอเดียของ ทอม ครูซ คือหนังแต่ละภาคไม่จำเป็นต้องใช้ผู้กำกับคนเดิม เปลี่ยนผู้กำกับทุกภาคก็ได้ไม่มีปัญหา โดยเหตุผลคือเพื่อให้หนังแต่ละภาคมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันตามรสมือของผู้กำกับแต่ละคน ฟังดูเป็นไอเดียที่น่าสนใจ ที่แฟนหนังจะได้รับอรรถรสที่แตกต่างกันไปในแต่ละภาค แต่ดาบสองคมของมัน คือการทำให้ตัวแฟรนไชส์ไม่มีเสถียรภาพที่เป็นมาตรฐาน เพราะโทนหนังและการนำเสนอเปลี่ยนไปตามลายเซ็นผู้กำกับทุกภาค หรือว่ากันอีกแบบ มันหาตัวตนของตัวเองจริง ๆ ไม่เจอสักที 

ในภาคแรก Mission Impossible (1996) ภายใต้การกำกับของ ไบรอัน เดอ พัลมา จึงมีความเป็นแอ็คชั่นระทึกขวัญแบบหนังสายลับดั้งเดิมเต็มเปี่ยม ฉากแอ็คชั่นในภาคนี้จึงไม่เด่นมาก จุดเด่นกลายเป็นฉากจารกรรม ที่ใครที่เคยดู คงไม่มีใครลืมฉากโหนตัวจารกรรมข้อมูลที่ตึก CIA ที่ชวนลุ้นจนลืมหายใจ รวมถึงบรรยากาศความไม่น่าไว้วางใจของเหล่าตัวละครที่อาจมีใครเป็นคนร้ายก็ได้ 

หนังประสบสำเร็จอย่างดีทั้งรายได้และเสียงวิจารณ์ จนมีหนังภาคต่อตามมา

ในภาคสอง Mission Impossible 2 (2000) จอห์น วู ผู้กำกับชาวฮ่องกงที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำฉากแอ็คชั่นดวลปืนได้ดุเดือดแบบถึงพริกถึงขิง แต่ขณะเดียวกันก็มีเอกลักษณ์สวยงามประหนึ่งตัวละครกำลังร่ายระบำด้วยกระสุนปืน ก็ถูกดึงตัวมากำกับภาคนี้ ที่แม้จะทำรายได้มากกว่าเดิม แต่เสียงวิจารณ์ถูกถล่มยับว่าเป็นหนังที่เสียเอกลักษณ์ความไปหนังสายลับแบบต้วเองไปจนหมดสิ้น เหลือแต่เพียงฉากแอ็คชั่นสาดกระสุนเอามันส์ที่นกพิราบบินทั้งเรื่องอย่างเดียวจนไม่สนอย่างอื่น ลงท้ายเป็นภาคที่คะแนนต่ำที่สุดจนถึงปัจจุบัน

มาถึงภาคสาม Mission Impossible 3 (2006) เจ.เจ. แอบรัมส์ ผู้กำกับดาวรุ่งหน้าใหม่ไฟแรง (ในเวลานั้น) ถูกดึงตัวกำกับ โดยเป็นหนังใหญ่เรื่องแรกของเขาเลยทีเดียว สิ่งที่เด่นชัดคือการผสานความเป็นหนังสายลับดั้งเดิมให้คงอยู่ แต่ผสานฉากแอ็คชั่นให้ลงตัวมากขึ้น ว่ากันง่าย ๆ คือพยายามผสานหนังสองภาคให้ลงตัว ซึ่งเอาเข้าจริงตัวหนังออกมาสนุกและบันเทิงใช้ได้เลย ฉากแอ็คชั่นตื่นเต้นเร้าใจในเรื่องราวที่พลิกผันคาดเดาไม่ได้ แถมยังมีความคลุมเครือในวัตถุที่ชื่อ ‘ตีนกระต่าย’ ที่ทุกวันนี้แฟนหนังยังจำได้ดี 

แม้เสียงวิจารณ์ออกมาดี แต่รายได้กลับตกลง หนังทุนสร้าง 150 ล้าน ทำรายได้ทั่วโลกไปเพียง 398 ล้านเหรียญเท่านั้นเอง วินาทีนี้เองที่เริ่มมีคนคิดว่าแฟรนไชส์นี้อาจหมดลมหายใจไปแล้ว 

จุดเปลี่ยนสำคัญคือการมาของ Mission Impossible: Ghost Protocol (2011) ที่กำกับโดย แบรด เบิร์ด ผู้กำกับมือรางวัลสายแอนิเมชั่นที่ถูกทอม ครูซ ชวนมากำกับหนังคนแสดงเป็นเรื่องแรก ที่หลายคนมองว่าภาคนี้นี่เองที่กลายเป็นพิมพ์เขียวสำคัญของแฟรนไชส์ไปโดยปริยาย ทั้งโทนหนัง จังหวะการเล่าเรื่อง ความซับซ้อนแบบหนังสายลับที่ลงตัวกำลังดี และฉากเสี่ยงตายอันเป็นจุดขายของแฟรนไชส์และทอม ครูซ

หนังประสบความสำเร็จอย่างดีอีกครั้งในแง่ของคำวิจารณ์ และทำรายได้อย่างน่าพอใจอีกครั้งโดยกวาดเงินไปกว่า 694 ล้านเหรียญทั่วโลก 

