เราขอเริ่มบทความนี้ด้วยคำถามหมัดฮุกตรงๆ เลย
คุณเข้าใจ “ความพิการ” ดีแค่ไหน
ต้องยอมรับก่อนว่าสังคมไทยขัดเกลาและสร้างมายาคติด้านคนพิการให้เกิดภาพลักษณ์ที่เราเห็นและเป็นอย่างทุกวันนี้ ทั้งการยัดเยียดความน่าสงสาร การตีตราผู้พิการด้วยบาปกรรม หรือการให้ความเข้าใจแบบผิดๆ กับสังคมจนเรามีเลนส์ซึ่งมองคนพิการผิดเพี้ยนไปโดยสิ้นเชิง
ซึ่งจากวิธีคิดที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นี้ ระยะหลังมานี้จึงมีเสียงจากคนพิการออกมาพูดกับสังคมอยู่เป็นประจำว่าแท้ที่จริงแล้ว คนพิการก็คือคนๆ หนึ่งที่มีศักดิ์ มีศรี มีศักยภาพเทียบเท่ากับมนุษย์ปกติธรรมดาคนหนึ่ง
และที่ต้องย้ำหนักๆ เลยคือ พวกเขาก็มีหัวใจ
เหล่านี้จึงเป็นที่มาของแตกต่างเดียวกัน ชุดการ์ตูนว่าด้วยการทำความเข้าใจคนพิการผ่านลายเส้นน่ารักๆ สตอรี่ที่ตรงไปตรงมา และทำให้เราเข้าใจภาพของคนพิการได้ดีขึ้น
ในฐานะที่ Rhythm มีส่วนร่วมเล็กๆ กับโปรเจคต์นี้ เราจึงได้โอกาสพิเศษเพื่อส่องดราฟต์แรกของแตกต่างเดียวกันจากอาจารย์ก้อย-ผศ.จิรภัทร กิตติวรากูล อาจารย์ประจำสาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ หนึ่งในเรี่ยวแรงสำคัญของโครงการนี้
เราจะไปสำรวจวิธีคิดของโครงการนี้ ที่มีทั้งการส่งสารให้คนทั่วไปเข้าใจความพิการแบบปราศจากการตีตรา การสื่อสารให้คนเข้าใจถึงความพิการอย่างแท้จริง
ซึ่งมันจะนำไปสู่บทสรุปที่ว่า ต่อให้เราแตกต่างกันที่สภาพร่างกาย แต่เราก็ยังเป็นคนที่มีหัวใจในแบบเดียวกัน


“วัฒนธรรมความพิการ”
คือคำว่า “วัฒนธรรม” หมายถึง สิ่งที่เรายึดถือปฏิบัติกันมานานนะคะ วัฒนธรรมความพิการ ก็คือสิ่งที่ผู้คนปฏิบัติต่อคนพิการมาอย่างยาวนาน นานจนกลายเป็นวัฒนธรรมน่ะค่ะ มันมีชุดความคิดอยู่ 3 แบบ หรือ 3 มุมมอง ที่ทำให้เราปฏิบัติต่อคนพิการแตกต่างกัน มุมมองแรกคือ มุมมองทางความเชื่อหรือทางศาสนา ถ้ามองคนพิการด้วยมุมมองนี้ เราก็จะคิดว่าเค้าพิการเพราะเป็นเวรกรรมแต่ชาติปางก่อน คนพิการเป็นคนบาป คนที่มองแบบนี้ก็จะคิดว่า การทำอะไรก็ตามให้กับคนพิการคือการทำบุญ หนักไปกว่านั้น เราอาจจะเคยได้ยินว่า มีบางความเชื่อของบางชนเผ่า มีแนวปฏิบัติว่า ถ้าลูกเกิดมาพิการต้องฆ่าทิ้ง เพราะเค้ามองว่าคือความโชคร้ายมากๆ
มุมมองที่สองคือ มุมมองทางการแพทย์ค่ะ พอวิวัฒนาการทางการแพทย์ดีขึ้น ก็เริ่มมองว่าคนพิการคือคนป่วย ต้องรักษาให้หายถึงจะออกสู่โลกกว้างได้ นั่นแปลว่าคนที่พิการตลอดชีวิต ก็จะไม่สามารถออกสู่โลกกว้างได้ตลอดไป มุมมองแบบนี้ทำให้เกิดการ “แยก” คนพิการออกจากสังคมค่ะ เพราะคิดว่าแยกออกไปก่อน พอหายแล้วค่อยกลับเข้ามา อาจแยกให้อยู่ในสถานพยาบาล แยกให้อยู่ในโรงเรียนเฉพาะทาง ยิ่งการแยกให้อยู่โรงเรียนเฉพาะทางนี่ยิ่งทำให้เกิดปัญหานะคะ เพราะไม่ทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันเลยค่ะ พอจบจากโรงเรียนไปอยู่บ้าน ก็ทำตัวไม่ถูก พ่อแม่ก็งง ลูกที่พิการก็งง ไม่รู้จะทำอะไรที่บ้าน

