‘ปล่อยให้ความรักเราติดอยู่กับฉัน มีร่องรอยของความเสียใจฝังอยู่’

            เราเชื่อว่าหลายคนเมื่ออ่าน 2 ประโยคนี้จบแล้ว ต้องเผลอร้องตามมาด้วยท่อนร้องที่ว่า

            ‘เมื่อเธอนั้นเดินจากไป

            เพลงเศร้าที่ไม่ว่าจะอกหักหรือมีรักใหม่ไปแล้วก็ยังรู้สึกเศร้าอยู่เมื่อกลับมาฟังอีกหน 

            ปล่อย

            เพลงเศร้าอมตะที่แม้จะออกมาแล้วกว่า 5 ปี แต่หลายคนยังคงร้องไปด้วยกันได้ และหลายคนยังคงฟังมาจนถึงตอนนี้

            วง Clockwork Motionless คือเจ้าของผลงานการถ่ายทอดความเจ็บปวดผ่านเพลงนี้ ดูเหมือนพวกเขาจะห่างหายจากการทำเพลงกันไปนาน แต่ในปีนี้พวกเขากลับมาพร้อมกับอัลบั้มใหม่ที่พร้อมจะไขประตูเข้าสู่ความทรงจำและห้วงอารมณ์ของผู้คนอย่างลึกซึ้งมากกว่าเดิม

            ความพิเศษยิ่งไปกว่านั้นคือการได้กลับมาทำงานร่วมกันกับบิว-ธีรศานต์ มีลือ ผู้ที่เคยแต่งเพลงปล่อยให้กับวง Clockwork Motionless อีกด้วย 

            Leave สตูดิโออัลบั้มใหม่ของพวกเขาในครั้งนี้จะพกกลิ่นอายความเจ็บแบบอมตะมาฝากให้ทุกคนได้หายคิดถึงกัน ซึ่งเราเองก็เชื่อว่าในปีนี้เราจะได้เห็นและได้ฟังอีกผลงานคุณภาพจากวง  Clockwork Motionless กันทั้งปีแบบเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยวอย่างแน่นอน

            เพราะหายหน้าหายตากันไปพักหนึ่ง เราขออัปเดตชื่อสมาชิกทั้ง 4 ของวงให้ฟังกันอีกรอบ

            กัน-เอกชัย ประตังทะสา (ร้องนำ), เม่น-ศิริยศ เรืองตังญาณ (กลอง), บัตร-ธนบัตร ช่างไม้ (กีต้าร์) และ ตูม-เทิดไทย ทองโต (เบส)

            Rhythm เลยชวนเจ้าแห่งบทเพลงเศร้ามานั่งคุยนั่งอัปเดตชีวิตของวงกันเสียหน่อย ตั้งแต่การเริ่มต้นของวง ตัวตน และเสียงเพลงในหัวใจของ Clockwork Motionless 

            แนะนำให้เปิดเพลงปล่อย หรือเพลงอื่นๆ ในอัลบั้มของพวกเขา เพื่อเพิ่มอรรถรสระหว่างทำความรู้จักกับพวกเขาให้มากขึ้นผ่านบทความนี้

จากซ้ายไปขวา: เม่น, กัน, บัตร, ตูม

ฟันเฟืองนาฬิกาที่ (ไม่) หยุดหมุน

ศิลปินผู้เป็นนักวิจัยฝุ่น

            “โอ้โห” 

            เสียงตอบรับลั่นห้องจากทั้ง 4 คน หลังจากที่เราเริ่มถามถึงชีวิตของวง Clockwork Motionless ช่วงก่อนที่จะได้เข้ามาอยู่ค่าย genie records ในเครือ GMM Grammy

            “อธิบดีกรมวิจัยฝุ่นครับ เตะฝุ่นดีๆ นี่แหละครับ”

