เราเคยนั่งดูคลิปสัมภาษณ์ของฮ่องเต้-กนต์ธร เตโชฬาร คลิปนั้นเปิดหัวด้วยคำว่า “ฮ่องเต้-กนต์ธร เตโชฬาร คือ Artist ตัวจริง”

            ซึ่งตลอดการสนทนาในวันนี้ ก็ทำให้เราเชื่อได้จริงๆ ว่าฮ่องเต้คือ Artist ตัวจริง

            ถึงแม้ว่าชีวิตด้านหนึ่งของเขาจะเป็นพิธีกรรายการเรื่องงานช่าง หรือเล่นสนุกกับเพื่อนๆ ให้เราได้รับทราบกันอยู่เสมอบนหน้าจอออนไลน์ ชีวิตของชายผู้ประกอบอาชีพ “อิสระ” คนนี้ขับเคลื่อนด้วยศิลปะเป็นกลไกหลักด้วยซ้ำ

            ซึ่งไตรโลกาคือการสาดความเป็นตัวของตัวเองลงไปมากที่สุด

            และเขาอยู่กับโปรเจคต์นี้มา 10 ปีพอดิบพอดี

            จากการศึกษาและอ่านอย่างเข้มข้น ฮ่องเต้คิดว่ามันควรจะต้องมีมหากาพย์อะไรสักอย่างในแบบไทยๆ ที่สามารถให้ความรู้สึก Epic หรือยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับมหากาพย์ของต่างประเทศ ไตรโลกาจึงเกิดขึ้นจากตรงนั้น

            ไตรโลกาค่อยๆ วาดลวดลายให้เราได้รู้จักผ่านพื้นที่ส่วนตัวของฮ่องเต้ จนถึงนิทรรศการซึ่งเคยจัดที่ The Jam Factory มาจนถึงการสร้างคอมมูนเล็กๆ ผ่านการคัดสรรศิลปินที่อยากฝากฝีมือและตีความไตรโลกาในมุมที่ต่างออกไป จนมีศิลปินส่วนหนึ่งได้มาร่วมแจมในงานของเขา

            เราจึงชวนฮ่องเต้มาทบทวนเส้นทางของไตรโลกาตลอด 10 ปีที่ผ่านมาอีกครั้ง โดยมีฉากหลังคือ Creatures of Triloga นิทรรศการที่เป็นอีกจักรวาลของไตรโลกาอย่างแท้จริงซึ่งจัดแสดงอยู่ที่ TCDC กรุงเทพ ก่อนที่นิทรรศการกำลังจะปิดฉากลงในอีกไม่กี่วันนี้

            นับตั้งแต่วันแรกที่ไอเดียเกิดขึ้น ถึงวันที่กำลังจะเก็บนิทรรศการ มหากาพย์ไตรโลกานี้ส่งต่ออะไร ให้อะไร และมีความหมายกับเขาอย่างไรบ้าง

            เตินตามฮ่องเต้เข้าห้องสเก็ทซ์ขงานของเขากัน

เคยนำความรู้ที่ได้จากการเรียนสถาปัตย์มาใช้กับงานศิลปะของตัวเองบ้างไหม

            ศิลปะเข้ามาในชีวิตเราก่อนเรียนสถาปัตย์ไกลเลย คือเราก็โตมากับศิลปะนั่นแหละ เราวาดรูปตั้งแต่เด็ก เราเข้าวงการศิลปะตั้งแต่ 2 ขวบ เพราะแม่เอากระดาษกับปากกามาวางไว้ให้ เราว่าวงการศิลปะที่เขาขายรูปกันหรือศิลปะที่เขาทำกันมันมีเป็นปกติ เราเชื่อว่าศิลปะมันอยู่ในชีวิตทุกคนอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องฝืน ไม่จำเป็นต้องพยายาม แค่ส่งเสริม ถ้าถามว่าเราอยู่กับศิลปะมานานแค่ไหนแล้ว บอกได้เลยว่าตลอดชีวิตเลย

