“มัจฉานะคะ เป็นศิลปินของค่าย White Fox – GMM Grammy ค่ะ” 

การแนะนำตัวที่เรียบง่ายพร้อมรอยยิ้มแสนสดใสของศิลปินสาววัย 23 ปี ช่างดูสวนทางกับภาพลักษณ์แสนเฟียร์ส ที่ถูกถ่ายทอดออกมาในทุกๆ เพลงให้แฟนคลับได้สัมผัส

นับตั้งแต่วินาทีที่ So What เดบิวต์ซิงเกิ้ลถูกปล่อยออกมาในปี 2021 จนถึง Closer (Clothes Off) ซิงเกิ้ลล่าสุด ตลอดระยะเวลา 3 ปี บนเส้นทางการเป็นศิลปินเดี่ยว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภาพจำของ MATCHA หรือมัจฉา โมซิมันน์ คือป็อปแดนซ์สาวสุดมั่นที่พกพาความสวยเซ็กซี่ พร้อมปล่อยพลังงานแบบเพื่อนหญิงพลังหญิงออกมาอย่างเต็มที่ 

“ฉาว่าถ้าคนมองภาพฉาจากงานเพลงที่ปล่อยออกไปหรือจากไอจี ทุกคนจะรู้สึกว่าเราเป็นคนเฟียร์ส แต่ตัวตนจริงๆ ฉาเป็นคนค่อนข้างรีแลกซ์ แล้วก็ชิลกับทุกอย่างมากๆ เลยค่ะ เพียงแต่ว่า Style กับ Aesthetic ด้านแฟชั่นและงานศิลปะของเรามันค่อนข้างจะดุ เลยทำให้ภาพที่ออกมามันดูเป็นแบบนั้น แต่จริงๆ สิ่งที่ฉาอยากนำเสนอออกไปคือ ‘ความมั่นใจ’ ค่ะ อยากส่งพลังนี้ไปให้ทุกคนที่ฟังเพลงของฉาเลย มันเหมือนเวลาฉาฟังเพลงจากไอดอลที่ฉาชอบ เพลงทั้งหมดให้พลังงานกับเรา อยากให้ทุกคนรู้สึกอย่างนั้นเวลาฟังเพลงฉาค่ะ” 

มาร่วมรับพลังแห่งความมั่นใจจากมัจฉาในฐานะศิลปิน นางแบบ และนักธุรกิจสาว กับบทสนทนาที่เปิดเผยตัวตนและความชอบของเธออย่างซื่อตรงและน่าหลงใหลที่สุด ทั้งความหวัง ความฝัน ไปจนถึงแนวคิดและสไตล์ต่างๆ ที่เราเชื่ออย่างยิ่งว่าจะทำให้คุณรักในความเป็นเธอมากขึ้น 

Dreaming 

ฝันที่เป็นจริงจากเด็กสาวที่รักการร้องเพลงในวันนั้น สู่การเป็นศิลปินหญิงเดี่ยวสุดจัดจ้านที่น่าจับตามอง 

คือต้องบอกแบบนี้ค่ะ ว่าสิ่งที่ฉาชอบและทำในทุกวันนี้ คือสิ่งที่ฉาชอบตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นเราชอบฟังเพลง ชอบร้องเพลง ชอบดูหนัง ชอบแฟชั่น รู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นว่าอยากลองเป็นดีไซเนอร์ แล้วก็คิดว่าจะทำให้ได้ จนช่วง 13 – 14 ฉาเริ่มเข้าวงการมาทำงานจริงๆ จังๆ ก็ได้สัมผัสด้านแฟชั่นจริงๆ ต้องขอบคุณความสูงของเราที่ทำให้ได้เปรียบเรื่องงานมากๆ ได้งานเยอะเพราะสูงเลยค่ะ แล้วสักพักก็มีงานแสดงตามเข้ามา 

