“สู้ๆ นะ มันจะมีทั้งผิดหวังและความสุข แต่ทุกอย่างจะผ่านไปได้” ประโยคที่ ‘เบนซ์’ อยากย้อนเวลากลับไปบอกกับตัวเองในวันแรกของการทำดนตรี อาจฟังดูธรรมดา แต่ในความเรียบง่ายนั้นซ่อนบทเรียนชีวิตที่ค่อยๆ สะสมมาตลอด 7 ปีของการเดินทางร่วมกัน ในนามของ Dept
Dept ดูโอป็อปจากค่าย Smallroom ที่ประกอบด้วย เบนซ์–ภวัต โอภาสสิริโชติ และ ลุค ทาวน์เซน เจ้าของเพลงฮิตอย่าง “ลา ลา ลา”, “17” และ “คงต้องบอกลาแล้ว” ซึ่งทั้งคู่แนะนำว่านี่แหละคือ ‘Starter Pack’ สำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มต้นรู้จักจักรวาลของพวกเขา จักรวาลที่ไม่ยึดติดกับคำจำกัดความอย่าง Dream Pop, Electronic Pop หรือ Alternative แต่ขอเป็นพื้นที่ทดลอง ที่เปิดโอกาสให้ซาวด์ใหม่ๆ ได้มีที่ยืน และยังยืนยันเป้าหมายเดิมไม่เปลี่ยนนั่นก็คือ “ทำเพลงที่เราชอบ และอยากให้คนฟังรู้สึกถึงมันได้จริงๆ”
ในวาระที่ Dept ปล่อยซิงเกิลใหม่ “เหมือนโลกจะพัง” เราเลยอยากชวนทั้งสองคนมานั่งคุยถึงเพลงล่าสุด เส้นทางที่ผ่านมา และภาพอนาคตของ Dept ที่ไม่ว่าจะโลกจะพังแค่ไหน พวกเขาก็ยังเชื่อว่า ตราบใดที่ยังมีเสียงดนตรี ก็ยังมีความหวังอยู่เสมอ

เล่าจุดเริ่มต้นของการเล่นดนตรีให้ฟังหน่อย
เบนซ์: ผมได้แรงบันดาลใจจากหนังเรื่อง Suckseed ห่วยขั้นเทพ ครับ แค่ดูทีเซอร์ก็รู้สึกอยากเล่นดนตรีเลย ตอนนั้นอยากตีกลอง แต่ที่บ้านมีกีตาร์โปร่งอยู่แล้วก็เลยลองเล่นดู แล้วก็เล่นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่นั้นเลยครับ
ลุค: ของผมแม่ส่งไปเรียนเปียโนตอนเด็กๆ ครับ แต่ตอนนั้นยังไม่อินเท่าไหร่ รู้สึกเหมือนโดนส่งไปหากิจกรรมทำมากกว่า จนถึงช่วง ม.ปลาย เพื่อนชวนทำวงประกวดในโรงเรียน ได้เล่นเพลงที่เราชอบจริงๆ ก็เลยเริ่มสนุก
โตมากับเพลงแนวไหน
เบนซ์: ของผมนี่ไทยร็อก ป๊อปร็อกล้วนๆ เลยครับ ยุคบอดี้สแลม บิ๊กแอส โปเตโต้ เพลงแรกที่เล่นกีตาร์ได้คือ “เธอยัง” ของโปเตโต้ จำได้เลยว่าตอนนั้นยังไม่รู้ว่าต้องจูนสาย E Flat ก็เล่นเพี้ยนๆ ไปแบบนั้นแหละครับ (หัวเราะ)
ลุค: ผมฟังเพลงตามที่เขาเปิดในรถ ตามคลื่นวิทยุเลยครับ ไม่ได้มีแนวเฉพาะ ก็ฟังไปหมดทุกแนวครับ
แล้วทั้งสองคนมารวมตัวกันได้ยังไง?
เบนซ์: เราเรียนมหา’ลัยเดียวกันครับ แล้วลุคก็ชวนกันมาทำวง ซึ่งจริงๆ แล้วตอนนั้นผมรู้สึกว่ายังไม่มีเพลงภาษาไทยที่เป็นสไตล์ที่เราอยากฟังเลย โดยเฉพาะแนวอินดีป็อปแบบที่เราชอบ ก็เลยชวนกันมาทำเองเลยครับ
นิยามความเป็น Dept
เบนซ์: ช่วงแรกๆ คนอาจมองว่าเราเป็นดรีมป็อป แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ขนาดนั้นนะครับ ถ้ามองจากรากดนตรีจริงๆ จะออกแนวอิเล็กทรอนิกส์ป็อปมากกว่า มีซินธิไซเซอร์เยอะหน่อย แต่ตอนนี้ Dept ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกลายเป็น อัลเทอร์เนทีฟ ที่มีหลายสไตล์ครับ
แล้วที่มาของชื่อวง Dept มาจากอะไร?