ใช้ชีวิตอย่างไรเมื่ออยู่กับศิลปะตลอดชีวิต

            เรามีความสุขทุกครั้งเวลาที่เราได้วาดรูป แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราต้องขายมัน เราไม่เคยขายงานเลยกระทั่งเริ่มอายุมาก เราเป็นคนขี้หวงงาน รักงานมาก เพราะว่าเราวาดมันได้แค่ชิ้นเดียว ไม่ได้ทำได้บ่อย ๆ งานเราไม่ใช่ Mass Product และแต่ละวันที่วาดมันไม่เหมือนเดิม พอเราไปเจอเครื่องมือ ใหม่ๆ สไตล์ใหม่ๆ ไปเจอภาพใหม่ ๆ ที่มัน Inspired เรา มันเลยเปลี่ยนตัวเราไปทุกวัน เราอาจจะต่างจากคนที่เจอค้นพบสไตล์ตัวเอง แล้วก็วาดสไตล์นั้นคงที่ไปเรื่อยๆ แต่เราไม่ได้เป็นแบบนั้น เราเป็นคนที่ชอบค้นคว้าทุกอย่างตลอดเวลา เรารู้สึกสนุกทุกครั้งเวลาที่ได้เจอสไตล์ใหม่ๆ ซึ่งเราพร้อมจะเปลี่ยนตัวเองไปตามนั้นด้วย

ทำไมถึงพร้อมเปลี่ยนแปลงตัวเองมากกว่าการยึดเพียงแนวทางเดียว

            ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลารวมถึงใจเราด้วย รสนิยมเราด้วย ความชอบเราด้วย ความเบื่อเราด้วยเราก็ว่าไม่แปลกนะที่มันต้องเปลี่ยนแปลง  แต่สำหรับคนที่ยึดแนวทางเดียว หากเขามีคนรอซื้อภาพอยู่แล้ว ถ้าวันหนึ่งสไตล์การวาดภาพของเขาเปลี่ยนไป คนที่มาซื้อภาพเขาอาจจะไม่ซื้อแล้ว อันนี้มันก็เป็นเอฟเฟค เพราะเขาต้องใช้ภาพทำมาหากิน มันจึงจำเป็นต้องวาดเหมือนเดิม แต่บางคนเขาก็มีความสุขกับการวาดเหมือนเดิมนะ เราก็ไม่ได้ว่าอะไรเขา แต่แค่สำหรับเรามันไม่ใช่

เรียกสถานะการทำงานที่ตัวเองทำอยู่ตอนนี้ว่าอะไร

            “อิสระ”ทำทุกอย่างที่อยากทำ นิยามตัวเองอย่างนี้ดีกว่า

            การเป็นพิธีกรเราทำอยู่เพราะว่าทำได้  อย่างรายการของรับทราบ (Rubsarb) เราไปเป็นแขกรับเชิญ แม้ว่าตรงนั้นไม่มีรายได้ ไม่ได้ซีเรียสอะไรตรงนั้นเพราะว่าสนุกด้วย เราเป็นพี่ก็ไปช่วยเขาเท่านั้นเอง งานรับจ้างก็รับเพราะอยากทำ งานรายการช่างประจำบ้านเราก็ทำเพราะว่าผูกพันมา 8 ปี จนเข้าปีที่ 9 แล้วก็ยังสนุกอยู่ ส่วน Exhibition เราก็ทำแม้ว่าจะได้เงินหรือไม่ก็ตาม เพราะเรารู้สึกว่า มันเป็นพื้นที่ที่พูดแทนความคิดของเรา และได้ให้น้องๆ มีพื้นที่การแสดงผลงานด้วย

ความสุขทุกครั้งที่คุณได้สาดความรู้สึกและความคิดลงไปบนผลงานแต่ละชิ้นคืออะไร

            เราวาดเสร็จตั้งแต่ก่อนวาดแล้ว เพราะเราวาดในหัว แล้วก็พอเราวาดตัวจริง แต่ความสุขของการวาดจริงคือความไม่เหมือนกับที่เราวาดในหัว มันเปลี่ยนแปลงไปได้ เราก็สนุกกับความเป็นไปได้ที่มันเกิดขึ้น เรารู้สึกว่ามันเจ๋งเพราะเราจินตนาการว่า ภาพอาจจะเป็นแบบหนึ่งแต่สุดท้ายมัน Beyond ไปอีกหรือว่ามันแย่กว่าที่คิด มันสะท้อนเรื่องของความไม่แน่นอนด้วย ยิ่งวาดเรายิ่งได้เรียนรู้ว่า Canvas มันไม่ได้มีแค่ Canvas เดียว เราไม่ต้องมานั่งเอาเป็นเอาตายกับ Canvas นี้ก็ได้ ถ้าเราวาดรูปนี้ไม่ดี ก็ไปเที่ยวพักผ่อนแล้วก็กลับมาวาดรูปใหม่ มันคือการรู้จักให้อภัยตัวเองด้วย