สองมุมมองนี้ ทำให้เกิดการมองคนพิการว่า “น่าสงสาร” ต้องการคนดูแล ตัดสินใจเองไม่ได้ เกิดการคิดแทน ตัดสินใจแทน และก็เลือกปฏิบัติ แล้วก็มีมุมมองที่สามคือ “มุมมองทางสังคม” ค่ะ มุมมองนี้ให้มองคนพิการเกี่ยวเนื่องกับสิทธิมนุษยชน จริงๆ ไม่ใช่แค่คนพิการนะคะ ไม่ว่าจะเป็นคนผิวดำ ชนเผ่า เพศทางเลือก หรือความหลากหลายอื่นก็เช่นกัน ถ้าเรามองเค้าแบบเชิงสังคมก็จะเห็นว่าเค้าก็คือ “คน” ค่ะ เป็นคนที่มีสิทธิเสรีภาพ เป็นพลเมืองของรัฐนั้นๆ เหมือนคนอื่นๆ จึงควรได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานที่พลเมืองคนหนึ่งควรจะได้ คือได้ใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นๆ น่ะค่ะ แต่คนพิการออกไปไม่ได้ เพราะไม่มีทางลาด ไม่มีลิฟท์ ไม่มีที่จอดรถ ขึ้นรถเมล์ไม่ได้ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น ถ้ามี คนพิการก็จะไปไหนมาไหนเองได้ ได้ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์คนอื่นๆ ค่ะ
ทั้ง 3 มุมมอง ไม่มีมุมมองไหนผิดหรือถูกค่ะ แต่มันทำให้เกิดการปฏิบัติต่อคนพิการแตกต่างกัน สำหรับการ์ตูนของเรา ก็อยากจะเน้นและชวนให้มองคนพิการด้วยมุมมองที่ 3 เพราะมุมมองที่ 1 กับ 2 มันฝังรากลึกมายาวนาน และเราก็เห็นแล้วว่า มุมมองนั้นมันทำให้เกิดปัญหาเรื้อรัง แล้วก็พิสูจน์แล้วในหลายประเทศที่เค้ามองคนพิการด้วยมุมมองที่ 3 มุมมองเชิงสังคม แล้วทำให้ปัญหาลดลง คนพิการไม่เป็นภาระให้ใคร แถมยังสามารถทำประโยชน์ให้ส่วนรวมได้อีกมากมายเลยค่ะ การ์ตูนของเราก็เลยอยากเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างวัฒนธรรมความพิการในมุมมองเชิงสังคมให้มากขึ้นนั่นเองค่ะ

มีกฎหมายก็ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะดี
คือประเทศไทยของเรามีกฎหมาย พระราชบัญญัติ ประกาศ ระเบียบต่างๆ ที่เอื้อเฟื้อต่อคนพิการค่อนข้างมาก เรียกว่าดีมากเลยนะคะ แต่ปัญหาหนึ่งที่ยังมีอยู่ก็คือ กฎหมายโอเค แต่ในทางปฏิบัติมันไม่เกิดน่ะ ไม่ต่างกับกฎหมายอื่นๆ ค่ะ เช่น กฎหมายกำหนดให้ทุกคนที่นั่งในรถยนต์คาดเข็มขัดนิรภัย แต่ก็ยังมีคนส่วนมากที่นั่งเบาะหลังจะไม่ค่อยคาดกัน ก็เหมือนกันค่ะ มีกฎกระทรวงกำหนดให้อาคารมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพ และคนชรา มาตั้งแต่ปี 2548 มีตัวเลขกำหนดไว้ชัดเจนหมดเลยค่ะ แต่ทางลาดเอียดในประเทศนี้เป็นแบบนี้ไม่กี่ตึกเองค่ะ ซึ่งพอไม่ทำก็ไม่เป็นไรไง ก็ไม่ต้องทำก็ได้ อีกปัญหาหนึ่งก็คือ มีกฎหมายแล้ว มีการปฏิบัติแล้ว แต่กลับปฏิบัติด้วยฐานคิดหรือมุมมองเชิงเวทนาสงสาร