ทีนี้พอมาพูดถึงเรื่องดนตรี จะเห็นว่างานที่ทำมามันมาจากความชอบใช่มั้ยคะ การเป็นศิลปินก็เป็นสิ่งที่ฉาชอบมาโดยตลอดเหมือนกัน แต่มันเป็นการแอบชอบน่ะค่ะ ฉาไม่เคยคิด ไม่เคยคาดฝันด้วยซ้ำว่าจะได้มาเป็นศิลปินเดี่ยว จนกระทั่งวันที่คนรอบข้างผลักดันให้เรามาออดิชันเข้าค่าย White Fox ตอนแรกไม่กล้าไปค่ะ แต่หลายคนแบบบอกให้มาลอง สุดท้ายก็ไปค่ะ ไปแบบไม่คาดหวังอะไรเลย จะมีก็แต่ความรู้สึกว่าอยากจะทำ ถ้าได้ทำก็ดี ถ้าไม่ได้มันก็คือมันไม่ใช่ทางของเราค่ะ บอกตัวเองแบบนั้น

พอได้ลองออดิชั่น เราพบว่าพี่ๆ ทุกคนน่ารักมาก แล้วก็รู้ผลตั้งแต่ตอนนั้นเลยค่ะ ว่าเขาอยากให้เราเข้าไปทำตรงนั้นด้วยจริงๆ คิดว่าอันนี้น่าตกใจแล้ว แต่ที่เซอร์ไพรส์กว่าคือ พอคุยกันแล้วทุกคนอยากให้ปล่อยเพลงเลยค่ะ ในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ซึ่งเรารู้สึกว่ามันสั้นมาก แต่ก็รู้สึกว่าโอ้ ความฝันของเราได้ทำแล้วนะ แต่ไม่นึกว่าเวลาจะสั้นขนาดนี้ค่ะ (หัวเราะ) 

3 เดือนแห่งการเตรียมตัว 

กดดันอยู่นะคะ แต่ก็ไม่ได้มากขนาดนั้น เพราะฉาไม่ใช่คนคิดมาก คือเราแค่รู้สึกว่าโอเค ถ้าเขาเห็นศักยภาพในตัวเรา แล้วเขาให้โอกาส แสดงว่าเราแค่ต้องทำค่ะ ทำแล้วพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ เพราะมันต้องมีอะไรบางอย่างในตัวเราแล้วล่ะ ที่ทำให้เขามั่นใจ ดังนั้นเราจะตั้งใจทำทุกอย่างค่ะ 

สำหรับการเทรนมีเกือบทุกวัน ฉาก็เข้าทุกคลาสค่ะ แล้วก็พยายามที่จะไม่ขาดคลาสไหนเลย เพราะเวลาเราทำการแสดง เราต้องทั้งเต้นทั้งร้อง คลาสก็จะช่วยฝึกตรงจุดนี้ เอาจริงๆ ตอนนี้ก็ยังเทรนแทบทุกวันอยู่ค่ะ ไม่ได้ต่างไปจากช่วงแรกๆ เลย แต่สิ่งที่ต่างมันน่าจะเป็นความยากมากกว่า ช่วงแรกๆ ทุกอย่างมันใหม่มากสำหรับเรา เข้าห้องอัดครั้งแรก ถ่ายเอ็มวีวันแรก มันคือการปรับตัวทั้งนั้นเลยค่ะ พอมาปัจจุบันการปรับตัวนั้นก็เปลี่ยนเป็นการหาทิศทางและกำหนดเส้นทางของเราให้ชัดเจนขึ้นมากกว่าค่ะ 

