In Partnership with KTC

            หากใครศึกษาประวัติศาสตร์ จะรู้ว่าในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 และ 6 คือยุคที่สยามประเทศพัฒนาขึ้นอย่างขีดสุด ความเจริญหลายด้านเข้าสู่สยามที่เบิกทางให้คนรุ่นหลังยังคงได้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสะบาย รวมถึงองค์ความรู้ต่างๆ ที่เราได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งมีเสน่ห์ความเป็นไทยอย่างแท้จริง

            ซึ่งกว่าจะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ในสมัยอดีตอย่างครบถ้วนและลึกซึ้งก็คงจะใช้เวลานาน แต่เราโชคดีมากที่ KTC PR Press Club เชื้อเชิญเราให้ไปตามรอยสยามในยุครุ่งเรืองกับ The Secret of พระนคร ตอน เริงพระนครตะลอนสยามอารยะ ที่เราก็อดชมทีม KTC ไม่ได้ เพราะพี่ๆ ที่น่ารักต่างทำการบ้านในการเดินทางครั้งนี้ได้น่าประทับใจมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเส้นทาง เนื้อหาจากวิทยากร หรือการดูแลจากพี่ๆ ที่ดูแลเราและลูกทัวร์ได้ดีจริงๆ 

            เส้นทางที่เราจะพาคุณเดินทางไปด้วยกันในวันนี้จะพาไปศึกษาประวัติศาสตร์ เรียนรู้งานฝีมือ และเสพสถาปัตยกรรมที่สวยงามซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่ในมหานครแห่งนี้

            ใจจริงก็อยากนุ่งโจงและชุดไทยโบราณไปทัวร์ครั้งนี้ แต่เอาเป็นว่าไม่ต้องขนาดนั้นดีกว่า ถึงเวลาตามรอยการพัฒนาสยามเพื่อมองการพลวัต สืบรากเหง้า 

            และเรื่องเล่าที่ทำให้เราเป็นเราถึงวันนี้แล้ว

จุดที่ 1
ย้อนรอยพัฒนาการสยาม ณ หอวชิราวุธานุสรณ์

            ทริปนี้เริ่มต้นด้วยการฟังเรื่องเล่าการเดินทางของสยามที่ก้าวเข้าสู่ความเป็นสากลมากขึ้น ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ในพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ รัชกาลที่ 6 

            เรื่องราวการเปลี่ยนผ่านยุคของสยามถูกบันทึกไว้ภายในหอวชิราวุธานุสรณ์ หอที่เกิดขึ้นจากการผลักดันของหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล มหาดเล็กรับใช้รัชกาลที่ 6 เมื่อครั้งตอนเด็ก กระทั่งได้มาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการในระยะหนึ่ง ซึ่งคณะท่านหม่อมหลวงปิ่นให้สร้างหอนี้ขึ้นมาเพื่อเทิดพระเกียรติรัชกาลที่ 6 โดยบันทึกองค์ความรู้ในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่ถูกส่งต่อไยังรุ่นสู่รุ่นภายในหอที่มีทั้งหมด 3 ชั้นเดียวกัน ซึ่งในแต่ละชั้นจะมีเรื่องราวและความเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป

            ชั้นแรก – เราเดินมาเจอกับห้องอัศวพาหุ ที่มีพระบรมรูปหุ่นฉลองพระองค์เครื่องทรงมหาพิชัยยุทธ เป็นการบันทึกชุดยศถึงเหตุการณ์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่รัชกาลที่ 6 ได้ประกาศเข้าร่วมสงครามซึ่งเป็นพันธะมิตรกับฝั่งประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 จากที่ก่อนหน้านั้นสยามวางตัวเป็นกลางมาตลอด ซึ่งการสงครามโลกครั้งที่หนึ่งของรัชกาลนี้ทำให้สยามมีเหตุการณ์ต่าง ๆ และวิวัฒนาการในหลายแง่ 

