ซุป’ตาร์บ้านกกกอก
ฉายาที่เชื่อว่าหลายคนเคยได้ยินและพอจะนึกออกว่าเรากำลังพูดถึงใครอยู่ แม้ว่าฉายานี้จะห่างหายจากการถูกเรียกไปสักระยะหนึ่งแล้ว
หลังจากได้ข่าวว่าเจ้าของฉายานี้กำลังได้ขยับขยายตำแหน่งงานใหม่ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ต้องใช้ความรับผิดชอบให้หนักขึ้นกว่าเดิม เราเลยชวนไอซ์-สารวัตร กิจพานิช มานั่งคุยกันที่ร้านกาแฟเล็กๆ เพื่ออัปเดตถึงหน้าที่การงาน ประสบการณ์และบทเรียนในช่วงเปลี่ยนผ่านชีวิตของเขา ตั้งแต่การได้ก้าวเข้ามาอยู่ในวงการสื่อครั้งแรกด้วยการนั่งโต๊ะข่าวบันเทิง แล้วจึงเดินทางไปสู่การได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบอย่างการเป็นผู้สื่อข่าวภาคสนาม ตลอดจนมาถึงวันที่ไอซ์ได้มีโอกาสนั่งประกาศข่าวคู่กับผู้ประกาศข่าวมากความสามารถอย่าง พุทธ-พุทธอภิวรรณ องค์พระบารมี ในรายการลุยชนข่าว ที่ออกอากาศตั้งแต่วันที่ 19 เมษายนทางช่อง 8
ระหว่างจังหวะสนทนาของเราและไอซ์ดำเนินไป คำที่เราได้ยินบ่อยที่สุดจากไอซ์ในระหว่างที่คุยกันคือคำว่า “โอกาส” และ “การเรียนรู้” ที่ฟังเผินๆ ดูเหมือนจะเป็นคำทั่วไป แต่สองคำนี้กลับเป็นสิ่งประกอบสร้างชิ้นสำคัญที่สุดของไอซ์ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเขาก้าวเดินที่เร็วกว่าอายุของตัวเขาเอง
อะไรคือโอกาสที่ไอซ์ได้รับ และ อะไรคือการเรียนรู้ที่ไอซ์ได้สั่งสมมาจนถึงวันนี้
คำตอบเหล่านั้นถูกบรรจุไว้ ณ ที่นี้แล้ว

1
พาตัวเองเข้ามาอยู่ในวงการสื่อได้ยังไง
ตั้งแต่เรียนจบมาก็เข้าปีที่ 8 แล้ว เรียนจบเมื่อปี 2558 ครับ ตอนนั้นเราเลือกเรียนนิเทศฯ เพราะเรามีความตั้งใจที่จะเป็นนักข่าวอยู่แล้ว ซึ่งก่อนที่เราจะเลือกเรียนนิเทศฯ สมัยเรียนเราเป็นพิธีกร เป็นประธานนักเรียน เราชอบพูด เลยรู้สึกว่าอยากเอาอะไรแบบนี้มาทำงานหาเงิน ก็เริ่มมองหาว่ามันเป้นงานด้านไหน ตอนแรกไม่ได้มองเรื่องนักข่าวหรอก เพราะเราไม่รู้ว่ามันมีอาชีพนี้นะ เรามองเรื่องาชีพพิธีกรก่อน จนมีคนแนะนำนิเทศฯ เราเลยเข้ามาเรียนแล้วก็ได้รู้จักงานสายข่าวที่มันทำงานเกี่ยวกับการสื่อสารและการพูดได้ตลอดชีวิตเลย เราเลยเลือกสิ่งนี้
เข้ามาอยู่ในวงการสื่อครั้งแรกได้ทำหน้าที่อะไร
เป็นผู้สื่อข่าวครับ ตอนฝึกงานอยู่ช่อง 3 เราฝึกเป็นผู้สื่อข่าวเฉพาะกิจ เป็นพวกวิ่งข่าวคล้ายๆ กับที่เราทำกับอมรินทร์ ไม่ได้มีจุดตายตัวว่าต้องไปทำข่าวอะไร ซึ่งหลังจากฝึกงานก็ได้มาอยู่ที่อมรินทร์ ซึ่งเราโต๊ะข่าวแรกที่เราได้อยู่คือข่าวบันเทิง A-POP การเป็นผู้สื่อข่าวบันเทิงเป็นอะไรที่แปลกมากเพราะเราไม่เคยทำ แถวเป็นด้านที่ไม่ชอบด้วย ซึ่งพอหลังจากเป็นนักสื่อข่าวบันเทิง เราถึงค่อยได้ย้ายอีกทีไปที่ทุบโต๊ะข่าว
จากที่นั่งโต๊ะข่าวบันเทิงแล้วเปลี่ยนมาเป็นข่าวหนักๆ อย่างทุบโต๊ะข่าว เรียกได้ว่ามันช็อตฟีลไหม
ถ้าจะบอกว่าช็อตฟีล ก็น่าจะช็อตตั้งแต่อยู่บันเทิงมากกว่า เพราะเราไม่ถนัดเรื่องบันเทิงหรือกีฬาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เพราะตอนเรียนถ้ามีวิชาไหนต้องฝึกเป็นพิธีกรบันเทิงเราจะเลี่ยงให้เพื่อนไปทำ สมมติมีงานกลุ่มเราก็จะไปทำหน้าที่อื่นแทน หรือไปเป็น บ.ก. ไปอยู่เบื้องหลังแทน เราจะไม่ยอมเป็นพิธีกร
พอถึงในตอนที่เราได้ทำงานข่าว พอเราออกมาจากบันเทิงแล้วมาอยู่นั่งทุบโต๊ะข่าว ในส่วนของการปรับตัวเรื่องการทำงาน มันต้องปรับอยู่แล้ว แต่อย่างเรื่องของจิตใจ เราไม่ได้รู้สึกว่ามันโหดอะไรกับเรา มันหนักนะแต่เราชอบ เรารู้สึกว่า เราชอบไปทำงานด้านข่าวอาชญากรรม งานข่าวสืบสวนสอบสวนมากกว่า เพราะถ้าเราอยากรู้อะไร เราก็ไปตามเองเลย ซึ่งตอนที่เริ่มต้นทำที่อมรินทร์ เราเป็นผู้สื่อข่าวภาคสนามของทุบโต๊ะข่าวก่อน ตอนนั้นทำภาคสนามอย่างเดียวยังไม่ได้นั่งโต๊ะอ่านข่าวนะ
ไอซ์ซึ่งเคยเป็นผู้สื่อข่าวเลื่องชื่อจากการลงพื้นที่บ้านกกกอก การไปลงพื้นที่ครั้งนั้นได้ให้อะไรบ้าง