ลุค: ตอนนั้นดูคลิป Fact ของศิลปินเกาหลีชื่อ Dean เขาเล่าว่าชื่อ Dean มาจาก James Dean แล้วเบนซ์ก็อินกับแนวคิดนั้น
เบนซ์: ใช่ครับ ผมก็เลยนึกถึงชื่อ Johnny Depp ขึ้นมา แต่เปลี่ยนพีตัวสุดท้ายเป็นที เพราะรู้สึกว่าดูสมดุลดี และจำง่ายครับ
มีชื่ออื่นที่เคยคิดไว้ก่อนจะมาเป็น Dept ไหม
เบนซ์: ไม่มีเลยครับ ตอนนั้นยังไม่มีทักษะในการตั้งชื่ออะไรแบบนั้นเลย ถ้าเป็นทุกวันนี้ ผมอาจจะตั้งชื่อว่า “ไลท์แอร์” ก็ได้ (หัวเราะ)
วิธีแต่งเพลงในแบบฉบับ Dept
เบนซ์: ผมไม่ค่อยอ่านหนังสือเท่าไหร่ครับ ส่วนใหญ่จะอ่านเนื้อเพลงคนอื่น ฟังเพลงเก่าๆ ที่เราเคยโตมากับมัน แล้วดูว่าเขาเล่ายังไง เพลงไทยหลายเพลงจะวนอยู่กับเรื่องรัก ความฝัน ชีวิต เราก็เอาตรงนั้นมาเป็นไอเดีย แล้วก็ใส่ความรู้สึกตัวเองลงไปครับ


เล่าที่มาของเพลง “เหมือนโลกจะพัง” ให้ฟังหน่อย
เบนซ์: ตอนแรกเพลงนี้ผมแต่งให้วงเพื่อนชื่อ SHERRY ครับ ผมช่วยฮัมเมโลดีให้ แล้วเค้าก็เอาไปทำต่อ แต่สุดท้ายเขารู้สึกว่ามันไม่ใช่ SHERRY ก็เลยคืนกลับมาให้ผม ผมก็เลยเอามาใช้กับ Dept แทน ซึ่งตอนนั้นผมได้ไอเดียจากประโยคที่ว่า “เธอบอกว่าเรื่องที่ผ่านมา มันโคตรเสียเวลา ได้ยินแล้วเหมือนว่าโลกจะพัง” ก็เลยใส่พลังแบบทลายทุกอย่างเข้าไปในตอนท้าย ให้คนรู้สึกว่าโลกมันกำลังจะพังไปพร้อมๆ กัน
แล้ว Music Video เพลงนี้ล่ะ
ลุค: ตอนแรกเราคุยกับผู้กำกับว่าอยากได้ระเบิดครับ (หัวเราะ) คืออยากให้มันมีพลังแบบนั้นจริงๆ ตอนแรกมีหลายไอเดีย ทั้งแบบพระเอกเมาแล้วนอนอยู่ในกองขยะ สื่อถึงความรู้สึกไร้ค่า แต่สุดท้ายเราก็เลือกแบบที่เป็นฉากในห้อง แล้วเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของคนสองคน ที่ฝ่ายหนึ่งอยากยื้อ แต่อีกฝ่ายไม่เอาแล้ว
เบนซ์: เราพยายามให้ MV ดูอินเตอร์ ไม่เหมือน MV เพลงช้าแบบที่เห็นบ่อยๆ ในไทย แต่ก็ยังต้องให้คนไทยดูแล้วอินด้วย ก็เลยได้มาเป็นคอนเซ็ปต์ที่เห็นใน MV ครับ

มีโมเมนต์ไหนระหว่างทำเพลงที่ประทับใจเป็นพิเศษไหม
เบนซ์: ตอนทำเพลงรู้สึกว่าได้กลับไปสู่ช่วงแรกๆ ของการทำเพลงเลยครับ ไม่แคร์อะไรทั้งนั้น ทำด้วยความรู้สึกล้วนๆ สนุกแบบไม่สนว่าจะเวิร์กไม่เวิร์ก
เอยากส่งสารอะไรไปถึงคนฟัง
เบนซ์: เพลงนี้อาจทำให้คนฟังรู้สึกแย่หรือรู้สึกไร้ค่า แต่เราก็พยายามซ่อนความหวังไว้ในเพลง อย่างท่อนที่ว่า “มันเจ็บมากจนเริ่มจะชา แต่คงต้องหายสักวัน” เพราะยังไงเราก็ต้องผ่านมันไปได้ครับ
วิธีรับมือกับความเจ็บปวดในแบบฉบับของ Dept
ลุค: ถ้าเป็นเรื่องรัก ถ้ามันจะจบก็ต้องยอมรับครับ จำเรื่องดีๆ ไว้ และเดินหน้าต่อไป สุดท้ายเวลาเยียวยาทุกอย่างได้จริงๆ
