อีกครั้งที่ Rhythm ได้ไปเยือนตึกสูงใจกลางอโศกอย่าง GMM Grammy ประตูลิฟต์อันคุ้นเคยถูกเปิดออก พร้อมกลุ่มคนตรงหน้าที่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ย่อมดึงดูดสายตาผู้คนด้วยคอสตูม All Black สุดยูนีก หนึ่งในสมาชิกหันมาสบตาและทักทายเราอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะบอกให้เรารอสักครู่ เพราะสมาชิกอีกสี่คนกำลังเตรียมตัวในห้องรับรอง
กลุ่มคนสุดเท่ที่ทำให้เรามาเยือนตึก GMM Gramy ในวันนี้คือ Hard Boy โดยมีสมาชิกห้าคน คือ ภีร์-ภีรพัฒน์ ผู้พัฒน์ (ร้องนำ), ฟลุ๊ค-ศุภกร กรินชัย (กีตาร์), ต้อม-นุกูล แช่มประเสริฐ (เบส), ภู-พฤกษ์ไพบูลย์ (คีย์บอร์ด) และ เล้ง-ธนัช ธเนศจินดารัตน์ (กลอง)
วงร็อกที่ก้าวข้ามกระแส Pop culture สู่ความสำเร็จที่สร้างพลังให้ใครหลายๆคน เสียงดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์และการแสดงออกถึงความเป็น “ตัวตน” ทำให้เส้นทางของวงดนตรีร็อกอย่างวง Hard Boy กลายเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในปี 2021
และอีกหลายๆ ผลงานที่น่าสนใจในปีถัดมา เราเชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่คุ้นหูกับชื่อของวง Hard Boy เท่าไรนัก แต่เสียงดนตรีที่มีพลังได้ถูกนำเสนอผ่านบทเพลงต่างๆ อาจทำให้ใครหลายๆคนคงเคยคุ้นหูกันมาบ้าง
คอลัมน์ดนตรีนั้นคือชีวิตรอบนี้ จึงอยากพาทุกคนมาเปิดโลกกับวงสไตล์ Glam Rock และมารู้จักเส้นทางของคนดนตรีของ Hard Boy ให้มากขึ้นผ่านบทความนี้ไปด้วยกัน

ทั้งวงมาเจอกันได้ยังยังไง?
ภู : เริ่มมาจากผมกับมือกีตาร์ (ฟลุ๊ค) เคยอยู่โรงเรียนเดียวกันมาก่อน อายุห่างกันประมาณหนึ่งโหล ประมาณ 10-12 ปีครับ เราได้เล่นดนตรีที่งานคืนสู่เหย้าที่โรงเรียนเก่าด้วยกัน ช่วงนั้นเราก็ทำวงอยู่กับมือกลองคนก่อนหน้า เขาก็แนะนำเพื่อนคนหนึ่งทำช่องยูทูบอยู่ เป็นคนที่เสียงสูงปรี๊ดเลย(หัวเราะ) เราเลยได้รู้จักกับพี่ภีร์และชวนมาร้องเพลงด้วยกันครับ
ภีร์ : มือกลองคนแรกชื่อทอม เขากับผมเคยเรียนที่เดียวกัน เขาติดต่อมาถามว่าผมอยากทำวงและสนใจร้องเพลงด้วยกันไหม ผมก็เลยถามเขาไปว่า เขาทำวงที่ร้องเพลงประมาณไหน เพราะมีเพลงหนึ่งที่ผมชอบมากๆ อย่างเพลง Painkiller ของ Judas Priest ทอมเลยบอกผมว่าจะเล่นเพลงนี้ด้วย ผมก็เลยไม่ลังเลที่จะตอบตกลงไป หลังจากนั้นก็ทําวง เล่นกลางคืน มาเรื่อยๆ แล้วจึงได้มาเจอกับพี่ต้อมและเล้งภายหลังครับ พอวงเดินทางมาเรื่อยๆ ก็ต้องเกิดการเปลี่ยนสมาชิกบ้าง ซึ่งพอได้เจอพี่ต้อมแล้วถูกใจก็เลยจีบเขามาร่วมวงกัน ส่วนเล้งในตอนแรกเขาไม่ยอมมาร่วมวงนะครับ (หัวเราะ) แต่อาจารย์สอนกีตาร์ของฟลุ๊คเขาก็ทาบทามและไปคุยมาให้
เล้ง : ตอนนั้นเรายังไม่รู้จักใคร บวกกับที่เราเองก็มีงานเยอะด้วย ตอนนั้นเลยยังไม่ได้ตกลงปลงใจจะร่วมวง แต่พอรุ่นพี่ที่เขาเป็นอาจารย์สอนกีตาร์ของฟลุ๊คมาแนะนำว่า ให้ผมลองเล่นกับวง สุดท้ายก็เลยได้มาเจอกับวง Hard Boy ตอนนั้นครับ
นิยามของวง Hard Boy มาจากอะไร?