            ชั้นที่ 2 ชั้นหัวใจหลักของที่นี่  ห้องสมุดรามจิตติ ห้องสมุดที่มีไว้เพื่อให้ประาชนได้เข้ามาสืบเกี่ยวกับประวัติและพระราชกรณียกิจของพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดย ม.ล. ปิ่น มาลากุล มีความตั้งใจอยากบันทึกเรื่องราวของท่านไว้ เพื่อให้ประชาชนและคนรุ่นหลังจดจำรัชกาลที่ 6 ได้นั่นเอง

            นอกจากพระราชกรณียกิจแล้ว ยังมีบันทึกนามสกุลชาวสยามที่รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานให้กว่า 6,432 ชื่อ อย่างนามสกุลที่ลงท้ายด้วย ณ อยุธยา ก็เกิดจากการผสมผสานชื่อต้นตระกูลลงไปด้วย หรือบางนามสกุลก็แต่งตั้งชื่อนั้นจากอาชีพที่ต้นตระกูลทำอยู่ เป็นต้น ที่นี่ยังมีใบอารักษ์ที่มีการจัดทำหมวดหมู่ตัวอักษรนำนามสกุลตั้งแต่ ก.ไก่ – ฮ.นกฮูกเอาไว้ด้วย เผื่อใครอยากเช็กว่าต้นตระกูลตนเองใช้นามสกุลพระราชทานหรือไม่ ก็สามารถมาเช็กกันได้ฟรีที่นี่

            ชั้นนี้ยังมีความพิเศษสำคัญอีกอย่างคือการจำลองห้องทรงพระอักษรของรัชกาลที่ 6 เอาไว้ เป็นห้องที่เรียกง่าย ๆ ว่าห้องทำงานนั่นเอง ภายในห้องเต็มไปด้วยหนังสือที่ท่านอ่าน ส่วนใหญ่เป็นหนังสือเกี่ยวกับการปกครอง เศรษฐกิจและหนังสือนอกเวลาอื่น ๆ ที่ท่านสนใจ นอกจากนี้ยังมีหนังสือที่มีความสำคัญคือ หนังสือที่ตกทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น บางเล่มเป็นหนังสือที่รัชกาลที่ 5 เคยอ่านแล้ว และได้ขีดเขียนจดบันทึกข้อความลงบนหนังสือ แล้วจึงส่งต่อหนังสือเล่มนั้นให้กับรัชกาลที่ 6 ผู้เป็นราชโอรสได้ศึกษาต่อ 

            ชั้นที่ 3 – ชั้นของนิทรรศการถาวรและหมุนเวียน เริ่มกันที่ห้องพระบรมราชะประทรรศนีย์ หรือที่แปลว่า ห้องนิทรรศการของพระราชา จัดแสดงพระบรมรูปหุ่นในพระอิริยาบถต่าง ๆ ขณะทรงพระราชกรณียกิจอย่างสมจริง ซึ่งพระบรมหุ่นทรงเครื่องสายสะพายวิกตอเรียอยู่ด้วย ซึ่งรัชกาลที่ 6 ทรงได้เดินทางไปงานพระบรมศพของพระนางเจ้าวิกตอเรียด้วย ในยุคนั้นยศทางทหารของท่านเองก็เทียบเท่าได้ยศทางทหารของประเทศอังกฤษอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีที่อังฤษมีต่อสยาม และแสดงให้เห้นว่าสยามกำลังจะกล้าวเข้าสู่การเป็นชาติที่มีอารยะ

            อีกห้องที่น่าสนใจในชั้นนี้ คือ ห้องสถานธีรนิทรรศน์ เป็นที่แสดงนิทรรศถาวรและกึ่งถาวร โดยนิทรรศการถาวรจะเล่าเรื่องราวภารกิจของรัชกาลที่ 6 ที่ถูกส่งต่อมาจากรัชกาลที่ 4 นั่นคือ การสร้างสยามให้เป็นชาติที่มีอารยะ

            เริ่มจากพันธกิจในการปกครองเมืองแบบ รวมอำนาจสู่ศูนย์กลาง (Centralization) เพื่อทำให้ชาติรวมกันเป็นปึกแผนให้ได้ ซึ่งเริ่มจากเรื่องศาสนาที่รัชกาลที่ 6 มีการเปลี่ยนแปลงระบบและกฎบางอย่างของคณะสงฆ์สยามให้เป็นระบบมากขึ้น และเพิ่มให้เห็นว่าศาสนาพุทธมีความสำคัญมากกับสยามประเทศ 

