หลังจากอัลบั้มชุด Eye Of The Storm ที่ได้ลดทอนความหนักแน่นแต่เพิ่มกับความเข้าถึงผู้คนง่าย ทำให้เกิดเสียงแตกเป็นสองฝั่ง แต่ในที่สุดวงร็อคจากประเทศญี่ปุ่นที่เป็นขวัญใจของใครหลาย ๆ คนอย่าง ONE OK ROCK ก็ได้ปล่อยอัลบั้มชุดที่ 10 อย่าง Luxury Disease ซึ่งห่างจากอัลบั้มชุดที่แล้วประมาณ 3 เกือบ 4 ปี ที่ทำให้สาวกอย่างเราดีใจกับการคัมแบคในครั้งนี้และเป็นคัมแบคที่เราตื่นเต้นเป็นอย่างมากเพราะดันปล่อยอัลบั้มตรงกับวันคล้ายวันเกิดของผู้เขียนเสียอย่างนั้น

            ฉะนั้นในส่วนของเจริญหูเจริญตาในเดือนนี้ขออนุญาตเขียนรีวิวอัลบั้มนี้ด้วยความเป็นสาวกอย่างเหนียวแน่นตั้งแต่วงได้เปรี้ยงปร้างจากเพลง The Beginning และเคยไปคอนเสิร์ตตอนมาทัวร์ที่ไทยในช่วงอัลบั้ม Ambitions เพื่อจะเป็นการเชื้อเชิญผู้อ่านได้รู้จักวงนี้มากขึ้น

หมายเหตุ: นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนได้เขียนรีวิวอัลบั้มศิลปินต่างประเทศ และด้วยความที่ภาษาไม่ได้แข็งแรงทำให้อาจจะไม่ได้ลงลึกเท่าบทความก่อนหน้า แต่จะเป็นการรีวิวจากความรู้สึกที่ได้ฟังแต่ละเพลง และอาจจะพูดถึงเนื้อหาบางส่วนในบางเพลงที่สามารถเข้าใจได้ ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

Track By Track

Save Yourself 

            Track แรกของอัลบั้มที่ปล่อยมาพร้อมกับการประกาศอัลบั้มชุดนี้ ฟังครั้งแรกผมก็รู้สึกดีใจมากที่ได้กลับมาเจอบรรยากาศที่คุ้นเคย ดนตรีที่หนักแน่นทั้งกลอง เบส กีตาร์ ราวกับยุคอัลบั้ม 35XXXV (2015) พร้อมกับแทรกกับความสมัยใหม่ด้วย Electronic ที่บอกเลยว่าอดใจไม่ไหวที่อยากจะดูวงนี้เล่นสดเป็นอย่างมาก

Neon 

            เพลงนี้ผมแอบตกใจที่วงไปทาง Alternative Rock การมีเสียงร้องประสานในแต่ละช่วงที่สามารถไปเล่นสดกับคนดู ริฟฟ์กีตาร์ที่แอบนึกถึง Muse หรือแม้กระทั่ง My Chemical Romance (ไม่ต้องแปลกใจ รอบนี้ทางวงใช้ Producer ที่เคยร่วมงานกับ MCR) น่าจะเป็นอีกเพลงที่สนุกแน่นอน

Vandalize 

            เพลงนี้เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะชื่นชอบด้วยจังหวะ การเรียบเรียงที่เรียบง่ายแต่ติดหู เพลงที่โยกได้เรื่อย ๆ สิ่งที่ชอบเมื่อพยายามแปลเนื้อหาก็คือ ด้วยความที่คำว่า Vandalize มันคือการทำลายทรัพย์สิน เราเลยรู้สึกว่าเพลงนี้มันคือเพลงอกหักในเชิงว่าคุณน่ะเข้ามาทำลายหัวใจเราราวกับทำลายทรัพย์สิน อีกทั้งเพลงนี้ยังเป็นเพลงประกอบของเกม SONIC FRONTIERS อีกด้วย

When they turn the lights on

            Track นี้เป็นอะไรที่ทำเราเซอร์ไพรส์มาก เราไม่คิดว่าตัววงจะมาทางเพลงร็อคแบบวง Queen มีการใช้เปียโน เสียงประสาน ซึ่งเราไม่เคยว่าตัววงทำอะไรแบบนี้ มีการให้ Toru มือกีตาร์ของวงได้โชว์ลีลาการโซโล่อีกด้วย