ภีร์ : เราทำวงและเล่นดนตรีกลางคืนมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่มีชื่อวงกันเลย เราเลยมาคิดกันว่าจะตั้งชื่ออะไรดี ซึ่งเราก็มานั่งคิดตั้งแต่สไตล์การเล่นดนตรีของเรา อย่าง Hard rock ,Hair band เราเลยอยากได้คำง่ายๆ เข้าใจง่าย สะกดง่าย และติดหู เราเสนอกันมาหลายชื่อเหมือนกันครับ สุดท้ายมันมีคำหนึ่งเข้ามาในหัวคือ Hard และ Boy ซึ่งตามหลักภาษาเราก็ไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร แต่คำนี้โคตรดูเกเร ฟังดูกร้าวใจดีครับ
ผมชอบคำนี้มาก เพราะวงยังไม่ได้ตกลงกันว่าจะเอาชื่อนี้ แต่ผมไปสักคำว่า Hard Boy ลงตัวแล้ว(หัวเราะ) เพราะคำนี้เป็นคำที่ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะแบกคำว่า Hard Boy ไปจนตาย ต่อให้ไม่ได้ใช้เป็นชื่อวงก็ตามครับ
ทำไมถึงนิยามสไตล์ของวงว่า Glam rock?
ภีร์ : ตอนนั้นเราเล่นดนตรียุค 80 สไตล์เพลงแบบ Hard rock, Heavy, Hair band กันอยู่แล้ว เราเลยอยากหาคอนเซปต์ที่แตกต่าง ซึ่งฟลุ๊คเป็นคนที่ฟังเพลงเยอะอยู่แล้ว และรู้จักวงดนตรีหลากหลายวง ฟลุ๊คเลยเอาสไตล์เพลงเหล่านี้มาให้ผมดู และผมเองก็ชอบ เพราะด้วยเราเป็นคนชอบแต่งตัวแต่งหน้าอยู่แล้ว สไตล์ Glam Rock จึงเข้ากับเรามากๆ ผมเลยรู้สึกสนใจสไตล์นี้ครับ
อีกอย่างคำว่า Glam มันไม่ใช่ดนตรี Glam แต่เป็นแฟชัน แอตติจูดและการแสดงออกถึงตัวตนครับ เพราะดนตรีจะเป็นอะไรก็ได้
คิดว่าคนไทยรู้จัก Glam rock มากน้อยแค่ไหน?
พี่ภีร์ : ตอนที่เราทำตอนแรก เราไม่รู้นะครับว่าคนรู้จักเยอะรู้จักน้อยแค่ไหน แต่พอเราทำแล้ว เริ่มมีคนมาคอมเมนต์คำว่า “Glam rock” เต็มไปหมดเลย เราก็เลยเห็นว่ามีคนชอบแนวนี้เยอะเหมือนกัน และยังทำให้คนนึกถึงศิลปินที่เขาชอบหรือศิลปินที่เขาเคยฟังในอดีต เราเองก็รู้สึกดีใจที่ทำให้เขาได้รู้สึกหวนระลึกถึงวันเก่าๆ ที่เขาชอบครับ
ความเป็น Glam rock ของแต่ละคนเป็นแบบไหน?