            ภารกิจสร้างชาติเป็นปึกแผ่นต่อมาคือการสร้างประวัติศาสตร์ชาติ ในยุคนั้นมีบันทึกประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสยามถึงแค่รัชสมัยพระเจ้าอู่ทอง พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงต้องทำการค้นคว้าสืบค้นประวัติศาสตร์ที่เก่ากว่านั้นเพื่อหาต้นตอของสยาม นั่นจึงเป็นที่มาของการมีประวัติศาสตร์สุโขทัยจนถึงปัจจุบันนั่นเอง

            การสร้างสยามให้เป็นอารยะ คุณภาพชีวิตของชาวสยามก็ต้องพัฒนาขึ้นไปด้วย รัชกาลที่ 6 ทรงอยากให้ชาวสยามมีอาชีพอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่การทำไร่ทำนาและข้าราชการ แต่สยามควรมีอาชีพอื่นขึ้นมาด้วย เช่น หมอ พยาบาล ซึ่งการจะมีอาชีพเฉพาะทางในแต่ละวิชาชีพนั้น ประชาชนต้องเข้าถึงการศึกษาก่อน พระองค์จึงได้จัดตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทลัย สถาบันการศึกษาในหลากหลายสาขาอาชีพแห่งแรกของสยาม

            นอกจากนั้นท่านก็ได้สร้างหลายสิ่งในแง่เศรษฐกิจเช่นกัน อย่างการนำเอาระบบเมตริกซ์หรือมาตราวัดชั่งตวงเข้ามาในสยาม เพื่อให้พ่อค้าแม่ขายได้สื่อสารกับชาวต่างชาติอย่างเข้าใจ และไม่เสียเปรียบ 

            พูดถึงการเสียเปรียบเรื่องราคากันแล้ว ในยุคที่เศรษฐกิของสยามเริ่มเติบโต ชาวสยามเริ่มมีเงินเก็บ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงให้มีธนาคารเพื่อปลูกฝังนิสัยรักการออมให้กับชาวสยาม จึงเกิดธานคารแห่งแรกของสยามที่ชื่อว่า ธนาคารออมสิน

            ยิ่งไปกว่านั้นคือการปรับเปลี่ยนเวลาของสยามที่เมื่อก่อนชาวสยามเรียกเวลาเป็น โมงและยาม รัชกาลที่ 6 จึงเปลี่ยนมาเป็นนาฬิกาให้ 1 วัน มี 24 ชั่วโมงตามมาตรฐานเวลาของกรีนิช เพื่อให้มีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น 

            ความเป็นอารยะอีกเรื่องการสร้างระบบขนส่งและสาธารณูปโภค อย่างการสร้างเส้นทางรถไฟที่เชื่อมต่อกันได้ เชื่อมตั้งแต่รถไฟสายเหนือไปถึงสายใต้ โดยมีสะพานพระราม 6 เป็นเส้นทางเชื่อมรถไฟสายเหนือและใต้

            เรามักคิดกันว่าสนามบินดอนเมืองคือสนามบินแห่งแรกของประเทศไทยใช่หรือไม่ ทว่าความจริงแล้ว สนามบินแห่งแรกของประเทศไทยคือ สนามม้า ซึ่งรัชกาลที่ 6 เล็งเห็นประโยชน์ของการใช้เครื่องบินหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงทรงให้สร้างสนามบินขึ้นมา เพื่อเป็นอีกรูปแบบของการส่งออก

            เราเดินชมประวัติและพัฒนาการของสยามประเทศกันอย่างเต็มอิ่มแล้ว เราจึงเคลื่อนตัวกันไปตามรอยต่อในจุดที่ 2 กัน 

จุดที่ 2
เซ่งชง ร้านรองเท้าเจ้าประจำของรัชกาลที่ 6

            เราได้เข้าใจภาพรวมวิวัฒนาการของสยามกันแล้ว สถานที่ต่อมาที่ทำให้ตื่นตาคือร้านเซ่งชง มองเผิน ๆ ร้านนี้คงเป็นร้านรองเท้าหนังธรรมดา ๆแต่สังเกตให้ดี ด้านบนของร้านนี้มีตราครุฑเด่นหราอยู่ เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าสถานที่แห่งนี้ซ่อนประวัติศาสตร์ของสยามไว้อีกชุดหนึ่ง

