บานบัฏพระบัญชรสลัก    ฉลุลักษณ์เฉลาลาย
เพดานก็ดารกะประกาย  ระกะดาษประดิษฐ์ดี
เพ่งภาพตลอดตะละผนัง   ก็มลังเมลืองศรี  
ยิ่งดูก็เด่นประดุจะมี         ชิวะแม่นกมลครอง

            คำประพันธ์ข้างต้นเป็นคำประพันธ์จากเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ โดนนายชิต บุรทัต ซึ่งเป็นกวีในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้พรรณนาความงามของกรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธของพระเจ้าอชาตศัตรูซึ่งเป็นรัฐร่วมสมกับพุทธกาล โดยกวีได้รับแรงบันดาลใจของการสร้างสรรค์ความงามของฉากมาจากความวิจิตรบรรจงของสถาปัตยกรรมและงานประณีตศิลป์ในกรุงรัตนโกสินทร์ของเรานี่เอง

            ผมนึกถึงคำประพันธ์ดังกล่าวนี้ขณะที่เพ่งพินิจมองรายละเอียดอันพิสดารของมัสยิดในประเทศอิหร่าน นับตั้งแต่ฐานรากของมัสยิดเรื่องไปถึงบนกำแพงสู่ยอดโดม ไม่มีพื้นที่ใดที่เป็นที่ว่างเหลืออยู่เลย นายช่างชาวเปอร์เซียได้เลือกสรรบรรจงเผากระเบื้องสีสันต่าง ๆ ประกอบเข้าด้วยกันเป็นลายพรรณพฤกษาละเอียดราวกับเทวดาจับวางไว้ให้ชม เป็นที่ทราบกันดีว่าศิลปวัฒนธรรมคือเครื่องบ่งชี้ความรุ่งเรืองของรัฐหรือกลุ่มชน เพราะถ้าหากปราศจากภูมิปัญญาและความสงบสุขของบ้านเมือง ศิลปินทั้งหลายย่อมไม่อาจที่สร้างสรรค์มรดกอันล้ำค่าเหล่านี้ให้มาปรากฏเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของพวกเราได้เลย

ยอดช่างเปอร์เซีย

            อันที่จริงแล้วเปอร์เซียเป็นชาติที่มีอารยธรรมเก่าแก่มายาวนาน นับไปได้ถึงประมาณ 6 ศตวรรษก่อนคริสตกาลหรือร่วมสมัยกับพุทธกาลในชมพูทวีป ราชวงศ์อาคีมีนิด (Achaemenid Dynasty) ได้สถาปนาศูนย์กลางอำนาจของตนเองขึ้นบริเวณที่ราบสูงอิหร่าน และปราบได้ดินแดนบริเวณลุ่มแม่น้ำไทกริส – ยูเฟรติสหรือดินแดนเมโสโปเตเมียเดิม เปอร์เซียจึงเป็นอาณาจักรที่เกรียงไกรหาใครเทียบได้ยาก และมีพัฒนาการเรื่อยมาจนกระทั่งได้รับศาสนาอิสลามในคริสต์ศตวรรษที่ 7 โดยประมาณ แม้จะเพลี่ยงพล้ำให้กับชาติมหาอำนาจทางการสงครามอย่างมองโกหรือตาตาร์บ้าง แต่ด้วยความอลังการของมรดกทางศิลปวัฒนธรรมในอิหร่านจึงทำให้รัฐทางการทหารเหล่านั้นไม่ได้ทำลายศิลปวัฒนธรรมของอิหร่านทิ้งไป อิหร่านจึงเป็นแผ่นดินที่เต็มไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรมอันเก่าแก่และส่งอิทธิพลทางศิลปะไปอย่างนานาประเทศ รวมถึงศิลปะไทยด้วย