มีมาตราอะไรสักอย่างระบุไว้ว่า “รัฐต้องสงเคราะห์คนชรา ผู้ยากไร้ ผู้พิการ หรือทุพพลภาพ และผู้ด้อยโอกาสให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และพึ่งตนเองได้” นั้น จริงๆ ชัดเจนมากตรงที่ว่า “และพึ่งพาตนเองได้” แต่หลายครั้ง เรากลับเห็นการสงเคราะห์เช่น เอาผ้าอ้อมไปแจก เอาผ้าห่ม เตียง หรืออาหารไปให้ คือดูแลนะ แต่ดูแลแบบเวทนาสงสาร บริจาค สงเคราะห์ ไม่ได้ส่งเสริมให้พึ่งพาตนเองได้ ทำให้คนพิการต้องเป็นภาระของสังคมตลอดไป
แล้วก็ยังมีปัญหาอีกอันหนึ่งที่ว่า มีกฎหมายแล้ว มีการพยายามนำไปปฏิบัติเพื่อส่งเสริมให้คนพิการพึ่งพาตนเองได้ก็แล้ว แต่ทำไม่สำเร็จค่ะ ไม่สำเร็จเพราะว่าขาดการสนับสนุนรอบด้าน คือเรื่องของคนพิการมันเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ ด้วย กฎหมายออกมาให้แค่ไม่กี่ฝ่าย มันไม่ใช่ค่ะ ไม่มีทางสำเร็จ การได้อยู่ร่วมกัน เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้เรียนรู้กันและกัน คนพิการก็จะได้เรียนรู้การอยู่ในสังคม คนไม่พิการก็จะได้เรียนรู้ว่าต้องพูดยังไง ต้องทำยังไงกับคนพิการ จะเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติค่ะ ซึ่งการ์ตูนเราตอนนึงก็พูดถึงเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ เลยเป็นที่มาในความตั้งใจการ์ตูนของเรา คือที่ว่า การ์ตูนเราตั้งใจให้คนอ่านเข้าใจวัฒนธรรมความพิการ พอเข้าใจกันปัญหาที่ว่ามา โดยเฉพาะ 2 ปัญหาหลังนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นค่ะ ดังนั้นเราจึงยังต้องทำการ์ตูนค่ะ เพื่อจะได้เป็นเฟืองเล็กๆ ที่ช่วยสร้างความเข้าใจ และขับเคลื่อนสังคมไปพร้อมๆ กันกับกฎหมายได้เลย

แตก (ไม่) ต่าง
เราได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ก้อยเองนอกจากเป็นอาจารย์แล้ว ก็ยังเป็นกรรมการสมาคมวัฒนธรรมความพิการด้วยค่ะ แล้วก็มีคุณกัช (กัชกร ทวีศรี) อุปนายกของสมาคมฯ เป็นผู้ช่วยคนสำคัญของโครงการนี้ สมาคมเราทำงานร่วมกับคนพิการทุกประเภท จึงสามารถเชิญทุกกลุ่มมาร่วมงานกันได้ค่ะ
เราอยากชวนให้คนอ่านมองเห็นว่า “คนพิการ” เป็นเพียง “ความแตกต่าง” ของมนุษย์นะคะ เหมือนมนุษย์เราก็มีทั้งคนดำ คนขาว คนสูง คนเตี้ย คนขาว คนเหลือง ใช่ไหมคะ ก็อยากให้มองคนพิการแบบนั้นเหมือนกัน ไม่ใช่แค่มีคนพิการ กับไม่พิการ มีคนมีสองขา บางคนมีหนึ่งขา หรือเป็นแค่ความหลากหลายของมนุษย์ หรือ Diversity ค่ะ นั่นคือคำว่า “แตกต่าง”