            เราเดินเข้าไปในร้านแและได้พบกับทายาทรุ่น 4 ของร้านเซ่งชงคุณอาจฤทธิ์ ประดิษฐบาทุกา ได้มาทำการต้อนรับและเล่าเรื่องราวความเป็นที่ซ่อนเร้นอยู่ในตึกเก่าตึกนี้

            ต้องบอกก่อนว่า ร้านที่เรายืนอยู่ไม่ใช่ร้านดั้งเดิมร้านแรกเมื่อสมัยรอยปีก่อน แต่ที่นี่เป็นร้านบนถนนนครสวรรค์ที่ย้ายมาจากถนนเจริญกรุงเมื่อปี 2556 โดยจุดที่ร้านเดิมเคยอยู่กลายเป็นสถานีรถไฟฟ้าไปแล้ว

            ร้านเซ่งชงเปิดครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2439 โดยหลวงประดิษฐบาทุกา หรือเซ่งชง ชาวจีนแคระที่เดินทางไกลจากมณฑลกวางตุ้งเพื่อมาหาชีวิตที่ดีกว่าในสยาม ซึ่งด้วยพื้นฐานของชาวจีนแคระ ถือเป็นชาติพันธุ์ที่เก่งกาจในเรื่องงานฝีมืออย่างเครื่องหนัง เหล็ก งานร่ม หรืองานที่เป็นงานฝีมือทั้งสิ้น การเดินทางมาตั้งรกรากที่สยามครั้งนี้ คุณทวดเซ่งชงจึงเริ่มต้นชีวิตด้วยการทำรองเท้าหนังขาย

            ฝีมือที่ประณีตใส่ใจทุกรายละเอียดในรองเท้าหนัง ร้านเซ่งชงจึงได้เป็นผู้ดูแลตัดเย็บรองเท้าและเครื่องหนังต่าง ๆ ส่วนพระองค์ให้กับรัชกาลที่ 6 ซึ่งร้านเซ่งชงเป็นร้านแรกของสยามที่นำเข้าเครื่องหนังจากต่างประเทศมาใช้ในการตัดเย็บ เครื่องหนังจึงเป็นการผสมผสานระหว่าง เครื่องหนังของสยามเองอย่าง หนังวัว หนังควาย และหนังแกะ รวมถึงเครื่องหนังที่ได้จากต่างประเทศ เช่น อิตาลี เยอรมัน ปากีสถาน เป็นต้น 

            ร้านเซ่งชงไม่ได้ใส่ใจเพียงเรื่องการวัดขนาดความยาวของเท้า แต่ยังดูแลถึงการขยายของหน้าเท้า เพื่อให้หนังรองรับเท้าที่มีลักษณะต่างกันไปในแต่ละคนได้ ด้วยเหตุนั้นร้านเซ่งชงจึงได้รับการวางใจ หรือกล่าวอย่างง่ายคือกลายเป็นร้านประจำของรัชกาลที่ 6 นั่นเอง และความเชื่อมั่นนั้นทำให้ร้านเซ่งชงได้รับตราครุฑเมื่อปี 2462 แล้วคุณทวดเซ่งชงได้รับประราชทานนามว่า หลวงประดิษฐบาทุกา ในปี 2466 ต่อมาด้วย 

            ปัจจุบันร้านเซ่งชงขายทั้งรองเท้า อุปกรณ์ขี่ม้า ที่เน้นหนังปท้ทั้งหมด มีร้านนี้เพียงร้านเดียว ไม่มีการขยายสาขาอื่นเพิ่ม เพราะทายาทรุ่น 4 บอกกับเราว่า หากขยายร้านเพิ่มเติม คุณภาพรองเท้าอาจไม่เป็นไปตามที่ต้องการเพราะควบคบุมได้ไม่ทั่วถึง ซึ่งสินค้าไฮไลท์ของร้านในตอนนี้คือ รองเท้า เข็มขัด และอุปกรณ์ขี่ม้าที่เป็นหนังทั้งสิ้น

