“พวกเราเรียนรุ่น KKU57 ทั้งหมดเลยครับ ไม่มีใครซิ่ว แต่ก็เกือบแล้วนะ” 

คำตอบขี้เล่นจากทรัพย์-ธนทรัพย์ คงสงวน นักร้องนำของวง Famoso ได้ตอบ Rhythm หลังผู้เขียนได้แอบแนะนำตัวไปว่าเราเองก็จบมาจากสถาบันเดียวกัน ซึ่งกลายเป็นว่าในห้องนี้เต็มไปด้วยเด็กมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพราะสมาชิกอีก 5 คนของ Famoso ก็จบจากสถาบันเดียวกัน เรียกได้ว่า Famoso เป็นเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันและทำวงมาด้วยกัน

Famoso วงน้องใหม่จากส่งออกจากค่าย GeneLab ประกอบไปด้วยสมาชิก 6 คน อย่าง ทรัพย์ – ธนทรัพย์ คงสงวน (ร้องนำ), เอก – เอกพันธ์พงษ์ ปะจันสี (ซินธิไซเซอร์, แซกโซโฟน), แทน/แทนปอ – ปรมินทร์ บรรณวงษา (กีตาร์), แทนคุง – คณภัค แพทย์โอสถ(กีตาร์), ฝ้าย – เกรียงไกร แพทอง (เบส), วา – วาทิต สมบูรณ์ลาภ (กลอง) 

ก่อนหน้านี้ Famoso เคยมีผลงานเพลงที่ทำกันด้วยตัวเองมาก่อนแล้วถึง 6 เพลง ซึ่งเพลงล่าสุดอย่าง “ฝันสุดท้าย” คือเพลงเปิดตัวกับค่าย GeneLab อย่างเป็นทางการ และทำให้ Rhythm ได้ฤกษ์ดีได้มาพูดคุยกับพวกเขา ตั้งแต่เรื่องราวการเข้ามาสู่ค่าย เส้นทางการเป็นศิลปิน ความหวังและการเติบโตของวง Famoso ติดตามเรื่องราวของพวกเขาผ่านบทความนี้ได้เลย

ทำไมชื่อวงต้องเป็นคำว่า Famoso

วา : Famoso เป็นภาษาอิตาลีครับ พวกเราอิงจากภาษาอังกฤษคือคำว่า “Famous” ครับ เราอยากได้ความหมายของคำนี้ ซึ่งสองคำนี้มีความหมายเดียวกันเลย แต่เราแค่ไม่อยากให้ชื่อมันตรงตัวเกินไปครับ เราก็เลยเปลี่ยนภาษา ผมกับฝ้ายเป็นต้นคิดที่จะใช้ภาษาอิตาลีครับ

ทั้ง 6 คน มารวมวงกันได้ยังไง

เอก : ผม ฝ้าย วา และแทนคุงเรียนด้วยกันครับ ซึ่งเราก็เริ่มจากการที่อยากทำเพลงตัวเองขึ้นมาสักเพลง แล้วก็รังสรรค์กันว่าจะทำวงยังไงดี และเริ่มหานักร้องครับ

แทนคุง : ในส่วนของนักร้อง ผมกับทรัพย์รู้จักกันตั้งแต่ช่วงประถมฯ เพราะเราอยู่โรงเรียนเดียวกัน ผมเห็นทรัพย์ร้องเพลงตั้งแต่อยู่ประถมฯ เลยชวนทรัพย์มาร่วมวงด้วย ตอนนั้นวงก็มี 5 คนแล้วครับ แต่ผมรู้สึกว่ามันเหมือนขาดอะไรไป ผมเลยชวนแทนปอ (แทน-ปรมินทร์) เข้ามาอยู่ด้วยกันครับ แทนปอก็กลายเป็นมือกีต้าร์อีกคนในวงครับ

เล่าให้ฟังหน่อยว่าเข้ามาอยู่ค่าย GeneLab ได้ยังไง

ฝ้าย : การอยู่ค่ายคือการเดินทางครั้งใหม่ของพวกผมเลยครับ ตอนนั้นพวกเราเข้าค่ายมาได้เพราะการได้ไปเล่นดนตรีที่สยามครับ เล่นไปสักพัก ด้วยความบังเอิญมากๆ ที่พี่โอม Cocktail เขามาทำธุระที่สยามพอดี พี่เขาเลยได้ยินเสียงเพลงที่พวกผมเล่น พี่โอมได้มาดูตอนที่พวกผมเล่นพอดี หลังจากพวกผมโชว์เสร็จ พี่โอมเขาก็เดินมาถามเลยครับว่า ได้ติดสัญญาค่ายไหนไหม ลองมาคุยกับพี่ดูไหม เผื่อสนใจเข้าค่าย จากนั้นพวกผมก็ได้มีโอกาสมาอยู่ตรงนี้ ซึ่งพี่โอมก็ได้ให้คำปรึกษาในทุกเรื่อง ทั้งเรื่องค่ายเรื่องส่วนตัวด้วยครับ