ชื่อการ์ตูนเรา คำว่า “เดียวกัน” ก็มาจาก “ด้วยกัน” เราจะสื่อว่าถึงเราแตกต่างกัน เราก็อยู่ร่วมกัน อยู่ด้วยกันได้นะ พอเอาคำมารวมกัน “แตกต่าง” กับ “ด้วยกัน” กลายเป็น “แตกต่างด้วยกัน” มันก็รู้สึกไม่คล่องปาก เลยปรับมาเป็นคำว่า “แตกต่างเดียวกัน” ดีกว่า คล่องปากกว่า และรู้สึกเก๋ๆ ให้คนอ่านรู้สึกเอ๊ะ นิดๆ ค่ะ ภาษาอังกฤษเราก็ใช้คำว่า Different Together ค่ะ
อ้อ! การ์ตูนเรามีเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษด้วยนะคะ
การ์ตูนที่น่ารักแต่เนื้อหาตรงไปตรงมา
ใช่ค่ะ เนื้อหาเราค่อนข้างตรงและลึก เพราะเริ่มต้นโครงการเราได้เชิญตัวแทนคนพิการทุกประเภทมาประชุมร่วมกันค่ะ เราไม่ได้ประชุมกลุ่มตัวแทนคนพิการอย่างเดียวนะคะ เราได้ประชุมกลุ่มตัวแทนภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมด้วยค่ะ เพื่อถอดบทเรียนเช่นกัน ว่าเคยทำงานกับคนพิการไหม มีความเข้าใจหรือการรับรู้ต่อคนพิการอย่างไร
พอได้ข้อมูลจากทุกฝ่ายแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของก้อยเอง ในฐานะนักวิจัยก็จะสังเคราะห์เรื่องราว ประสบการณ์ของทุกท่านออกมาเป็นองค์ความรู้ชุดวัฒนธรรมความพิการค่ะ ซึ่งเมื่อแยกเป็นประเด็นย่อยๆ แล้ว ได้มามากถึง 50 กว่าประเด็นเลยค่ะ และเพื่อความมั่นใจว่าประเด็นเหล่านั้น นักวิจัยสรุปออกมาได้ถูกต้องรึเปล่านะ บิดเบือนข้อมูลไหม เราก็จัดประชุมครั้งที่สองขึ้นค่ะ เชิญตัวแทนมาเหมือนเดิมทั้งตัวแทนคนพิการและไม่พิการ จัดประชุมแยกครั้งกันเหมือนเดิมค่ะ เราเชิญมาเพื่อให้ช่วยดูว่าเนื้อหาที่ถอดบทเรียนออกมานั้นถูกต้องไหม เห็นด้วยหรือไม่ แล้วทุกท่านก็มาช่วยแสดงความเห็น ปรับแก้เนื้อหาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นค่ะ
และท้ายการประชุมเราก็เชิญทุกท่านลงคะแนนเสียงให้กับประเด็นเหล่านั้น โดยให้เลือก 3 ประเด็นที่เห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญเร่งด่วน ควรนำมาเป็นธีมของการ์ตูนชุดแรกค่ะ เป็นการโหวตทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพค่ะ สุดท้าย เราก็มานับคะแนน เรียงประเด็นตามคะแนน แล้วก็พิจารณาเหตุผล ทำให้ได้ธีมของการ์ตูนทั้ง 12 ตอนนี้มาค่ะ เป็นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม ตามชื่อโครงการของเราเลยค่ะ

นี่ไม่ใช่การเรียกร้อง