แล้วการรู้จักให้อภัยตัวเองสำคัญยังไง ทั้งในแง่การทำงานและแง่การใช้ชีวิตในมิติอื่นๆ ด้วย

            คนส่วนใหญ่ที่มีปัญหาในชีวิตตัวเองก็คือ การ ให้อภัยตัวเองไม่ได้ เราเคยได้ยินคำว่าไม่มูฟออนหรือไม่ยอมรับความจริงใช่ไหม เรื่องการยอมรับความจริงว่าทุกสิ่งมันไม่แน่นนอนนั้นสำคัญมาก ถ้าอยู่กับความจริงว่า เราไม่มีทางสร้างงานคุณภาพได้ตลอดไปหรอก เราไม่รู้ว่าจะตายวันไหน เราคิดตลอดว่าเราจะตายเร็วๆ นี้ สุขภาพเราก็ไม่ค่อยดีแล้ว ร่างกายมันเสื่อมไปตลอด สมองเองก็ตื้อกว่าปกติ ฉะนั้นเราคงเหลือเวลาสร้างงานอีกไม่นาน ถ้าเราบาลานซ์มันได้ เราก็ยังอยากสร้างงานไปเรื่อยๆ ในตอนที่ยังมีปัญญาทำ มือยังไม่แข็ง สมองยังเดินได้อยู่ก็รีบทำ เราคิดอย่างนั้นมากกว่า และการให้อภัยตัวเองได้เป็นสิ่งที่ทำให้คนทำงานได้อย่าง Active และสร้างสรรค์ขึ้น เพราะเราเชื่อว่าในชีวิตมันไม่มีตัวเลือกไหนที่ถูกต้องที่สุด มีแต่ช้อยส์ที่พอดี ไม่ต้องดีเลิศ Perfect ทุกอย่าง เพราะเราว่าความ Perfect มันไม่มีอยู่จริง

งานศิลปะก็เหมือนอาหารที่ความชอบเป็นเรื่องปัจเจก มีชอบย่อมมีไม่ชอบ รับมือกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรบ้าง

            เราไม่ค่อยดังมั้ง ก็เลยไม่ค่อยมีใครมาวิจารณ์งานเรา

            เราก็ชอบคำวิจารณ์มากนะ เราชอบฟังมากเลยว่าใครคิดยังไง เราชอบฟังความเห็นคนอื่นว่าเขาคิดยังไงกับสิ่งที่เราทำ เพราะเราเชื่อว่าเราโตได้ด้วยสิ่งนี้ เราพบตัวเองได้ด้วยสิ่งนี้ มันเหมือนกระจกที่ส่องเราแบบที่เราไม่ได้ยกมาส่องเอง แต่มีคนมาส่องให้เรา มันสะท้อนบางอย่างในตัวเรา รวมถึงงานที่เราทำด้วย ทำให้เราเห็นว่าเราวาดอะไรได้ วาดอะไรเก่ง คนอื่นชอบที่เราวาดอะไร มันมีคำตอบเลย ถึงเราจะชอบคำวิจารณ์แต่ถามว่าเรากลัวไหม ตอบเลยว่าไม่กลัว เพราะเราเชื่อว่าทุกอย่างที่เราทำเรามีเหตุผล แล้วก็เรามีคำตอบสำหรับสิ่งที่เราทำ ถ้าเกิดว่าใครอยากฟังคำตอบเราก็มาคุยกันได้เลย 