เหมือนภาพลักษณ์ที่ทุกคนเห็น มันก็คือทิศทางของฉาเหมือนกันนะคะ อย่างที่บอกไปว่าสไตล์แฟชั่น กับงานศิลปะที่เราชอบทำให้เราดูเป็นเฟียร์ส แต่ตัวจริงๆ ฉาเป็นคนรีแลกซ์แล้วก็ง่ายๆ กับการใช้ชีวิตมากค่ะ แถมตอนเด็กๆ ออกจะเป็นคนขี้อายด้วยซ้ำ แต่พอโตขึ้น ทำงานมากขึ้น ทุกงานทุกประสบการณ์มันสอนและสร้างความมั่นใจให้เราค่ะ ยิ่งพอโตขึ้นเข้าใจในตัวเองก็รู้ว่าเป็นคนเต็มที่กับทุกอย่าง ถ้าอยากได้อะไรจะค่อนข้างมุ่งมั่นทำสิ่งนั้นมากๆ ทั้งหมดทั้งมวลมันเลยออกมาเป็นภาพที่ทุกคนเห็นกันในเพลงค่ะ นั่นเป็นเหมือน Alter ego ของเรา อาจจะสวนทางกับความเป็นคนสบายๆ แต่ก็เป็นเราทั้งหมดค่ะ

จาก Dreaming สู่ Angelogy และการเติบโตในฐานะ MATCHA

สิ่งที่รู้สึกว่าพัฒนามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยคือสกิลค่ะ ตอนนี้ทำได้ทั้งร้องทั้งเต้น โดยเฉพาะการเต้น (หัวเราะ) เพราะตอนแรกฉาเป็นคนที่เต้นไม่ได้ คือเราเคยเรียนตอนยังเด็ก แต่มันทิ้งมานานมากๆ บวกกับสรีระร่างกายเราที่เป็นคนแขนขายาว ตัวสูง เวลาเต้นมันดูเก้งก้างมากเลยค่ะ มันยากมาก ยากแบบ เราเหนื่อยจนตั้งคำถามว่าทำไมเราต้องเต้น ทำไมซ้อมไปแต่ท่านี้มันไม่ชัดสักที เมื่อตอนแรกถามตัวเองแบบนี้ตลอดเลยค่ะ ถามว่าตอนนี้เป็นยังไง ดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่เราต้องพัฒนาต่อจากนี้ไปอยู่ดีค่ะ  

อย่างถ้าย้อนกลับไปช่วง EP. แรกที่ผ่านมา เราเหมือนลอง experimental กับทั้งลุคและทิศทางของเรา แต่พอเข้า EP.2 ตั้งแต่ Complicated จนขยับมาเป็น Just One Night หรือ Closer (Clothes Off) ฉารู้สึกว่าทั้งสไตล์และแนวเพลงของเรามันชัดเจนมากขึ้นแล้วค่ะ อย่างอีพีนี้ ฉาชอบ Closer มากเพราะมันมีความเป็น R&b สูง แล้วฉาฟังเพลงแนวนี้มาเยอะมากอยู่แล้ว แต่จริงๆ ทุกเพลงเทียบกันไม่ได้เลยค่ะ เพราะอย่าง Complicated ก็เป็นเพลงเร็ว Just One Night ก็จะหวานหน่อย สรุปคือชอบทุกเพลงเลย เทียบกันไม่ได้จริงๆ 

Angelogy

จุดเริ่มต้นของ Angelogy 

Angelogy มาจาก Angel + Geology, Biography ก็คือเหมือนอาร์ตของความเป็น Angel น่ะค่ะ ฉาเองเนี่ยเป็นคนชอบ Aesthetic ของความเป็นนางฟ้าอยู่แล้ว ชอบ Vibes ชอบคำ แล้วเราอยากให้ทุกคนได้เห็นความเปล่งประกายของเราในอัลบั้มนี้ เปรียบเทียบตัวเองเป็น Angel แล้วอยากจะคิดคำใหม่ขึ้นมา เลยกลายเป็น Angelogy อันนี้ในส่วนของชื่อนะคะ  