ฟลุ๊ค : ในแบบของผมนะ ผมใช้ความน่าดึงดูดด้วยการสวมใส่ชุดหนัง อาจจะไม่ได้แต่งหน้าในสไตล์แฟชั่นแบบผู้หญิง เพราะ Glam ทำได้หลายอย่างครับ Glam คือคำย่อที่มาจากคำว่า Glamourous ซึ่งแปลว่าน่าดึงดูด ฉะนั้นเราจะดึงดูดสายตาเขาจากทางไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ทรงผม รูปร่าง หรือการแต่งตัว Glam ในแบบของผมจึงเน้นไปทางเรื่องการแต่งตัวเสียมากกว่า ผมไม่ได้เน้นการแต่งหน้าเท่าพี่ภีร์ครับ
ภู : Glamourous มันคือความเจิดจรัส เหมือนอัญมณี เพชรนิลจินดา พอไปอยู่บนเวที จะส่องแสงท่ามกลางแสงสว่าง อย่างที่เราเห็นศิลปินแสดงอยู่บนเวทีแล้วสปอตไลท์ส่องลงมา มีแสงวิบวับเต็มไปหมด มันคือ Glamourous แบบนั้นเลยครับ
เล้ง : Glam สำหรับผมคือการกระทำครับ ไม่ว่าจะการแต่งตัวด้วยแฟชันที่จัดจ้านแบบใส่เต็ม หรือไม่ว่าจะแสดงออกถึงความเป็น Glam ผ่านการเล่นดนตรีแบบเต็มที่ การทำทุกอย่างแบบจัดเต็มสำหรับผมคือความ Glam ครับ

คำว่า “ตัวตน” มีความหมายยังไงกับวง Hard Boy?
ภีร์ : ตัวตนคือแก่น เป็นสิ่งที่อธิบายว่าใครเป็นใคร ทำให้เราแตกต่างจากคนอื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ สำคัญที่สุดสำหรับผมครับ
เล้ง : สำหรับผม ตัวตนต้องเริ่มจากการช่างเลือกก่อน เพราะตัวตนเราจริงๆคือความว่างเปล่า ที่เหลือต้องรับสารต่างๆ เข้ามาในชีวิตของเราเองเพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วถ้าเราเลือกรับสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งเหล่านั้นก็จะแสดงออกมาเป็นตัวตนของเราครับ
ภู : ตัวตนคือสิ่งที่เราเสพ เป็นสิ่งที่เกิดจากทุกอย่างรอบตัวที่ทำให้เป็นเราทุกวันนี้ ผมคิดว่า Hard Boy คือสิ่งที่เราแสดงออกมา ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกบนสื่อต่างๆ หรือการแสดงบนคอนเสิร์ตของเรา นั่นคือสิ่งที่เล่าผ่านประสบการณ์ที่เราประสบมาทั้งชีวิตและอยากเล่าสู่กันฟังแด่คนรอบข้าง คนที่เรารัก หรือคนดูที่เขาอยากสนับสนุนเราครับ
ถ้าให้ลองสร้าง Model ขึ้นมา Hard Boy จะมีคาแรกเตอร์แบบไหน?
ภีร์ : โอ้โห เราไม่สามารถสร้าง Hard Boy ออกมาเป็นคนๆ เดียวได้ครับ
สุดท้ายก็จะเป็นโมเดลที่ออกมาห้าตัวอยู่ดี ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีของวงเรา เพราะเราไม่ค่อยเห็นอะไรเหมือนๆกัน ตรงนี้ทำให้ผลงานที่ออกมาหรือสิ่งที่สื่อสารออกไปมันเกิดการผสมผสาน เกิดการเคลื่อนไหว ไม่ใช่อะไรที่นิ่งหรือเป็นของตายครับ
ภู : คือวงเรามันเหมือนขบวนการห้าสีเนอะ แต่ละคนก็จะมีคาแรกเตอร์เป็นของตัวเอง พอมาอยู่เป็นทีมเดียวกัน ต่างคนต่างไม่สามารถอยู่แยกกันได้ เหมือนพลังมิตรภาพครับ
ภีร์ : แล้วรวมกันเป็นสีอะไร
ภู : ก็จะเป็นหุ่นยักษ์ใหญ่ที่เอาห้าชิ้นหลายสีมาต่อกันครับ (ทุกคนหัวเราะ)
หลังเข้ามาอยู่ค่าย GeneLab คิดว่าวง Hard Boy เปลี่ยนไปยังไง?