จริงๆ อยากจะบอกว่าการ์ตูนนี้ไม่ได้ทำมาเพื่อเรียกร้องนะคะ เราไม่ใช่สายเรียกร้อง แล้วทางกองทุนสื่อฯ ที่ให้ทุนเรามาทำการ์ตูน ก็เน้นการผลิตสื่อสร้างสรรค์ค่ะ ทุกครั้งที่ประชุมกัน กรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายก็ย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ส่งเสริมให้ทำสื่อเชิงเรียกร้องหรือประท้วงอะไร การ์ตูน จึงเน้นสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจ ให้เข้าใจว่า “คนพิการ” เป็นเพียง “ความแตกต่าง” ของมนุษย์ การ์ตูนทั้ง 12 ตอน ก็จะสะท้อนความแตกต่างในแง่มุมต่างๆ และก็แอบเชิญชวน จูงใจให้คนอ่านมีมุมมองต่อคนพิการในเชิงสังคมด้วยค่ะ
ย้อนกลับไปดูเรื่องเนื้อหา เนื้อหาเราเกิดจากการมีส่วนร่วมของตัวแทนคนพิการทุกประเภท และยังมีตัวแทนภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมด้วยค่ะ คือทุกภาคส่วนในสังคมเลยจริงๆ เนื้อหาการ์ตูนเน้นว่าคนพิการเพียงแค่แตกต่าง แต่อยู่ด้วยกันได้ ถ้าเข้าใจกันและกัน และมีมุมมองต่อกันในเชิงสังคม จุดเด่นที่สองคือ เราทำการ์ตูนให้มีความเป็นการ์ตูนจริงๆ ค่ะ คือ ต้องอ่านแล้วสนุก สนุกจากการเปรียบเทียบบ้าง เสียดสีบ้าง หักมุมบ้าง เราท่องไว้เสมอว่า นี่เราทำการ์ตูนนะ ไม่ได้ทำสื่อการสอนรูปแบบการ์ตูน เพราะฉะนั้น เราไม่ควรเอาเนื้อหาวัฒนธรรมความพิการที่เรามี มาถ่ายทอดเป็นการ์ตูนแบบโต้งๆ ตรงๆ ไปเลย
ดังนั้น “การสร้างสรรค์” จึงเป็นขั้นตอนที่ยากมากอีกขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการของเราค่ะ ซึ่งเราได้คุณร่มไทร ศักดาเดช มาเป็นครีเอทีฟให้ ซึ่งขอนับเป็นจุดเด่นจุดที่สามของการ์ตูนเราเลยนะคะ นั่นก็คือ การ์ตูนเรามีความสมดุลระหว่างเนื้อหากับความคิดสร้างสรรค์ได้ค่อนข้างดี (หัวเราะ) ดูเข้าข้างตัวเองนะคะ แต่เป็นจุดเด่นจริงๆ ค่ะ เราตั้งใจและภูมิใจกับการ์ตูนชุดนี้มาก ไม่เชื่อไปอ่านกันดูค่ะ


จุดเด่นสุดท้ายคือ การ์ตูนเรามีเอกลักษณ์ค่ะ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่การ์ตูนดีๆ ควรมีเลยนะคะ เอกลักษณ์ของเรามีทั้ง ตัวการ์ตูนของเรามี Character ไม่ซ้ำใคร ทั้งสีและรูปร่างรวมทั้งการไม่ระบุเพศค่ะ ถ้าเห็นตัวการ์ตูนแบบนี้ที่ไหนปุ๊บ ก็จะนึกได้ปั๊บว่ามาจากไหน นอกจากนี้ก็ยังมีตัวการ์ตูนหลักที่อยู่บนปกกับใบปิดของทุกตอนด้วยนะคะ ที่เป็นรูปมือ มี 4 นิ้ว เค้ามีชื่อเล่นว่า “นานัป” ค่ะ มาจากคำว่า “นานัปการ” ที่สื่อว่ามนุษย์มีความแตกต่างหลากหลายมากมายนับไม่ถ้วน ส่วนที่มี 4 นิ้ว ก็เพราะต้องการสื่อถึงความพิการ แต่ถ้าดูเผินๆ ไม่ได้นับ หรือไม่ได้สังเกตก็จะไม่รู้ว่านิ้วไม่ครบ ก็คือเราไม่ได้อยากให้น้องนานัปของเราพิการจนเห็นได้ชัดขนาดนั้น น้องนานัปก็จะเป็นตัวแทนคนพิการทุกประเภทได้ด้วยนะคะ ใช้สีฟ้า ซึ่งเป็นฟ้าเดียวกับดอกแก้วกัลยา สัญลักษณ์ของวันคนพิการ และสีเหลืองรองเท้า เป็นเหลืองเดียวกับธงคนพิการสากลด้วยค่ะ