            ศิลปะไทยในสมัยอยุธยาตอนปลายได้รับอิทธิพลจากเปอร์เซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการทำกรอบหน้าต่างเป็นโค้งคล้ายกับกลีบดอกบัว สันนิษฐานกันว่าช่างไทยได้รับองค์ความรู้นี้จากช่างเปอร์เซียเมื่อราวราชวงศ์สุโขทัยจนถึงราชวงศ์ปราสาททองมาผสานกับองค์ความรู้การทำซุ้มโค้งที่มีอยู่เดิมมาตั้งแต่อย่างน้อยในศิลปะสุโขทัย เพราะในเวลานั้นได้มีชาวเปอร์เซียเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือเจ้าพระยาบวรราชนายกหรือท่านเฉกอะหมัด ต้นสกุลบุนนาค ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะจุฬาราชมนตรีท่านแรกในประวัติศาสตร์ไทย โดยท่านเป็นผู้ที่มีพื้นเพเดิมมาจากเมืองกุม (Qom) ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงเตหะราน เมืองหลวงของประเทศอิหร่านในปัจจุบัน

            งานศิลปะของอิหร่านมาถึงยุคทองเมื่อราชวงศ์ซาฟาวิด (Safavid Dynasty) เถลิงอำนาจขึ้นโดยเมืองเมืองเอซฟาฮาน (Esfahan) เป็นศูนย์กลาง พระเจ้าชาห์ อับบาส (Shah Abbas) มหาราชแห่งราชวงศ์ซาฟาวิดได้โปรดฯ ให้สร้างจัตุรัสพระเจ้าชาห์ (Shah Sqaure) หรือปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Naqsh – e Jahan Square ขึ้น จัตุรัสแห่งนี้เป็นที่ตั้งของตลาดหลวง และพระราชวังอาลี กาปุ (Ali Qapu Palace) รวมถึงมัสยิดที่สวยงามอลังการอีก 2 แห่ง คือ Shah Mosque และ Sheikh Lotfollah Mosque ที่สามารถสะกดนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนได้ทุกคน

            ภูมิปัญญาด้านงานช่างของเปอร์เซียไม่ได้มีเพียงแค่ทัศนศิลป์ที่ปรากฏอยู่ในเขตพระราชฐานหรือศาสนสถานเท่านั้น แต่ยังปรากฏภูมิปัญญาการขนส่งน้ำใต้ดินจากเมืองหนึ่งไปสู่อีกเมืองหนึ่งที่เรียกว่าระบบคานัต (Qanat System) และระบบน้ำพุในสวน (Persian Garden) ที่สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของชาวเปอร์เซียให้สามารถอยู่รอดได้ในพื้นที่แห้งแล้งด้วย

            อิหร่านมีมรดกโลกทางวัฒนธรรมมากกว่า 10 แห่งทั่วประเทศ และเป็นประเทศที่มีจำนวนแหล่งมรดกโลกมากที่สุดติดอันดับ 15 ประเทศแรก แต่กลับมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าอิหร่าน (สถิติก่อนการระบาดของโรคโควิด – 19) ไม่ถึง 10 ล้านคน เทียบกับตุรกีซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศมากกว่า 40 ล้านคน (สถิติเมื่อ ค.ศ.2019) หรือหากจะเทียบกับประเทศไทยในปีเดียวกัน ตัวเลขสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติของประเทศไทยในปี ค.ศ.2019 อยู่ที่ประมาณ 39 ล้านคน และอาจจะแตะ 40 ล้านคนได้ หากปลายปี ค.ศ.2019 ไม่เกิดการระบาดของโรคโควิด – 19 เสียก่อน

            สถิติที่ชวนให้ตั้งคำถามนี้อาจมีคำตอบง่าย ๆ จากการรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากสื่อมวลชนหลายแขนงว่า อิหร่านเป็นประเทศที่ค่อนข้างปิดตนเองออกจากโลกภายนอก มีลักษณะระบอบการปกครองที่อิงกับจารีตประเพณีและหลักการของศาสนาอิสลามอย่างชัดเจน จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่อาจไม่เข้าใจวัฒนธรรมในข้อนี้ของอิหร่านไม่สามาถรับเงื่อนไขได้และเลือกเดินทางไปที่อื่นแทน ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายตามทรรศนะของชาวอิหร่านหลาย ๆ คนในปัจจุบัน