ภีร์ : ถ้าพูดถึงผลงานที่ผ่านมา เพลงเผยเป็นซิงเกิลที่แปดของพวกเราแล้วครับ ก่อนเข้าค่ายกับหลังเข้าค่ายมีทั้งส่วนที่เปลี่ยนและไม่เปลี่ยนครับ ส่วนที่ไม่เปลี่ยนคือ ทุกอย่างในเพลงยังคงถูกถ่ายทอดจากพวกเราจริงๆ ในทุก process
ส่วนสิ่งที่ต่างออกไปคือ เรามีเงินมากขึ้นครับ (หัวเราะ) ค่าย GeneLab เป็นค่ายที่เขาให้เราริเริ่มคิดและตัดสินใจเองครับ เรามีอิสระในการทำงาน ทางค่ายจะไม่ห้ามให้เราทำในสิ่งที่เราอยากทำ ซึ่งสิ่งที่แตกต่างไปอาจจะเป็นเรื่องการได้รับการสนับสนุนจากทางค่ายครับ แต่เราสัญญามาตลอดว่าสิ่งที่ทุกคนจะได้ฟัง คือสิ่งที่ออกมาจากพวกเราทั้งห้าคนเสมอ อาจจะเป็นมุมที่คุณเคยเห็นและไม่เคยเห็น แต่ทุกอย่างในผลงานล้วนออกมาจากพวกเราแน่นอนครับ
เพลง เผย ต่างจากผลงานอื่นๆยังไงบ้าง?
ภีร์ : แตกต่างชนิดที่ว่าพลิกไปจากผลงานก่อนๆ เลยครับ เพราะเพลงนี้เราใช้ดนตรีออร์เคสตราเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเดิมทีเราเคยใส่ทำนองออร์เคสตราไว้ในเพลงอื่นบ้าง แต่ไม่เคยให้บทบาทออร์เคสตรามากขนาดนี้ ซึ่งตรงนี้ต้องให้เครดิตภู เพราะภูเป็นคนเรียบเรียงในส่วนของทำนองออร์เคสตราเลยครับ
ภู : Hard Boy พยายามทดลองสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลาครับ เพื่อที่จะค้นหาว่ามีอะไรที่เรายังไม่เคยทำบ้าง อย่างในส่วนของออร์เคสตราก็เป็นสิ่งที่เราอยากทำมานาน แต่ยังไม่เคยได้ลองทำแบบจริงจัง และเราเองก็ได้เห็นผลงานภายในค่ายอย่าง พี่แม็ก – The Darkest Romance หรืออย่างรุ่นพี่วง Cocktail เขาได้ทำผลงานที่ได้อลังการด้วยการใช้ออร์เคสตรา เป็นสิ่งที่สื่ออารมณ์ของเพลงออกมา และเราก็อยากจะความรู้สึกของพวกเราลงไปในบทเพลงมากที่สุด ดังนั้นเพลงเผยจึงเลือกใช้ออร์เคสตราเข้ามาสื่อสารอารมณ์ของพวกเราครับ
ภีร์ : เพลงนี้แต่งมาจากของชีวิตผมเลยครับ เป็นการเล่าเรื่องราวของการถูกสังคมกดทับ การถูกเหยียด การต่อสู้เพื่อที่จะได้เป็นตัวเอง นี่คือหนังชีวิต ผมเลยต้องการให้ออร์เคสตรามันยิ่งใหญ่ และผมเองก็ได้ยินเสียงออร์เคสตราตลอดเวลาที่เขียนเพลงนี้ด้วย
เล้ง : อีกความต่างคือในเพลงของเราเริ่มมีคำแสลงอยู่บ้าง ซึ่งเราไม่เคยทำมาก่อน ในแปดเพลงที่ทำมา เราไม่มีเคยใส่คำแสลงหรือคำที่แรงๆ เลย แต่เพลงนี้แอบมีอยู่บ้าง อย่าลืมไปลองฟังกันนะครับ
แล้วคำแสลงในเพลง “เผย” เกิดมาได้ยังไง?