            เม่นตอบติดตลกก่อนที่กันจะขยายมุกตลกนี้

            “ชีวิตช่วงนั้นคือช่วงมหา’ลัย ตอนเริ่มต้นวงด้วยชื่อ Clockwork Motionless มันเป็นช่วงที่ผมทำโปรเจกต์จบมหา’ลัยอยู่ไปพร้อมกับวงที่ต้องทำ ชีวิตช่วงนั้นยุ่งเหยิงพอสมควร ความรู้สึกตอนนั้นคือ เราทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างเลยเหรอชีวิตนี้ โปรเจกต์ก็ยาก เพลงก็อยากทำ เพราะมันเป็นความฝันของเรา แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้

            “ช่วงเวลาที่สนุกอีกช่วงคือช่วงทำเพลง ปล่อย ซึ่งช่วงที่ออกเพลงนั้ เรายังไม่ได้เซ็นสัญญากับ GMM Grammy แต่เพลงนั้นเป็นเพลงที่สนามหลวงดูแลสิทธิ์ให้ครับ”

            แม้ว่าค่ายสนามหลวงจะทำการดูแลในเรื่องลิขสิทธิ์ของเพลงให้วง แต่เรื่องการทำเพลง หรือทำ Music Video วงต้องทำสองสิ่งนี้ไปพร้อมๆ กันในทุกขั้นตอนด้วยตัวเอง 

            ตูมบอกกับเราต่อว่า “ตอนนั้นวงก็ยังทำงานกันเหมือนเดิม แต่เราพยายามหาเวทีประกวด หาโอกาสต่างๆ ไปขึ้นเวทีประกวดของฟังใจ จนมีโอกาสได้เล่นบนเวที Tiger Jams 2 แล้วก็มีของสนามหลวงที่เขาเปิดพอดีด้วย เราเลยได้โอกาสจากตรงนั้นครับ แล้วเราก็ทำงานคือเล่นดนตรีตอนกลางคืนกันปกติ แต่ก็ยังพยายามทำให้วงเรามันไปข้างหน้าอยู่ครับ”

            เม่นเสริมส่วนขยายของคำว่า อธิบดีกรมวิจัยฝุ่น ให้เราฟังอีกรอบ

            “ของผมคือระหกระเหินเลยครับ พอเรียนจบ ดนตรีก็ไม่ค่อยได้เล่นเพราะผมผันตัวไปทำงานประจำ ทำได้เดือนกว่าๆ ก็ออกมา เพรารู้สึกว่าผมไม่เหมาะกับอะไรแบบนั้น ช่วงนั้นถือว่าก็ถือว่าหนักเลยเหมือนกัน ผมแค่ต้องการจะเล่นดนตรีกับเพื่อนตัวเองครับ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมตัดสินใจในวันนั้นมันก็ เริ่มตอบคำถามของผมในตอนนี้ได้แล้วครับว่า ผมเลือกถูกหรือเปล่า”

ความสัมพันธ์ที่ลงตัว

            หากใครเป็นแฟนวง Clockwork Motionless มานาน อาจจะพอรู้กันอยู่บ้างแล้วว่า พวกเขาโคจรมาเจอกันได้อย่างไร

            “เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม มีผม (กัน) ตูม เม่น เรียกว่าทำวงกันตั้งแต่ตอนนั้น ทำเป็นวงเล่นงานโรงเรียน พอโรงเรียนมีเทศกาลอะไรก็จะมีวงดนตรีขึ้นไปเล่น เราก็พยายามซ้อม หาเพลงไปเล่นด้วยกันสนุกๆ แต่สุดท้ายพอเราเรียนจบ เราก็เริ่มรู้สึกว่าเราชอบทางนี้จริงๆ เราน่าจะทำวงแล้วก็ตามหาความฝันนะ จนเวลาผ่านไปเราก็ได้ปล่อยเพลงปล่อย และได้มาอยู่ที่ค่ายสนามหลวง ช่วงนั้นก็จะได้เจอกับพี่บัตรด้วยครับ”