สิ่งหนึ่งที่ได้คือเรารู้สึกว่าข่าวยุคนี้ไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องไปลงพื้นที่จริงอะไรขนาดนั้น การลงพื้นที่แบบนี้อาจจะเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยก่อน อย่างเราเคยเห็นรุ่นพี่ที่เขาฝังตัวไปในพื้นที่สามจังหวัดบ้าง ไปฝังตัวที่เหตุน้ำท่วมบ้าง ที่เห็นมาอย่างมากสุดก็คือไปฝังตัวอยู่หนึ่งเดือน แต่ ณ เวลาที่เราได้ลงพื้นที่เองมันเหมือนเราย้อนยุคนะ เพราะสมัยนี้เรามีโซเชียล มีเว็บ มีออนไลน์ มีไลฟ์สด มันมีการตอบโต้อย่างทันทีได้แล้ว
แต่การไปทำข่าวภาคสนามเป็นอะไรที่เราอยากเรียนรู้อยู่แล้ว เพราะความรวดเร็วของยุคสมัยนี้ทำให้คนไม่ได้ลงพื้นที่ทำข่าวกันแล้ว มันเลยเป็นโอกาส โดยเฉพาะการได้อยู่ในพื้นที่ที่เหมือนกับชาวบ้านเขา ยกตัวอย่างเราไปทำข่าวผ้าไหมที่สกลนคร เราฝังตัวไปอยู่ในหมู่บ้านเขาเลย เราไม่ได้ไปแค่ทำข่าวแล้วกลับมานอนโรงแรมเฉยๆ แต่เราฝังตัวอยู่ในนั้นเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตของเขา มันเลยได้มากกว่าการไปทำข่าว
การไปลงพื้นที่ไปทำข่าวทำให้เราเห็นเหตุผลหลายๆ อย่างของเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น เราสามารถตอบโต้ทุกอย่างได้เหมือนกับชาวบ้านในพื้นที่จริงๆ เพราะเรียนรู้ชีวิตของพวกเขาทุกวัน เริ่มใช้เวลาคลุกคลี 24 ชั่วโมง มาเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์มาเป็นเดือนๆ จนเรารู้ว่าเวลาไหนพวกเขาจะทำอะไรกัน ถึงจุดนั้นเราเลยตอบได้ว่าในช่วงเหตุการณ์ข่าวนั้นมันมีอะไรเกิดขึ้นก่อนและหลังได้บ้าง


หลายคนมองว่าการที่ไอซ์ฝังตัวลงพื้นที่ตรงนั้น ในเนื้อข่าวมันไม่ได้ให้อะไร แต่ในมุมมองของไอซ์เอง ไอซ์ได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งนี้
บางคนอาจจะมองว่ามันไม่ได้อะไร แต่สำหรับเรามันได้นะ เหมือนบางคนดูหนังเรื่องหนึ่งแล้วไม่ชอบ แต่มันยังมีคนที่ชอบ บางคนให้คะแนนหนังเรื่องนี้เต็มสิ แต่บางคนอาจให้ห้า เรามองว่าทุกประเด็นบนโลกนี้มันเป็นข่าวหมดนั่นแหละ แต่มันแล้วแต่ว่าเราจะหยิบอะไรมาพูด บางทีนกขี้ใส่หัวก็เป็นข่าวได้นะ (หัวเราะ) ยกตัวอย่างข่าวเก็บตกช่อง 3 หรือสะเก็ดข่าวสมัยก่อน ข่าวพวกนี้ให้ความบันเทิง ไม่ได้มีให้สาระอะไร แต่มันยังมีสาระสอดแทรกอยู่ อาจเป็นสาระเล็กๆ น้อยๆ ที่เราต้องไปขวนขวายต่อ
การไปฝังตัวตรงนั้นช่องไม่ได้บังคับให้เรานอนที่นั่นนะ ไม่ได้บอกว่าไอซ์ต้องไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่มันเป็นสิ่งที่เรารู้สึกอยากทำเอง นักข่าวเป็นเหมือนนักเขียนบท แต่บทนั้นคือเรื่องจริง เราไม่สามารถเขียนชีวิตของคนๆ หนึ่งได้ครบ 100% หรอก แต่เราจะเขียนในมุมมองที่เราเลือกอยากเขียนหรืออยากนำเสนอ
ซึ่งการอยู่ที่นั่นไปเรียนรู้วิถีชีวิต อย่างตื่นนอนตอนเช้ามา หมอกที่นี่มันลงหรือเปล่า การที่เราออกไปนอนข้างนอกตอนเช้าเพื่อมานั่งดูหมอกตอนตี 4-5 ลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นหมอกเลย แล้วการที่ไปฝังตรงนั้น มันไม่ใช่ว่าเราไปขอเขาอยู่นะ เพราะเขาก็ชวนเราด้วย เราก็แบบว่า ได้วะ เอาวะ มันเป็นโอกาสที่เราอยากจะเรียนรู้ เพราะอีก 10 ปีข้างหน้าก็ไม่รู้จะได้ทำแบบนี้อีกหรือเปล่า
มีอีกเหตุการณ์หนึ่งเราต้องไปสืบเรื่องราวบัญชีผู้ใช้ Twitter รายหนึ่งที่ลงสื่อผู้ใหญ่ หรือที่เรากันภาษาปากว่าแอคเค่อ อะไรที่ทำให้ไอซ์ตัดสินใจไปรู้ลึกกับเหตุการณ์นี้
ก่อนหน้านี้อมรินทร์ทำสกู๊ปเปิดโปงสังคม เปิดมุมมองของสังคมซึ่งไม่ค่อยมีใครทำ ซึ่งการทำสกู๊ปของแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกันอีกนะ บางคนทำเรื่องเดียวกันกับเรา แต่เขาไปถามในมุมมองของคนที่เข้าใช้ คนที่เข้าไปดูแอคเค่อ แต่ในมุมเรา เราอยากมองไปในมุมของคนที่ทำดีกว่าถึงจะได้คำตอบ เพราะเขาไม่เคยบอกใครออกสื่อเลยว่าทำทำไม
สมัยก่อนไอซ์เคยทำข่าวเกี่ยวกับผู้หญิงแก้ผ้าไลฟ์สดใน Facebook ช่วงนั้นมันไม่เคยมีแบบนี้เกิดขึ้น นั่นเป็นข่าวแรกๆ ที่เราทำตอนมาอยู่ทุบโต๊ะข่าว เราทำลึกถึงขนาดที่ว่าเราได้คุยกับเจ้าตัวว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงทำ และไม่ได้คุยกับเขาแค่คนเดียว แต่เขาเป็นตัวแทนของคนหลายคน พอเราได้โจทย์นี้มา มันขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะมองโจทย์นี้ในมุมไหน มองเป็นมุมคนดูหรือคนทำ หรือจะเอาทั้งสองมุมก็ไม่มีใครว่านะ