อะไรคือสิ่งที่จุดประกายให้เกิดไตรโลกา

            เกิดจากที่เรารู้สึกว่า อยากเอาสิ่งที่เรารู้มาด้วยการอ่าน ฟัง เชื่อ สิ่งที่เคยเชื่อและไม่เชื่อแล้ว มาทำอะไรสักอย่างหนึ่งให้เกิดเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้น มันเริ่มจากที่เราไปหอสมุดแห่งชาติตลอด เราอ่านหนังสือเยอะมาก เราอ่านตั้งแต่ปุราณะ, ไตรภูมิ, รามเกียรติ์, สามก๊ก,  Game of Thrones,  Sandman,  Stardust, รุไบยาต และ The Lord of the Rings  ซึ่งเราอ่านตั้งแต่ History จนถึงตัวเล่มจริง แล้วเรายังอ่านบทกวี ปกรณัมกรีกด้วย เราอ่านทุกเล่มที่โทคินอ่าน เพราะเราชอบเขามากก็เลยอ่านตามเขา สิ่งนี้ทำให้เราพบว่าการที่เรื่องราวเรื่องราวหนึ่งมันมีภูมิหลังที่แข็งแรง มันทรงเสน่ห์มาก เรารู้สึกแบบนั้นเราเลยเริ่มทำเลย 

ในลิสต์หนังสือที่อ่านมา ความเกี่ยวข้องกันของหนังสือเหล่านี้คืออะไร

            บางคนบอกว่าเทพกรีกกับเทพฮินดูไม่เกี่ยวกัน แต่จริงๆ มันเกี่ยวกัน เพราะมันองค์ประกอบเดียวกันเลย ถ้าคุณสืบค้นเข้าไปอีกหน่อยจะเห็นว่า เทพกรีกกับเทพฮินดูเกิดช่วงเวลาใกล้เคียงกันมาก แต่แค่ไปอยู่กันคนละภูมิภาคและตั้งชื่อคนละแบบ วิธีการทรีตเทพก็ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นทุกอย่างก็เลยแตกต่างกัน

            คนเรามองแต่ผลลัพธ์ เราลืมมองที่ต้นขั้ว เราเลยอยากจะเน้นยกประเด็นนี้ขึ้นมา คือการให้ทุกคนกลับไปมองที่ต้นขั้วมากขึ้น ให้เข้าใจว่าทุกอย่างในชีวิตเรามันเกี่ยวเนื่องกัน

การเสพหนังสือหรืองานต่างๆ เยอะ สุดท้ายแล้วมันไปหยุดที่การเกิด Final Product ไหม หรือยังคงอยู่ในขั้นของการทดลองค้นหาสิ่งใหม่ไปเรื่อยๆ

            ชีวิตเราเป็นการทดลอง ชิ้นนี้ที่ทำอาจไม่ดีในเชิงธุรกิจก็ได้ เราไม่เคยคิดปลายทางเลย เราเชื่อว่าการกำหนดปลายทางมันขัดกับหลักธรรมชาติ ขัดกับความเป็นจริงที่ว่าทุกอย่างไม่แน่นอน มันอาจจะมีอะไรดีกว่าเกิดขึ้นหรืออาจจะแย่กว่าที่คิดมากเลยก็ได้ เพราะงั้นก็ทำให้เต็มที่ที่สุดในปัจจุบันนี้ แล้วก็คิดเผื่อคนอื่นด้วย อย่าคิดแค่ตัวเอง

แล้วเริ่มต้นรังสรรค์​งานในจักรวาลไตรโลกายังไง

            ไตรโลกาอยู่กับเรามา 10 ปีนะ เราก็ลงมือวาดและสเก็ตซ์มาเรื่อยๆ วาดและสะสมไปเรื่อยๆ เมื่อปีที่แล้วได้จัดนิทรรศการครั้งหนึ่งที่ The Jam Factory แล้วก็เจอซันที่เป็น Manager เราได้คุยกัน แล้วฟอร์มทีม และใช้เวลากับงานนี้ไป 3 ปี ในการเซ็ตทุกอย่าง

เห็นว่าในเพจเฟซบุ๊ก Art of Hongtae มีคำที่ใช้เรียกมนุษย์ว่าไตรโลเกียน เป็นจำนวนมาก คนพวกนี้ไปเจอมาได้ยังไง

            เขาเป็นดีไซเนอร์และเป็น Character Designer ของงานนี้ และเป็นกำลังของเราในการสร้างงาน เราเจอพวกเขาตอนเปิดชาเลนจ์หนึ่งในเพจชื่อว่าสัตว์วิเศษ เราให้น้องๆ ส่งผลงานเข้ามาประกวด เหมือนส่งงานเข้ามาดูกัน ถ้าของใครถูกใจเราก็ได้รางวัลไป มันเหมือนการออดิชั่นกลายๆ เราได้รู้เลยว่าคนเหล่านี้อินแค่ไหน เข้าใจตรรกะของเราแค่ไหน  มีฝีมือแค่ไหน เราก็ค่อยๆคัดกรองจากสิ่งนี้ แล้วค่อยฟอร์มทีมขึ้นมา