จุดที่ 3
ปรุงน้ำปรุง ที่ เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก

            หลังไปทัวร์ร้านรองเท้าหนัง เราก็มาสัมผัสวิถีชาววังต่อกันที่ เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก โรงแรมที่สร้างจากเรือนโบราณในสไตล์โคโลเนียล อายุตั้งแต่ปี 2,400 คงกลิ่นอายความเก่าแก่เฉพาะตัวของสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งบ้านหลังนี้เป็นของ เป็นของคุณทัต บึ่งบุญ พระนมของรัชกาลที่ 6 และเป็นพระมารดาของพระยารามราฆพ และพระยาอนิรุทเทวา 

            บรรยากาศของโรงแรมที่ฟุ้งกลิ่นอายชาววังทำให้เข้ากับกิจกรรมการทำน้ำปรุงมาก ๆ เราได้เรียนรู้ความเป็นมาของน้ำปรุง ที่ไม่ใช่น้ำอบ และได้ลองทำน้ำปรุงด้วยตัวเอง

            น้ำปรุง คือเครื่องหอมของไทยโบราณชนิดหนึ่ง พูดง่าย ๆ คือน้ำหอมของคนโบราณ 

            แต่ทำไมไม่เรียกว่าน้ำหอมล่ะ

            เหตุเพราะน้ำปรุงเกิดจากการสกัดกลิ่นที่น้ำมาจากดอกไม้นานาชนิด ผสมด้วยเครื่องหอมอย่างมะกรูด พิมเสนและชะมดเช็ด นำหลาย ๆ อย่างมาผสมกันแล้วบ่ม คนสมัยนั้นเรียกกว่าการปรุง ทำให้เป็นที่มาของคำว่าน้ำปรุงนั่นเอง

            สมัยก่อนน้ำปรุงถูกใช้ในรั้ววังเท่านั้น เป็นสิ่งที่เจ้าชายชั้นสูงใช้กันเท่านั้น ต้นกำเนิดจากวังที่อาจสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาเริ่มมาจากรัชกาลที่ 2 ทรงชอบพระทัยในน้ำอบไทยมาก น้ำอบเป็นการนำน้ำสะอาดมาทำกระบวนการอบเทียน หรือกำยานดอกไม้เพื่อให้ได้น้ำที่มีกลิ่นหอม

            ยุคที่ชาวต่างชาติเริ่มเข้ามาติดต่อค้าขายที่สยามเยอะขึ้น ชนชั้นสูงสยามได้รับอิทธิพลการใช้น้ำหอมจากฝรั่ง จนทำให้เกิดความชื่นชอบในน้ำหอมและอยากใช้เช่นเดียวกัน

            เหตุที่ชาวต่างชาติมักใช้น้ำหอม นั่นเป็นเพราะภูมิอากาศในบ้านเกิดเมืองนอนของเขาเป็นอากาศหนาว ซึ่งไม่จำเป็นต้องอาบน้ำบ่อย ๆ ดังนั้นฝรั่งจึงต้องใช้น้ำหอมกลิ่นแรง ๆ เพื่อดับกลิ่นกายแทน แต่สภาพอากาศของสยามที่ร้อนอ้าว และมีทั้งความชื้น ทำให้การใส่น้ำหอมไม่ได้ทำให้สดชื่นอย่างฝรั่ง แต่ชวนให้รู้สึกเวียนหัวแทน 

            ด้วยความที่คนไทยเป็นคนมีภูมิปัญาเยอะเป็นทุนเดิม การคิดค้นสูตรน้ำหอมที่ให้กลิ่นแบบสยามจึงเริ่มขึ้น เหล่าเจ้านายหญิงจึงเริ่มคว้าพืชสมุนไพรต่าง ๆ ที่ให้กลิ่นหอมมาปรุงด้วยการปรับสูตรจากน้ำหอมแบบฝรั่ง ซึ่งสูตรที่ใช้ทำน้ำปรุงคือการเติมเอทิลแอลกอฮอล์ผสมกับเครื่องหอมที่ต้องการ