            ก่อนที่บัตรจะมาร่วมทำวงกับทุกคน บัตรเริ่มต้นที่การเป็น Back Up ให้วงก่อน เวลาผ่านไป 2-3 ถึงจังหวะที่วงกำลังจะได้เข้าไปอยู่ในสังกัด genie records ทุกคนเลยชวนบัตรเข้ามาเป็นสมาชิกวงอย่างจริงจัง

            “ก่อนที่จะได้เข้าร่วมวง ผมชอบเพลงไกลอยู่แล้วครับ แล้วช่วงนั้นผมกับตูมเคยออกงานกลางคืนด้วยกันบ้าง แล้วเราก็คุยกันว่าถ้าอยากหาคนไปทำแบคอัพของวง ให้เรียกกูก็ได้นะ ไปฟรีก็ได้ มันเลยเริ่มจากตรงนั้น”

            “เราได้คิดโชว์คิดเพลงด้วยกัน สุดท้ายพอวงจะย้ายค่าย พวกนี้ก็โทรมาหาผม แล้วบอกให้ผมไปหาที่บ้านหน่อยพอดีมีเรื่องจะคุยด้วย พูดแบบนั้นมันน่ากลัวมากนะ ผมก็ระแวง พวกมันจะล่อกูไปทำอะไรวะ (หัวเราะ) สุดท้ายคือวงกำลังจะย้ายค่าย แล้วจะเอาผมไปเป็นเมมเบอร์ด้วย ผมก็ดีใจที่เราได้เข้ามาเป็นเมมเบอร์ด้วย เพราะว่าเราคลุกคลีกันมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว”

เสกเพลงให้เป็นไทม์แมชชีน

            ถ้าเราลองเสิร์ชชื่อวง Clockwork Motionless บนแพล็ตฟอร์มใดแพล็ตฟอร์มหนึ่ง เราคงเห็นว่าชื่อเพลงแต่ละเพลงช่างเต็มไปด้วยความเศร้า ความเจ็บปวดหรือการจากลา มองเผินๆ คงดูเหมือนว่า เพลงเหล่านี้เป็นกระจกสะท้อนตัวตนของผู้เสพติดความเจ็บปวดอย่างพวกเขา

            “โดยพื้นฐานพวกเราชอบฟังเพลงเศร้ากันอยู่แล้ว เพราะเพลงเศร้าทำให้เรานึกถึงและเห็นความทรงจำที่เราอยากเห็นได้ชัดเจนขึ้น พอเราฟังเพลงแล้วเรารู้สึกกับมัน เราจะจำได้ว่าวันนั้นเราทำอะไรบ้าง แล้วเรารู้สึกอะไรบ้างในวันนั้น 

            “พวกเราเลยพยายามที่จะสื่อสารผ่านดนตรีครับ พยายามที่จะทำให้คนฟังรู้สึกว่า ได้นึกถึงความทรงจำ อยากทำให้ภาพความทรงจำมัน Flashback ถึงแม้ว่าวันนี้เราไม่ได้อกหัก เราไม่ได้เศร้า แต่อย่างน้อยมันก็เตือนเราให้จำได้ว่า วันที่เราเศร้ามันแย่แค่ไหน” กันอธิบาย

            “เราจะได้ไม่ทำอีก คือจำเอาไว้เป็นบทเรียนให้ตัวเองครับ” ตูมเสริม

            ทุกคนล้วนมีประสบการณ์ตรงเรื่องความเศร้าหรือความทรงจำที่เจ็บปวดกันอยู่แล้ว จะบอกว่าพวกเขาชอบความเจ็บปวดจึงมักสร้างเพลงเศร้าออกมาก็ไม่ถูกนัก เพราะ Clockwork Motionless เชื่อว่าแต่ละคนสามารถจัดการกับความทรงจำอันแสนเจ็บปวดได้ในแบบของตัวเอง