            และหากมองลึกลงไปในแววตาของคนอิหร่าน และได้ลองพูดคุยกับคนอิหร่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของสังคมอิหร่านในรอบกึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เราจะได้รับรู้ถึงความทุกข์ยากและความน่าเสียดายที่คนกลุ่มนี้มีต่อประเทศและสังคมเปอร์เซียอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเขา

เมื่อเศรษฐกิจดิ่งเหว

            ก่อนหน้า ค.ศ.1979 อิหร่านปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สำหรับราชวงศ์อิหร่านสมัยใหม่ที่เลือกเตหะรานเป็นเมืองหลวงมีอยู่ด้วยกันสองราชวงศ์ คือราชวงศ์คาจาร์ (Qajar Dynasty) และราชวงศ์ปาห์ลาวี (Pahlavi Dynasty) ซึ่งราชวงศ์ทั้งสองนี้มีตราบาปที่ถูกเขียนไว้ในประวัติศาสตร์กระแสหลักนั่นก็คือ แม้จะเป็นราชวงศ์ที่สร้างความเกรียงไกรทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นแก่อิหร่านสมัยใหม่ได้ก็จริง แต่ก็มีการใช้จ่ายเงินที่ฟุ่มเฟือยในราชสำนัก ในขณะที่ประชาชนอิหร่านในศตวรรษที่ 20 ก็ต้องเผชิญกับวิกฤตความขัดแย้งเช่นเดียวกับคนทั้งโลก นั่นคือสงครามโลกทั้งสองครั้ง และสงครามเย็น และยังไม่รวมกับความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกลางเอง ซึ่งแน่นอนว่าสงครามเป็นปัจจัยหนึ่งที่ซ้ำเติมชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอิหร่านให้ย่ำแย่ และยังประกอบด้วยการบริหารนโยบายที่ดินที่ผิดพลาดของราชวงศ์ปาห์ลาวีที่มีการแจกจ่ายที่ดินให้ชาวนาถือครองแต่ไม่ได้มีการสอนองค์ความรู้ในการบริหารจัดการที่ดินให้แก่ชาวนาเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ จึงทำให้สถานการณ์ราวกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด บาปทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในเวลานั้นจึงเหมือนกับตกอยู่ที่ราชสำนัก

            ประกอบกับความเชื่อที่เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนว่าราชสำนักปาห์ลาวีเป็นราชวงศ์ที่ฝักใฝ่ตะวันตกและทำลายจารีตประเพณีดั้งเดิมที่ดีของชาวมุสลิม และข่าวนี้ได้ลุกลามบานปลายไปจนถึงขนาดที่ว่าราชวงศ์ปาห์ลาวีเป็นพวกขายชาติ จึงทำให้เกิดแรงลุกฮือจากกลุ่มคนที่เชื่อว่าราชสำนักคือต้นเหตุความตกต่ำของประเทศ นำโดยอิหม่ามโคมัยนี (Ayatollah Khomeini) กลุ่มคนที่เคร่งศาสนา และกลุ่มฝักใฝ่ความคิดฝ่ายซ้ายร่วมกับขบวนการนักศึกษาในอิหร่าน โค่นล้มราชวงศ์ปาห์ลาวีลงใน ค.ศ.1979 พร้อมกับความหวังว่าประเทศอิหร่านจะเจริญก้าวหน้ามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเชิงเศรษฐกิจ

            การปฏิวัติครั้งนี้เป็นการปฏิวัติที่แปลกเมื่อเทียบกับการปฏิวัติร่วมสมัย เนื่องจากราชวงศ์ปาห์ลาวีเป็นราชวงศ์ที่เปิดเสรีภาพทางด้านสังคมค่อนข้างมาก สตรีอิหร่านสามารถแต่งกายได้ตามใจชอบ ทั่วประเทศอิหร่านสามารถมีชีวิตและกิจกรรมยามราตรี (Night Life) ได้อย่างเปิดเผยทั่วไป เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่เปิดกว้างสู่สากล แต่การปฏิวัติ ค.ศ.1979 นั้นเกิดขึ้นโดยเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่การต่อต้านตะวันตก ยึดมั่นในหลักการทางศาสนาหรือกลายเป็นรัฐศาสนา (Guardianship of the Islamic Jurists หรือ Velayat – e faqih) และมีลักษณะคล้ายกับระบอบเทวาธิปไตยคือถือพระเจ้าหรือพระศาสนาเทวนิยมเป็นใหญ่ เพราะตำแหน่งอายาโตเลาะห์ (Ayatollah) ของโคไมนีนั้นเป็นผู้นำสูงสุด (Supreme Leader) ที่อิงกับศาสนาอย่างชัดเจน

            สังคมอิหร่านเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงภายหลังการปฏิวัติ ค.ศ.1979 สิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยเฉพาะสตรีถูกลิดรอน สุภาพสตรีทุกคนต้องส่วนฮิญาบก่อนออกจากบ้าน ห้ามแต่งกายด้วยชุดว่ายน้ำในที่สาธารณะ ชายหญิงห้ามชมกีฬาหรือมหรสพในพื้นที่เดียวกัน สภาพสังคมเช่นนี้อาจเป็นที่ชื่นชอบของคนบางกลุ่ม แต่ก็กลับกลายเป็นการกดการแสดงออกของผู้คนบางกลุ่มที่เคยมีมาในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์เอาไว้

            สำหรับปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่กลุ่มการปฏิวัติใช้เป็นข้ออ้างในการล้มล้างการปกครองของราชวงศ์ปาห์ลาวีและเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นสาธารณรัฐอิสลาม (Islamic Republic) ก็คือการที่ราชสำนักไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้ แต่พยานอันชัดเจนที่สุดที่แสดงให้เห็นว่ารัฐอิสลามก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของอิหร่านได้เช่นเดียวกันนั่นก็คือการอ่อนค่าลงอย่างมากของสกุลเงินริยาลของอิหร่าน (Iranian Rial หรือ RIs)

            ในปีที่เกิดการปฏิวัติอิหร่านนั้น 70 IRs มีค่าเท่ากับ 1 USD แต่เมื่อนับมาถึงปัจจุบัน (ปลาย ค.ศ.2022) 350,000 IRs มีค่าเท่ากับ 1 USD โดยประมาณ และยังมีโอกาสอ่อนค่าลงได้มากกว่านี้อีก เมื่ออิหร่านมีอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงถึง 54% เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ.2022 ที่ผ่านมา และอาจทวีขึ้นถึงกว่า 70% ได้หากสถานการณ์ต่าง ๆ ยังไม่ดีขึ้น ซึ่งเท่ากับว่าประมาณ 43 – 44 ปีแห่งการปฏิวัติอิหร่าน เงินริยาลของอิหร่านอ่อนค่าลงถึงกว่า 4,400 เท่า

            สื่อ Iran International รายงานว่าล่าสุดสภาแรงงานสูงสุด (Supreme Labour Council) ได้มีมติให้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของชาวอิหร่านจากเดิมที่ 26,550,000 IRs ต่อเดือนเป็น 41,790,000 IRs เทียบเท่ากับ 170 USD หรือประมาณ 6,000 บาท ซึ่งแน่นอนว่าไม่เพียงพอเลยกับค่าครองชีพของอิหร่านที่พุ่งสูงขึ้นมาก กลุ่มประชากรที่เปราะบางทางเศรษฐกิจของอิหร่านจึงอยู่ในภาวะที่น่าสงสาร

