“I don’t give a shit no more! เราจะมานั่งแคร์คนอื่นไปทำไม ในเมื่อเรารู้จักตัวเองมากกว่าใคร”
คือคำตอบของ ซาช่า โจสท์ เมื่อเราถามถึงที่มาและทำไมถึงใช้ชื่อว่า Cupnoodle
หญิงสาวลูกครึ่งไทย-เยอรมนีที่เดินทางข้ามประเทศไปเรียนและใช้ชีวิตที่ลอนดอนนานถึงสิบปี เธอได้ลองทำงานหลากหลายด้านในวงการดนตรี ทั้งร้องเพลงเปิดหมวก แต่งเพลง ทำเพลงลงเกม และแม้แต่ตัดต่อ MV ด้วยตัวเอง ชื่อ Cupnoodle ที่ดูเหมือนจะเป็นแค่ชื่อเล่นกลับเต็มไปด้วยความหมายและความทรงจำในช่วงเวลายากลำบากที่กลายเป็นแรงผลักดันให้เธอก้าวผ่านและเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง
ในฐานะศิลปิน Cupnoodle คือการรวมตัวของความหลากหลายทั้งด้านดนตรีและบุคลิก เธอผสมผสานความเป็นไทยและเยอรมัน ถ่ายทอดผ่านเสียงเพลงที่มีรสชาติหลากหลายเหมือนบะหมี่ถ้วยโปรด ตั้งแต่ความเปรี้ยวแซ่บแบบต้มยำกุ้ง ไปจนถึงความหอมนุ่มละมุ่นที่ซ่อนอยู่ในทุกท่วงทำนอง สิ่งที่ทำให้เธอโดดเด่นไม่ใช่แค่เสียงร้อง แต่คือความกล้าที่จะเล่าเรื่องราวชีวิตตัวเองอย่างตรงไปตรงมา และไม่กลัวที่จะเป็นตัวเองอย่างแท้จริง
ถ้าอยากรู้ว่าดนตรีมีอิทธิพลต่อชีวิตของเธออย่างไร ทำไมเพลงของเธอถึงมีความหลากหลายและเต็มไปด้วยรสชาติ เหมือนถ้วยบะหมี่ที่พร้อมให้คุณลิ้มลอง ไปหาคำตอบพร้อมกันได้ในบทความนี้กัน

ชีวิตในวัยเด็ก
เป็นเด็กขี้อายมากกก (หัวเราะ) ถ้าที่โรงเรียนสมัยประถมฯ มีการเเข่ง ร้องเพลงคือเราจะไม่กล้าไปเลย ไม่มีใครในโรงเรียนรู้เลยว่าเราชอบร้องเพลง มีแค่คุณพ่อคุณแม่ที่รู้
จุดเปลี่ยนก็เริ่มมาจากตอนย้ายโรงเรียนในช่วงมัธยมฯ ครูยกมือถามว่า “ใครอยากแข่งร้องเพลง” เราอยากจะทำในสิ่งที่ชอบ ตอนนั้นความกลัวมันก็หยุดเราไม่อยู่แล้ว แต่พอได้ร้องเพลงก็มีความกลัวๆ อยู่บ้าง เวลาร้องเพลงให้คนอื่นฟัง ก็ต้องบอกเพื่อนว่า หันหลังๆ เดี๋ยวร้องเพลง ก็มาไกลมากๆ ค่ะ
รู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าชอบดนตรี
โห อันนี้ต้องบอกว่าเริ่มตั้งแต่เด็กมากเลยค่ะ เพราะคุณแม่มีวิดีโอที่ถ่ายเราไว้ตั้งแต่ตอนอายุประมาณ 3-4 ขวบ ตอนนั้นก็ชอบขึ้นไปยืนบนโต๊ะแล้วร้องเพลงแบบ “Helloooo~” ร้องเพลงยุคเก่าอย่างทาทายัง มอส-ปฏิภาณอะไรแบบนั้น คือรู้ตัวเลยว่าชอบเพลงป็อบตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ช่วงนั้นก็ติด Britney Spears, Christina Aguilera, Enya อะไรพวกนี้ไปเลย รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในตัวพวกเขาที่ทำให้เรารู้สึกว่า “เออ เราไม่ต้องอายก็ได้” เหมือนเห็นแล้วได้แรงบันดาลใจแบบไม่รู้ตัวเลยค่ะ