ภีร์ : ตอนนั้นคำแสลงนี้มากับโน๊ตนี้เลยครับ เป็นสัมผัสคำที่ผมเขียนแล้วมันลงท้ายด้วยเสียง “อาย” หมดเลย ซึ่งโน๊ตนี้เสียงไม่ได้สูงขนาดนั้น ผมเลยต้องหาอะไรที่มันลงท้ายคล้ายคำว่าอาย ซึ่งมาจบอยู่ที่คำว่า “ไอ้พวกควาย” ครับ เพราะมันเป็นคำแรกที่เรานึกถึงด้วย แถมยังเป็นคำที่เราคิดออกมาด้วยอารมณ์ตรงนั้นจริงๆ
เล้ง : คงเป็นอารมณ์ที่เราก็อยากด่าใครสักคนเนอะ (ทุกคนหัวเราะ) เพราะเพลงเผยสร้างมาจากเวลาที่คุณโดนปัญหาหลายๆ อย่างเข้ามารุมเร้า อย่างน้อยขั้นแรกของการเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้นคือเราต้องด่าก่อน ขั้นต่อไปค่อยมาว่ากันอีกที
อยากให้คนฟังเพลงเผยได้รับรู้ถึงความรู้สึกแบบไหน?
ภีร์ : มีสองกลุ่มนะ กลุ่มแรกคือกลุ่มที่ทุกวันนี้เขาได้ต่อสู้จนเป็นตัวเองแล้ว ผมอยากให้คนกลุ่มนั้นฟังแล้วรู้สึกภูมิใจครับ ผมเชื่อว่าในประเทศไทยหรือในโลกนี้มีคนเป็นอย่างผมอยู่เยอะมาก น้อยมากที่คนเราจะกล้าและสามารถเป็นตัวเองได้เลยในทันที แต่การเป็นตัวเองได้ของทุกคน ย่อมผ่านการทำอะไรอย่างหนักมาเพื่อที่จะมีวันนี้ เพื่อที่คุณได้เป็นตัวเอง
แล้วก็คนอีกกลุ่มหนึ่งครับ ที่วันนี้ยังไม่ได้เปิดเผยตัวตนให้โลกรู้ ซึ่งผมก็เคยอยู่ในจุดที่เรายังเป็นตัวเองไม่ได้ ยังต้องทำตัวเหมือนคนอื่นๆ เพื่ออยู่ในสังคม อยากให้กำลังใจว่า วันหนึ่งถ้าเราทำในสิ่งที่เรารักมากพอจนเริ่มมีคนยอมรับ จึงเริ่มเห็นถึงความสำเร็จ อย่างที่บอกไปว่า คำว่าตัวตนคือความแตกต่าง จงภูมิใจในสิ่งที่คุณเป็น แล้วจงเปิดเผยมันออกมาครับ
จากกระแสตอบรับเพลงเผยที่ดีจนเป็นไวรัลใน TikTok หลายคอมเมนต์มองว่าวง Hard Boy Stand for Lgbtqian+ ด้วยหรือเปล่า?
ภีร์ : ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเรื่องเส้นแบ่งระหว่างเพศอยู่แล้ว สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ควรจะหายไป ไม่ควรต้องมีใครมานิยามว่าเพศไหนทำอะไรไม่ได้ ถ้าเพลงนี้เข้าไปอยู่ในใจพวกเขาได้ เราจะรู้สึกยินดีแล้วก็ขอบคุณมากๆเลยครับ
แต่ละคนมีศิลปินที่ชื่นชอบไหม?