แล้วการจะนำเสนอข่าวด้วยมุมมองในของคนทำ (แอคเค่อ) ไอซ์ต้องมองเข้าไปลึกขนาดไหน
เริ่มต้นคือขอไปสัมภาษณ์ ถ้าเกิดว่าเขาให้สัมภาษณ์ได้ก็ดี แต่ถ้าไม่สะดวกเจอก็โทรคุย อย่างน้อยก็ได้คุยกับเจ้าตัว แต่ว่าถ้าถามความลึกว่ามันขนาดไหน ก็คือมีทีมที่เคยคือทำตัวเองเป็นกลุ่มคนนั้น เป็นผู้รับบริการ ต้องเอาตัวเข้าไปในห้องที่มันเกิดเหตุ แต่ไอซ์เองไม่ได้เข้าไปนะ เป็นทีมงานเข้าไป เพราะ ณ เวลานั้น เราต้องยอมรับว่าเราเริ่มเป็นที่รู้จักแล้ว คนอาจจะจับเราได้และมันอาจจะเกิดอันตราย
สิ่งที่บ้าบิ่นที่สุดในชีวิตของการทำอาชีพนักข่าวของไอซ์
ต้องวนกลับมาที่บ้านกกกอกครับ เพราะคิดว่าคงไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ แล้วก็ไม่รู้จะไปหาทำแบบไหนได้อีก และมีอีกสิ่งหนึ่งที่เราประทับใจบ้านกกกอกด้วย เพราะเราก็ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างเต็มที่มาก ตั้งแต่การได้เดินเขา ได้ไปอยู่ในป่า ได้กินนอนในพื้นที่อุทยาน ขึ้นวัดที่อยู่บนเขา เราเดินเขาทุกวันเลย ซึ่งมีหลายคนบอกว่าเหมือนเราหาเวลาไปพักร้อน ในสถานที่ที่มันไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว มันเป็นป่าจริงๆที่เราได้ไป มันคือสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะได้ทำอีกหรือเปล่า
ส่วนเรื่องที่บ้าบิ่นจริงๆ คือการปลอมตัวเข้าไปที่โต๊ะพนัน เป็นที่ที่เขาลักลอบเปิดพนันเล็กๆ หรือตามชุมชน เข้าไปแล้วเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ระบบต่างๆ มันเคลื่อนไหว หลังจากนั้นที่นั่นก็ปิดตัวไป เราก็มีการติดตามความคืบหน้าเรื่องนี้ นั่นคงเป็นสิ่งที่เราได้ทดลองทำ แล้วเอาภาพออกมานำเสนอว่าจริงๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นในสังคมเรา ซึ่งมันก็เสี่ยงมาก ถ้าคนจับได้ เราก็โดนนะ

ทำไมเราถึงกล้ารับความเสี่ยงขนาดนี้
การเป็นนักข่าวเหมือนเป็นนักแสดงหนึ่งคน ถ้าเราเป็นนักข่าวแล้วทำตัวเป้นนักข่าวไปนั่งโต๊ะพนันมันก็ผิดกฎหมายนะ แล้วอย่างถ้าผมถือกล้องถือไมค์เข้ามาสัมภาษณ์เลย แบบนั้นคนก็คงวิ่งหนีกระเจิง แต่ถ้าเราเข้าไปในบทบาทอื่น เข้าไปในโต๊ะพนันแล้วไปนั่งติ๊กใบนู่นนี่นั่นตามที่เห็นได้ทั่วไป แบบนั้นเจ้ามือหรือเจ้าของที่นั่นเขาก็จะมองว่าเราเป็นลูกค้าแทน ซึ่งหลังจากการนำข่าวออกมาเล่าแล้ว จุดที่เสี่ยงจริงๆ คือหลังจากที่ข่าวออกอากาศไปแล้ว (หัวเราะ) เสี่ยงกว่าตอนไปลงพื้นที่อีก หลายคนอาจจะมองว่าไปลงพื้นที่มันเสี่ยงนะ แต่จริงๆ แล้วเรามองว่าเราสามารถคุมสถานการณ์ตรงนั้นได้อยู่
สมัยนี้สังคมมักตั้งคำถามการนำเสนอข่าวของสื่อ เช่น การตั้งคำถามว่าทำไมคนต้องดูข่าวแย่งสามีภรรยากัน สื่อจะนำเสนอข่าวแบบนี้ไปทำไม ไอซ์มีมุมมองแบบไหนกับเรื่องนี้
ไอซ์คงตอบลึกในเรื่องนี้ไม่ได้ ไอซ์คิดเองในมุม ณ วันนี้ สมมติวันหนึ่งไอซ์เป็นเจ้าของช่องหรือเป็นเจ้าของสื่อ เราคงต้องมองเรื่องทางธุรกิจด้วย การทำสื่อก็เหมือนการเปิดหน้าร้าน ถ้าเราเปิดร้านแล้วไม่มีคนซื้อของ เราก็เจ๊งนะ แล้วจริงๆ เราก็มีข่าวทุกแบบ แต่คนอาจจะมองเราชัดแค่ด้านนั้นด้านเดียว หรือคนจำภาพแบบนั้นไป
ถามอีกว่า แล้วทำไมเราถึงต้องนำเสนอแบบนี้ ก็ต้องตอบกลับไปว่าเพราะมันมีคนดู มันสะท้อนกลับมาด้วยการได้รับความนิยม เพราะบางเรื่องที่เราทำไป คนกลับไม่ดู เราลองหลายๆ แบบเลยนะ มันคือการปรับสูตรไปเรื่อยๆ มากกว่า อีกอย่างเรามองว่ามันเป็นเรื่องของมนุษย์นะ ความเบื่อมาง่ายมาก วันนี้เขาชอบแบบนี้ วันหนึ่งอาจจะเปลี่ยนก็ได้ บางอย่างแม้แต่ตัวเราเอง เรายังรู้สึกเลยว่าเราเบื่อแล้ว ซึ่งในอนาคตอมรินทร์อาจจะทำสารคดีก็ได้ถ้าคนเขาไม่ดูข่าวกันแล้ว
ดังนั้นข่าวสังคม อาชญากรรม เรื่องชาวบ้าน หรือเรื่องในสังคม ถามว่าข่าวพวกนี้ให้อะไร ก็เพราะมีคนดูเราถึงทำ ข่าวที่ให้สาระจริงๆ ก็มีนะ แต่ก็อาจจะมีในสื่ออื่น ซึ่งอันนี้คนดูก็มีอิสระในการเลือกดูเลือกชมอยู่แล้ว เรามองว่าสิ่งนี้คือความหลากหลายที่มันเกิดขึ้นในสังคมมากกว่า ดังนั้นไม่ผิดที่เราทำข่าวแบบนี้ แล้วก็ไม่ผิดที่ช่องอื่นเขาทำอีกแบบนึง เหมือนเสื้อผ้าที่มีหลายแนว ใครชอบแนวไหนก็เลือกใส่อันนั้นไป
