เชื่อว่าคนที่อ่านบทความนี้จะมีเพื่อนอย่างน้อยสักหนึ่งคนที่ถาม MBTI ของเราว่าเป็นแบบไหน เป็น INFJ หรือ ENTP แม้ประเด็นเหล่านี้ มักจะถูกยกมาพูดถึงและถกเถียงเรื่องความน่าเชื่อถือของมันบ่อยมาก แต่ถ้าเราลองไปดูในฝั่งของเกาหลีใต้ ก็จะพบว่า MBTI อยู่ในทุกส่วนของเกาหลีเลย หรือแม้กระทั่งศิลปิน ไอดอลก็ระบุ MBTI ใน TMI ของตัวเองอีกด้วย (ทำไมตัวย่อมันเยอะอย่างนี้ 💀)

จากแบบทดสอบเพื่อความบันเทิงสู่ความจริงจัง

อิทธิพลของ MBTI ในสังคมเกาหลีใต้อยู่แทบทุกที่ ไม่ว่าจะในโรงเรียน ที่ทำงาน หรือแม้แต่ในชีวิตส่วนตัวเอง ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ ชาวเกาหลีจำนวนมากคุ้นเคยและใช้ MBTI ในการทำความเข้าใจตนเอง และผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง Jane Jihye Kim ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมระหว่างประเทศกล่าวว่า สิ่งเหล่านี้แทรกซึมลึกไปในทุกอณูของสังคม กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการแนะนำตัวในกลุ่ม การสร้างทีม ไปจนถึงการนัดบอด หรือแม้แต่ในขั้นตอนการรับสมัครงานของบริษัทและหน่วยงานต่างๆ บางบริษัทถึงกับถาม MBTI ของผู้สมัครระหว่างกระบวนการ และบริษัทจัดหาคู่ก็ยังตรวจสอบ MBTI ในการให้คำปรึกษาด้วยซ้ำ ความแมสนี้ทำให้ MBTI สร้างรายได้มหาศาลกว่า 20 ล้านดอลลาร์ต่อปีให้แก่ผู้ผลิต

ภาพ: CNN

ภาพ: CNN

Are You T?

ในบรรดาตัวอักษร 8 ตัวของ MBTI ได้แก่ E, F, T, J, I, N, F และ P ตัวอักษร ‘T’ (Thinking) ซึ่งย่อมาจาก “การคิด” และ ‘F’ (Feeling) ที่หมายถึง “ความรู้สึก” ได้รับความสนใจเป็นพิเศษอย่างมากในเกาหลีใต้ โดยเฉพาะกับคำถามที่ว่า “คุณเป็น T หรือเปล่า?” ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกใช้ในเชิงชื่นชม

ตามคำนิยามผู้ที่ได้ผลเป็น ‘T’ มักจะตัดสินใจโดยใช้เหตุผลเป็นหลัก ส่วน ‘F’ จะอ่อนไหวและแสดงอารมณ์มากกว่า แต่ในสังคมเกาหลี ความแตกต่างนี้กลับมีน้ำหนักมากเป็นพิเศษ คนที่มีแนวคิดแบบ ‘T’ มักถูกมองว่า ขาดความเห็นอกเห็นใจ หรือไม่มีความลึกซึ้งทางอารมณ์ วลี “คุณเป็น T หรือเปล่า?” (Are you T?) กลายเป็นวลียอดนิยมในช่องตลก YouTube อย่าง Mimgorithm ที่ใช้เหน็บแนมคนที่พูดตรงเกินไปจนเสียบรรยากาศ ซึ่งวลีนี้สะท้อนความรู้สึกของคนเกาหลีอย่างมาก จนเกิดมีมและผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย รวมถึงรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี เช่น ไอศกรีม “Are You Tea?” ของ Baskin-Robbins Korea ทุกวันนี้คำถามนี้มักถูกใช้เป็นการเหน็บแนมอย่างอ้อมๆ สำหรับใครก็ตามที่ดูเหมือนไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นได้