            “ถามว่าชอบความเจ็บปวดหรือเปล่า ผมว่าผมชอบฟังเพลงที่ผมฟังแล้วผมรู้สึกอิน ซึ่งส่วนใหญ่ที่ฟังเป็นเพลงช้าหมดเลย ผมว่ามันแสดงความรู้สึกได้ตรงไปตรงมาดี เพลงเศร้าก็เศร้าไปเลย บางเพลงบรรยากาศดีก็บรรยากาศดีไปเลย ส่วนใหญ่มันตรงกับความรู้สึกเลยอยากถ่ายทอดอะไรแบบนี้ด้วยครับ เฉียบครับ ขอบคุณครับ”

            เม่นตอบแบบจริงจังแต่จบด้วยจังหวะมุกเล็กๆ ที่ทำเอาทุกคนต้องหัวเราะตามไปด้วย แม้ตัวอักษรจะส่งเสียงออกไปให้ผู้อ่านได้ยินไม่ได้ แต่เราอยากบอกจริงๆ ว่า Clockwork Motionless คือวงที่ชอบผลิตเพลงเศร้า แต่ขยันปล่อยมุกตลกกันไม่หยุดตลอดหนึ่งชั่งโมงที่เราคุยกันเลย

เพลง “ปล่อย” ที่แปลว่าปล่อยจริงๆ

            เพลง ปล่อย เป็นเพลงแรกที่ปล่อยหลังจากได้ร่วมงานกับค่ายเพลงสนามหลวง ซึ่งแน่นอนว่าทุกครั้งที่ปล่อยผลงานออกสู่สายตาสาธารณชน ผู้ผลิตผลงานย่อมคาดหวังผลลัพธ์ที่สูงๆ เอาไว้เสมอ

            “แสนวิวถ้วนครับ”

            ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันแล้วขำกันอีกรอบ เพราะยอดวิวเพลงปล่อยในตอนนี้ พุ่งสูงขึ้นถึง 224 ล้านวิว จนรูปหน้าปกคลิปที่แสดงตัวเลขยอดวิวตามไม่ทันยอดวิวจริงๆ ของคลิปแล้ว และเราเชื่อว่ายอดวิวจะยังขึ้นสูงอยู่เรื่อยๆ เพราะเพลงปล่อยถือเป็นอีกเพลงอมตะที่ยังติดอยู่ในใจของใครหลายคน

            “หลักแสนสำหรับเราในตอนนั้น มันไม่ใช่แค่ใช้ได้นะ หลักแสนคือดีที่สุดแล้ว เพราะเราไม่เคยทำมันถึงครับ ตอนนั้นยอดวิวสูงสุดของเราคือสองหมื่นกว่า เพราะก่อนหน้าเพลงปล่อย เราก็ได้ทำเพลงอื่นออกไปเหมือนกัน” บัตรเสริม

            “ตอนแรกว่าจะปิดซอยฉลองใช่ไหม ตอนนี้สองร้อยล้านแล้วก็ยังไม่เห็นฉลองเลย” 

            คำตอบของกันเรียกเสียงหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะเล่าให้เราฟังต่อ

            “จำได้ว่าตอนถ่าย MV ทีมงานเขาโทรมาขอไฟล์งานต่างๆ แล้ว แต่เรายังอัด MV กันไม่เสร็จเลยนะ เพลงก็ยังอัดไม่เสร็จด้วย เพราะเราลุยทำทั้งสองอย่างนี้ไปพร้อมๆ กันด้วยตัวเองเพราะได้คิวแค่ช่วงนั้น พวกเราทำกันเองหมดเลย มันก็สนุกดี”

            เพลงปล่อยที่ทยานไปมากกว่าแสนวิว อาจไม่ได้เปลี่ยนอะไรสำหรับพวกเขานัก แต่สร้างอีกหนึ่งความท้าทายของชีวิตให้พวกเขาขึ้นไปขั้น

            “พอเพลงขึ้นล้านวิวแล้วในตอนนั้นมันก็ยังเหมือนเดิมครับ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย แต่มันจะไปกดดันแทนครับ”