ทรัพย์ : ตอนนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นกันมากเลยครับ กระดี้กระด้ากันมาก พวกเราแทบอยากตอบตกลงเข้าค่ายตั้งแต่ยังไม่รู้รายละเอียดอะไรเลยด้วยซ้ำครับ (หัวเราะ) เพราะพอรู้ว่าโอกาสมันมาถึงแล้ว ตอนนั้นจะได้เข้าค่ายจริงหรือไม่ แต่ตอนนั้นมันก็มีความหวังมากๆ เลยครับ 

อะไรคือแรงบันดาลใจของเพลงล่าสุดอย่าง “ฝันสุดท้าย”

ทรัพย์ : “ฝันสุดท้าย” คือการพูดถึงคนๆ หนึ่งที่เสียใจกับความรักครั้งล่าสุด ที่ความเสียใจเหล่านั้นยังคอยตอกย้ำเขา เหมือนเป็นฝันร้าย สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือ การรอคอยที่จะหลุดพ้น การรอคอยที่จะลืมเรื่องราวเหล่านั้น แรงบันดาลใจการทำเพลงก็มาจากตัวผมด้วย เวลาที่เรานึกถึงใครสักคนแล้วอยากลืมมันให้ได้ เป็นเรื่องที่ยาก สิ่งที่เราทำได้คือต้องรออย่างเดียวครับ 

ทรัพย์ – ธนทรัพย์ คงสงวน (ร้องนำ)

ประทับใจอะไรระหว่างการทำเพลงนี้บ้าง

แทนปอ : สำหรับผมคือตอนอัดเสียงกีต้าร์ครับ แล้วเราได้พี่กรณ์เป็นโปรดิวเซอร์ที่ห้องอัด ผมประทับใจพี่กรณ์มากๆ ตอนนั้นพวกผมทำงานกันดึกมาก พี่เขาก็ง่วงมาก ก็เลยจำช่วงเวลานี้ได้ขึ้นใจเลย เพราะพี่เขาเสียสละกับเรามากๆ พี่เขาช่วยเราเต็มที่มากครับ ผมประทับใจมากครับ

เอก : ผมชอบตอนทำเดโม่ครับ เป็นช่วงที่ต้องมาส่งเดโม่กับค่ายพอดี แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่ได้อยู่ด้วยกันและทำเพลงด้วยกัน มีวันหนึ่งที่เราทำเพลงกัน แล้วรู้สึกว่ามันกำลังดี ทุกอย่างกำลังมา ไปได้สวย แต่ตอนนั้นคือเวลา 6 โมงเช้าแล้วครับ ซึ่งหลังจากนั้นพวกผมต้องเดินทางต่อกันด้วย กลายเป็นว่าเราอยู่ด้วยกัน ทำงานจนเช้ากันตลอดครับ

แทนคุง : ความประทับใจสำหรับผมมันเกิดขึ้นหลายครั้งมากเลยครับสำหรับเพลงนี้ ตัวอินโทรของเพลงนี้ ผมได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่อง interstellar ผมชอบหนังเรื่องนี้มาก ก็เลยลองเอาเพลงที่มีช่วงหนึ่งของเพลงในหนัง เป็นช่วงที่มันทัชใจผมมาก ผมลองเอามันมาปรับแต่ง และใช้ทำกับเพลงนี้ครับ

การทำเพลงกับค่าย Famoso ได้เติบโตยังไงบ้าง

ฝ้าย : เราได้ทำงานที่จริงจังขึ้น แล้วก็มีคนเก่งแบบพี่กรณ์มาช่วยทำให้เพลงมันเข้ากัน 

ทรัพย์ : ด้าน MV ก็ต่างครับ เราได้เห็นกองถ่ายที่อลังการมาก เราไม่เคยเจออะไรแบบนี้กันมาก่อน เพราะปกติที่เราทำเพลงกันเอง เราใช้แค่กล้องตัวเดียวทำ MV ทีมงานก็มีแค่เราและเพื่อนๆ หรือบางครั้งก็จ้างรุ่นน้อง ทุกอย่างเลยแปลกตาดีครับ