ถ้าไม่มองในแง่ธุรกิจ คนดูจะได้อะไรจากข่าวแบบที่อมรินทร์เสนอบ้าง
ผมว่ามันคือการเรียนรู้นะ เคยฟังพี่อ้อยพี่ฉอด (Club Friday) ใช่ไหม เราเป็นหนึ่งคนที่ชอบฟังเรื่องความรักจากพี่อ้อยพี่ฉอด ถ้าเรามองว่านั่นคือการแค่ไปเผือกเรื่องของชาวบ้านเขา มันก็คงเป็นแค่เรื่องสนุก แต่ถ้าเรามองว่านั่นคือการเรียนรู้ เราจะได้เห็นเรื่องความรักของชีวิตคนที่มันเกิดขึ้นจริงแบบนั้นได้ ไม่ต่างจากการเรียนรู้ข่าวอาชญากรรม เราเรียนรู้อะไรจากข่าวการฆ่ากัน เราได้รู้ว่าต้นเหตุการทะเลาะกันของเรื่องอะไรมันถึงทำให้คนฆ่ากันได้ บางคนเป็นครอบครัวเดียวกันยังฆ่ากันได้เลย เราเรียนรู้และจะได้ระมัดระวังตัวได้ดีขึ้น เลี่ยงเหตุที่จะจุดชนวนการทะเลาะหรือการก่ออาชญากรรมได้ นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้ชีวิตของคนอื่น


2
สิ่งที่ท้าทายของการได้นั่งเป็นผู้ประกาศข่าวคู่กับคุณพุทธในรายการทุบโต๊ะข่าว
เขาเป็นคนดังมากๆ คนหนึ่งและเขาเก่งมากๆ เป็นคนเก่งในสายวิชาชีพเดียวกันกับเรา เราอาจจะเป็นนักเรียนที่เก่งด้านพิธีกรมาก พูดเก่ง แต่พอเราไปอยู่กับคุณพุทธ (พุทธอภิวรรณ องค์พระบารมี) เขาเก่งกว่าเรามากๆ มันเลยท้าทายเราว่าจะทำยังไงให้ตัวเองเก่งแบบส่งเสริมกับเขาไปให้ได้ ไม่ได้เก่งแบบแข่งขันกันนะ เราคิดว่าจะทำยังไงดีที่ให้เข้ากันและตามให้ทันเขาได้
ทุกอย่างมันใหม่สำหรับเราหมดเลย เราเลยต้องเตรียมตัวเยอะ ทำการบ้านเยอะ การทำการบ้านคือเราต้องดูทุกอย่างตั้งแต่รายละเอียดของบท ตัวภาพที่จะขึ้นในรายการ ภาพปลีกย่อยอื่นๆ ในโซเชียลที่มันเกิดขึ้นกับข่าวนี้ แต่ลึกๆ เราดีใจนะ เพราะรายการนี้เป็นเหมือนรายการเบอร์หนึ่งของอมรินทร์อยู่แล้ว อยู่มาวันหนึ่งเราได้มานั่งอ่านข่าวคู่กับพี่พุทธในรายการที่เป็นอันดับหนึ่ง มันคือเรื่องน่าดีใจสำหรับเด็กอายุ 25 และจริงๆ แล้วพี่พุทธเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้เรียนรุ่นใกล้กันนะ ตอนนั้นเราไม่รู้จักพี่พุทธเพราะเขาจบไปนานแล้วแต่เราเคยสัมภาษณ์พี่เขาตอนเราเป็นพิธีกรที่มหาวิทยาลัย ตอนนั้นถึงได้รู้ว่าเขาเป็นผู้ประกาศข่าวของอมรินทร์ ต่อมาตอนที่เราสมัครงานที่อมรินทร์ทีวี เราก็ยังไม่ได้เจอพี่เขาเลยด้วยซ้ำ มันเหมือนมีเรื่องราวในชีวิตเราว่าวันหนึ่งเราเคยเจอเขาตรงนั้น เขาพูดเก่งมาก ณ วันนั้นเราเป็นเด็กด้อยมากเลย แล้วเขาเป็นรุ่นพี่ที่เก่งมากอยู่แล้ว แล้วพอวันนี้เราได้มาอ่านคู่พี่พุทธ เราก็รู้สีกว่าดีใจมาก ดีใจสุดๆ ที่เป็นเหมือนเราได้รับรางวัลชนะเลิศอะไรบางอย่าง ความรู้สึกมันเป็นแบบนั้นเลย
เคยสงสัยไหมว่าทำไมไอซ์ถึงถูกเลือกมานั่งกับประกาศข่าวคู่กับคุณพุทธ
ไม่เคย แล้วก็ไม่กล้าคิดด้วยว่าทำไมถึงเลือกเรา เราก็คิดว่า มันคงเป็นเวลาที่เหมาะสม ผุ้ใหญ่เขาคงมองเห็นอะไรในตัวเรา แต่เราตอบตัวเองไม่ได้หรอก แล้วเราคงตอบแทนพี่พุทธไม่ได้ว่าทำไมถึงเลือกเรา เพราะพี่พุทธก็ไม่เคยบอกจริงๆ
ตอนแรกที่อ่านข่าวกับพี่พุทธ พี่พุทธยังไม่พูดเลยด้วยซ้ำว่าให้ไอซ์ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ผู้ประกาศข่าวบ้างคนอาจจะต้องเตรียมตัวกันว่า เดี๋ยวเข้าแบบนี้นะ เดี๋ยวผมจะ 1 2 3 สวัสดี แล้วคิวพูดแบบนี้นะ หรือนัดว่าพี่จะโยนให้แบบนี้นะ แต่ของพี่พุทธไม่มีแบบนั้น พี่พุทธบอกแค่ว่าเดี๋ยวเข้าแบบพี่เจี๊ยบ (จิตดี ศรีดี) นะ แล้วบอกเราในขณะที่กำลังนับถอยหลังเข้ารายการ แต่เราทำการบ้านเตรียมมาจากบ้านแล้ว เมื่อก่อนเราดูข่าวเพื่อที่จะได้เข้าใจรายละเอียดข่าว เราไม่ได้ดูว่าผู้ประกาศเล่ายังไง แต่ในตอนนั้นเราต้องมานั่งดูว่าเขาเข้าคู่กันยังไง ตอนเข้าจะเข้ายังไง แล้วตอนจบเขาจบยังไง
แล้วที่เราเตรียมตัวมาเองเพราะว่าเราไม่กล้าถามเขา วิธีการสอนของพี่พุทธก็คือ ครูพักลักจำ มองซ้ายมองขวาก็ดูว่าเขาทำยังไง เราว่านั่นคือสิ่งที่เขาพยายามจะสอนเรา เพราะว่าเขาจะพูดเสมอว่าเราต้องดู เพราะฉะนั้นวันแรกที่ทำงานกับพี่พุทธ พี่พุทธพูดกับเราแค่นี้เลย
เล่าวิธีการทำงานกับคุณพุทธให้ฟังได้ไหม ว่าต้องทำอะไรบ้างถึงเล่าข่าวจากทั้งประเทศแบบรู้ลึกให้จบได้ภายในเวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง
ใช้คำว่าก็ครบรอบด้านและลึกก็ได้ ส่วนตัวเราเองความครบรอบด้านและลึกมันเหมือนเป็นเฟืองที่หมุนอยู่ตลอดเวลา เหมือนนาฬิกาที่หมุนตามเวลา มันเป็นโมเดลที่มันถูกทำไว้อยู่แล้ว ตั้งแต่ บก. ผู้สื่อข่าว ทีมงาน ทีมตัดต่อ คือทุกองค์ประกอบของการเป็นข่าวเขาทำแบบนั้นอยู่แล้ว
สิ่งที่ผู้ประกาศข่าวต้องเตรียมตัวคืออย่างที่บอกว่า ต้องดูข่าวและภาพทั้งหมด หลักๆ เป็นข่าวในประเทศ ถ้าต่างประเทศมีอะไรน่าสนใจก็ต้องนำเสนอ ต้องรู้รอบรู้ครบ เราต้องอ่านทุกอย่างเหมือนอ่านหนังสือให้จบหนึ่งเล่ม เข้าใจรายละเอียดของมันและพร้อมหยิบมาใช้ หยิบมาตอบ ที่เหลือมันเป็นสติหน้างานมากกว่า จังหวะโบ๊ะบ๊ะกันหน้างานว่าเขาจะโยนท่าไหน
การที่คนอายุเลขหลักสองมานั่งคู่กับนักประกาศข่าวเบอร์ใหญ่ขนาดนี้ ในช่วงเวลานั้นเรากดดดันมากขึ้นไหม
เราทำงานด้วย Mindset แบบเดิมที่เราเคยทำมา คือตั้งใจทำทุกอย่างให้ถึงที่สุด เรากดดันนะ แต่กดดันจากตัวเองไม่ได้กดดันจากคนอื่น ไม่ได้กดดันว่าคนนี้อ่านดีกว่า คนนี้อ่านด้อยกว่า เพราะว่าแต่ละคนมีความดีแตกต่างกัน ไม่มีใครเหมือนกันเลย ผู้ประกาศร้อยคนมายืนเรียงกัน ไม่มีใครเหมือนกันแน่นอน เพราะงั้นเราจะบอกว่าใครดีกว่ากันไม่ได้ เพราะว่าทุกคนก็เล่าข่าวเหมือนกัน ต้องเล่าข่าวรู้เรื่องแค่นั้น
เรามีความรู้สึกแค่ว่า เราอายุเท่านี้ เรามาไกลได้ขนาดนี้ เราดีแล้ว เรามาด้วยอายุขนาดนี้มันดีมากๆ และในถ้าสมมติว่าอีก 2 วันข้างหน้า เขาไม่ให้เราอ่านแล้ว เราก็รู้สึกเฉยๆมากเลยนะ สิ่งที่เราคิดมาตั้งแต่วันแรกคือ เราไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องมานั่งโต๊ะอ่านข่าว ไม่อ่านก็ได้ มีเวทีให้อ่านก็ดี และถ้าไม่มีเลยก็ไม่ได้เสียใจ
ก่อนที่จะมาทุบโต๊ะข่าว เราเคยอ่านข่าวเที่ยง เสร็จแล้วช่วงหนึ่งหยุดไปแล้วจึงค่อยได้ไปบ้านกกกอก ซึ่งตอนไปบ้านกกกอก เราก็ไปแบบไม่รู้นะว่ากลับมาแล้วจะมีคนรู้จัก ซึ่งการไปกกกอกเราต้องทิ้งรายการข่าวเที่ยงที่ทำมา 2 ปีไปเลยหลายเดือน หลังจากนั้นก็ไม่ได้อ่านข่าวเที่ยงอีกเลย ถามว่าตอนนั้นเสียหน้าไหมที่ไม่ได้อ่านข่าวเที่ยงแล้ว เราไม่ได้คิดแบบนั้นเลย เรามองอีกมุมหนึ่งว่า เราเป็นผู้สื่อข่าวพิเศษที่ได้ไปนั่งอ่านข่าว แล้ววันนึงเราต้องกลับไปทำสื่อข่าว เราก็แค่กลับไปอยู่จุดเดิมเท่านั้นเอง ซึ่งเราไปบ้านกกกอก สิ่งที่เราได้กลับมาคือมีคนรู้จักเราเพิ่มขึ้น เราได้ไปทำข่าวที่เราชอบ เราได้ไปโชว์ความสามารถเราเต็มๆ นั่นคือสิ่งที่เราไม่ได้คาดหวังว่าจะเกิดขึ้น แต่มันเกิดขึ้นโดยจังหวะเวลาที่มันเกิดมากกว่า


3
เส้นทาง 7 ปีของไอซ์ตั้งแต่การเป็นผู้สื่อข่าว มาเป็นผู้ประกาศข่าว แล้วตอนนี้ตำแหน่งล่าสุดคืออะไร
ตำแหน่งตามผังก็คือ รักษาการบรรณาธิการฝ่ายข่าวของทุบโต๊ะข่าวช่วงที่ 1 เพราะตอนนี้มีพี่ไม้เป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายข่าวของทุบโต๊ะข่าวช่วงที่ 2 แต่จริงๆ แล้วเราก็ทำงานด้วยกันนะ เรียกว่าเป็นกองบรรณาธิการนั่นแหละ หน้าที่ๆ เราต้องทำตอนนี้คือต้องหาข่าว จัดข่าว เราต้องดูทั้งก่อนและหลังจบรายการ จริงๆ ตื่นเช้าขึ้นมาก็มานั่งดูข่าวแล้ว
การเติบโตขึ้นในระยะเวลา 6 ปี ตั้งแต่การดูข่าว หาข่าว นำเสนอประเด็น จนถึงการเป็นคนนำเสนอเองด้วย เรามองการเติบโตของตัวเองเป็นแบบไหนบ้าง
สำหรับไอซ์นะ เราว่าเป็นภาระดีกว่า พอตำแหน่งมันโตขึ้น เวลาเราจะไปพูดกับใคร เราไม่กล้าพูดเลยว่าเราเป็นตำแหน่งนี้ ส่วนใหญ่เราจะยังบอกคนอื่นว่าเราเป็นผู้ประกาศข่าว เราไม่อยากบอกว่าเราเป็นบรรณาธิการ เราว่ามันเป็นภาระหน้าที่ที่เราควรทำให้สุดความสามารถ
ย้อนกลับไปตอนที่เราเป็นผู้สื่อข่าว เราดูแลแค่ทีมตัวเอง ช่างภาพ ผู้ช่วยและตัวเราที่ต้องทำหน้าที่ทำข่าวเท่านั้น บางวันเราวิ่งมั่วทำข่าวไปหมดวันละ 6 ข่าว แต่ตอนนั้นเรารู้สึกสนุก แม้เวลามันจะไม่พอ แต่พอเรามาอยู่จุดนี้ สมมติเวลาออนแอร์คือ 06:50 น. เราจะเตรียมข่าวทันหรือเปล่า นักข่าวจะไปถึงหรือยัง เราต้องมานั่งกลัวทั้งนักข่าว และทีมทั้ง 10 ทีมที่เราดูอยู่ เราต้องมานั่งกลัว มันเป็นขาหลายขามากที่เราต้องกังวล มันเป็นภาระมากกว่า