ต้อม : ของผม “24 ปี เสกโลโซ” ที่เป็นจุดตั้งต้นที่ทำให้มีชีวิตดนตรีถึงทุกวันนี้ครับ
ฟลุ๊ค : ผมก็ชอบพี่เสกโลโซร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ
ภีร์ : สำหรับผมศิลปินในดวงใจ Freddie Mercury (Queen) ครับ
ภู : ของผมเป็น Yoshiki (X Japan) ครับ
เล้ง : ผมชอบพี่กบ Big Ass เพราะเขามีความสามารถทั้งการเขียนเพลง ร้องเพลง และตีกลอง เข้าใจคำว่าดนตรีโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีอะไรที่หวือหวา พี่กบตอบโจทย์ของคำว่าดนตรีอย่างแท้จริงได้หมดเลยครับ
ดนตรีมีอิทธิพลยังไงกับชีวิตของ Hard Boy?
ฟลุ๊ค : ดนตรีอยู่กับผมมาตลอดตั้งแต่จำความได้ ดนตรีอยู่กับผมตั้งแต่ยังพูดเป็นคำไม่ชัด แต่ดันร้องเพลงอมพระมาพูดได้แล้ว ช่วงประมาณประถมฯ ผมได้เริ่มเล่นกีตาร์ แม่ก็ส่งไปเรียนกีตาร์คลาสสิก จนวัยมัธยมก็ได้เข้ามาอยู่โรงเรียนเดียวกันกับพี่เล้งครับ
จากนั้นช่วงมัธยมต้น เรียกได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ มีทางให้เราไปได้เยอะมากเลย ทั้งทางที่ดีและไม่ดี มีแค่ดนตรีที่พาเราตรงดิ่งไปตามแพสชันที่เราอยากเก่ง อยากมีวงดีๆ อยากเป็นกีตาร์โซโล่ตามไอดอลของเรา อย่าง Van Halen และพี่เสก โลโซครับ
ต้อม : ต้องบอกว่าผมเติบโตมากึ่งกำพร้า และด้วยชีวิตวัยเด็กของผมในโรงเรียนประจำที่ไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้น แต่โชคดีที่มีดนตรี ทำให้ผมใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นได้ ทุกวันนี้ดนตรีคือลมหายใจ ถ้าไม่มีดนตรี ก็อาจไม่มีผมในวันนี้ครับ
เล้ง : ของผมคล้ายๆ พี่ต้อมเลย ผมเริ่มเล่นดนตรีตอนอายุประมาณ 13-14 ปี ช่วงประมาณมัธยมต้น ผมเกเรมากครับ แต่โชคดีที่ได้เจอกับกลุ่มเพื่อนที่พาผมไปซ้อมดนตรี ผมเลยมีโอกาสไปนั่งดูเขาซ้อมและได้ลองตีกลอง กลายเป็นว่าผมตีได้เฉยเลย หลังจากวันนั้นชีวิตผมเปลี่ยนเลย ถ้าไม่ได้เล่นดนตรีน่าจะแย่กว่านี้ ผมก็เลยเล่นดนตรีมาตลอดครับ
ภีร์ : ผมคล้ายกับพี่ต้อมและเล้ง ดนตรีช่วยชีวิตไว้เยอะเหมือนกันจากช่วงชีวิตวัยเด็กที่ไม่ดี เราเลยหาที่พึ่ง แล้วโชคดีที่เราเจอเพลงร็อกที่ชอบ ฟังแล้วได้อยู่กับตัวเอง ได้ระบายอารมณ์และปลดปล่อยไปกับมันทำให้มีสมาธิ ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเราไม่เจอดนตรีเราจะไปทางไหน เพราะตอนนี้มันกลายเป็นชีวิตและสิ่งที่ผมกับวงอยากส่งมอบต่อให้กับคนผู้ฟังครับ
ภู : ดนตรีมันคือภาษาที่ไร้พรมแดนสำหรับผม อาจารย์คนแรกของผมเป็นคนประเทศคอสตาริกา แกเป็นอาจารย์ที่สอนดีมาก ทำให้ตอนนั้นผมเริ่มมาสนใจและรักดนตรี ผมจึงอยากสืบทอดสิ่งอาจารย์มอบให้ เพราะอาจารย์ฝันอยากจะเปิดพิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรีที่ประเทศคอสตาริกา และเดินสายสอนดนตรีแก่ประเทศที่ยังไม่ได้มีความรู้ทางด้านดนตรี ทำให้เราซึมซับตรงนั้นมาว่า ผมเองก็อยากจะมอบเสียงดนตรีให้ใครสักคน
ดนตรีเป็นภาษาที่ Universal สื่อกับใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนละชนชาติกัน หรือคนละวัยกัน แต่เรายังเล่นดนตรีด้วยกันได้ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าดนตรีสามารถเชื่อมโยงผู้คนได้ เป็นศาสตร์หนึ่งที่น่าสนใจ เป็นภาษาที่แข็งแกร่งและสวยงามมาก เยียวยาจากคนหนึ่งที่เขาล้มลงไปแล้วให้เขากลับขึ้นมายืนได้ครับ

วาดภาพฝันกับ Hard boy ไว้ยังไงบ้าง?