            แต่จริงๆ แล้วในช่วงนั้นเองวงก็มีโอกาสได้ขึ้นโชว์อยู่บ้าง ได้ขึ้น Festival ที่ทางค่ายสนามหลวงพยายามหาเวทีมาให้พวกเขาได้แสดงศักยภาพ

            “ก็มีโชว์เข้ามาให้ขึ้นแสดงบ้าง แต่มันก็ไม่ได้เยอะเหมือนศิลปินท่านอื่น อย่างศิลปินท่านอื่นมีงานเต็มตาราง 30 วัน แต่เรานี่ โอ้โห…” บัตรปู

            “เต็ม 30 วันเหมือนกัน?” ตูมชง

            “หึ ว่างครับ” บัตรตบมุกลูกคู่กับตูมเสร็จสรรพแล้วก็กลั้วขำกันอีกรอบ 

            แม้ว่าเรื่องที่เราคุยกันจะดูเป็นเรื่องที่จริงจัง แต่ความติดตลกของพวกเขาทำให้บรรยากาศที่เรานั่งคุยกันเหมือนเพื่อนที่มาย้อนเรื่องราวความทรงจำให้กันฟัง และนั่งหัวเราะอย่างมีความสุขให้กับเรื่องราวที่ผ่านมา

            กันกลับมาเล่าให้เราฟังต่อถึงความกดดันที่เกิดขึ้นระหว่างทำเพลง “ไกล” เป็นเพลงที่ออกมาหลังจากเพลงปล่อยได้ประมาณครึ่งปี

            “เราทำเพลงภายใต้ความกดดันของตัวเองครับ พอมาฟังแล้ว เรารู้สึกได้เลยว่ามันไม่ใช่เราเลย สุดท้ายก็ต้องวางทุกอย่างลง แล้วก็ทำตามหัวใจตัวเองครับว่าตอนนี้เรา รู้สึกยังไง มันก้ช่วยเราได้ในเรื่องการวางความกดดันนั้นลง ”

            “ตอนที่เรากำลังจะออกเพลงที่สอง เราทำเพลงมาอีกเพลงหนึ่งหรือสองเพลงนี่แหละ  แต่สุดท้ายเราก็ไม่เอา เราทิ้งมันไปเลย” ตูมเสริม

            ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าความกดดันนั้น ทำให้การทำเพลงต่อมาของวงดูท่าว่าจะไปไม่รอด

            “ผลงานมันตอบเองเลยครับว่าไม่ดี คือเราทำเพลงออกมาได้ไม่ดีเลย ซึ่งเรารู้ได้ด้วยตัวเองเลยว่า อันนี้มันไม่ใช่เราแล้ว เราพยายามกันมากเกินไป จนลืมที่จะฟังเสียงของหัวใจของตัวเอง สุดท้ายเราก็เลยวางทุกอย่างลง แล้วก็มานั่งคุยกันว่า จริงๆ แล้วเราอยากจะสื่อสารเรื่องอะไรต่อ จนได้มาเป็นเพลงไกล”

            เพลงไกล เป็นเพลงที่ช่วงนั้นคนสำคัญของกันได้จากไป กันจึงหยิบคอนเซปต์นี้ขึ้นมา และกลั่นกรองเอาความรู้สึกของทุกคนในวงที่เคยมีประสบการณ์จากลามาร่วมเขียนด้วยกันในเพลงนี้

เติมน้ำมันให้ฟันเฟือง

การกลับมาเพื่อการออกจาก…

            จากพลังของเพลงปล่อยและเพลงไกลที่อยู่ภายใต้การสนับสนุนของค่ายเพลงสนามหลวง มาสู่การกลับมาทำอัลบั้มของตัวเองอีกครั้ง หลังได้ก้าวเข้ามาอยู่บ้านหลังใหม่อย่าง genie records 