สิ่งเหล่านี้ยิ่งชัดเจนขึ้นในเชิงความสัมพันธ์ เพราะในคู่รักในเกาหลีใต้ถูกคาดหวังให้มีความเข้าใจทางอารมณ์ที่ใกล้เคียงกัน นักศึกษาสาวคนหนึ่งกล่าวว่า “คนมีเหตุผลจะมุ่งเน้นไปที่การหาทางออก แต่อีกฝ่ายแค่ต้องการการสนับสนุนทางอารมณ์” ดังนั้น เมื่อเพื่อนปรึกษาเรื่องความสัมพันธ์ มักจะจบลงด้วยคำถามว่า “แฟนคุณเป็น T หรือเปล่า?”

จากกรุ๊ปเลือดสู่ MBTI

ก่อนหน้านี้ เกาหลีเคยมี “ทฤษฎีบุคลิกภาพตามกรุ๊ปเลือด” แต่ เจน จีฮเย คิม ชี้ว่า MBTI ที่มีถึง 16 ประเภท กลับถูกมองว่ามีความเป็นวิทยาศาสตร์และซับซ้อนกว่า จึงเข้ามาแทนที่ความเชื่อเดิมๆ

อีกปัจจัยสำคัญคือวัฒนธรรมสังคมเกาหลีที่มักจะขาดโอกาสในการสำรวจตนเอง เจน จีฮเย คิม ระบุว่าผู้คนมักถูกนิยามด้วยบทบาททางสังคมมากกว่าตัวตนที่แท้จริง ทำให้หลายคนขาดความเข้าใจในความชอบและบุคลิกภาพของตนเอง MBTI จึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ โดยนำเสนอวิธีง่ายๆ และรวดเร็วในการทำความเข้าใจตัวเอง

นอกจากนี้ อิทธิพลของยุค VUCA (Volatility, Uncertainty, Complexity, Ambiguity) ที่เต็มไปด้วยความผันผวนและความไม่แน่นอน ทำให้การจำแนกบุคลิกภาพเป็นสี่ตัวอักษรดูเหมือนจะให้ความรู้สึกมั่นคง และผลกระทบจากโควิด-19 ที่ทำให้ผู้คนต้องแยกตัว ก็ยิ่งส่งเสริมให้เกิดการสำรวจตัวตนมากขึ้น Jane Jihye Kim ชี้ว่าการถาม MBTI จึงเป็นวิธีสร้างความสัมพันธ์ได้อย่างรวดเร็วในสังคมที่การปฏิสัมพันธ์แบบเดิมๆ

ในวัฒนธรรมที่ให้คุณค่ากับลำดับชั้น MBTI ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการยอมรับความหลากหลาย โดยไม่จำเป็นต้องเสียอัตลักษณ์ของตนเอง ในสังคมที่พัฒนาอย่างรวดเร็วของเกาหลี มีการยอมรับความเป็นเอกลักษณ์ของบุคคลมากขึ้น และเปลี่ยนไปสู่แนวคิดปัจเจกนิยม ทำให้ MBTI กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการความสัมพันธ์ส่วนตัว และอาชีพ และส่งเสริมความตระหนักรู้ในตนเอง . แม้จะได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง โดยมีผู้คนกว่า 2 ล้านคนทำแบบทดสอบนี้ในแต่ละปี แต่ในเชิงจิตวิทยาแล้ว MBTI แทบจะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง Adam Grant นักจิตวิทยาองค์กรจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ยืนยันว่า “ไม่มีหลักฐานใดๆ รองรับเลย” ลักษณะที่วัดได้จากแบบทดสอบนี้แทบไม่มีพลังในการทำนายความสุขในสถานการณ์ต่างๆ ประสิทธิภาพในการทำงาน หรือแม้แต่ความสุขในชีวิตสมรส การวิเคราะห์ต่างๆ แสดงให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่า แบบทดสอบนี้ไม่มีประสิทธิภาพเลยในการทำนายความสำเร็จของผู้คน