ถ้าจะเล่าย้อนไปจริงๆ เท่าที่จำความได้คือเราฟังเพลงมาตลอด ชอบร้องเพลงมาตลอดเลยค่ะ คุณแม่เองก็เป็นสายโฟล์ค ชอบฟัง Bee Gees แล้วเราก็โตมากับสิ่งนั้นควบคู่ไปกับเพลงป๊อบในยุคเรา มันเลยกลายเป็นเหมือนการซึมซับสองโลกของดนตรีไปพร้อมๆ กัน
ตอนเด็กๆ คือมีอยู่สองแนวเลยค่ะที่ฟังบ่อยมาก โฟล์คกับป็อบ โฟล์คมันจะมีความออร์แกนิก อบอุ่น ฟังสบาย ในขณะที่ป๊อบยุคนั้นก็คือจัดเต็มทั้งโปรดักชันและภาพลักษณ์ เป็นช่วงเวลาก่อน 10 ขวบที่เราได้เรียนรู้ว่างานเขียนเพลงมีหลายแบบมาก ทั้งแบบที่เล่าด้วยความเรียบง่ายและแบบที่เปล่งประกายสุดๆ
จุดเริ่มต้นของการเป็นศิลปิน
จริงๆก็ไม่รู้หรอกค่ะว่า มันมีอาชีพที่เรียกว่า ศิลปินหรือนักแต่งเพลง เราจำได้ว่าตอนเด็กๆเราจะได้ยินเพลง Instrumental เป็นดนตรีที่ไม่มีเสียงร้องให้เราร้องบนเพลงไรงี้ เริ่มมาจากตรงนั้นน่ะค่ะ ร้องแอดลิป ร้อง Instrumental ต่างๆ เพลง Jazz เพลง Easy Listening จากนั้นก็ไปเรียนต่อ Music Technology ที่ลอนดอนค่ะ
ชีวิตที่ลอนดอนเป็นยังไงบ้าง
ช่ามีแพสชันกับดนตรีมากๆ ถึงขนาดไปลองร้องเพลงเปิดหมวก (Busking) ที่สถานีรถไฟใต้ดินลอนดอน ซึ่งไม่ใช่ว่าใครอยากร้องก็ร้องได้นะ ต้องมีไลเซนส์ ต้องจองคิวเป็นระบบเป๊ะๆ หรือบางทีก็ไปร้องในงาน Open Mic Night เอาเพลงที่เราแต่งเองไปลองให้คนแปลกหน้าฟัง บางทีก็ไปแสดงที่โรงแรม ร้องแจ๊ส หรือแม้กระทั่งไปทำเพลงลงในเกม แล้วก็เคยได้อ่านหนังสือเสียงเป็น audiobook ด้วย อะไรที่เกี่ยวกับเสียงดนตรีช่าลองมาหมดแล้วค่ะ
เรายังเคยไปฝึกงานกับเอเจนซี Jazz เป็นเลขาให้กับมหาวิทยาลัย แล้วก็ไปร่วมอีเวนต์ที่มีคนในวงการอยู่เยอะๆ พกนามบัตรตัวเองไปแจกเลยแม้ว่าจะยังไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร ก็พยายามปรินต์นามบัตรแจกให้คนเป็นร้อย เพราะแค่หวังว่าใครสักคนจะจำเราได้
มันเหมือนการกระโดดลงน้ำทั้งที่ไม่รู้ว่าน้ำลึกแค่ไหนอะค่ะ กลัวมากแต่ก็ต้องลอง พอมองย้อนกลับไปมันก็ค่อนข้าง ‘ทรัฟ’ นะ (traumatic) แต่ก็เป็นช่วงที่เรียนรู้เยอะมาก ทุกครั้งที่ได้ยินว่ามีอะไรเกี่ยวกับดนตรี ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน เราก็พยายามเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้นให้ได้ค่ะ
อยู่ลอนดอนกี่ปีย้ายมาไทยตอนกี่ปี
ช่าไปอยู่เยอรมันตอนอายุ 15 ค่ะ ไปเรียนที่นั่นอยู่ประมาณ 2 ปี แล้วพอจบ ม.6 ก็ย้ายไปอยู่ลอนดอน ใช้ชีวิตที่นั่นนานถึง 10 ปีเลย ทุกอย่างที่เกี่ยวกับดนตรีเราได้ลองหมด ทั้งด้านโปรดักชัน การเขียนเพลง การแสดงสด พอโควิดมา เราก็ติดอยู่ที่ลอนดอนนั่นแหละ เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นศิลปินเต็มตัวช่วงนั้น