การออดิชั่นกลายๆ แบบนี้มันทำให้ได้เห็นอะไรบ้าง

            มีเด็กที่น่าสนใจในโลกนี้อยู่เยอะมาก อย่าง #วาดแลกกันสัตว์ เป็นแฮชแท็กที่ทำให้เราเห็นว่ามีคนที่ต่างจากเราเยอะมากแต่สร้างสรรค์ เราเชื่อว่าเด็กเหล่านี้ต้องเติบโตอีกมาก แล้วเราก็แฮปปี้ที่ได้เห็นการเติบโตนั้น

เลือกศิลปินที่จะร่วมงานด้วยจากปัจจัยอะไร

            ความรัก เพราะเราชอบงานเขา เขาชอบงานเรา มันก็จบแล้ว เราว่าศิลปะเป็นภาษาง่ายๆแบบนั้น การชื่นชมกันและกันก็เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้มาร่วมงานกับเรา แล้วเราร่วมกันกับเขา

ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้นในการทำงานบ้าง

            พวกเราประชุมกันที่บ้านเรา แล้วก็น้องๆ ก็ทำงานกันทุกอาทิตย์ เอาสัตว์หิมพานต์มานั่งดูกันว่ามันคือตัวอะไร เทพคืออะไร ยักษ์คืออะไร อสูรคืออะไร เงือกคืออะไร แล้วสร้าง Culture ใหม่ยังไง จากนั้นค่อยๆ สเก็ตซ์กันออกมา เอามานั่งดูด้วยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเหมือนเกิดโรงเรียนขนาดย่อม ที่น้องทำงานมา เราตรวจ วิจารณ์ คอมเมนต์ และปรับแก้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 3 ปี

เห็นอะไรบ้างจากการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของงานในรอบ 3 ปีแรก

            ตอบยากจัง มันเหมือนเราอยู่กันทุกวันเราก็เลยไม่เห็นว่ามันเปลี่ยนแปลงยังไง เพราะมันโตของมันไปเรื่อยๆ เราปล่อยทุกอย่างตามธรรมชาติ ทีมงานจะโตแค่ไหนก็ปล่อยให้มันโต เราไม่ได้บังคับว่า เฮ้ย ทีมต้องโตนะเว๊ย ทีมต้องรีบโตแล้ว

การอยู่กับโปรเจกต์นี้มา 10 ปี ทำให้เห็นอะไรเป็นรูปเป็นร่างขึ้นบ้าง

            เปลี่ยนแปลงเยอะ ทั้งงานที่ทำด้วยกัน ทัศนคติ ทั้งในแง่สังคม การเมือง หรือความรัก ตัวตนเราก็เปลี่ยนเยอะ ที่เปลี่ยนหลักๆ ของงานไตรโลกาเลยก็คือความแฟนตาซี ตอนแรกมันแฟนตาซีกว่านี้ ตอนแรกมันมีเวทมนตร์คาถา แต่เราตัดออกหมดเลย จนมาถึงวันนี้ ไตรโลกาไม่เหลือเวทมนต์แล้ว เหลือแต่การเชื่อมโยงกันระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ และความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ เราให้ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติเป็น Magic ส่วนที่เหลือคือเรื่องจริง

ทำไมถึงตัดเรื่องเวทมนตร์ออก 

            เราว่ามันทำให้เราไขว้เขวในแก่น เพราะเราเชื่อเรื่องมนุษย์ เราอาจจะชอบเรื่องราวของพ่อมดแม่มด แต่เราไม่ได้เชื่อว่ามันมีอยู่จริง เราจึงอยากจะนำเสนอ ท่าทีของงานในแบบของเรา ที่อยากจะให้มนุษย์รู้สึกว่า ไม่ต้องมีอะไรมาเสกมนุษย์ก็ยิ่งใหญ่ได้

