ในยุคดิจิทัลที่คนหันมาใช้โทรศัพท์มือถือในการส่งข้อความหากันมากขึ้น หนึ่งฟีเจอร์ที่มีบทบาทอย่างมาก คือ “อิโมจิ” สัญลักษณ์ภาพที่ใช้สื่อความหมายต่างๆ ซึ่งก็จะมีรูปแบบที่หลากหลายและแตกต่างกันออกไป

อิโมจิกลายเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยเพิ่มอารมณ์และน้ำเสียงให้กับข้อความ ไม่ว่าจะเป็นหน้ายิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ ไปจนถึงสัญลักษณ์ของอาหาร ธรรมชาติ หรือกิจกรรมต่างๆ ซึ่งช่วยให้ผู้ส่งและผู้รับเข้าใจกันได้ดียิ่งขึ้น ผู้สร้างอิโมจิอย่าง Shigetaka Kurita ได้ให้เหตุผลว่าที่สร้างอิโมจิขึ้นมา เพื่อต้องการทำให้การสื่อสารง่ายขึ้น และทำให้ผู้รับสารสามารถเข้าใจได้อย่างทันที อิโมจิจึงถูกนำมาใช้ในหลายแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อความส่วนตัว หรือ การโพสต์บนโซเชียลมีเดีย

การใช้อิโมจิสื่อความหมายทำให้คนเข้าใจกันมากขึ้น … จริงหรือ ? ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันกลับกลายเป็นว่าเจ้าพวกอิโมจินี่แหละที่เป็นต้นเหตุทำให้คนเกิดความสับสนมากขึ้น (อ้าว) หากลองเดินเข้าไปถามความหมายของอิโมจิที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันกับคนต่างเจเนอเรชัน ผู้เขียนมั่นใจว่าคำตอบที่ได้ต้องไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน

นั่นก็เพราะคนในแต่ละเจเนอเรชันให้หรือรับรู้ความหมายที่ไม่เหมือนกัน ถ้าจะให้เห็นภาพแบบชัดเจนที่สุดคงต้องยกตัวอย่างอิโมจิยกนิ้วโป้ง หรือที่เรียกติดปากว่าอิโมจิกดไลก์ 👍 หากคุณลองเดินไปถามคนที่อยู่ในช่วง Millennials ก็อาจจะได้คำตอบในเชิงบวกกลับมา “ยอดเยี่ยม” “ทำได้ดี” แต่สำหรับชาว Gen Z ความหมายกลับเป็นคนละโลก หากคุณส่งอิโมจิกดไลก์ไปให้ คุณอาจถูกมองว่ากำลังประชดประชันอยู่หรือเปล่า ทั้งที่ผู้ส่งอาจไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น นั่นก็เพราะชาว Gen Z มักนิยมใช้อิโมจินี้ในบริบทของการประชดประชัน เช่น “อยากทำอะไรก็ทำเลย 👍” และนั่นทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันมากขึ้นระหว่างเจเนอเรชัน . เหตุผลหนึ่งอาจมีที่มาจากการที่อิโมจิเป็นภาพแทนที่ไม่มีคำอธิบายตายตัว ความหมายของมันจึงขึ้นอยู่กับบริบทของข้อความ และ เจตนาของผู้ส่ง ทำให้เกิดการสื่อสารที่มีความลื่นไหลและเปิดโอกาสให้ผู้ใช้นำอิโมจิไปใช้ในรูปแบบที่หลากหลาย ตัวอย่างอิโมจิที่มักถูกเข้าใจผิด เช่น

อิโมจิหน้าตายิ้มแย้ม 😊 ซึ่งหลายคนใช้เพื่อแสดงความรู้สึกยินดี หรือ แสดงอาการยิ้มแบบเป็นมิตร แต่ขณะเดียวกันก็อาจถูกใช้เพื่อแสดงถึงความประชดประชัน หรือสื่อถึงความไม่พอใจที่แฝงอยู่ภายใต้รอยยิ้ม

อิโมจิร้องไห้ 😭 เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่มีความหมายหลากหลายในยุคนี้ แม้จะดูเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของความเสียใจ แต่หลายคนก็นำไปใช้ในความหมายที่หลากหลายมากขึ้น เช่น แสดงถึงความดีใจแบบสุดขีด ซาบซึ้ง หรือแม้กระทั่งอาการหวาดกลัว

ในขณะเดียวกัน อิโมจิที่สื่ออารมณ์อ่อนไหว 🥺 หรือหน้ายิ้มมีน้ำตาคลอ 🥹 ก็กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยลักษณะใบหน้าที่ดูน่าเอ็นดูและเต็มไปด้วยความรู้สึก ทำให้อิโมจินี้มักถูกใช้เพื่อสื่อถึงความประทับใจ ความซึ้งใจ หรืออารมณ์อ้อนวอน แต่ก็สามารถตีความได้หลากหลายเช่นกัน ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ส่งและบริบทของข้อความ

อีกหนึ่งเหตุผลอาจมาจากการที่คนใส่ความหมายแบบสำเร็จรูปลงไปในอิโมจิแล้ว เช่น การใช้อิโมจิหัวเราะ 😂 แทนภาพของความความสุข ความตลก เมื่อถูกใช้บ่อยๆ ในทางบริบทนั้น ทำให้ฝังหัวว่าอิโมจินั้นต้องสื่อถึงอารมณ์ไปในทิศทางไหนเพียงอย่างเดียว จนสร้างภาพในอุดมคติว่าการใช้อิโมจิแบบไหนก็ต้องรู้สึกแบบนั้น ทั้งที่ในบางครั้งผู้ใช้อาจไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เพียงแต่ต้องฝืนใส่อิโมจิเหล่านั้นเพื่อรักษาบรรยากาศของบทสนทนา หรือสร้างภาพลักษณ์ที่ควรจะเป็นในสายตาผู้อื่น

ยิ่งไปกว่านั้น รูปแบบของอิโมจิที่แตกต่างกันไปในแต่ละระบบปฏิบัติการ เช่น iOS, Android หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ทำให้บางครั้งผู้ส่งอาจตั้งใจใช้อิโมจิเพื่อแทนอารมณ์หนึ่ง แต่เมื่อแสดงบนอีกอุปกรณ์ที่ต่างระบบปฏิบัติการกลับให้ความรู้สึกอีกแบบที่คลาดเคลื่อนไปจากตอนแรก

นั่นหมายความว่า แม้จะมีเจตนาที่ดีในการใช้อิโมจิเพื่อสื่อสาร แต่หากบริบทไม่ชัดเจน หรือ มีความคลาดเคลื่อนที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจไม่เหมือนกัน ก็อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด หรือแม้กระทั่งเกิดความขัดแย้งโดยไม่รู้ตัว

แม้อิโมจิจะดูเหมือนเป็นภาษาสากลที่ช่วยให้ผู้คนทั่วโลกสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น แต่ความหมายของอิโมจิก็ยังคงมีความคลุมเครืออยู่มาก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในเจเนอเรชันที่ต่างกัน ซึ่งทำให้การตีความอิโมจิเดียวกันอาจไม่เหมือนกัน และทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือสื่อสารได้อย่างที่ไม่ตรงตามที่ตั้งใจ

Contributors

ใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ในจังหวะของตัวเอง เอนจอยกับทุกสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว โดยเฉพาะของอร่อย เพราะชีวิตนี้ขับเคลื่อนด้วยชานม