            บัตรเล่าให้เราฟังว่า จริงๆ แล้วทางวงปล่อยเพลงออกเพลงน้อยมากในแต่ละปี แต่ปีนี้พวกเขากำลังจะได้ปล่อยเพลงเยอะขึ้น พวกเขาดีใจและเชื่อว่าพวกเขาจะได้แสดงผลงานดีๆ ออกสื่อมากยิ่งขึ้น ได้มีโอกาสให้แฟนๆ ได้ติดตามผลงานกันมากกว่าเดิม

            “ผมรู้สึกว่าการทำ Single กับอัลบั้ม มันมีความแตกต่างกันมากเลย แต่สิ่งหนึ่งที่มันเหมือนกันคือ เราต้องคิดคอนเทนต์เกี่ยวกับเพลงที่จะนำเสนอก่อน ซึ่งอัลบั้มเป็นการทำคอนเทนต์ที่มีรายละเอียดเยอะมาก 

“            โดยเฉพาะการที่แตกมันออกเป็น 5 เพลง มันมีความสนุกตรงที่ว่า เราจะรวบรวมทั้ง 5 เพลงเป็นก้อนเดียวได้ยังไง ทุกอย่างต้องเชื่อมโยงกันและเป็นสิ่งที่เราตกผลึกกันมาแล้ว การทำงานเลยเหนื่อยขึ้นแต่สนุกที่ได้ทำ แล้วเราก็ชอบด้วยครับ เหมือนมันได้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก หากเราทำมันได้สำเร็จแล้วเราคงจะรู้สึกภูมิใจกับมันมากๆ ด้วย” 

            กันอธิบายอย่างตั้งใจ ก่อนส่งไม้ต่อให้บัตรเล่าถึงจุดเชื่อมโยงของคอนเซปต์อัลบั้มใหม่ชิ้นนี้

             “อัลบั้มของเราชื่อว่า Leave ครับ คำว่า Leave แปลว่าการจากลาและการออกจาก อย่างเพลงแรกของเราคือ วัตถุทึบแสง เป็นความรู้สึกเจ็บปวดที่เผาทำลายความทรงจำไปเลย ซึ่งเพลงหลังจากนี้ หรือคอนเทนต์ที่เหลือมันจะเป็นการจากลาของเรา ที่ช่วงชีวิตหนึ่งของเราต้องเคยเจอ ไม่ว่าจะเป็นการจากลาแบบตายจาก หรือว่าจากกันโดยไม่ทันร่ำลา หรือว่าการอยากออกจากความสัมพันธ์นี้ แต่ยังออกไม่ได้ คอนเซปต์ของคำว่า Leave จึงเป็นแกนของอัลบั้มนี้ครับ”

            “แกนของอัลบั้มแต่ละเพลงมันก็จะทำหน้าที่ของมัน แต่ละบทบาท แต่ละสังกัดแตกต่างกันไปครับ” เม่นเสริมต่อ

นาฬิกาเรือนเก่าที่เข็มกลับมาเดิน

            “ตอนนี้กระบวนการอัดเพลงเรียกว่า เดินทางมาครึ่งหนึ่ง คิดว่าครึ่งหนึ่งครับ”

            กันบอกกับเราแบบนั้น เพราะพวกเขาเล่าให้เราฟังว่าทางวงมีเดโม่ที่ทำออกมาไว้เยอะมาก และยังไม่ได้อัดอีกหลายชิ้น

            “เรามีเดโม่ทิ้งไว้เยอะมาก เพราะเราต้องมีระยะห่างเพื่อตกผลึกกับมันจริงๆ อย่างเพลงเดโม่บางเพลง เราควรหยิบมันออกมาตามช่วงเวลาที่เหมาะสมครับ อย่างบางช่วงเรารู้สึกว่า วันนั้นเราอาจจะทำออกมาแล้วมันยังไม่ค่อยดี แต่วันนี้เรามาฟังอีกที มันก็อาจจะเหมาะกับช่วงเวลานี้เพราะเรารู้สึกกับมันได้จริงๆ แล้วเราค่อยหยิบเพลงเดโม่เพลงนั้น ขึ้นมาแล้วเอามาถ่ายทอดครับ”