การ์ตูนของเราเป็นการ์ตูนสำหรับอ่านนะคะ สมัยก้อยเป็นเด็กๆ เค้าเรียกว่าการ์ตูนช่อง การ์ตูนแบบไม่กี่ช่องจบน่ะค่ะ แตกต่างเดียวกันนี้มี 12 ตอน มีจำนวนช่องไม่เท่ากันค่ะ ก็อยู่ระหว่าง 5-10 ช่องจบ เราไม่ได้ทำแอนิเมชั่น ไม่ได้ทำเป็นคลิปวีดิโอนะคะ เราคิดว่าทำแบบอ่านนี่แหละ ใช้เวลาผลิตไม่นาน แล้วอีกอย่าง เราเชื่อว่าการ์ตูนแบบอ่านนั้น ทำให้การเปิดรับหรือเปิดอ่านเป็นไปได้ง่ายค่ะ แล้วก็สามารถส่งต่อ แชร์ต่อได้ง่ายทาง Social Media อีกด้วย
อีกอย่างการ์ตูนแต่ละตอนของเราคือสั้นมาก สมมติว่ามีเพื่อนแชร์มาให้อ่าน เราเปิดดูก็จะอ่านได้แล้วจบเลย ตัวหนังสือก็น้อยค่ะ ไม่ใช่วีดิโอก็ไม่ต้องเปิดเสียง อยู่ในห้องเรียนหรือห้องประชุม หรือในที่สาธารณะ บนรถเมล์ รถไฟฟ้า ก็พอก้มอ่านได้นาทีเดียวจบ
ถ้าในภาพรวมหรือแนวคิดของการ์ตูนชุดนี้คือ หวังว่าคนอ่านจะเริ่มมีมุมมองต่อคนพิการในเชิงสังคมมากขึ้นค่ะ อาจจะไม่มากขึ้นก็ได้ อย่างน้อยขอให้ได้เป็นส่วนหนึ่งในการ “เปิดมุมมอง” จากที่เคยมองในมุมมองทางศาสนากับทางการแพทย์มามากแล้ว ก็ได้เปิดมุมมองทางสังคมอะไรบ้าง การ์ตูนทั้ง 12 ตอนของเรา ครอบคลุมความพิการทั้ง 7 ประเภท และวัฒนธรรมความพิการที่เป็นวัฒนธรรมร่วมค่ะ


ยังไงก็อยากไปต่อ
พอได้ทำมาถึงตรงนี้ ตอบได้เลยว่าอยากไปต่อค่ะ คือ มีประเด็นอยู่ในมือกว่า 50 ประเด็นนะคะ แล้วเพิ่งทำไป 12 ประเด็นเอง ยังเหลืออีกตั้งเยอะ อยากทำซีซั่น 2 แต่อาจจะต้องเพิ่มเติมอะไรอีกหน่อย ให้การ์ตูนเรายังคงความสนุกไว้อยู่ ไม่งั้นคนอ่านก็อาจจะเดาทางเราได้ไปหมดแล้ว อันนี้คงต้องพึ่งพาทีมครีเอทีฟค่ะ (หัวเราะ)
นอกจากนี้ แตกต่างเดียวกันซีซั่นแรกอาจจะพัฒนาไปเป็นแอนิเมชัน หรือตีพิมพ์เป็นเล่ม ทำเป็นอีบุ๊ก เป็นนิทาน สำหรับเด็กๆ ได้อ่านก็น่าจะเป็นอะไรที่ดีมากๆ ค่ะ ส่วนการขยายผลยาวกว่านั้น คือ แตกต่างเดียวกันเราจะผูกมิตรกับเครือข่ายที่แตกต่างแบบเดียวกับเรา เช่น กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ กลุ่มเด็กและเยาวชน กลุ่มผู้สูงอายุ หรือกลุ่มชนเผ่า มาทำงานเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเรื่องความแตกต่างตรงนี้ด้วยกันได้ เพื่อจะได้อยู่ร่วมกัน ด้วยกัน ตามชื่อ “แตกต่างเดียวกัน” ค่ะ
แต่จะได้ไปต่อหรือไม่ อย่างไร ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้สนับสนุนอีกทีค่ะ
Contributors
Contributors
Digital Publishing เรื่องบันเทิงเชิงไลฟ์สไตล์ เพื่อชีวิตติดจังหวะ