ส่วนตอนเริ่มคุยคอนเซปต์ของเพลง เราก็ตั้งคำถามกับตัวเองเลยค่ะ ว่าเราอยากจะร้องเพลงเกี่ยวกับอะไร หรือว่าเราอยากจะให้ EP. นี้มันแสดงด้านไหนของเรา ซึ่งเรารู้สึกว่ากับ EP แรก เกือบทุกเพลงจะเป็นความรู้สึกของผู้หญิงแบบฉันอยู่ได้โดยไม่ต้องการเธอ I don’t need you ฉันไม่แคร์เธอหรอก อะไรทำนองนี้ ฉาเลยรู้สึกว่าใน EP.2 ฉาอยากให้มันมีความหลากหลายมากขึ้น สำหรับ Complicated มันอาจจะยังพูดเรื่องเดิมอยู่ แต่พอมาถึง Just One Night กับ Closer เนี่ย มันพูดเรื่องมุมอื่นเยอะเลย เป็นตัวตนของเราในด้านอื่นๆ ที่อยากแสดงให้ทุกคนได้เห็น อันนี้คือ Core Idea แรก 

ส่วนที่สองคือความต้องการทำเพลงในแง่ของการเลือกซาวน์และบีทค่ะ ซึ่งแน่นอนมันจะต้องมีเพลงเต้นๆ อยู่แล้ว แต่อย่างที่บอกว่าฉาเป็นคนฟังเพลง R&B เยอะมาก ดังนั้นมันจะต้องมีเพลงช้าออกมาด้วย ในส่วนของงานโปรดัคชัน เราได้ทีมจากสวีเดน ชื่อ The Kennel AB มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ ซึ่งทำงานกับเขาคือสนุกมากเลยค่ะ ยิ่งช่วงขั้นตอนเดโม่ที่ได้ฟังเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย แล้วเราต้องทำการแปลทุกอย่างออกมาเป็นภาษาไทย ตอนนั้นคือคิดเยอะมาก เพราะมันไม่ใช่การแปลแบบเป็นคำๆ เอามาต่อกัน มันต้องควบคุม sense ทั้งหมดให้ออกมาไปในทิศทางใกล้เคียงกับความหมายเดิม แล้วจุดนี้คือเราได้พี่แอ้ม (อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์) มาช่วยแต่งเนื้อเพลงภาษาไทยให้ค่ะ โดยที่มีฉาเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย จนได้งานที่เรารู้สึกว่าโอเคนะ นี่คือสิ่งที่เราอยากจะบอก

ยกตัวอย่าง Complicated จริงๆ ท่อนฮุคเนื้อเพลงก็มาค่อนข้างเคลียร์มากอยู่แล้ว ถึงชื่อเพลงจะบอกว่า Complicated แต่ในความจริงเนื้อมันร้องว่า It ain’t so complicated, not so very complicated เนี่ยค่ะ เพลงมันกำลังบอกว่า To Treat Me Right มันไม่ได้ยากขนาดนั้น แต่คือเธอต่างหากที่ทำให้มันดูยุ่งยากจัง อารมณ์ของเพลงเหมือนเรากำลังเล่าความรู้สึกของเราออกมา ว่าเราได้รับเอฟเฟคจากการกระทำของเธอนะ บางวันเธอก็ดี บางทีเธอก็ดรอป เธอทำให้ทุกอย่างมันซับซ้อนมันยาก เนื้อบางท่อนเลยอาจจะทำให้รู้สึกว่า เออไม่อยากพูดแล้วนะ เบื่อแล้ว ประมาณนี้ค่ะ เราก็คุยถึงคำที่จะใช้แล้วก็แปลมันออกมาค่ะ 

พอมาถึง Just One Night อันนี้ยากเพราะมันเป็นเพลงที่สูงมาก (หัวเราะ) ด้วยบีทที่มีความเป็นดิสโก้ บวกกับเนื้อหาที่ค่อนข้างสนุก แต่อันนี้เป็นเพลงที่ฉาต้องเตรียมตัวนิดนึงตอนอัดค่ะ มีความยากบางอย่างของเพลงอยู่ แต่ในส่วนเนื้อหา มันคือช่วงที่ผ่านการทำความรู้จักกันแรกๆ มาแล้วค่ะ นี่คือช่วงของการจีบผู้ชายแล้ว มีความสนุก มีความ Flirt ขี้เล่นอยู่ แต่ยังคงคอนเซปต์เดิมค่ะ คือเราเป็นผู้หญิงมีค่านะ เธอต้องพิสูจน์ตัวเอง และเรามีเวลาให้แค่ตอนนี้เท่านั้น ไม่งั้นเราไม่รอแล้ว 