ตั้งแต่มาอยู่ค่าย GeneLab ได้แสดงบนเวทีไหนบ้าง

ทรัพย์ : เคยแสดงบน GeneLab Live ครับ

วา : เวทีแรกในชีวิตก็ตื่นเต้นครับ รู้สึกได้เลยว่าเป็นเวทีที่ใหญ่และเป็นทางการมากๆ เป็นครั้งแรกที่ได้บันทึกเทปไปด้วย เราก็ตื่นเต้นกว่าทุกๆ เวที ประหม่ากันทุกคน งานนั้นเป็นงานแรกของค่ายเลยด้วย

แทนปอ : เพราะตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพ เราก็ไม่ค่อยได้เล่นบนเวทีไหนด้วยครับ  

วา – วาทิต สมบูรณ์ลาภ (กลอง) 

หลังลงจากเวทีนั้น Famoso คุยอะไรกัน

ฝ้าย : ตอนที่เล่นอยู่บนเวที ผมเกือบร้องไห้เลยครับ เพราะตอนที่เล่นอยู่ เราได้เห็นว่ามีคนยืนดูเราอยู่ข้างล่าง มันตื้นตันใจมากครับ หลังลงเวทีพวกเราก็คุยกันว่า เรามีข้อผิดพลาดอะไร ประชุมกันต่อว่าเราต้องปรับปรุงอะไร ในอนาคตก็จะได้รู้แล้วว่าต้องแก้อะไร เป็นประสบการณ์ดีๆ เลยครับ

ทำไม Famoso ถึงชอบทำเพลงเศร้าขนาดนี้

ทรัพย์ : ชอบฟังเพลงเศร้าครับ เสพติดความเจ็บปวด (หัวเราะ) จริงๆ เป้นเพราะเรารู้สึกอินกับมันครับ รู้สึกว่าแต่งออกมาแล้วเรามีพรสวรรค์ด้านเพลงเศร้ามากกว่า เพราะช่วงที่หัดแต่งเพลงรักผมรู้สึกว่ามันไม่ได้เรื่องเลย เลยคิดว่าคงต้องทำเพลงเศร้าต่อไปก่อนครับ (หัวเราะ) แรงบันดาลใจของเพลงก็มาจากทั้งตัวเอง คนในวง และความเศร้าจากคนอื่นด้วย

คิดว่าอะไรคือเอกลักษณ์ของ Famoso

ฝ้าย : ความเศร้าเลยครับ

แทนคุง : เรื่องแนวเพลงครับ เราเป็นแนว alternative pop rock ซึ่งมันแฝงอะไรบางอย่างไว้ข้างในเสมอครับ ถ้าทุกคนได้ลองฟังก็จะรู้เลย

ทรัพย์ : ทางคอร์ดก็จะมีคล้ายๆ เดิมในแต่ละเพลง แค่อาจจะเพิ่มลูกเล่นที่ต่างกันไปในแต่ละเพลงครับ

ถ้าประดิษฐ์ตุ๊กตา Famoso ได้หนึ่งตัว ตุ๊กตาตัวนั้นจะเป็นยังไง? 

เอก : ตุ๊กตาตัวนั้นต้องเป็นสีน้ำเงินก่อน

แทนคุง : เพราะสีน้ำเงินคือตัวแทนของความเศร้าและหยดน้ำตาครับ 

ทรัพย์ : เราชอบสีนี้เพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของวง และเป็นความชอบส่วนตัวของพวกเราด้วยครับ

เอก/ฝ้าย : ตุ๊กตาต้องใส่แว่นด้วย

วา : ต้องเซ็ตผมให้ด้วยนะครับ

แทนคุง : ใส่หมวกด้วยดีกว่า

เอก : ตุ๊กตาจะสมบูรณ์ต้องมีแก้วเยติด้วยนะ

วา : มีลูกบาสและลูกบอลเข้าไปด้วยนะ

เอก – เอกพันธ์พงษ์ ปะจันสี (ซินธิไซเซอร์, แซกโซโฟน)