MBTI กับความนิยมที่สวนทางกับความแม่นยำ

MBTI มีจุดเริ่มต้นในปี 1940 โดย Isabel Myers และ Katharine Briggs ซึ่งไม่มีการศึกษาอย่างเป็นทางการในด้านจิตวิทยาเลย และอ้างอิงจากทฤษฎีที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ของ Carl Jung ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองเองยังเตือนว่า ประเภทบุคลิกภาพของเขาเป็นเพียงแนวโน้มคร่าวๆ ไม่ใช่การจำแนกที่ตายตัว

ปัญหาหลักของ MBTI คือการจำแนกบุคคลออกเป็นสองขั้วอย่างจำกัด ทั้งที่ความจริงแล้วบุคลิกภาพของมนุษย์มีหลายสเปกตรัม ไม่ได้เป็นเพียงแค่ Intervort หรือ Extrovert นอกจากนี้ ผลลัพธ์ของ MBTI ยังไม่สอดคล้องกันอย่างมาก งานวิจัยพบว่ามีมากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ทำแบบทดสอบซ้ำจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันในครั้งที่สอง แม้จะห่างกันเพียงไม่กี่สัปดาห์

แบบทดสอบนี้ใช้ประโยชน์จาก ปรากฏการณ์บาร์นัม (Barnum effect) และ อคติในการยืนยัน (Confirmation Bias) โดยนำเสนอคำอธิบายที่คลุมเครือและมีแต่ลักษณะเชิงบวก ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าผลลัพธ์นั้นตรงกับตัวเอง ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับที่นักโหราศาสตร์หรือหมอดูใช้

ในเกาหลีใต้ ความไม่สอดคล้องกันนี้ก็เป็นที่ถกเถียงเช่นกัน มีหลายคนตั้งข้อสงสัยว่าการรับรู้ตนเองหรือผู้อื่นตามประเภททั้ง 16 ประเภทนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลหรือไม่ เพราะแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังแนะนำว่าการประเมินที่ทำโดยบุคคลที่สามอาจแม่นยำกว่าการประเมินตนเอง และ Isabel Myers เองก็ยอมรับถึงลักษณะที่ก่อให้เกิดความแตกแยกของแบบทดสอบ

นักจิตวิทยามืออาชีพส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ไม่ให้ความสำคัญกับ Myers-Briggs เลย เพราะมันไม่แม่นยำและเป็นไปตามอำเภอใจ แบบทดสอบบุคลิกภาพที่ทันสมัยและมีหลักฐานเชิงประจักษ์มากกว่า

MBTI อาจเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คนเกาหลีเข้าใจและเชื่อมโยงกับผู้อื่นได้ง่ายขึ้นในบริบททางวัฒนธรรม และแน่นอนว่าไม่มีอะไรผิดกับการทำแบบทดสอบเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่สิ่งที่ผิดคือการที่บริษัทผู้สร้างแบบทดสอบทำการตลาดว่ามัน “เชื่อถือได้และถูกต้อง” ทั้งที่มันไม่มีหลักฐานรองรับ และมีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่สูงมากทั้งจากผู้ทำแบบทดสอบและผู้ที่ต้องการเป็นผู้ดูแลการทดสอบที่ได้รับการรับรอง องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนมากมายยังคงใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลไปกับแบบทดสอบนี้ โดยเชื่อว่ามันจะช่วยในการบริหารจัดการบุคลากรได้ ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรอย่างน่าเสียดาย

Contributors

อาร์ตไดผู้รักงานออกแบบที่เขียนคอนเทนต์ได้นิดหน่อย ชอบเล่าตัวเลขและข้อมูลด้วยภาพ ชอบกินเส้นมากกว่าข้าว ชอบดูหนัง ชอบแมว และชอบเธอ