            การเสียชีวิตของมาห์ซา อามินี (Mahsa Amini) หญิงสาวเชื้อสายเคิร์ดของอิหร่านที่ถูกตำรวจศาสนาควบคุมตัวไปจนกระทั่งเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาด้วยข้อหาไม่สวมใส่ฮิญาบให้เรียบร้อยเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ.2022 ที่ผ่านมา เป็นเพียงชนวนเหตุฟางเส้นสุดท้ายเท่านั้นที่ก่อให้เกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาลของรัฐอิสลามครั้งใหญ่ (ซึ่งถูกปราบปรามอย่างหนักตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา) เพราะชีวิตของชาวอิหร่านผ่านความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเหตุการณ์ปฏิวัติเมื่อ ค.ศ.1979 มาจนเกินคำว่าชาชินแล้ว เนื่องจากการปฏิวัติครั้งนั้นไม่ได้ทำให้ภาพรวมของประเทศดีขึ้นเลย

โอกาสที่หายไป

            อันที่จริงแล้วการมีขนบธรรมเนียมหรือวัฒนธรรมเป็นของตนเองนั้นไม่ใช่เรื่องผิด หรือการที่บุคคลมีความเคารพในศาสนาที่ตนเองนับถือก็ไม่ใช่เรื่องผิดเช่นเดียวกัน แต่การผสมเอาศาสนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองนั้นเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงเปราะบาง และอาจส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้างได้อย่างที่อิหร่านกำลังเผชิญอยู่ เพราะการที่ผู้ชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐก็อาจถูกตีความว่าต่อต้านศาสนาได้ ทั้ง ๆ ที่ศาสนาย่อมบริสุทธิ์ประภัสสรด้วยตนเองอยู่เช่นนั้น อาจไม่ควรถูกใช้เป็นข้ออ้างของรัฐในการปกครอง หรือใช้เป็นข้ออ้างของผู้ประท้วงในการต่อต้านนโยบายของรัฐ

            การที่อิหร่านปิดกั้นตนเองออกจากสังคมโลกภายนอกนั้น ไม่มีใครตอบได้ว่าอิหร่านสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจไปมากน้อยเท่าใด แต่เมื่อเทียบกับประเทศที่มีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน มีภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และสถานที่ท่องเที่ยวที่ใกล้เคียงกันอย่างจอร์แดนหรือตุรกีที่สามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก อิหร่านก็คงสูญเสียไปไม่น้อย มูลค่าที่สูญเสียไปคงทำให้ประชาชนจำนวนมากลืมตาอ้าปากได้ และทำให้มรดกทางวัฒนธรรมของอิหร่านได้ทำหน้าที่เป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจที่พร้อมจะประชันคุณค่ากับนานาอารยธรรมของโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ อวดโฉมอันยิ่งใหญ่ของเปอร์เซียให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกได้

            เรื่องราวของอิหร่านในรอบ 4 ทศวรรษที่ผ่านมา อาจเป็นโจทย์ใหญ่นานาประเทศที่กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายทางเศรษฐกิจ และเต็มไปด้วยนักการเมืองที่พร้อมจะพร่ำพูดว่าเศรษฐกิจของประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชนจะดีกว่านี้แน่ถ้าอำนาจทางการเมืองอยู่ภายใต้มือของพวกตน แต่คำกล่าวของผู้คนเหล่านั้นจะเป็นจริงได้มากน้อยแค่นั้น คนทั้งหลายย่อมอาจจะมีอิหร่านเป็นกรณีศึกษาที่ทดไว้ในใจ เพื่อที่เราจะได้ไม่ประมาทพลาดพลั้งจนเกิดความสูญเสียจนกู่ไม่กลับไปอย่างที่อิหร่านเผชิญมากว่า 40 ปี

Contributors

Contributors

ครูสอนวิชาภาษาไทยและสังคมศึกษาที่รักการเดินทางเพื่อเรียนรู้โลกกว้างเป็นชีวิตจิตใจ เพราะชีวิตคือการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม มนุษยสัมพันธ์ และการเดินทางจึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเติบโตไปพร้อมกันเสมอ