Let Me Let You Go

            Pop Rock จังหวะ Medium ที่ฟังง่ายและฟังได้เรื่อย ๆ มีท่อนฮุคที่ร้องตามง่าย ๆ กับเนื้อหาที่รู้ตัวว่าตัวเองไม่ดีพอและพยายามที่จะทำอะไรหลายอย่างแต่สุดท้ายเขาก็ไม่อยู่ตรงนี้แล้ว อีกทั้ง MV เพลงนี้มาแบบ Documentary ในช่วงที่วงได้เล่นที่ Summer Sonic ในปีนี้อีกด้วย

So far gone 

            เพลงช้าของวงที่รับรูัถึงความเจ็บปวดของคนไม่มูฟออนได้เลย ยิ่งเจอท่อน The weight of your name Gonna keep me steady  คือรู้สึกจุกมากมันมีเต็มไปด้วยเนื้อหาเชิงว่าเขาคนนั้นไม่เคยหายไปไหน อีกทั้งดนตรีมีเครื่องสายเร้าอารมณ์อีก เรียกว่ายิงเข้ากลางหัวใจเลย

Prove

            บทเพลงแห่งการพิสูจน์หนทางที่บอกว่าแม้จะไกลแค่ไหน จะต้องผิดพลาดหลายครั้งแต่เราจะเรียนรู้และเดินต่อเพื่อพิสูจน์ เป็นเพลงร็อคพลังบวกที่ได้ Jordan Fish อีก 1 หัวหอกจากวง Bring Me The Horizon เข้ามาช่วยอีกด้วย เป็นเพลงที่รู้สึกได้เล่นสดต้องสนุกแน่นอน

Mad World 

            เพลงนี้เราชอบเป็นการส่วนตัวมาก ด้วยเพลงที่มาการเรียบเรียงสไตล์ Pop ในช่วง Intro ก็จะซัด Full Band เป็นเวลาต่อมากับเนื้อหาที่คาดว่่าจะเกี่ยวกับการอย่างเปลี่ยนแปลงสังคมที่เราอยู่ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป แต่มันยังไม่ถึงสักที ที่สำคัญถ้าได้ฟังในเวอร์ชั่นญี่ปุ่นก็จะได้อีกอรรถรสหนึ่ง เพราะเพลงนี้เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นเกือบทั้งหมด หลังจากที่ห่างหายไปนาน

Free Them

            เพลงจังหวะมีเดียมที่ได้ Teddy Swim มาร่วมแจมด้วย เป็นเพลงที่ได้โชว์พลังเสียงทั้งคู่อย่างเต็มที่ เรียกได้ว่ารู้สึกขนลุกกับเพลงนี้เลย

Renegades 

            เพลงนี้จริง ๆ น่าจะเป็น Single แรกของวงในอัลบั้มนี้เลย โดยได้ Ed Sheeran เขามาช่วยแต่งเพลงอีก คือมันเป็นเพลงประกอบ Rurouni Kenshin: The Final โดยเนื้อหามันเกี่ยวกับการเป็นกบฏ หมายถึงการเป็นกบฏที่จะต่อต้านสิ่งที่ไม่ยุติธรรม การระบายความโกรธต่อระบบสังคมที่แสนห่วยแตก เพื่อให้เกิดระบบใหม่ที่สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน ซึ่งมันก็ Relate กับตัวละครในเรื่องนี้

            และยิ่งถ้าได้ดู MV ก็จะเห็นว่าวงได้สอดแทรกเรื่องราว ๆ ต่างที่เคยใช้เป็นประเด็นในกระท้วงในสังคมอย่าง Black Lives Matter, Stop Asian Hate, LGBTQ+, Equality, Climate Changes, และเรื่องการใช้สิทธิและเสียงเพื่อเรียกร้องความถูกต้อง และให้ความรู้สึกถึงการที่วงอยู่เคียงกับคนรุ่นเรา มันเป็นเพลงที่ดูทั้ง MV และเข้าใจถึงเนื้อหามันจริง ๆ ก็รู้สึกถึงความทรงพลังของเพลงนี้เลย

Outta Sight

            เป็นเพลงเร็วที่ฟังสนุก สอดแทรกด้วย Sound Design เพื่อสร้างบรรยากาศของเพลง ซึ่งเราต้องดูตอนเล่นสดว่าจะสนุกมากแค่ไหน

Your Tears Are Mine

            เราว่านี่คือไพ่ไม้ตายของอัลบั้มนี้แน่ ๆ ด้วยความที่วงตัดออกมาเล่นในช่วง Studio Session ที่จะมีเฉพาะในแผ่นเวอร์ชั่น Japanese Limited Edition

            ทุกตัวอักษรของเพลงนี้ มันเป็นเพลงที่เหมือนแต่งมาปลอบประโลมใจว่าเรายังเคียงข้างคุณจนสุดทาง ด้วยดนตรีที่ช้าแต่หนักแน่น แถมเร้าอารมณ์อีกทั้งยังให้ Taka นักร้องได้โชว์เสียงอันทรงพลังอีกด้วย เชื่อว่าถ้าได้ฟังเพลงนี้เล่นสดมันคงจะเป็นบรรยากาศที่ยอดเยี่ยมแน่นอน