และก็มาเป็นศิลปินช่วงโควิดเลยใช่ไหม
จริงๆ ก่อนช่วงโควิด ช่าก็เป็นศิลปินมาก่อนอยู่แล้วแต่ใช้ชื่ออื่น ทำเพลงมาได้ประมาณ 4-5 ปี พอมีช่วงโควิดก็เริ่มใช้ชื่อ ‘Cupnoodle’ เหมือนมันเป็นการเริ่มต้นใหม่ แต่จริงๆ เราอยู่ในวงการนี้มาสิบปีค่ะ
ตอนที่เริ่มใช้ชื่อ Cupnoodle ช่าก็รู้สึกว่าโตขึ้นด้วย เป็นช่วงที่เราคิดเยอะเรื่องตัวตน เริ่มรู้สึกว่า “I don’t give a shit no more!” เราจะมานั่งแคร์คนอื่นไปทำไม ในเมื่อเรารู้จักตัวเองมากกว่าใคร เริ่มกล้าจะเป็นตัวเองแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าแคร์คนอื่นมากก็อาจจะไม่ได้ใช้ชื่อนี้ค่ะ (หัวเราะ)


ที่มาของชื่อ Cupnoodle
ชื่อ Cupnoodle มาจากช่วงโควิดเลยค่ะ นั่งกินบะหมี่กึ่งฯ กับเพื่อนบ่อยมาก แล้วรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ลิงก์คนเข้าด้วยกัน มันมีความ Nostalgia อุ่นๆ เหมือนความทรงจำร่วมกัน จำได้ไหมว่าตอนนั้นเราทุกคนอยู่ในช่วงยากลำบาก แล้วก็ซดบะหมี่กึ่งด้วยกัน เป็นช่วงที่เรากำลังก้าวข้ามอะไรบางอย่าง เหมือนก่อนที่น้ำร้อนจะเทลงไปในเส้นหมี่ มันต้องใช้เวลา ถึงจะกลายเป็นอาหารที่พร้อมกิน เหมือนเราตอนนั้นที่ยังไม่กล้าแสดงออก แต่พอได้เวลาเราก็เหมือนหนอนที่กลายเป็นผีเสื้อค่ะ
มี Process ในการแต่งเพลงยังไง
มีเวลาเท่าไหร่นะ? (หัวเราะ) แล้วแต่ว่าจะเริ่มจากตรงไหน บางทีช่าก็เขียนเพลงให้เกม ให้โฆษณา หรือให้หนัง ซึ่งโจทย์แต่ละอย่างจะมีเนื้อเรื่อง มีบรีฟที่ชัดเจน เราต้องเขียนให้ตอบกับ Narrative ที่เขาวางไว้ แต่ถ้าเป็นการเขียนเพลงให้ตัวเอง มันจะอีกแบบนึงเลยค่ะ จะเริ่มจากคอนเซปต์ก่อน ซึ่งคอนเซปต์บางทีก็มาในรูปของความรู้สึกล้วนๆ เลยนะ ไม่ได้มีเนื้อเรื่องชัดๆ แต่เป็นอารมณ์บางอย่างที่อยากถ่ายทอดออกมา
ส่วนใหญ่มันจะเริ่มจากการที่ช่านั่งดีดกีตาร์ แล้วอยู่ๆ ก็มีคำหรือเมโลดีผุดขึ้นมาในหัว เหมือนอยากเอาคำนี้มาแตกออกให้เป็นเรื่องราว อยากให้มันกลายเป็นเพลงจากคอนเซปต์หรือคำๆ นั้น หลังจากได้โครงจากคอนเซปต์แล้ว ก็ค่อยเริ่มเขียนท็อปไลน์ ใส่เมโลดีกับฮุกเข้าไป แล้วค่อยไปต่อเรื่องโปรดักชันทีหลังค่ะ
แรงบันดาลใจในการทำเพลง นานาจิตตัง