ทีนี้พอมาถึง Closer มันคือเรื่องราวที่ต่อเนื่องกันเลยค่ะ รู้จักแล้ว เดทกันแล้ว ก็มาถึงจุดที่เราอยากจะใกล้ชิดกับคนที่เรารัก มันจะมีความเซ็กซี่ในทำนอง ในเนื้อเพลง มันคือความรู้สึกที่เรามีน่ะค่ะ ฉาเชื่อว่าทุกคนต้องเคยมีสักครั้ง ทีนี้ช่วงที่ได้ฟังเดโม่น่ะค่ะ คือฉาชอบภาษาอังกฤษมากๆ ตอนแรกอยากจะปล่อยแบบภาษาอังกฤษเลยด้วยซ้ำ แต่พอได้มาเขียนเนื้อไทย มาเปลี่ยนคำลงไปแล้วเอาไปทำเดโม่ โห ฉารู้สึกเลยว่าอันนี้ดีกว่ามาก 

ความ Niche ท่ามกลางตลาดเพลงไทย 

ก็ Niche จริงค่ะ แต่ไม่เหนื่อยเลยนะ เพราะมันคือสิ่งที่เราอยากทำ มันคือสิ่งที่เราชอบ สไตล์ของเราเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นไม่เคยรู้สึกว่าเหนื่อยหรือต้องสู้กับอะไรเลยค่ะ แต่สิ่งที่ฉาเชื่อคือ โอเค เรายังไม่มีเพลงที่แมส แต่เราต้องทำให้มันสม่ำเสมอ ฉาเข้าใจนะคะ เพราะเพลงของเรามันเป็นเพลงที่มีทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษปนกันเลยอาจจะฟังยากนิดนึง แต่ฉาก็คิดว่าถ้าเราทำไปเรื่อยๆ ฐานแฟนคลับหรือคนที่ชอบเพลงของเราจะต้องค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นแน่นอนค่ะ แล้วสักวันนึงเราก็จะมีเพลงที่แมสออกมา เคยมีความคิดอยากทำเพลงไทยที่เป็นเพลงไทยล้วนๆ ค่ะ แบบอังกฤษล้วนๆ ก็อยากทำค่ะ ซึ่งก็ไม่รู้จะได้ทำเมื่อไหร่นะคะ (หัวเราะ) แต่เราก็ตั้งเป้าหมายของเราไว้ว่า สักวันเพลงของเราจะไปตีตลาดเมืองนอกเลยค่ะ 

Closer

Your Goal

อันดับแรกเลยคือต้องมีเพลงที่ฮิต อันนี้เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของฉาเลยค่ะ ลำดับต่อมามันเลยเป็นเรื่องของการพัฒามากกว่า คือตอนเด็ก Goal ของฉาคือการทำความฝันให้เป็นจริง ในที่นี้คือได้เป็นศิลปิน ซึ่งเราทำได้แล้ว ดังนั้น Goal ที่เรามองมันเลยใหญ่ขึ้น และต้องใช้ความพยายามมากขึ้น เช่นฉาตั้งไว้เลยว่าต้องมีวันที่เราสามารถร้องและเต้นแบบเต็มรูปแบบทั้งหมดแบบที่เราแข็งแรงพอ และไม่เหนื่อยให้ได้ เพราะฉาชอบ Beyoncé ค่ะ ทุกครั้งที่ได้ดูการแสดง ฉารู้สึกว่าเขาเก่งมาก ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเราต้องเก่งกว่านี้อีกเยอะๆ เก่งจนสามารถไปทำการแสดงบนเวทีเมืองนอกได้ แอบคิดไว้ว่าสักวันอาจจะได้แสดงที่ Coachella น่าจะมีวันนั้นมั้งคะ (หัวเราะ) 

ความสุขของการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก

มีความสุขค่ะ อันนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ก็มีความเครียด (หัวเราะ) มาคู่กัน เพราะฉาไม่ได้ทำแค่เรื่องร้องเพลงอย่างเดียว แบรนด์เสื้อผ้าก็ต้องทำ แฟนเพจเรื่องฟิตเนสของเราก็มี บางครั้งเรารู้สึกว่ามันเยอะมากเลยค่ะ เยอะจนไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนมาโฟกัสทุกอย่างให้เข้าที่ แต่ภาพรวมทั้งหมดเลยคือมีความสุขมากค่ะ ถึงจะเหนื่อยนิดนึงแต่ไม่เป็นไรค่ะ

Just One Night 

ตารางในหนึ่งวันของ MATCHA

โอ้โหแอคทีฟ ช่วงนี้ฉาแอคทีฟมาก เอาเป็นคร่าวๆ นะคะ มันจะแล้วแต่วันประมาณนึง แถมทุกสัปดาห์ตารางก็จะไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่ สมมติวันจันทร์มีเรียนเต้น ซึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาก็มีเรียนเต้น เป็นการซ้อมเพลงใหม่กับเรียนปกติอีก 2 ชั่วโมง เดี๋ยวลองไล่ตั้งแต่เช้าให้ฟังค่ะ วันจันทร์ตื่นมาตอนเช้าก็ไปเต้นเลย 2 ชั่วโมง พักทานข้าวแปปนึง แล้วก็ไปเต้นอีก 2 ชั่วโมง จากนั้นก็กลับบ้านมาพักมาทานข้าว แล้วก็ไปซื้อผ้าสำหรับทำคอลเลคชันใหม่ของแบรนด์ค่ะ ดังนั้นฉาก็อยู่ที่พาหุรัดคนเดียวเลย ตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงประมาณ 5 โมง เสร็จแล้วกลับมาเรียนเต้นต่อถึง 2 ทุ่ม จากนั้นก็กลับบ้านค่ะ

แต่พอมาถึงบ้านก็ยังมีงานจุกจิกให้ต้องทำต่อนะคะ การทำแบรนด์เสื้อผ้ามันมีรายละเอียดหลายอย่างที่ฉาต้องทำเอง กว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืนค่ะ พอมาเช้าวันอังคารก็ไปออกกำลังกายตอนเช้า 2 ชั่วโมง ไปเรียนเต้นต่ออีก 2 ชั่วโมง ร้องเพลง 1 ชั่วโมง พักแล้วก็ไปเรียนเต้นต่อค่ะ แล้วก็พักแล้วก็เรียนเต้นต่ออีก 2 ชั่วโมง แล้วค่อยกลับบ้านไปทำงาน ตารางจะอยู่ที่ประมาณนี้

แต่ถ้าวันไหนมีงาน ตอนเช้าจะไปออกกำลังกายค่ะ นั่งทำงานอยู่สักชั่วโมงหนึ่ง ก่อนจะไปทำ press tour ทุกวันจะเป็นแบบนี้ค่ะ วันเดียวที่ได้พักคือวันอาทิตย์ เพราะฉาทำหลายอย่าง ยิ่งแบรนด์นี่หลายจุดฉายังต้องทำเอง อย่างที่บอกค่ะ รายละเอียดหลายส่วนเราต้องเป็นคนจัดการ ดังนั้นเราจะหยุดไม่ได้เลย 

Cha Collective and Sauce Court 

ตอนนี้ทั้งสองแบรนด์กำลังไปได้ดีเลยค่ะ ในส่วนของ Cha Collective เนี่ย ส่วนใหญ่ฉาจะทำเป็นชุดราตรีค่ะ ซึ่งตอนนี้เหมือนจะเป็น Custom Order หมดเลย ทาเก็ตลูกค้าคือชาวต่างชาติเลยค่ะ ตอนนี้กำลังดีมาก เรียกว่าเป็น The Best Month เลยตั้งแต่ทำมา รู้สึกดีใจเลยค่ะที่ flow กับทิศทางเริ่มดูเข้าที่แล้ว