เราไม่ได้ดื่มด่ำกับตำแหน่งใหญ่โต เราก็ยังเหมือนเดิม ชีวิตปกติที่เดินเข้าอมรินทร์มาแล้วก็ไปทำงาน แค่ย้ายจากข้างนอก เข้ามาข้างใน เราเอาไอเดียจากการเคยเป็นผู้สื่อข่าว มาเขียนบทมาทำมาหาคอนเทนต์แล้วส่งให้นักข่าว
พ่อสอนผมไว้ว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวนะ คือภาระหน้าที่ที่มันมากขึ้น มันเป็นตำแหน่งที่เหมือนมีเพื่อนในตำแหน่งเดียวกันน้อยลง แต่จริงๆ ลูกน้องโดยสายงานก็คือเพื่อน รุ่นพี่ที่เป็นผู้สื่อข่าว เป็นช่างภาพ ทุกวันนี้เขาก็ไม่ได้เรียกคุณหรือว่าท่าน ทุกคนก็ยังเรียกไอซ์ เราก็ยังเล่นกันปกติ แค่เวลาสั่งงานเราเข้าใจกันก็พอ มันเปลี่ยนบทบาทจากการที่เราไปสั่งงานหน้างานกับทีมเดียว เปลี่ยนมาว่าเราสั่งกับทุกทีม แล้วเราไม่ได้มาเบ่งว่าเราใหญ่แล้ว มึงต้องฟังกูนะ
ดีใจกับตำแหน่งนี้ที่ได้มาไหม
เราไม่ได้เลือกตำแหน่งนี้เอง แต่มันคือสิ่งที่ได้มามันเป็นโอกาสที่ดีกับสายงานเรา ชีวิตทำงานต้องรับโอกาสที่จะต้องเดินหน้าต่อไป วันนี้เราเลยทำสิ่งที่ท้าทายดู ถ้ามันไม่ใช่จริงๆ แบบทำงานแล้วทุกช์จังเลย เหนื่อยจังเลย ไม่ไหวแล้ว เหมือนบังคับให้ถูกมาทำงาน ถ้าไปถึงขนาดนั้นเราก็คงต้องพิจารณาไปคุยกับหัวหน้า หรือว่าต้องพิจารณาตัวเองแล้ว แต่ถ้าวันนี้โอกาสที่ได้มามันยังโอเคอยู่นะ เราก็แค่อาจจะไม่ได้ถนัดร้อยเปอร์เซนต์ แต่ว่าตรงนี้เราอาจจะต้องมานั่งเรียนรู้ว่าต้องทำยังไง เผื่อมันจะดีกับเราในวันข้างหน้าต่อไป
อะไรคือความสนุกของตำแหน่งรักษาการบรรณาธิการ
ถ้ามองให้สนุกก็คือ เราต้องตื่นมาดูรายการข่าวเช้า ช่องโน้นช่องนี้ ต้องดูโซเชียล เที่ยงมาก็ดู ถ้าดูไม่ทันก็ไปดูออนไลน์ ดูออนไลน์ไม่ทันก็ไปเปิดเว็บอ่าน แล้วก็ดู Social อื่นๆ ซึ่งแต่ละอันก็จะมี คอนเทนต์ที่ต่างกัน มันทำให้เราเห็นอะไรมากขึ้น เมื่อก่อนถ้าเราเป็นผู้สื่อข่าว เราขี้เกียจได้เยอะเพราะว่าเราไม่ต้องไปสนใจข่าวอื่น เราสนใจแต่ข่าวเรา เราเต็มที่กับข่าวเรา เพราะถ้าเราไปสนใจข่าวอื่นก็ไม่รู้จะสนใจรายละเอียดปลีกย่อยไปทำไม


แล้วแบบนี้แยกชีวิตการเป็กนักข่าวกับชีวิตส่วนตัวแบบไหน
ปั่นรวมกันเลย จริงๆ ไอซ์ตื่นมาตอนเช้า พาหลานไปโรงเรียนก็เปิดข่าวแล้ว หลังจากนั้นก็กลับบ้านมานอนต่อ แล้วตื่นอีกทีช่วง 10 โมง 11 โมง เพราะเข้างานเที่ยงครึ่ง หลังจากนั้นก็ทำงาน พอทำงานก็อยู่กับข่าวตลอดทั้งวัน พอเลิกงานรายการจบ พอกลับบ้านหรือไปร้านอาหาร ระหว่างกินข้าวก็เปิดมือถือดูข่าวไปเรื่อยๆ เพราะว่าต้องไปจัดหมายให้นักข่าว พอจัดหมายนักข่าวเสร็จถึงตี 3 เราก็นอน เช้าต่อมา 7 โมง ไปส่งหลาน เวลาส่วนตัวคือเวลานอนแค่ 4 ชั่วโมง
ส่วนวันหยุดของไอซ์คือวันจันทร์ วันนั้นเราไม่ได้ดูข่าวอะไรเยอะ แต่ว่าตอนเช้าก็ยังดูข่าวเช้าอยู่เพราะว่าต้องไปส่งหลานเหมือนเดิม กลับมาก็อาจจะไปกินข้าว หรือไปเดินห้างไปซื้อของ กลับมาตอนดึกก็มาดูรายการทุบโต๊ะข่าว เพื่อจะให้รู้ว่าวันอังคารที่ไอซ์ตื่นมา ทุบโต๊ะข่าวเล่นข่าวอะไรไปแล้วบ้าง เราควรจะต้องรู้ทุกข่าวในรายการที่เราดูแล ไม่ได้มีใครบังคับให้เรารู้นะ คือไอซ์ไม่รู้ก่อนก็ได้ อย่างตื่นมาตอนเช้าแล้วมานั่งเปิดดูบทก็ได้ว่าเมื่อวานเขาเล่นอะไรไปบ้าง แต่เราจะไม่รู้เท่ากับสิ่งที่เขาเล่าไปแล้วในรายการขณะนั้น 3 ชั่วโมง แล้วถ้าเราไม่นั่งดู เรามานั่งเปิดบทอ่านอยู่ดี เพราะงั้นแสดงว่าเราต้องเสียเวลา 3 ชั่วโมงในการนั่งอ่านบท เราเลยควรรู้ไปพร้อมกับเขาเท่านั้นเอง
คิดอย่างไรกับคำว่า Work-Life Balance
ไม่ดี สำหรับไอซ์นะ เพราะไอซ์ไม่ได้มีบาลานซ์ที่ดีอยู่แล้ว เคยคิดจะลาออกจากอมรินทร์ แต่ที่บ้านเป็นคนบอกให้อยู่ ที่บ้านเขาชอบ ไอซ์ก็เลยอยู่ พออยู่แล้วที่บ้านมีความสุข ดังนั้น การที่ชีวิตเราจะเป็นประมาณนี้ครอบครัวไม่ได้ว่าเรื่องนี้อยู่แล้ว เขาไม่ได้บอกว่าจะต้องแบ่งเวลามาให้ครอบครัวนะ เพราะที่บ้านก็เหมือนปั่นรวมกับเราด้วย อย่างเลิกงานแล้วกลับบ้านเราก็ยังได้เจอครอบครัว วันหยุดเราก็พาที่บ้านไปเที่ยว ซึ่งปกติเขาก็ไม่ได้อยากจะไปเที่ยวที่ไหนอยู่แล้ว ก็เลยไม่ค่อยได้หนักใจเรื่องพวกนั้นเท่าไร แต่ถามว่าบาลานซ์ดีไหม ถ้าเทียบกับคนอื่นก็คือ เราไม่ได้เป็นคนที่บาลานซ์ดีนะ คือเราไม่ได้มีเวลาหยุดยาวหรือหยุดพักร้อนไปเที่ยวอะไรแบบนั้น