ก่อนหน้านี้ช่าปล่อย EP ที่ชื่อว่า YUM ค่ะ ซึ่งชื่อก็ตรงตัวเลย เพราะใน EP นี้มีทั้งหมด 6 เพลงที่หลากหลายมาก ทั้งแนวเพลง รสชาติของดนตรี ไปจนถึงสไตล์การร้องและการเล่าเรื่องของเราเอง ซึ่งช่าเข้าใจนะคะว่าคงไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบทั้ง 6 เพลง เพราะมันต่างกันมากจริงๆ ซึ่งพอปล่อยออกมาแล้วก็ได้รับฟีดแบคหลากหลายเหมือนกัน แต่เราก็เข้าใจ และนั่นแหละค่ะที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้เราแต่งเพลง นานาจิตตัง ขึ้นมา
เพราะสุดท้ายแล้ว รสนิยมเป็นเรื่องเฉพาะตัวมากๆ เราคงไปควบคุมหรือคาดหวังให้ทุกคนชอบเพลงเราหรือแม้แต่ชอบตัวเราไม่ได้ เหมือนที่เราก็ไม่ได้ชอบทุกอย่างบนโลกนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้ทุกคนต้องชอบเราทุกด้าน มันก็ดูจะไม่ Realistic เท่าไหร่เนอะ แต่สิ่งที่เราทำได้ คือทำเพลงด้วยความตั้งใจ และเป็นตัวเองให้มากที่สุดค่ะ


เล่าเบื้องหลังเพลง นานาจิตตัง ให้เราฟังหน่อยว่ามีจุดเริ่มต้นยังไง
คำว่า นา นา จิตตัง คือคำแรกเลยที่ลอยขึ้นมาในหัวตอนแต่งเพลงนี้ ท่อนฮุกมันผุดขึ้นมาเลยว่า
‘นา นา จิต ตัง~~ จะ แคร์ เอวี่บอดี้ติง ทำไม~~’
ตอนนั้นนั่งเล่นๆ อยู่ แล้วอยู่ดีๆ ก็ร้องออกมาแบบไม่ได้คิดอะไร มันก็เลยกลายเป็นไอเดียหลักของเพลงนี้ไปเลย เพราะรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่อยู่ในใจลึกๆ พอคิดไปคิดมา มันก็สะท้อนวิธีพูดของเราในชีวิตจริงด้วยนะ เพราะเราพูดไทยกับอังกฤษสลับกันมาตลอด โตมากับการใช้สองภาษาควบคู่กัน เพลงนี้ก็เลยออกมาในจังหวะภาษาแบบนั้น เป็นธรรมชาติของเราเลย จริงๆ ก่อนหน้านี้ เพลงที่เราปล่อยมักจะเป็นเพลงสากล แล้วเวลาคนฟังรู้ว่าเราเป็นคนไทย ก็มักจะแปลกใจว่า ‘อ้าว คนไทยเหรอ พูดชัดจัง’ หรือ ‘นึกว่าอินเตอร์กว่านี้’ (หัวเราะ)
เราก็เลยคิดว่า เออ จริงๆ แล้วเราอยากให้คนไทยรู้ว่า ‘เฮ้ย เราอยู่นี่นะ เราเป็นคนไทยนะ’ ถึงเราจะมีเชื้อสายอื่นด้วย แต่เราก็ใช้ชีวิตอยู่เมืองไทย เรารู้สึกผูกพันกับที่นี่ เพลง นา นา จิตตัง ก็เลยเหมือนเป็นการ mid-take category ไทย คือไม่ใช่เพลงไทยจ๋า แต่ก็ไม่ใช่เพลงฝรั่งจ๋า มันคือสิ่งที่สะท้อนตัวเราทั้งหมด เป็นเพลงที่พูดด้วยภาษาที่เราสบายใจที่สุด พูดด้วยเสียงของเรา และเราหวังว่ามันจะสะท้อนตัวตนของเราให้คนฟังได้เห็นมากขึ้นค่ะ
แล้วที่มาของ MV เพลงนี้ล่ะ
มันเริ่มมาจากไอเดียของหน้าปกเลยค่ะ จาก visual ที่มีชฎา เพราะรู้สึกว่าชฎามัน so unique มากในเชิงวัฒนธรรมไทย คือแค่เห็นก็รู้เลยว่า อันนี้เอเชียแน่ๆ ไทยแน่ๆ มันตะโกนออกมาด้วยภาพเลย ตอนนั้นก็คิดในใจว่า ‘จะใส่ชฎาเลยเหรอวะ?’ คือมันไม่ใช่อะไรที่คนจะใส่กันบ่อยๆ ในเพลงป็อป หรือเพลงที่พูดเรื่องตัวตนแบบนี้ แต่จริงๆ ตั้งแต่ต้นโปรเจกต์ก็มีคำถามกับตัวเองหลายอย่างนะ แบบ ‘เราจะตั้งชื่อเพลงว่า “นา นา จิตตัง” จริงเหรอ?’ หรือ ‘จะทำเพลงที่ไม่ได้เป็นเพลงรักทั่วไป คนจะอินมั้ย?’ มันไม่ใช่ชื่อเพลงที่คนใช้กันบ่อย