สำหรับ Sauce Court อันนี้จะเป็นทาร์เก็ตเมืองไทยค่ะ แต่ตอนนี้กำลังทำคอลเลคชั่นใหม่ที่จะไปขายต่างประเทศมากขึ้น เพราะฉาตั้งเป้าหมายไว้ที่ตลาดต่างประเทศค่ะ มันเข้าไปถึงเขาได้มากกว่า แถมใจยังหวังว่าจะต้องมีดารา Hollywood ใส่เสื้อผ้าของเราสักวันหนึ่ง (หัวเราะ) เป็นเป้าหมายที่เราอยากทำให้ได้ 

เอาจริงๆ ทุกอย่างดีมากเลยค่ะ แต่ก็เหนื่อยนิดหน่อยเพราะเราต้องทำเองหลายส่วน ศิลปินก็มีตารางเทรนอยู่ งานแสดงหรืองานแบบก็ทำ คือโอเคงานแบรนด์มันก็มีคนช่วย แต่ในแง่การดีไซน์เราต้องคุยเองค่ะ 

ทุกวันนี้บอกตัวเองตลอดว่าเราต้องไม่ขี้เกียจนะ เหนื่อยเราก็ต้องทำ แต่ก็ต้องไม่ลืมทั้ง passion และ creativity ที่เรามีในตอนแรกด้วย ต้องบาลานซ์กัน

MATCHA

Like me like my Idol 

Beyoncé กับ Rihanna เลยค่ะ ฟังมาตั้งแต่เด็กๆ คือบอกไม่ได้เลยว่ากี่ขวบ ตั้งแต่คุณแม่ชอบเปิดในรถ จนมี ipod แรกๆ ขยับมาเป็นยูทูบ ก็บอกได้เลยว่าชอบทั้ง Rihanna ทั้ง Beyoncé ทั้งคาริสม่าทั้ง performance คือมันไม่ได้มีแค่นั้น มันเริ่มตั้งแต่ fashion set, style แนวเพลง ไปจนถึงความมั่นใจของเขาที่ส่งออกมาเลยค่ะ วิธีที่เขาเลือก perform บนเสตจ คือทั้งหมดมันเหมือนแพคเกจเลยค่ะ 

อีกคนที่ชอบมากๆ คือนักร้อง Spanish ชื่อ Rosalia คนนี้คืออธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกเลยค่ะ แต่สายตาของเขา เอเนอจี้ของเขา attitude ของเขาเวลาขึ้นแสดงบนเสตจทำให้เราขนลุก (หัวเราะ) 

การทำงานทั้งหมดสอนให้รู้ว่า

สอนให้เรามีทั้งความรับผิดชอบและวินัยที่สูงค่ะ 

รวมไปถึงการติดต่อสื่อสารกับทุกๆ คน และการรับมือสถานการณ์ต่างๆ ด้วย การทำงานร่วมกับคนหมู่มาก ทำให้เราเติบโตขึ้น สอนให้เรารู้หลายอย่างเลยค่ะ ซึ่งการเจอคนหลายๆ แบบทำให้เราเป็นคนที่เปิดใจและให้เกียรติคนอื่นอยู่เสมอ 

เอาจริงๆ ฉารู้สึกว่าฉาโตเร็วนะคะ เพราะเราเริ่มทำงานไว ตั้งแต่อายุ 13 – 14 จนบางทีเราตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมเราต้องไปทำงาน เราไม่อยากไป เราอยากเรียน เราขาดเรียนเยอะมาก บางเวลาเราอยากไปเที่ยวกับเพื่อน อยากไปทำนู่นทำนี่ แบบที่เด็กวัยเดียวกันได้ทำ มันมีหลายอย่างที่เราต้องเสียสละไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อให้ทีมของเรา เพื่อคนอื่นด้วย มันคือความรับผิดชอบค่ะ 