แปลว่าไอซ์ไม่ได้ซีเรียสเรื่อง Work-Life Balance
มันคือบาลานซ์ในแบบของเราเองมากกว่า ถ้าเอาเทียบจากความบาลานซ์ของมนุษย์ทั่วไป แน่นอนว่าของเรามันไม่ดี แต่การบาลานซ์ในแบบของเรามันคือการบาลานซ์แล้วทำให้มีความสุขมากกว่า ไอซ์มองว่าการมีวันหยุดที่เยอะ การมีเวลาพักที่มากคือความบาลานซ์ เพราะบาลานซ์ของเรามันมีหลายอย่างประกอบกัน ทั้งช่วงเวลา ทั้งงานของเรา ทั้งคนรอบตัว และตัวเราเองด้วย
เชื่อไหมว่าตอนเราจัดหมายนักข่าว เราเปิดหนังดูไปด้วย นั่นเป็นเวลาของเราแล้วนะ เรามองว่านี่คือวิธีการบาลานซ์ของเราเอง เพราะเราก็มีความสุขของเรานะ เรามีเวลาว่างสำหรับชีวิตเรานะ บางทีเลิกงานตอนดึกเราก็ไปหาข้าวกินนัดกับเพื่อน ถ้าเพื่อนสะดวกใจเจอช่วงเวลาไหนก็ค่อยมาเจอ ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร ถ้าเราเลือกงานสายนี้แล้ว สิ่งที่เราต้องอยู่กับมันให้ได้ก็คือ ทีวีไม่มีวันหยุด เคยเห็นวันไหนทีวีจอดำไหม ไม่มีใช่ไหม ยกเว้นรัฐประหารนะ แต่สุดท้ายเราก็ยังทำงานอยู่ 24 ชั่วโมง เพราะทีวีไม่มีเวลาหยุดเลย


4
มาจนถึงตอนนี้ ไอซ์อยากให้คนอื่นจำจดคุณในฐานะผู้สื่อข่าวหรือผู้ประกาศข่าว
ได้หมดเลยนะ ขอให้เขาจำว่าเป็นไอซ์ สารวัตรก็พอ จริงๆได้หมด บางคนถามว่าไม่วิ่งข่าวแล้วหรอ ไม่ลงพื้นที่แล้วหรอ เดี๋ยวนี้เห็นมานั่งอ่านข่าวแล้ว ใครจะจำเราแบบไหนก็จำไปเถอะ บางคนก็ยังจำเราเป็นรุ่นพี่ที่มหาลัย บางคนจำเราเป็นประธานนักเรียน ใครจะจำยังไงก็ได้ แต่ขอแค่จำที่เราเป็นเรา แล้วก็รู้ว่าเราพัฒนาไปอย่างไร ถ้าเขาจำเราได้ก็แสดงว่าเขาคงกำลังติดตามอะไรบางอย่างของเราอยู่บ้าง แค่นั้นก็พอแล้ว ในมุมเราก็ดีใจที่เขาจำเราได้ เราไม่ได้มองว่าเฮ้ย จำมาจากร้องเพลง จำได้มาจากไปทำข่าว หรือไปจำได้มาจากรายการข่าว ได้หมด จะจำตรงไหนก็ได้ เพราะว่าเขากำลังเรียนรู้เราอยู่
คิดว่าทุกวันนี้ตัวเองดังไหม
ไม่นะ ผมว่าเหมือนเดิม ถามว่าแบบไหนคือความดัง ผมรู้สึกว่าผมตอบไม่ได้นะ เพราะเราเป็นที่รู้จักเยอะขึ้นก็จริง แต่ไม่ได้รู้สึกว่าดังหรือมีชื่อเสียงอะไรขนาดนั้น อย่างเมื่อก่อนเรามองว่าพี่เบิร์ดดังมากเลย เราก็ไม่เคยถามพี่เบิร์ดนะว่า พี่เขารู้สึกว่าตัวเองดังมากไหม พี่เบิร์ดอาจจะรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตแบบปกติก็ได้ เราคิดว่าเมื่อก่อนที่เรามองว่าเขาดัง เพราะเรารู้จักเขา แต่มันยังมีคนที่ไม่รู้จักเขาแน่ๆ ซึ่งเราก็มนุษย์คนหนึ่งที่มีคนเดินผ่านไปผ่านมา เราว่าความดังไม่ดังขึ้นอยู่กับคนที่เจอเรามากกว่า
มันขึ้นอยู่กับช่วงเวลาด้วยนะ อย่างคนที่ทำงานกลางคืนเขาจะไม่รู้จักเรา เพราะเขาไม่ได้ดูข่าวโทรทัศน์เลย หรือถ้าอย่างช่วงบ้านกกกอก คนรู้จักเราเยอะขึ้นเพราะคนเล่นออนไลน์แล้วเจอเราเยอะขึ้น ช่วงไปออกรายการร้องข้ามกำแพง ก็เป็นแค่ช่วงกระแส ณ เวลานั้นด้วยนะ มันคือกระแสที่เดี๋ยวช่วงหนึ่งมันก็จะผ่านไป เราอาจจะอยู่ในใจเขา แต่พอถึงช่วงเวลาหนึ่งคนนั้นก็อาจจะไม่ได้มาวิ่งมาหาเราแล้วในครั้งต่อไป
ช่วงชีวิตของตัวเองที่น่าจดจำที่สุด
ชอบทุกช่วงชีวิตเลยนะ (หัวเราะ) หลังกลับจากบ้านกกกอกมาแล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่เราได้เห็นชีวิตที่มันเร็วมาก เราไม่สามารถเรียนรู้อยู่ในที่ที่เดิมได้ตลอดหรอก บางทีตรงที่เราอยู่มันผ่านไปเร็วมากจนบางทีเราจำรายละเอียดเหตุการณ์เป๊ะๆ ไม่ได้หรอก เราจำได้แค่ความรู้สึกดีๆ ในตอนนั้นมากกว่า อย่างช่วงนั้นหลังจากบ้านกกกอก มันเป็นช่วงเวลาคิวทองเลย กระแสดีจนอยากเดินห้างแล้วไม่ได้เดิน มันคือมุมที่ไม่เกี่ยวกับงานที่เรารู้สึกว่าช่วงนั้นคือช่วงเวลาที่ดี
ส่วนมุมในเรื่องการทำงาน บ้านกกกอกก็ยังเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เพราะเรารู้สึกว่าเราได้โชว์ของมากที่สุด ส่วนช่วงที่เรารู้สึกว่าเราได้โอกาสมากที่สุดคือการที่ได้รับโอกาสในการได้มาดูแลนักข่าว ได้ทำหน้าที่บรรณาธิการช่าวด้วย การที่เด็กคนหนึ่งอายุเท่านี้ ทำงานได้ถึงขั้นนี้ก็รู้สึกว่ามันไกลกว่าช่วงอายุเรา มันคือการก้าวไปเร็วกว่าอายุเรา
การก้าวไปเร็วกว่าอายุของตัวเองคือเรื่องที่ดีสำหรับไอซ์ไหม