            ซึ่งในวันนี้เองพวกเราก็ได้ทำกิจกรรมปรุงน้ำปรุงกันเองด้วย ความเฉพาะตัวของการเป็นน้ำปรุงฉบับชาววังจริง ๆ คือการใส่ใบเนียมลงไป ใบเนียม เป็นพืชล้มลุกที่มีกลิ่นหอมเข้มกว่าใบเตย และกลิ่นจะหอมแรงมากในเวลาพลบค่ำ

เมื่อเราปรุงน้ำปรุงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ทำการหมัก 6 – 12 เดือน เมื่อครบเวลาจึงจะได้กลิ่นหอมฉบับไทย ๆ สไตล์ชาววัง ซึ่งกลิ่นที่เราปรุงกันในวันนี้มีชื่อกลิ่นว่า KTC PR Press Club 

            หากใครสนใจทำน้ำปรุงกันเองที่บ้าน สามารถรวบรวมวัตถุดิบได้จากร้านถาวรธนสาร ถนนจักรวรรดิ กรุงเทพฯ ที่พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับวัตถุดิบต่าง ๆ เป็นอย่างดีด้วย

จุดที่ 4
บ้านพิบูลธรรม

            อาคารสองรัชกาลหรืออาคารสองแผ่นดินที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 และต่อเติมอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 6 เดิมทีบ้านพิบูลธรรมเคยชื่อว่า บ้านนนทิ เป็นการตั้งชื่อตาม โคนนทิ ที่เป็นพาหนะของพระอิศวร (หรือพระศิวะ) ในปี 2463 รัชกาลที่ 6 ต้องการมาประทับชั่วคราวที่บ้านหลังนี้จึงมีการให้ต่อเติมอาคารเพิ่มขึ้นอีกหลัง จึงได้ชาวอิตาเลียนมาช่วยออกแบบอยู่หลายคน อย่าง แอร์โกเล มันแปรดี เป็นนักออกแบบ และนายคาร์โล ริโกลี ผู้วาดภาพสีปูนเปียกในตอนสำคัญของรามเกียรติ์ ทั้งบนเพดานและผนังห้องต่าง ๆ 

            เวลาต่อมาบ้านหลังนี้กลายเป็นที่รองรับรัฐบาลและแขกบ้านแขกเมือง ปัจจุบันตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็นกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานแล้ว แม้ตัวบ้านได้รับการซ่อมแซมหลายครั้ง เนื่องจากบ้านหลังนี้เคยถูกระเบิดจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนทำให้บ้านเสียหายไปบางส่วน การซ่อมแซมจึงเป็นความพยายามคงสภาพบ้านหลังเดิมเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

จุดที่ 5
ต้น-ปลายทางของสยาม กับ สถานีรถไฟหัวลำโพง

            จุดหมายสุดท้ายของทริปนี้มาบรรจบลงที่ สถานีรถไฟกรุงเทพ หรือที่เราเรียกกันว่า หัวลำโพงนั่นเอง

            ต้องบอกกันก่อนนว่าชื่อสถานีรถไฟกรุงเทพ ไม่ต้องใส่ไปยาลน้อย “ฯ” เพราะสถานีรถไฟเป็นชื่อเฉพาะของสถานที่ ไม่ได้ใช้ชื่อที่มาจากจังหวัด

            เราเริ่มทัวร์กันที่พิพิธภัณฑ์​รถไฟไทย ก่อตั้งเมื่อ 21 ตุลาคม 2558  เป็นที่ที่เก็บรวบรวมของหายากของสถานีรถไฟ ตั้งแต่ ตู้เก็บตั๋ว เครื่องแสมป์ตั๋ว เสบียงรถไฟจนไปถึงป้ายเตือนต่าง ๆ ที่ใช้ในสถานี เช่น

            หมวกนายสถานี เป็นหมวกสมัยก่อนที่ทำจากหนังช้าง ซึ่งถูกใช้งานมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 