เคยมีช่วงที่วงรู้สึกยากลำบากในการไปต่อบ้างไหม

ฝ้าย : น่าจะช่วงที่ทำงานด้วยกันแรกๆ ครับ แต่ละคนมีอีโก้ใส่กัน หลังๆ ก็เริ่มปรับตัวกันเยอะ บางคำพูดมันกระแทกใจเพื่อน แต่เราก็ปรับเข้าหากันและผ่านกันมาได้ครับ

แทนคุง : ผมรู้สึกว่าการทำเพลงแบบมีอีโก้คือเรื่องที่ดีนะครับ แต่อีโก้ของเรามีมากหรือน้อยไปก็ไม่ดี ถ้ามันบาลานซ์กันได้ทุกอย่างจะพอดีครับ

ทรัพย์ : ต้องใช้ให้พอดีครับ ถ้ามากไปมันก็ทำร้ายคนรอบข้างและตัวเราเอง

ภาพอนาคตของวงที่หวังไว้

แทนปอ : ภาพฝันคือ ก็ยืนด้วยกันหกคน เตรียมขึ้นเวทีใหญ่ๆ มีคนรอดูอยู่เยอะๆ แล้วก็เดินไปด้วยกันแบบมีคอนเสิร์ตใหญ่ เราคงมีความสุขมาก

แทนคุง : คล้ายๆ แทนกับฝ้ายนะครับ อีกจุดที่อยากเห็นคือ ผมกับวงกระโดดลงเวทีในคอนเสิร์ตใหญ่พร้อมกัน แล้วคนดูก็แบกเราแบบ body surf ไปเลยครับ

แทนคุง – คณภัค แพทย์โอสถ(กีตาร์)

ดนตรีมีอิทธิพลยังไงต่อชีวิตของแต่ละคน

ฝ้าย : ตอนที่เริ่มเล่นดนตรีครั้งแรก ผมเดินไปไหนสักที่ แล้วได้ยินเสียงที่แยกไม่ออกว่าเป็นเบสหรือกีต้าร์ หลังจากนั้นก็รู้สึกอยากเล่นดนตรีมากขึ้น ผมเดินไปเข้าชมรมดนตรี เป้าหมายการเป็นนักดนตรีของผมจึงเริ่มตั้งแต่เด็กๆ พอขึ้นมหาลัยก็ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ แล้วดนตรีก็อยู่กับผมมาถึงตอนนี้เลยครับ

ทรัพย์ : ดนตรีก็เป็นหัวใจหลักของชีวิตผมเลย เพราะเราชอบฟังและชอบร้องเพลงอยู่แล้ว ผมเป็นคนที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องดนตรีอะไรเลยนะเมื่อก่อนหน้านี้ ผมแค่ชอบฟังเพลง ร้องเพลงได้นิดหน่อย แต่พอได้ทำเพลงกับเพื่อนๆ เราก็เริ่มรู้ศัพท์ทางดนตรีมากขึ้น การมีดนตรีเข้ามาในชีวิตเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ขาดมันไปคงเหงามากจริงๆ

ฝ้าย – เกรียงไกร แพทอง (เบส)

แทนปอ : ถ้าเราเศร้าก็ฟังเพลง สนุกก็ฟังเพลง ผมเลยเริ่มเล่นดนตรี การเล่นดนตรีทำให้เราได้ปลดปล่อยความเศร้า ความตื่นเต้น ความสนุก ความรู้สึกทุกๆ อย่างเลยครับ

แทนคุง : สมมติว่าเราเครียดอะไรมา เราก็แค่ฟังเพลง เราอยากมีความสุขเราก็ฟังเพลง แล้วถ้าจีบสาวก็ต้องดีดกีต้าร์จีบสาวครับ (หัวเราะ)

เอก : แทนคุงพูดถึงจีบสาวพอดี สมัยประถมฯ ผมแอบชอบรุ่นพี่คนหนึ่งครับ ซึ่งช่วงวันวาเลนไทน์ รุ่นพี่ที่ผมชอบ เขาถูกรุ่นพี่อีกคนจีบด้วยการเอากีต้าร์มาเล่นให้ฟัง ตรงนั้นเลยจุดประกายผมเลยว่า ผมต้องหัดเล่นบ้างแล้ว หลังจากนั้นก็เริ่มเล่นดนตรีมาจนถึงตอนนี้เลย ผมผ่านการเล่นดนตรีมาทั้งเล่นวง เล่นเดี่ยว การเล่นวงโยธวาทิต ผมได้เห็นดนตรีมาหลายแบบ แต่มันไปสู่จุดเดียวกันคือ ดนตรีทุกประเภทให้ความจรรโลงใจ ให้ความบันเทิงกับผู้ฟัง ดนตรีมันเลยมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตจริงๆ

วา : ไม่ว่าเราจะรู้สึกยังไง แต่พอเราฟังเพลง เหมือนเราได้ระบาย ถ้าสุขก็ฟังเพลงที่มีความสุข รักก็ฟังเพลงรัก เศร้าก็ฟังเพลงเศร้า สำหรับหลายๆ คนก็เหมือนกัน ผมเคยคุยกับคนอื่นว่า ถ้าโลกนี้ไม่มีดนตรี ก็คิดไม่ออกเลยว่าโลกเรามันจะเป็นยังไง

แทน/แทนปอ – ปรมินทร์ บรรณวงษา (กีตาร์)

อะไรคือความภูมิใจของการได้มาอยู่ตรงนี้

ฝ้าย : ผมอาจจะไม่เคยพูดแบบนี้ให้เพื่อนฟัง แต่ผมเคยวาดฝันไว้ว่า อยากได้ใครมาอยู่กับเรา อยากมีวงแบบไหน แล้วมันเกิดขึ้นจริงกับการทำวงนี้ ผมภูมิใจมากจริงๆ เส้นทางที่เดินมากว่าจะมาถึงตรงนี้ก็ลำบาก ผมเลยภูมิใจมากครับ 

ทรัพย์ : ผมภูมิใจในตัวเพื่อนในวง ผมพูดเสมอว่าเพื่อนในวงเก่งทุกคนจริงๆ อาจจะไม่ได้ที่สุดหรอก แต่เราทำดนตรีด้วยกัน เราเป็นเพื่อนกันตลอดทาง ทำให้เราเจอหนทางและความสุขที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริงของผมคือ การได้มาเล่นดนตรีกับวง มันตื้นตัน มีความสุขมากจริงๆ มันคือการเดินทางของเราแต่ละคน 

แทนปอ : ผมภูมิใจในตัวเพื่อนอยู่แล้วครับ แต่ภูมิใจที่สุดคือตอนนี้มันดีกว่าเมื่อวาน เราได้ขยับขึ้นมาเรื่อยๆ ผมเลยภูมิใจมากครับ

แทนคุง : เหมือนกันครับ ผมภูมิใจในตัวเพื่อนทุกคน ไม่ว่าจะล้มกี่ครั้งก็ลุกขึ้นมาพร้อมกันเสมอ มันคือความผูกพันด้วย ไปเที่ยวก็เที่ยวด้วยกัน ทำงานก็ทำด้วยกัน มันทำให้ผมภูมิใจจริงๆ

เอก : ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เจอเพื่อนๆ กลุ่มนี้ ทั้งๆ ที่เพื่อนอาจจะมีอีกเยอะมาก แต่โชคดีที่วันนั้นเราได้ไปวิ่งด้วยกัน แล้วอยู่ๆ ก็ฮึกเหิมอยากทำวง ตอนแรกคิดว่าจะทำวงอีกแบบด้วยซ้ำ แต่พอตกตะกอนกัน ปรับความเข้าใจกัน จนมันเกิดเป็นวงสีน้ำเงินในวันนี้ครับ

วา : การได้เจอเพื่อนๆ กลุ่มนี้ เรียกได้ว่าเป็นการทำวงแบบเริ่มต้นจากศูนย์ หรือติดลบเลยก็ว่าได้ เราเริ่มทีละหนึ่งทีละสองด้วยกัน พยายามมาด้วยกัน ไม่ว่าจะปัญหาอะไรเราก็คุยกัน เกาะกันมาเรื่อยๆ เลยรู้สึกโชคดีมากๆ ครับ 

อยากฝากอะไรถึงคนรุ่นใหม่ที่จะเข้าสู่วงการดนตรีแบบเราไหม

ฝ้าย : อยากให้มีความพยายามและอย่าท้อ วิ่งเข้าหาโอกาสเสมอครับ เพราะโอกาสมันไม่มาหาเรา เราต้องวิ่งเข้าหามันเอง อย่างที่พวกผมเองก็วิ่งไปเล่นดนตรีที่สยามในวันนั้นครับ

เด็กมนุษย์ฯ ผู้ชื่นชอบการออกไปเดินเที่ยวคนเดียว เอนจอยกับการเต้นและการกิน ปัจจุบันกำลังพยายามใช้ชีวิตแบบ Slow Life อยู่