มันก็ดีนะ เพราะวันหนึ่งเราอาจจะเกษียณเร็วกว่าอายุก็ได้ หรือชีวิตเราอาจจะประสบความสำเร็จเร็วขึ้น แต่ความสำเร็จที่ว่าคงตอบไม่ได้ว่าความสำเร็จที่ตรงไหน เพราะมันขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของแต่ละคนด้วย อย่างเราเองในตอนนี้ก็ตอบไม่ได้ว่าความสำเร็จที่วางไว้ของเราจริงๆ มันคืออะไร เพราะอย่างการที่เรามายืนในจุดนี้ได้ จริงๆ อาจจะต้องอายุ 32 แต่เราก้าวมาเร็วกว่านั้นคือ เรามายืนอยู่จุดนี้ได้ในอายุ 28 เราว่ามันคือการสะสมไปเรื่อยๆ ทุกปี และเราก็วิ่งเร็วขึ้นมากทุกปี
ย้อนกลับไปในวันที่ยังไม่ได้เป็นคนในวงการข่าว ไอซ์ในฐานะคนในวงการข่าว อยากบอกไอซ์จูเนียร์ที่ยังเป็นเด็กมหาลัยฯ ว่าอะไร
เรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลย มันคือสิ่งที่เราอยากทำและอัดอั้นมาตั้งแต่แรกมากกว่า แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นได้แค่เพราะตัวเราคนเดียวที่อยากทำ อย่างการที่เราทำอยู่ที่อมรินทร์ อมรินทร์ก็มีเป้าหมายของเขาเองคือการนำเสนอข่าวประมาณนี้ ซึ่งมันตรงกับความเป็นเราด้วย เหมือนถูกที่ถูกทางแล้วมันพอดีกัน อย่างตอนสมัยเรียน เรามีบางไอเดียที่อยากทำ มีไอเดียที่คิดออกมาได้แต่ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ เพราะในตอนนั้นเราอาจจะคิดว่า เราทำไปทำไม ตอนที่เราเรียนอยู่ เราก็คิดตลอดเวลาเราจะทำอะไรสักอย่าง คิดว่าเราไปทำไม บางอย่างที่มันยากไปในตอนนั้นเราก็ตัดออกไปก่อน เราเลือกทอะไรที่มันสามารถเรียนรู้และเก็บได้รอบด้านได้ดีกว่า ซึ่งตอนนั้นเราคิดแบบนั้น
ถ้าย้อนกลับไปได้เราก็จะบอกตัวเราเองว่า คิดไม่ผิดแล้วแหละที่เราเลือกเดินแบบนี้ คิดไม่ผิดที่ตัดสินใจเข้ามาอยู่ในวงการข่าว และคิดไม่ผิดที่มาอยู่กับอมรินทร์ในวันที่แม้ว่าเราจะไม่ชอบข่าวบันเทิงก็ตาม เพราะท้ายที่สุดแล้วคุณไม่รู้หรอกว่าต่อไปคุณจะได้ย้ายไปอนู่ที่ไหน แล้วจะได้ไปอยู่กับที่ที่ชอบหรือเปล่า เพราะงั้นมันมีตัวแปรหลายอย่างจริงๆ ที่ทำให้เราได้เข้ามาเป็นผู้ประกาศข่าวในวันนี้ครับ


5
ถ้าไม่ได้อยู่ในวงการข่าว คิดว่าตัวเองในวันนี้ทำอะไรอยู่
วิศวกร เพราะว่าเคยอยากจะเป็นวิศวะหรือว่านักกฎหมาย เพราะเราเป็นคนที่ชอบความยุติธรรม ชอบเถียงด้วยเหตุผล เราชอบศึกษาด้านกฎหมาย อ่านหนังสือกฎหมาย ได้รู้ว่ากฎหมายมันล็อคคอเราแบบไหนได้บ้าง กฎหมายมันมีความชัดเจน ไม่ประนีประนอม
ถ้าชาติหน้ามีจริง ไอซ์จะยังทำอาชีพนี้อยู่ไหม
ก็คงไม่ทำแล้ว (หัวเราะ) ไม่ใช่อะไรหรอก คือเราแค่อยากไปเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ เท่านั้นเอง ถ้าชีวิตเรามีมากกว่าอายุ 100 ปี เราไม่ได้คิดถึงแค่ตอนตัวเองอายุ 80 ปีนะ ถ้าชีวิตเราเกินร้อยปี เราคงไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่กับอาชีพสื่ออย่างเดียว เราอยากลองไปเป็นพ่อค้าบ้าง ทํายูทูบบ้าง เราอยากเรียนรู้ชีวิตเยอะๆ
ไอซ์เคยไปขับแกร๊บด้วยนะ แล้วอย่างตอนอายุ 14 ไอซ์ทำงานครั้งแรกคือการเป็นเด็กเสิร์ฟในโรงแรม เสิร์ฟในงานแต่งไม่ก็ไปเสิร์ฟที่ร้านบุฟเฟ่ต์ จนได้ไปเดินเสิร์ฟในงานกาลาดินเนอร์ของสยาม คือเราได้เรียนรู้ชีวิตที่แตกต่างนะ อย่างงานแต่งของคนที่อยู่โรงแรมปกติกับงานในโรงแรมหรู มันมีความต่างกัน เราก็ได้เรียนรู้วิธีการทำงานในหลายๆ แบบ ไอซ์เคยไปทำงานร้านพิซซ่าด้วยนะ ไปเป็นเด็กเสิร์ฟที่นั่น ตอนไปทำเด็กเสิร์ฟก็ไม่ได้ทำแค่เด็กเสิร์ฟอย่างเดียว เราต้องทำพิซซ่าอยู่หลังครัวด้วย ซึ่งปกติเราเป็นคนกิน เราก็ไม่เคยเดินเข้าไปหลังร้านถูกไหม เพราะงั้นเราเลยได้เรียนรู้ชีวิตหลายมุม
จริงๆ ไอซ์ทำหลายอย่าง เคยไปเป็น Backstage หลังเวทีคอนเสิร์ตก่อนจะมาทำงานวงการบันเทิงด้วยนะ ทำหน้าที่เชิญนักแสดงให้เขามาอยู่ในตำแหน่ง ไปแจ้งคิวเขา ซึ่งอันนี้ไม่ได้ทำเป็นอาชีพจริงจังนะ แต่ก็ทำฟรีแลนซ์กับสิ่งนี้มานานมาก จนสุดท้ายได้เข้ามหาวิทยาลัย มีโอกาสเป็นพิธีกรเยอะมาก จนมันเริ่มชัดเจนขึ้น เลยได้หันเข้ามาทำงานข่าว
อ้อ ตอนนี้เรายังไม่เคยขายไก่ทอดนะ เดี๋ยวถ้ามีโอกาสจะไปขายไก่ทอด เราอยากรู้ว่าเขาชุบไก่ยังไงถึงอร่อย (หัวเราะ)

ปรับปรุงเนื้อหา 17 เมษายน 2566