When you’re down 

ฉารู้สึกว่าในโมเมนต์นั้น ถ้าเกิดเรารู้ว่าเราทำเต็มที่แล้ว แล้วเราฝึกซ้อมหรือทำทุกอย่างที่เราทำได้หมดแล้ว แบบ I give it everything ถ้ามันเกิดความผิดพลาดหรือไม่เป็นอย่างที่เราหวัง แบบที่เราไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ก็แค่ move on ค่ะ เพราะเราไม่สามารถชนะทุกอย่างได้ 

แพ้บ้างคือเรื่องปกตินะคะ ดังนั้นถ้าวันไหนรู้สึกดาวน์ รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะทำอะไรไม่ได้ หรือรู้สึกเสียใจมากๆ เราจะพยายามบอกตัวเองค่ะ ว่าเดี๋ยวทุกอย่างจะผ่านไป I’ll be OK (หัวเราะ)

Thank you for your support 

ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ทุกคนคอยซัพพอร์ตฉาตลอดตั้งแต่วันแรกเลยค่ะ คุณพ่อคุณแม่ที่คอยอยู่ข้างๆ เพื่อนเราที่ฟังเพลงเราแล้วชอบ คือมันรู้สึกดีใจมากๆ นะคะ ที่คนรอบตัวเรารักและฟังในสิ่งที่เรานำเสนอออกไป ยิ่งดีใจเวลาคนรอบข้างพูดว่า ฉันชอบเพลงนี้มากนะ มันเหมือนเราได้เห็นคนที่มีความชอบแบบเดียวกับเรา ยิ่งเวลาปล่อยเพลงใหม่ ทุกคนทักมาแบบ เออเพลงใหม่ดี เพลงใหม่เพราะนะคือยิ่งดีใจ 

ในส่วนของแฟนคลับก็ต้องขอบคุณค่ะ ทุกวันนี้มีคนฟังเพลงของฉาเยอะขึ้น ฉาดีใจมากนะคะเวลาได้เห็นทุกคนมาคอมเมนต์ใต้มิวสิควิดีโอ หรือแชร์ออกไป คือเห็นหมด ได้อ่านหมด มันเป็นความรู้สึกแบบ เขามาคอมเมนต์เราด้วย ความรู้สึกของทุกคนมีค่ากับฉามากค่ะ เป็นเหมือนกำลังใจให้เราไม่เหนื่อยในการพัฒนาตัวเองต่อไปค่ะ

“ขอฝากเพลงใหม่ Closer ด้วยนะคะ เป็นเพลงช้าเพลงแรกของ EP.2 ใน Angelogy ค่ะ ฝากเพลง แล้วก็ฝากไปชม music video ด้วยนะคะ เพราะมี Special Guest คือพี่มิว-ศุภศิษฏ์ (จงชีวีวัฒน์) มาแสดงเป็นพระเอก MV คนแรกของฉาค่ะ รวมถึงฝากเพลง Complicated กับ Just one Night ด้วยนะคะ เดี๋ยวจะมีเพลงอื่นๆ ตามออกมาแน่นอนค่ะ นอกจากเรื่องเพลง ฉากำลังจะมีโปรเจกต์หนังค่ะ เล่นกับพี่ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ เป็นหนังแนว Rom-Com Adventure movie ค่ะ น่าจะฉายช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ยังไงฝากติดตามด้วยนะคะ”

Contributors

Contributors

อดีตนักเรียนสถาปัตย์ที่หลงใหลในจังหวะดนตรีและมีความสุขกับการเต้น ปัจจุบันทำเพลงเป็นงานอดิเรกที่จริงจัง และกำลังพัฒนาตัวเองเพื่อให้ฝันเป็นจริง

ผู้ที่ชื่นชอบการ Backpack เที่ยวคนเดียวพร้อมกับกล้องคู่ใจ ออกเดินทางเพื่อตามหาสถานที่และมิตรภาพใหม่ๆ