            เครื่องเสบียงของโรงแรมหัวหิน เดิมทีโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์หัวหินเคยเป็นโรงแรมรถไฟหัวหินด้วย ที่นี่จึงจัดเก็บเครื่องเสบียงที่เคยใช้ในโรงแรมสมัยนั้น เช่น ที่ใส่น้ำแข็ง เครื่องเงิน ถ้วยโถ กาน้ำชา ช้อน วิทยุ จนไปถึงเครื่องเทเลแกรม หรือที่รู้จักกันว่าเป็นโทรเลขในสมัยก่อนที่ใช้วิธีส่งแบบรหัสมอร์ส

            เครื่องตราทางสะดวก เป็นตราที่เพื่อขอทางและยืนยันว่าจะไม่มีรถไฟขบวนอื่นอยู่ในสถานีเดียวกัน เพราะระเบียบการเดินรถไฟ คือการที่หนึ่งสถานีต้องเดินรถไฟได้ขบวนเดียวเท่านั้น ตราทางสะดวกจึงจำเป็นอย่างมากต่อการส่งสัญญาณความปลอดภัยของการสัญจรรถไฟ ส่วนสมัยนี้มีระบบไฟฟ้าที่ใช้ระบบไฟสีส่งสัญญาณกันแล้ว การสื่อสารในการจราจรของรถไฟจึงง่ายขึ้นเยอะ

            เครื่องขายตั๋ว ตั๋วรถไฟเจเนอเรชันแรกสุดคือตั๋วรถไฟแบบหนา ซึ่งตัวลักษณะนี้แหละ ที่เป็นที่มาของคำว่า “ตีตั๋ว” เพราะเครื่องจำหน่ายตัวมีวิธีการออกตั๋วคือ คนขายตั๋วเขี่ยเลขขบวนที่เราจะไปและวันเวลาที่เดินทาง เสร็จแล้วก็ใส่ตั๋วเข้าไป แล้วก็ตีตั๋วด้วยการตีแบบใช้แรงตีจริง ๆ ตีข้างหลังจนมีเสียงดึงตึ้ง ๆ และค่อยใช้คีมตัดตั๋ว

            ปี 2535 เราเลิกใช้ตั๋วหนากันแล้ว เปลี่ยนมาใช้ตั๋วยาวในระบบสตาร์ 2 แทน และเปลี่ยนตามยุคสมัยอีกครั้งในปี 2563 เป็นตั๋วเครื่อง D-Ticket ที่ซื้อได้ทั้งแบบหน้าเคาน์เตอร์และระบบออนไลน์ได้แล้ว

            ภายในพิพิธภัณฑ์มีภาพคาร์เมนแบบจำลองอยู่ด้วย เป็นภาพที่มีเรื่องราวอันยาวนาน เล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างสัมพันธไมตรีไทยและสเปน 

            ภาพจำลองผลงาน คาร์เมน ของปิกัซโซ เป็นผลงานที่ส่งทอดกันมาเป็นร้อย ๆ ปี เนื่องด้วยภาพนี้เคยเป็นของ พระราชินีมาเรีย กริสติน่า แห่งสเปน กระทั่งเมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 5 ได้เดินทางไกลไปยังสเปน พระราชินีจึงให้ภาพนี้เป็นของขวัญที่ระลึกแก่รัชกาลที่ 5 กลับมาด้วย

            ภายหลังภาพนี้ได้ถูกประมูลออกไปในช่วงสงครามโลกเพื่อนำเงินไปใช้ในการซื้อเรือรบหลวง

            เราเดินชมภาพตั๋วที่เรียงรายกันภายพิพิธภัณฑ์ต่อ ก่อนจะได้เดินไปชมที่อาคารหัวลำโพงเป็นส่วนสุดท้าย

            อาคารหัวลำโพงเพิ่งครบรอบอายุ 105 ปีในปีนี้พอดี อาคารถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2459 โดยสถาปนิกคือชาวอิตาลีที่สร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม ชื่อ มาริโอ ตามานโญ ซึ่งรถไฟขบวนแรกเริ่มออกเดินทางเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2439 ซึ่งถือเป็นวันเกิดของสถานีรถไฟกรุงเทพเลยก็ว่าได้ เป็นสายกรุงเทพ-อยุธยา และเส้นทางรถไฟสายแรกคือเส้นกรุงเทพ-นครราชสีมา