แต่พอทุกครั้งที่มีความรู้สึกแบบนั้น ความลังเล กลัวโดนมองแปลก เราก็จะพูดกับตัวเองว่า
“ถ้ายิ่งกลัว ยิ่งเขิน ยิ่งเดา ยิ่งต้องไปให้สุด” ก็เลยแบบว่า “ไป จัดไปค่ะ!” (หัวเราะ) เลยใส่ชฎาเข้าไปเลย และใน MV ก็มีทั้งหมด 3 ลุค ซึ่งแต่ละลุคก็ตั้งใจให้เป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นไทย ความโมเดิร์น และความเป็น ตัวเรา เพราะจริงๆ เราเป็นลูกครึ่ง และเราอยากให้เพลงนี้สื่อสารถึงประสบการณ์แบบ hybrid ของเรา ทั้งในด้านภาพและเสียง มันไม่ใช่แค่เพลง แต่มันคือวิธีที่เราเล่าเรื่องของตัวเองออกมาผ่านศิลปะค่ะ ทุกอย่างในเพลงนี้เราดีไซน์และเขียนมันด้วยตัวเองหมดเลยค่ะ

โมเมนต์ไหนที่ชอบที่สุดในการทำเพลงนี้
โมเมนต์ที่ช่าภูมิใจมากๆ คือ MV นา นา จิตตัง ช่าตัดต่อเองทั้งหมด 100% เลยค่ะ คือช่วงนั้นแบบ 3 วันรวด ไม่ได้นอน ตัดแบบไม่หยุดเลย ไม่ได้เรียนฟิล์มหรือเรียนตัดต่อมาโดยตรง แต่ว่าใช้ใจล้วนๆ ลองผิดลองถูก เปิดดูวิธีตัดต่อใน Youtube หาวิธีตลอดเวลา ไหนจะฟุตเทจที่ถ่ายมาเอง วางแผนมาเอง ตัดเองหมดเลยทุกช็อต
มันเหนื่อยนะ แต่ภูมิใจมากๆ เพราะมันคือชิ้นงานที่เราอยู่กับมันทุกขั้นตอนจริงๆ ตั้งแต่คิดคอนเซ็ปต์ ถ่ายทำ ไปจนถึงโพสต์โปรดักชัน ทุกอย่างมาจากมือเรา มาจากหัวเราเลยค่ะ
ภูมิมใจไหมกับผลงานที่ออกมาไหม
ภูมิใจค่ะ ภูมิใจมากจริงๆ มันมีความฟูลฟีลแบบ… ไม่ว่าใครจะพูดว่ายังไง หรือบางคนอาจจะไม่ชอบ แต่เรารู้ตัวเองดีว่าเราทุ่มเทกับมันแค่ไหน ทุกซีน ทุกดีเทล prop การแต่งตัว ทุกคำพูด ทุกจังหวะ ทุกความรู้สึกใน Harmony มันมาจากเราเองหมดเลย
เราได้ทำเพลงนี้กับพี่ปกป้อง จิตดี ซึ่งเราไม่ได้แค่ร่วมงานในฐานะนักร้องนะ แต่เราทำด้วยกันทั้งในมุมของโปรดักชัน การเขียนเพลง คำร้อง MV ภาพที่เห็น ทุกอย่างมันคือสิ่งที่เราตั้งใจเลือกเองทั้งหมดเลยจริงๆ มันไม่มีตรงไหนที่เรารู้สึกว่า “อืม… ไม่ค่อยชอบ แต่ทำไปเถอะ” อะไรแบบนั้นเลย ไม่มีแบบ “โอเค เอาตามคนอื่นก็ได้” เรารู้สึกว่า ณ จุดนี้ เรามาไกลมากในเส้นทางของเราเอง ทั้งในมุมของความเป็นศิลปินและตัวตนของเราเอง ทุกอย่างมันสะท้อนความเป็นเรา จริงๆ