เล่าถึงภายในนิทรรศการ ให้ฟังแบบคร่าวๆ ได้ไหม

            เราได้ไปอ่านข้อเขียนของสมเด็จครู (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์) ว่า สัตว์หิมพานต์ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ในสมุดตำราสัตว์หิมพานต์ ก็เป็นสิ่งที่ช่างในยุคนั้นเขาประดิษฐ์ขึ้นมาเท่านั้น เป็นการผสมขึ้นมาให้มีจำนวนมากพอที่จะนำไปประดับสิ่งต่างๆ เรารู้สึกว่าช่างยุคนั้นเขาก็ทำงานเหมือนเราเพราะงั้นบางอย่างก็ไม่ใช่แม่บทเสียทีเดียว ไม่ใช่ทุกอย่างที่ต้องทำตาม เราก็สามารถพิจารณา วิเคราะห์ วิจารณ์ เลือกสิ่งที่เราอยากสื่อสารได้ นิทรรศการนี้เราถึงมีทั้งการวิเคราะห์ วิจารณ์ คัดเลือก และออกแบบในมุมมองของพวกเรา ซึ่งงานนี้เราอยากเขียนให้อยู่ในยุค Pre-History ที่ยังไม่มีประวัติศาสตร์ ยังไม่มีตำนาน เป็นยุคที่มีแค่คนกับคน จนทำให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ ที่ inspired คนรุ่นหลังต่อได้\

            ตัวนิทรรศการแบ่งเป็น 3 ส่วน มีราชสีห์ ครุฑ และยักษ์ เป็นสิ่งมีชีวิตในจักรวาลไตรโลกาที่เราคัดมาเพราะเราคิดว่า มันน่าจะเข้าถึงและสื่อสารได้ง่ายที่สุดแล้ว คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ เมื่อพูดถึงสัตว์เหล่านี้คำเดียวก็มีภาพในหัวขึ้นมา ตอนแรกคิดว่าจะทำสัตว์หิมพานต์แต่ว่าเรารู้สึกว่ามันเล็กยิบย่อยไป อย่างราชสีห์ แต่ละตัวมีคุณภาพและมีคำอธิบายอย่างชัดเจนอยู่ในไตรภูมิว่า มีสีอะไร ลักษณะเป็นอย่างไร กินอะไร เท้าเป็นอย่างไร พฤติกรรมเป็นแบบไหน ขนาดเท่าไร 

            นิทรรศการนี้เราใช้ Character Design เป็นตัวเล่า เพราะเรามองไตรโลกาที่เล่าผ่านมนุษย์ สิ่งที่สำคัญอย่างมากเลยคือ เรื่องของขนาดและการเปรียบเทียบกับมนุษย์ ให้คนไปยืนแล้วเราจินตนาการออกว่าเราตัวแค่ไหน เมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ มันทำให้เกิดความรู้สึกและอารมณ์ร่วมที่เข้าใจได้ง่ายกว่า

            อย่างเช่นเราไปยืนกับครุฑ เราจะรู้สึกว่า ถ้ามันกัดกู กูตายแน่ ถ้ามันเอามือตบ ก็คือตายเลย  ถ้าไปยืนกับราชสีห์ก็จะเห็นว่า เราเอาหัวเข้าไปในปากมันได้แทบทั้งตัวเลย หรือถ้าตัวไหนไม่กินเรา แต่มันตัวใหญ่ขนาดนี้ก็น่ากลัวอยู่ดี เราเทียบให้เห็นได้เพราะเราทำสเกล 1 ต่อ 1 เท่าขนาดจริงเลย ส่วน Detail อื่น ๆ ก็มีอีกเยอะ เราอยากให้ลองอ่านดู อยากให้มาที่นี่แล้วก็มายืนใช้เวลาอ่านกัน

ภาพ: TCDC

เท่าที่จัดนิทรรศการนี้มา มีผู้ชมเข้ามากน้อยแค่ไหน

            เยอะนะครับ ค่อนข้างคึกคักกว่าที่คิด เราเองก็ดีใจเพราะต้องบอกว่างานนี้เป็นการลงทุนของเราเองคนเดียว มีผู้ใหญ่หลายท่านมา แล้วก็บอกว่างานนี้มันบ้ามากเหมือนกันนะทำไมถึงไม่มี Return เราเลยบอกว่ามันมี Return นะ แต่อาจจะไม่ใช่ในระยะเวลาสั้นๆ หรืออาจจะไม่ใช่จุดคุ้มทุนแค่ 1-2 ปี เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็น Life Project ของเรา เพราะไตรโลกาจะเป็นโปรเจกต์ที่เราจะทำไปทั้งชีวิต