เบนซ์: ผมว่าทุกคนเจอความผิดหวังอยู่แล้ว แค่ยอมรับมัน และลุกขึ้นมาใหม่ให้ได้ก็พอครับ
ถ้าโลกจะพังจริงๆ อยากจะทำอะไรเป็นสิ่งสุดท้าย
เบนซ์: ผมคงทำในสิ่งที่อยากทำแบบไม่แคร์อะไรเลยครับ
ลุค: ใช้เวลาอยู่กับคนรักครับ หรืออาจจะวิ่งแก้ผ้าออกไปเลยก็ได้ (หัวเราะ)
งานอดิเรกนอกจากดนตรี
เบนซ์: เลี้ยงหมาครับ แล้วก็เล่นเกมนิดหน่อย อยากวาดรูปแต่ยังไม่ได้เริ่มเลยครับ
ลุค: ปกติก็ออกไปวิ่ง เจอแฟน เจอเพื่อน ดูหนัง กินข้าว ชีวิตเรียบง่ายครับ
ขอ Starter Pack สำหรับคนที่พึ่งรู้จัก Dept
เบนซ์: “ลา ลา ลา” – “17” – “คงต้องบอกลาแล้ว” สามเพลงนี้แหละครับ ถ้าให้เล่นแค่ 15 นาที ผมก็จะเล่นสามเพลงนี้เลย
สิ่งที่ภูมิใจที่สุดของการเป็น Dept
เบนซ์: ได้ทำดนตรีในแบบที่ตัวเองชอบครับ ถึงจะรู้ว่ามันอาจไม่แมสมากนัก แต่ก็ภูมิใจที่ได้ทำ
ลุค: ผมรู้สึกโชคดีมากครับ ที่ได้ทำในสิ่งที่รัก แล้วมันสามารถเลี้ยงชีพได้จริงๆ แค่นี้ก็สุดยอดแล้วครับ
ช่วยบอกข้อดีของกันและกันให้ฟังหน่อย
เบนซ์: ลุคเป็นคนตรงเวลาครับ ถ้าแม่ลุคดูอยู่ ก็น่าจะดีใจเพราะเรื่องตรงเวลาเนี่ยแหละ (หัวเราะ) แต่ก็มีมุมดื้อนิดๆ ด้วยเหมือนกันนะ
ลุค: ผมยืนยันเลยครับว่าแทบไม่เคยเลทเลย ถ้าพูดถึงเบนซ์ ผมว่าข้อดีของเขาคือเป็นคนที่มีภาวะผู้นำสูงมากครับ จริงจังกับทุกเรื่อง แล้วก็ชัดเจนในการทำงาน
เบนซ์: ฟังดูเหมือนจะไปเป็นนายกเลยเนอะ (หัวเราะ)

ถ้าย้อนเวลาได้ อยากจะบอกอะไรกับตัวเองในวันแรกที่ทำวง
เบนซ์: คงจะบอกตัวเองว่า “สู้ๆ นะ มันจะมีทั้งผิดหวังและความสุข แต่ทุกอย่างจะผ่านไปได้” เราทำวงกันมาจะครบ 7 ปีแล้ว ปีต่อไปจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่ผมก็เชื่อว่าเราจะเอาตัวรอดไปได้ครับ
ลุค: ของผมก็คงจะบอกว่า “อย่าคิดเยอะ ทำไปเรื่อยๆ ถ้ามันจะมามันก็จะมาเอง” ชีวิตมันก็ต้องไหลไปเรื่อยๆ แหละครับ
ดนตรีมีอิทธิพลกับชีวิตยังไง
เบนซ์: มีอิทธิพลสูงมากครับ เพราะดนตรีคือสิ่งที่ผมชอบที่สุด แล้วมันก็กลายมาเป็นอาชีพของผม ทุกวันนี้ผมรู้สึกว่าเหมือนเราเป็นคนที่มีเซนส์เรื่องดนตรี เวลาได้ยินเพลง เราจะรู้เลยว่าต้องทำยังไง เสียงแบบนี้ต้องมาจากอะไร ย้อนกลับไป 4-5 ปีก่อน เราอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงแบบนั้นทำยังไง แต่ตอนนี้เรารู้แล้วครับ มันมาจากการอยู่กับมันตลอด
ลุค: ดนตรีมีอิทธิพลกับผมตั้งแต่เด็กครับ ถ้าไม่มีดนตรี ผมอาจจะไม่ได้มาอยู่ตรงนี้กับเบนซ์ก็ได้ เพราะว่าดนตรีมันเหมือนหล่อหลอมชีวิตเรา ถ้าวันนั้นผมไม่ได้ฟังเพลงแบบที่ฟัง ผมอาจไม่ได้ “คลิก” กับเบนซ์ มันอาจไม่มีวง Dept วันนี้เลยก็ได้ เพราะงั้นผมว่าดนตรีมีอิทธิพลทั้งกับการใช้ชีวิตและการทำงานจริงๆ