แน่นอนว่าถ้ามองย้อนกลับไป อาจมีบางจุดที่คิดว่า “ถ้าทำแบบนี้อาจจะดีกว่านี้” แต่นั่นแหละ มันกลายเป็นเรดาร์ไว้สำหรับพัฒนาครั้งหน้า แต่ในตอนนี้ บอกได้เลยว่า ภูมิใจมาก และยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งรู้สึกว่าเพลงนี้มีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ เรารู้สึกเต็มไปด้วยพลัง ฟูลฟีลจริงๆ ค่ะ
อย่างนี้เพลงต่อๆ ไปจะเป็นคนตัด MV ด้วยหรือเปล่า
ตอนนี้ยังไม่มีใครช่วยตัดต่อเลยค่ะ (หัวเราะ) ก็เลยคิดว่าน่าจะต้องลองทำเอง ทำให้สุดเท่าที่เราจะทำได้ อาจจะไม่ได้เป๊ะมาก ไม่รู้ว่าจะออกมาดีแค่ไหน แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเราทำเต็มที่แล้วจริงๆ คือเราก็อยากเรียนรู้สกิลอื่นๆ ด้วยนะ เรารู้สึกว่าความครีเอทีฟมันไม่ใช่แค่เรื่องเพลง ไม่ใช่แค่การเขียนเนื้อร้อง แต่มันรวมไปถึงการตัดต่อ การถ่ายภาพ ทุกอย่างมันต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ทั้งนั้น มันเหมือนเราได้ใช้สมองในมุมอื่นๆ ที่ไม่เคยใช้บ่อยๆ เหมือนได้สลับหมวกไปมาในแต่ละบทบาทของการเป็นศิลปิน เพราะเราเป็นอิสระไง เราก็ต้องใส่หมวกหลายใบ ถ้าเราชอบที่จะเรียนรู้ เราว่าเราจะสนุกไปกับมันได้แน่นอนค่ะ

อยากฝากอะไรไปถึงคนฟังผ่านเพลงนี้
ตอนนี้ฟีดแบ็กที่ได้รับ ส่วนใหญ่คอมเมนต์จะบอกว่า ฟังแล้วรู้สึกสบายขึ้น บางคนบอกว่าเปิดฟังตอนทำงาน เจอบอสเครียดๆ อยู่ แล้วพอฟังเพลงนี้เหมือนใจมัน calm ขึ้น เลยแนะนำให้บอสฟังด้วยซะเลย (หัวเราะ) เราก็อยากบอกคนฟังทุกคนนะคะว่า ไม่ต้องคิดมาก หรือจะให้พูดให้ตรงกว่านั้นก็คือคิดมากได้นะ แต่หลังจากนั้น ก็ไม่ต้องคิดมาก เพราะจริงๆ แล้วเราหยุดความคิดของตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว
ช่าก็เป็นคนนึงที่คิดมากเกินไป เพลงนี้มันเลยเหมือนเป็นการเตือนตัวเองด้วยว่าราต้องบาลานซ์ให้ได้ระหว่างความคิดที่มันวิ่งวนในหัว กับสิ่งที่มีความหมายจริงๆ กับเรา แต่ถ้าเป็นเสียงจากคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้า หรือไม่ได้เป็นพลังบวก เราก็อยากชวนให้ ชิลล์เอาต์ กับมันหน่อยค่ะ
ด้วยความที่เป็นลูกครึ่งไทย-เยอรมันคิดว่าสองวัฒนธรรมนี้มีอะไรที่หลอมรวมกันอยู่ในตัวเอง
คิดว่าความเป็นลูกครึ่งเยอรมันของช่าเนี่ย มันทำให้เราเป็นคนพูดตรงๆ ค่อนข้าง to the point เลยค่ะ แล้วก็จะมีความ effective ในการสื่อสาร คือพูดอะไรก็จะพูดให้ชัดเจน ไม่อ้อมค้อม ซึ่งเราก็รู้ตัวนะว่าเป็นคนตรงจริงๆ