ทำให้ภาคต่ออย่าง Mission Impossible: Rogue Nation (2015) ที่คราวนี้ทอม ครูซ เลือกใช้บริการ คริสโตเฟอร์ แม็คควอรี มือเขียนบทดีกรีออสการ์ที่เริ่มจะหันมาเอาดีในหน้าที่ผู้กำกับ ในการสานต่อภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ อย่างที่กล่าวไป หากภาคที่แล้วเปรียบเป็นการพบพิมพ์เขียว ภาคนี้จึงยึดพิมพ์เขียวนั้นอย่างไม่บิดพลิ้ว แม้ว่าฉากแอ็คชั่นไม่ได้อลังการแบบฉากปีนตึกที่สูงที่สุดในโลก แต่เพิ่มเติมด้วยเนื้อเรื่องที่ซับซ้อนและเข้มข้นขึ้นแบบกลับสู่รากเหง้าคล้ายกับภาคแรก ฉากแอ็คชั่นที่สนุกเหมือนเดิมแต่ติดดินมากขึ้น 

ด้วยรายได้ที่ไม่ตกลงจากภาคก่อนและเสียงวิจารณ์ที่สูงขึ้นกว่าเดิมอีก ทำให้ทอม ครูซ ตัดสินใจครั้งสำคัญของแฟรนไชส์ คือการเลือกจะใช้บริการแม็คควอรีต่อ เพราะเมื่อเจอผู้กำกับที่ใช่สำหรับแฟรนไชส์นี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนผู้กำกับอีก (ซึ่งแม็คควอรียังคงกำกับมาจนถึงปัจจุบัน)

จนมาถึงภาคหลังสุดอย่าง Mission Impossible: Fallout (2018) ที่คราวนี้เล่นใหญ่ขึ้นทุกด้าน ภารกิจที่ใหญ่ระดับโลก ฉากแอ็คชั่นไปไกลระดับขับเฮลิคอปเตอร์จริงกลางเวหา เนื้อเรื่องที่ผสานตัวละครทุกภาคมารวมกันเป็นเนื้อเดียว ที่ยังคงความซับซ้อนหักมุมเช่นเดิม เพิ่มเติมด้วยนักแสดงใหม่ชื่อดังอย่าง เฮนรี คาวิลล์ จนได้คำชมได้มากที่สุดในทุกภาค และกวาดรายได้สูงที่สุดของแฟรนไชส์ที่ 791 ล้านเหรียญสหรัฐ กลายสภาพเป็นแฟรนไชส์ที่ใกล้เคียงระดับพันล้านเข้าไปทุกที

สำหรับภาคล่าสุดอย่าง Mission Impossible: Dead Reckoning Part One ที่เรากำลังจะได้ดูกัน ภาคนี้จะแบ่งออกเป็นสองพาร์ท โดยภาคจบจะเข้าฉายในเดือนมิถุนายน 2024 ยังไม่มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องของภาคล่าสุด แต่เท่าที่สังเกตได้จากตัวอย่างหนัง จะเห็นได้ว่ามีการคารวะฉากแอ็คชั่นจากภาคก่อน ๆ พอสมควร ไม่ว่าจะฉากต่อสู้บนรถไฟความเร็วสูงและฉากต่าง ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของแฟรนไชน์นี้ รวมถึงฉากเสี่ยงตายอันลื่อลั่นที่ทอม ครูซ เพิ่งออกมายอมรับว่าเป็นฉากเสี่ยงตายที่อันตรายที่สุดที่เขาเคยเล่น อย่างฉากขี่มอเตอร์ไซค์เหินเวหาบนเทือกเขาสูงที่นอร์เวย์ 

นอกจากนั้น เรายังเห็นการปรากฏตัวของ เฮนรี เซอร์นี นักแสดงที่เคยรับบท ยูจีน คิตทริดจ์ ผู้อำนวยการหน่วย IMF คู่ปรับอีธาน ฮันต์จากภาคแรก และประโยคที่แม็คควอรีโพสต์ในทวิตเตอร์ว่า ‘ไม่มีทางที่จะหนีอดีตพ้น’ จึงเดาว่าน่าจะเป็นประเด็นสำคัญของหนังภาคนี้ ที่เรื่องราวใน ‘อดีต’ บางอย่างได้กลับมาเล่นงานอีธานและพวกพ้อง

ลองติดตามกันต่อไปว่าแฟรนไชส์หนังภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ จะกลายเป็นแฟรนไชส์ระดับพันล้านได้สำเร็จอย่างที่ ทอม ครูซ ตั้งใจไว้หรือไม่? 

เพราะหากดูจากพลังดาราและผลงานระดับปรากฏการณ์ในช่วงหลังของพี่เขาแล้ว บอกเลยว่าน่าลุ้นอย่างยิ่ง 

ภาพ: Paramount

Contributors

Contributors

ชายบ้าภาพยนตร์ บ้าแมนยู บ้าการเมือง ที่ชอบอ่าน ชอบเขียน และคิดเสมอว่าบทความดีๆ สามารถสร้างแรงบันดาลใจหรือจุดความคิดบางอย่างได้เสมอ แต่เป็นมนุษย์ติดกาแฟ คิดวนไปวนมา ตอนนี้กำลังฝึกตัวเองให้เป็นมนุษย์ที่สามารถมองเห็นความสุขง่ายๆ ของชีวิต