เป็นอีกวงที่ผู้เขียนสนใจอย่างมากกับวง Coldrain วง Post Hardcore จากญี่ปุ่นที่นำเอา Element เพลงแบบ Post Hardcore รวมถึงการเขียนเพลงเป็นภาษาอังกฤษสไตล์ American มาผสมกับการใช้เมโลดี้ไหลลื่นแบบญี่ปุ่น กลายเป็นวงที่ลงตัวทั้งความดุเดือดและความไพเราะในเวลาเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นวงเคยอยู่ค่าย Hopeless Records ที่เคยมีศิลปินในสังกัดอย่าง A7X, The Used ที่สำคัญกว่านั้นวงก็ยังทะยานความแมสไปอีกกับการได้เป็นเพลงประกอบอนิเมะอย่าง Fire Force และ Bastard อสูรร้ายจอมราชันย์ที่อยู่ใน Netflix เรียกได้ว่าการมาเยือนไทยครั้งแรกของวงก็ทำให้ผู้เขียนอดใจไม่ไหวยอมกดซื้อบัตรก่อนวงจะเล่นเพียงไม่กี่วัน
และแล้วก็มาถึงวันที่ 26 พ.ค. ณ The Street Hall รัชดา ด้วยความที่ทุกคนย่อมรู้กันว่าวันศุกร์ตอนเย็นย่อมรถติดกันเป็นธรรมดา ทำให้ผู้เขียนพลาดในการดูวงแรกอย่าง Annalynn วงเมทัลสัญชาติไทยไปโดยปริยาย แต่โดยส่วนตัวผู้เชียนเคยไปดูเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นคอนเสิร์ต Support อัลบั้มล่าสุดอย่าง A Conversation With Evil ที่เรียกได้ว่าตราตรึงกับความเดือดดาลกันเลยที่เดียว

ทีนี้ยังมีอีกวงที่มาเล่นเปิดวงอย่าง Paledusk วง Metalcore จากญี่ปุ่นที่โดดการผสมกันระหว่าง Metalcore, Industrial Nu-metal และ EDM กลายเป็น 1 ชั่วโมงของโชว์ที่ไม่สามารถเดาได้ว่าวงกำลังเสิร์ฟอะไรให้เราฟังกันแน่ เพราะการเรียบเรียงแต่ละเพลงสร้างความเซอร์ไพรส์และทำคนฟังหัวทิ่มกันไปเลย ไม่ว่าจะเรื่องเพลงที่มีสัดส่วนความ Metal และพอเข้ามาท่อนฮุคก็กลายเป็นเพลงเมโลดี้ Pop ใส ๆ ซะงั้น
เรียกว่าวงขนเพลงมาอย่าง Slay, BBB, Blackice และที่ผู้เขียนชอบที่้สุดอย่าง I’m Ready To Die For My Friends ที่มีทั้งความสดใสจากการใช้ Melody การใช้ Synth ผสมกับเสียง Scream เรียกว่าเป็นโชว์ที่สนุกจากวงที่พลังเหลือล้นและความอิหยังวะในการเรียบเรียงเพลงเช่นเดียวกัน (ญี่ปุ่นนี่มันญี่ปุ่นจริง ๆ เลย)


และแล้วเวลา 21.40 น. วงที่เรารอคอยอย่าง Coldrain ก็ได้เปิดตัวด้วยเพลงที่อลังการก่อนจะเสิร์ฟด้วย Help Me Help เป็น Title Track ของอัลบั้มล่าสุดอย่าง Nonnegative เรียกได้ว่าผู้คนต่างยืนกันไม่ติดและตื่นตาตื่นใจพลังอันเหลือล้นและความหล่อของ Masato นักร้องนำของวง (ผู้เขียนเองก็ยังบ่นในใจว่าทำไมเขาหล่อจังวะ) ก่อนจะขนเพลงในอัลบั้มล่าสุดอย่าง Calling, Rabbit Hole รวมไปถึงเพลงฮิต ๆ จากอัลบั้มก่อน ๆ อย่าง The Side Effect, Revolution, Envy ที่เรียกได้ว่าขนเพลงมาเสิร์ฟให้คนดูแค่เพลงเร็วกับเพลงมีเดียม ชนิดที่คนดู ๆ อย่างเรายืนกันไม่นิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นผู้เขียนก็ยังไปรวม CIrcle Pit, Mosh Pit โดยไม่ได้ยี่หระต่อสังขารตัวเองที่เป็น Long Covid เลยสักนิด (แต่พอออกมาคือหอบแดก) ความน่าสนใจคือถึงวงจะเล่นเพลงในจังหวะเร็วกับปานกลางแต่แรงไม่ตกเลยสักนิด ทั้งเสียงร้องและการเอนเตอร์เทน เรียกว่าบนเวทียังชิว ๆ แต่คนดูเริ่มหยิบยาดมมาสูดหายใจกันแล้ว แต่ก็ยังมีการทักทายพูดคุย ๆ กันสั้น ก่อนครึ่งหลังจะจัดเพลงเอาใจแฟนอนิเมะอย่าง Bloody Power Fame และ Mayday ที่ได้ บอน นักร้องนำจาก Annalynn มาร่วมแจมเป็นโมเมนท์ที่หายากและดีงามอย่างยิ่ง


ก่อนจะเอาเพลงแรกที่ทำให้คนรู้จักอย่าง The Revelation ที่ได้ Kaito จาก Paledusk มาแจมเพื่อเพิ่มความเดือดก่อนจะปิดด้วย Paradise (Kill The Silence) เพลง Post Hardcore เท่ ๆ ที่ปิดโชว์หลักอย่างสวยงาม
ก่อนจะจัด Encore Set อย่าง Gone, No Escape และ Final Destination ที่เป็นงานเพลงยุคแรก ๆ ให้เต็มอิ่มไปกับ 16 เพลงที่จบโชว์และอยากได้ยาดมมาสูดกันเลย แถมทางวงยังบอกว่า “นี่เป็นการมาไทยครั้งแรก แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน” ก็หวังว่าในอนาคตจะได้ดูกันอีก เป็นอีกงานที่ประทับใจทั้งโชว์ ทั้งคนดูที่ร่วมสนุกไปกับวง อีกทั้งเป็นงานที่ได้เจอศิลปินสายร็อคที่ผู้เขียนชื่นชอบหลายวง (ซึ่งผู้เขียนก็ไปของถ่ายรูปกับวง Sweet Mullet มาด้วย ดีใจที่วงกลับมาทำเพลงและผู้เขียนรักเพลงล่าสุดอย่าง Something’s Missing มาก)
สุดท้ายขอบคุณทาง Loudly Prefer ที่นำวงดี ๆ มาไทยนะครับ

Contributors
Contributors
พนักงานออฟฟิศที่ชอบเข้างานเลทแต่เลิกงานตรงเวลา หลงรักเสียงดนตรีแสงสี งานภาพยนตร์มากกว่าบัญชีรายรับรายจ่าย เป็นคนสู้งานแต่งานสู้กลับจนบ่นปวดหลังในทุกๆ วัน