เล้ง : มีรูปปั้นกลางสี่แยกครับ เพราะในประเทศไทยมันเป็นอะไรที่ยากที่เราจะมีรูปปั้นเป็นของตัวเองได้ ผมเคยไปเที่ยวเมืองยอร์คจากาตาร์ ประเทศอินโดนีเซีย แล้วเห็นรูปปั้นอยู่ทุกสี่แยกเลย เขาบอกว่ามันเป็นวัฒนธรรมของบ้านเขา แค่เป็นคนดีหรือคนที่เจ๋งมากๆ ก็มีรูปปั้นเป็นของตัวเองได้ การมีรูปปั้นของตัวเองคือความฝันของผมเลยครับ
ภีร์ : ตอนแรกผมมีความฝันของผมยิ่งใหญ่มากเลยนะ แต่ความฝันเร่งด่วนของผมตอนนี้คือ ปั้นรูปปั้นให้เล้งครับ (ทุกคนหัวเราะ)
สำหรับผมแล้ว Hard boy และเพลงของพวกเราคือ สิ่งที่เราอยากทิ้งไว้เมื่อพวกเราไม่อยู่แล้ว อยากให้เป็นสิ่งที่คนยังจดจำและยังพูดถึงไปตราบนานชั่วนาน ผมไม่รู้ว่าฟีดแบกของแต่ละเพลงแต่ละชุดที่ผ่านมาในอนาคตจะเป็นยังไง แต่เราอยากสร้างตำนานที่เป็นอมตะทิ้งไว้ เป็นสิ่งที่คนยังนึกถึงและส่งต่อให้คนรุ่นถัดไป เหมือนศิลปินที่เราชอบเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ที่ทุกวันนี้เราก็ยังฟังเพลงเขาก็ยังอยู่ครับ
ภู : ถ้าส่งต่อแล้วทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ วงใหม่ๆ แล้วเขาเป็นเหมือนเราในตอนนี้ ผมว่ามันเป็นสิ่งที่พิเศษมากเลยนะ สิ่งที่เราสามารถมอบให้กับคนรุ่นถัดไปได้ เป็น Hard Boy รุ่นถัดไป เราก็ยินดีกับคุณด้วยนะครับ
ฟลุ๊ค : ภาพฝันของผม มันอาจจะฟังดูไกลเกินไปหน่อยนะครับ แต่ผมอยากมีศักยภาพเวิลด์ทัวร์ไปได้หลายประเทศ ได้ไปตามงานเฟสติวัลต่างๆ อยากมีโอกาสไปพิมพ์มือใน Hollywood Walk Hall of Frame ที่ลอสแองเจลิส ผมมองว่าสิ่งนี้โคตรสุดยอดเลยครับ
ต้อม : ความฝันของผม คืออยากเห็น Hard Boy ในเรื่องของการซัพพอร์ตผู้คนครับ เพราะการซัพพอร์ตที่ต่างวิถีกันนั้นหายาก การมีวงดนตรีที่ผ่านอะไรหลายๆ อย่างมาจนถึงจุดนี้ได้ เปรียบเสมือนเป็นพื้นที่ซัพพอร์ตที่หาได้ยากอีกที่หนึ่งบนโลกใบนี้ครับ