Wonder 

            เพลงปิดอัลบั้มที่อยากชวนให้เราสงสัยว่าถ้าเรามีชีวิตของแค่ครั้งเดียว เราจะทำอะไรในสิ่งที่เรารักในที่สุดในชีวิตนี้ มาในสไตล์ Rock and Roll ที่หลาย ๆ คนไม่ได้คุ้นชินอย่างแน่นอน แต่เราถือว่านี่คือวงคิดมาดีแล้วที่ถึงเอาเป็นเพลงนี้ปิดอัลบั้ม

Adds on Japanese Version
Broken Heart Of Gold

            เพลงนี้เป็นอะไรที่แอบเสียดายเหมือนกันว่าทำไมว่าทำไมไม่ได้อยู่ใน International Version เราชอบทั้งดนตรีกับเนื้อหามาก เรารู้สึกว่าเพลงนี้มันมีเนื้อหาเชิงคนที่เรารู้สึกว่าต่อให้แข็งแกร่งมากแค่ไหน มันก็ต้องมีโมเมนท์ที่อยากวางมือ อยากออกไปจากตรงนี้อยู่ อีกทั้งพาร์ทดนตรีที่มีเครื่องสายให้มีความ Cinematic แถมวงฉลาดในการเรียบเรียงให้มีลูกเล่นขัด ๆ อีกต่างหาก

Gravity (feat. Satoshi Fujihara) [OFFICIAL HIGE DANDISM]

            เราว่านี่คือของดีอีกเพลงเลย เสียงของ Taka ก็ลงตัวกับ Mood ดนตรีแบบนี้ แถมได้ Satoshi Fujihara นักร้องนำวง OFFICIAL HIGE DANDISM มันแทบจะเป็นอะไรที่จับตามองมาก ๆ และไม่ผิดหวังจริง ๆ บวกกับเนื้อหาที่พูดในเชิงว่าเราจะไม่ตกหลุมรักคุณอีกแล้วมันเป็นอะไรที่ลงตัวมาก 

            ภาพรวมของอัลบั้มนี้คือไม่ผิดหวัง แน่นอนวงที่เรารักต่อให้วงไปในเวย์ไหนเราก็หลงรักเหมือนเดิม แต่รอบนี้ชื่นชมที่สมาชิกทัังวงทั้ง 4 คนอย่าง Taka, Toru, Ryota และ Tomoya เริ่มจับแนวทางดนตรีที่จะตีตลาดอินเตอร์ได้ดีขึ้น ถ้านับตั้งแต่อัลบั้ม Ambitions จนถึงอัลบั้มนี้ (ที่นับแบบนี้เพราะว่าวงได้ปล่อยอัลบั้ม Ambitions เป็นอัลบั้มแรกในค่ายเพลงอินเตอร์อย่าง Fueled by Ramen ค่ายเพลงที่มีศิลปินที่คุ้นหูอย่าง Paramore, Twenty One Pilots, Panic at Disco)

            ถือว่าอัลบั้มนี้ยิงเข้าเป้ามากขึ้น แม้บางเพลงเราจะรู้สึกเฉยๆ แต่บอกเลยว่าถ้าวงได้เล่นสดเพลงนั้นเมื่อไหร่เชื่อว่าเพลงนั้นต้อง Energy เยอะกว่าฟังในอัลบั้มแน่นอน เพราะตัววงขึ้นชื่อในลีลาการเล่นสดที่เร้าใจมากๆ อีกประการหนึ่งเราต้องให้เครดิตอย่าง Rob Cavallo ที่เป็น Producer ให้กับ Green Day, My Chemical Romance, Paramore ที่ทำให้อัลบั้มนี้ตัววงเข้าที่เข้าทางและกลมกล่อมมากขึ้น

            ซึ่งหลังจากเขียนรีวิวและฟังอัลบั้มก็ได้แต่ภาวนาให้ทางวงมาเยือนที่ไทยสักครั้ง สัญญาว่าจะไปลงหลุมไปโดดให้ลืมขาที่ยืนแน่นอน

Contributors

Contributors

พนักงานออฟฟิศที่ชอบเข้างานเลทแต่เลิกงานตรงเวลา หลงรักเสียงดนตรีแสงสี งานภาพยนตร์มากกว่าบัญชีรายรับรายจ่าย เป็นคนสู้งานแต่งานสู้กลับจนบ่นปวดหลังในทุกๆ วัน