            อาคารนี้มีความเป็นอิตาเลียนที่ผสมผสานความเป็นเรเนซองส์เข้าไป  เช่นการใช้เสาแบบเสาะร่องหรือที่เรียกว่าเสาไอออนิก มีหน้าต่างเป็นแบบวงโค้ง ลักษณะใบไม้พันธุศาสตร์ที่ใช้แบบเรเนซองส์ และเราเห็นความเป็นถ้วยน้ำตามลักษณ์สิ่งมงคลของกรีกโรมันด้วย ซึ่งภาพรวมของอาคารเป็นสไตล์คลาสสิก และเพิ่มโครงเหล็กเข้าไปด้านบนอาคาร เป็นเอกลักษณ์ของโค้งครึ่งวงกลมแบบธนู เพื่อดึงดูดความสนใจคนผ่านไปผ่านมา เพื่อให้คนรู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ขนส่งและคมนานคม มันเลยกลายเป็นแลนมาร์คใหม่ที่เกิดขึ้นด้วย เพราะสมัย รัชกาลที่ 5-6 คนมักทำสถาปัตยกรรมสูงๆ แข่งกัน ไม่ได้เอาอาคารศิลปะสมัยยุคเรเนซองส์มาใช้ให้เกิดประโยชน์แบบนี้ 

            เรามองไปรอบ ๆ เห็นกระจกบางช่องถูกเปลี่ยนไปแล้ว เพราะสถานีรถไฟเคยได้รับผลกระทบจากสงครามโลก กระจกเหล่านั้นจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงหลุมหลบภัย 

            หลุมหลบภัยที่ว่าอยู่บริเวณสระน้ำด้านหน้าอาคา ตรงนั้นเคยเป็นหลุมหลบภัยตั้งแต่สมัยของสงครามโลก ถือเป็นส่วนที่สำคัญมากอย่างหนึ่งเลย เพราะเวลาต้องหลบภัยฉุกเฉิน ในสถานีรถไฟไม่มีสถานที่หลบภัย เพราะไม่สามารถที่จะขุดดินลงไปหลบด้านล่างได้ การมีหลุมหลบภัยตรงนั้นจึงช่วยได้มากทีเดียว

            เราเดินกันมาเรื่อย ๆ จนเห็นหัวรถไฟที่มีตราสัญลักษณ์พิเศษติดอยู่ ตราสัญลักษณ์นั้นไม่ได้ติดอยู่ทุก ๆ หัวขบวนรถไฟ แต่จะติดบนหัวขบวนที่เป็นรถไฟหัวดีเซลเท่านั้น ตราที่ว่าคือตราบุรฉัตร เป็นตราที่มีขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ในการที่พระองค์ทรงนำรถจักรดีเซลคันแรกมาใช้งานเมื่อปี พ.ศ. 2471 นั่นเอง

            เราเดินทางมาถึงส่วนสุดท้ายของสถานีรถไฟ หลังจากที่ได้รับความรู้อย่างเต็มเปี่ยมเราก็เริ่มเก็บภาพบรรยากาศ บันทึกอีกหน้าประวัติศาสตร์พัฒนาการของสยามที่เราได้มาเดินทางอ่านมันทีละสถานที่ในวันนี้

            มากกว่าการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในชั้นเรียน คือการได้ออกมาเดินเที่ยวและสัมผัสกับกลิ่นอายเหล่านี้ด้วยตัวเอง ความโชคดีและความสนุกที่เราได้จากการมาทริปกับ KTC Press Club ในครั้งนี้ เป็นอีกสิ่งที่ทำให้เรา อยากเดินทางต่อเพื่อเสพความสวยงามซ่อนเร้นจากประวัติศาสตร์ของมหานครแห่งนี้ 

            มหานครเสมือนพิพิธภัณฑ์ที่ยังมีชีวิต

ภาพ: KTC PR PRESS CLUB

Contributors

Contributors

เด็กมนุษย์ฯ ผู้ชื่นชอบการออกไปเดินเที่ยวคนเดียว เอนจอยกับการเต้นและการกิน ปัจจุบันกำลังพยายามใช้ชีวิตแบบ Slow Life อยู่