ทำไมถึงอยากทำมันไปเลยทั้งชีวิต

            คนเราพอเวลาเกิดมาชีวิตหนึ่งมักจะมีสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกว่าทำไปได้เรื่อยๆโดยไม่ได้ถึงคำนึงถึงคำว่าเบื่อ หรือว่ารู้สึกว่าหยุดคิดถึงมันไม่ได้ ซึ่งไตรโลกาสำหรับผมเป็นแบบนั้น เราคิดถึงมันตลอดเวลา เราเห็นอะไรรอบตัวก็นึกถึงและเอามาเทียบเคียง  เพราะอยากจะสร้างสตอรี่ให้มันสนุก และเข้ากับความเป็นวัฒนธรรมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้มากที่สุด

            อีกอย่างคือเราอิจฉาอังกฤษที่มี Tolkien เราอิจฉาอเมริกาที่มี Game of Thrones เราว่าเอเชียทำแบบนี้ไม่ค่อยเก่ง ทั้งๆ ที่ในสมัยโบราณเอเชียมันยิ่งใหญ่มาก แต่ทำไมยุคนี้มันขาดห้วงไป ความเป็น Epic Mind มันหายไปจากสังคมเราตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าความ Epic มันเอาไปใช้กับการ Propaganda (โฆษณาชวนเชื่อ) สำหรับชนชั้นปกครองเท่านั้น ไม่ได้โดนเอามาใช้เป็นอุปกรณ์เพื่อสั่งสอน

ภาพ: TCDC

            เรารู้สึกว่าตรงนี้สำคัญนะ แล้วถ้าเราเป็นคนที่เอาความ Epic กลับมาได้คงดี อย่างลิเกก็เล่นเรื่องเจ้าแต่เล่นในท่าทีที่น่ารัก เรารู้สึกว่ามันก็เจ๋งดี เราเลยเอาเรื่องเหล่านี้มาใช้ในไตรโลกา ที่คนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องสูง เรื่องยากและซับซ้อน แต่เราอยากทำให้คนปกติทั่วไปเข้าใจได้ ซึ่งเราก็พิสูจน์ใน exhibition แล้วว่า ที่นี่เด็กก็มาดูได้ ทุกคนสนุก บางคนวิ่งมาชี้ให้พ่อแม่ดูว่าชี้นี่คือครุฑ ทั้งๆที่เราไม่ได้บอกอะไรเลย เด็กอ่านไม่ออกนะ แต่ก็ถามว่าอันนี้ครุฑหรือเปล่า อันนี้ยักษ์หรือเปล่า ทศกัณฐ์หรือเปล่า เราว่ามันสื่อสารมากๆ และทรงพลังมาก ทั้งในแง่ของ Design ที่มีความ Global ซึ่งอีกสิ่งที่เราต้องการจะบอก คือการที่จริง ๆ แล้ว Design ไทยมันไม่จำเป็นต้องเป็นลายไทยเท่านั้น เพราะการทําลายไทยก็ไม่ได้แปลว่ามันอนุรักษ์บางสิ่งบางอย่างอยู่

            เราเขียนที่ห้องแรกว่า วัฒนธรรมที่ไม่โดนเอามาใช้เลยหรือเอามาใช้แบบโง่ๆ มันก็คือน้ำเน่าที่พร้อมที่จะเน่าแล้วก็หายไป เพราะส่วนตัวเราไม่ถือว่าการทำซ้ำเดิมเป็นการอนุรักษ์ แต่เป็นการยืดเวลาตายเท่านั้น ยกตัวอย่างคุณมีญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งที่คุณบอกว่าคุณรักมาก แต่คุณให้ออกซิเจนเขาแล้วก็ให้เขานอนพะงาบ ๆ อยู่ตรงนั้น กับอีกกรณีที่คุณพยายามเอาสิ่งที่ญาติผู้ใหญ่คนนั้นเคยเขียนตอนที่เขาเป็นหนุ่ม หยิบมาอ่าน แล้วเอาไปทำอะไรสักอย่างที่มีประโยชน์ ผมว่าผมทำอย่างหลังนะ