ส่วนความเป็นไทย ช่าว่าน่าจะมาจากเรื่องของความเกรงใจ แล้วก็ sense of humor ของคนไทยที่ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ ช่ารู้สึกว่าคนไทยมีมุก มีความตลกที่เฉพาะตัว แล้วก็มีเซนส์ในการเล่นคำกับภาษา อย่างเพลง “นานาจิตตัง” เองก็ได้แรงบันดาลใจจากตรงนี้เยอะเลยนะ คือมันมีการเล่นคำ เล่นมุก ที่ฝรั่งอาจจะไม่เข้าใจได้ง่ายๆ แต่มันคือความสนุกเฉพาะของภาษาไทย
แต่ช่วงที่อยู่ลอนดอน ก็เป็นอีกโลกหนึ่งเลยค่ะ เพราะลอนดอนเป็นเมืองที่มีคนจากทั่วโลกอยู่ร่วมกัน ช่าได้เจอความหลากหลายเยอะมาก แล้วก็ได้เรียนรู้เรื่อง logic, structure, การใช้เหตุผล ซึ่งมันต่างจากพลังของความรู้สึกที่เราคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก ด้านดนตรีที่นั่นก็ค่อนข้างเปิดกว้าง เลยได้ซึมซับความ flowy แบบอังกฤษมาเยอะเหมือนกัน
มองภาพตัวเองในอีก 3 ปีข้างหน้าไว้ยังไง
โห อีก 3 ปีข้างหน้าเหรอคะ พูดตรงๆ เลยนะ ตอนนี้ยังเห็นตัวเองได้แค่ถึงเดือนตุลานี้เองค่ะ (หัวเราะ) แต่ถ้ามองไปไกลกว่านั้น ช่าเชื่อว่าตัวเองก็น่าจะยังอยู่ในเส้นทางนี้แน่นอน ยังทำดนตรี ยังอยู่กับสิ่งที่รัก
แต่อีก 3 ปี ช่าก็หวังว่าตัวเองจะเล่นกีตาร์เก่งขึ้น แต่งเพลงที่โดนใจคนฟังได้มากขึ้น อาจจะมีคอนเสิร์ตของตัวเอง มีโอกาสได้ทัวร์ ไปเจอคนฟังในหลายๆ ที ก็หวังว่าจะมีคนที่ฟังเพลงเรามากขึ้น เข้าใจสิ่งที่เราสื่อสารมากขึ้นค่ะ
ดนตรีมีอิทธิพลกับชีวิตยังไง
ช่ารู้สึกว่าดนตรีมันคือ the point of existence เลยค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องของการร้องหรือการเขียนเพลงเท่านั้น แต่มันคือสิ่งที่เติมสีสันให้กับชีวิตเราจริงๆ
บางทีแค่หลับตาแล้วได้ฟังเพลง มันก็เหมือนเราได้รู้สึกถึงการมีชีวิตอยู่ ดนตรีสำหรับช่าคือประสบการณ์ของการมีชีวิตอยู่ทั้งหมดเลยค่ะ เพราะมันอยู่กับเรามาตั้งแต่เกิด มันอยู่กับทุกช่วงเวลาในชีวิตเรา เพลงมันเหมือนอากาศเลยค่ะ ถ้าให้เลือกระหว่างการมองไม่เห็นกับการไม่ได้ยิน มันยากมากนะ แต่สำหรับช่า ถ้ามองไม่เห็นก็อยู่ยาก แต่ถ้าไม่ได้ยินมันเหมือนจะไม่มีเหตุผลที่จะอยู่เลยจริงๆ

ถ้าเปรียบเทียบ Cupnoodle เป็นถ้วยบะหมี่ถ้วยนึง บะหมี่ถ้วยนั้นรสชาติจะออกมาเป็นยังไง
ถ้าจะเปรียบตัวเองเป็นถ้วยบะหมี่ ช่ารู้สึกว่ามันสะท้อนความเป็นเราดีเลย เพราะการเป็นถ้วยบะหมี่มันคือการรวมหลากหลายรสชาติไว้ด้วยกัน เพราะงั้นถ้าจะให้บอกว่าเราเป็นรสไหนรสเดียว มันก็ยากมากเลยค่ะ เพราะเราก็มีหลายด้าน แต่ถ้าต้องเลือกจริงๆ น่าจะเป็น ต้มยำกุ้ง ค่ะ
เพราะว่ามัน เปรี้ยว แซ่บ เค็ม หวานนิดๆ มันมีความจี๊ด มีความกลมกล่อม แล้วก็ยังมีความเซอร์ไพรส์อยู่ในตัวเอง ช่าว่ามันใกล้เคียงกับตัวเองที่สุดค่ะ
ถอดความโดย: อิทธ์พัทธ์ แสนเพ็งเคน