ภาพ: TCDC

มองปลายทางของไตรโลกาไว้แบบไหน

            ก็มีหลายอย่าง เรียกว่ามีหลายอย่างที่ให้เลือก หรือว่าเราเลือกเองไม่ได้ อาจต้องให้สภาวการณ์เป็นคนเลือก เพราะเราเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา เราไม่ได้เป็นคนเลือกทั้งหมดนะ มันมีทั้งเหตุบังเอิญ และมีโอกาสที่เกิดขึ้นระหว่างทางที่เราไม่ได้วางแผนไว้ก่อนเยอะมาก และน่าจะเกิดขึ้นแบบนี้ต่อไป ฉะนั้นปลายทางของ ไตรโลกามันยิ่งใหญ่แน่ แต่มันจะยิ่งใหญ่ไปแบบไหน

แล้วไตรโลกาสอนอะไรบ้าง

            สอนว่าไม่ต้องคิดนั่นนี่ให้เยอะ ถ้าเชื่อก็ทำไปเถอะ 

ในเมื่อชีวิตคือการทดลอง แล้วการทดลองสิ่งใหม่อยู่เสมอเป็นเรื่องที่ดีไหม

            เราไม่ให้ค่าคำว่าดีหรือไม่ดีแล้วกัน เรามองว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำ เพราะสุดท้ายแล้ว มนุษย์เป็นมนุษย์ได้เพราะเราได้ลองผิดลองถูก มนุษย์เจอไฟครั้งแรกเพราะว่ามนุษย์ลองผิดลองถูก ถ้าเราไม่ลองผิดลองถูกเราจะเจอไฟไหม เราจะมีเนื้อไม่ดิบกินกันแบบทุกวันนี้ไหม ก็คงไม่มี เพราะงั้นการทดลองมันควรเป็นทุกอย่างที่นำไปสู่ความเป็นไปได้ในสิ่งต่างๆ เลย

จำนวนมนุษย์ที่เราพบเจอมักเพิ่มขึ้นตามอายุขัยของเรา ชีวิตที่เดินทางมาจวบวันนี้ คุณได้เห็นอะไรจากมนุษย์บ้าง 

            มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเรียนรู้และเข้าใจมนุษย์ได้ทุกรูปแบบ เพราะในช่วงชีวิตเราสั้นเกินไป หรือต่อให้เราอายุยืนกว่านี้สัก 10 เท่า เราก็ไม่มีทางเรียนรู้ผู้คนได้ทั้งหมด เพราะเราอยู่ในพื้นที่เดียวของตัวเอง คำว่าจักรวาลที่เราใช้ในไตรโลกามันเลยสื่อถึงพื้นที่ที่เราอยู่ หรือพูดง่าย ๆ มันคือตัวเราที่ยังค้นคว้าตัวตนอยู่ เราไม่เชื่อว่าเราจะสามารถรู้จักมนุษย์ได้ครบทุกมิติ เพราะมันยังมีคนที่คิดและเชื่อต่างจากเราแบบสุดขั้วเยอะมาก ดังนั้นการที่คิดว่าเราเป็นมนุษย์กลุ่มเดียวในจักรวาลนั้นเป็นเรื่องผิดถนัดเลย

ถ้าชีวิตนี้ไม่มีศิลปะ คาดว่าตัวเองในตอนนี้จะเป็นคนแบบไหน

            ก็คงจะทำอย่างอื่นหากิน เพราะเราก็ทำอย่างอื่นได้เยอะแยะมากมายนอกจากวาดรูป เราอยู่กับความจริง เราไม่ได้ Fantasize ว่าทุกอย่างมันต้องต้องมีศิลปะ ถ้าไม่มีศิลปะแล้วจะตาย สมมติว่าเราไม่มีปัญญาวาดรูปจริงๆ หรือมือเรามันขาด 2 ข้าง เราก็คงหาทางทำอย่างอื่น แล้วก็ทำมาหากินไป

ขอขอบคุณ
TCDC

Contributors

Contributors

เด็กมนุษย์ฯ ผู้ชื่นชอบการออกไปเดินเที่ยวคนเดียว เอนจอยกับการเต้นและการกิน ปัจจุบันกำลังพยายามใช้ชีวิตแบบ Slow Life อยู่

นักเล่าเรื่องที่ใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมือและศรัทธาในพลังของงานเขียน ผู้ชอบตัวเองตอนนั่งสัมภาษณ์ผู้คนที่สุด