            เราถามถึงเกณฑ์ที่ทางวงใช้ตกผลึกกับเพลงที่ทำ ทุกคนตอบเราเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า

            “ใช้ความรู้สึกล้วนๆ เลยครับ”

            เราคุยกับ Clockwork Motionless มาถึงตอนนี้ สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกได้เลยคือ พวกเขาคือศิลปินที่ไม่เพียงทำงานด้วยความตั้งใจ แต่พวกเขาทำงานด้วยความรู้สึกที่มีร่วมกันเสมอ เป็นอีกวงที่เรารับรู้ได้ถึงความลงตัว ความกลมกล่อม และความรักที่มีต่อการทำเพลงของพวกเขา

            “การหยิบเดโม่เก่ามาทำใหม่สำหรับผม ในเหมือนเป็นการรับสิ่งใหม่เข้ามา พอเรามองย้อนกลับไปดูเดโม่ตัวเก่าก่อนหน้านี้ เราจะรู้สึกว่าเราทำทุกอย่างได้ใหม่ขึ้น หรือต้องไปตัดอะไรที่มันเกินมา พอเรามีเวลาได้รับอะไรใหม่ๆ เยอะขึ้น มันทำให้มองย้อนกลับไปกับเพลงของเราได้ว่า มันยังขาดอะไรเหลืออะไร”

            เพลงๆ หนึ่งถูกประกอบสร้างจากประสบการณ์และเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทุกๆ วัน ด้วยเหตุนั้นเราจึงเดาว่า เดโม่ตัวเดิมที่ใช้เวลาตกผลึกแล้วตกผลึกอีก ต้องกลายมาเป็นเพลงที่คิดมาดีแล้วอย่างแน่นอน

            “เราทิ้งเวลาผ่านไปเพื่อให้มันตกผลึกบางอย่าง เราทิ้งช่วงเวลาเพื่อได้เจอสิ่งใหม่ๆ อย่างที่ตูมพูด แล้วเราพยายามที่จะฟังเพลงเดิมตัวนี้ในจุดที่เราเป็นคนฟัง เราเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่เวลาผ่านไป เราเจอเรื่องราวต่างๆ มากระทบกับเรา แล้วเราก็กลับไปฟังเพลงนี้อีกที จะรู้สึกไม่เหมือนเดิมสักครั้ง บางทีเราก็จะรู้ว่าเดโม่ตรงนี้มันขาดหรือมันเกินตรงไหน มันทำให้เรากลับไปแก้ไขมันได้ถูก” กันเสริม

            การกลับมาทำอัลบั้มในครั้งนี้ ทั้งวงต่างลงทั้งแรงกายแรงใจ เรียกได้ว่าทำงานกันไม่หยุด ฟังเพลงเดิมๆ เป็นอาทิตย์ เจอหน้ากันทุกวันจนแทบจะเหมือนโรงเรียนประจำอยู่แล้ว

            “เราแทบจะเป็นโรงเรียนกินนอนกันเลยฮะตอนนั้น คือเจอหน้ากันทุกวัน มานั่งคิดเพลงทำเดโม่กันทุกวัน” 

            “พวกเราจะโฟกัสแล้วก็ถามตัวเองเสมอว่า เราอยากสื่อสารอะไร เราอยากเล่าเรื่องอะไร แล้วตอนนี้เรารู้สึกอะไร อย่างช่วงที่ทำเดโม่ เราเข้าสตูดิโอมาก็ต้องดูเพื่อนๆ ด้วย อย่างเม่นตีกลอง แล้วมันแสดงความความรู้สึกอะไรบ้าง ความรู้สึกมันถูกต้องกับเพลงที่พวกเราทำกันมาแล้วอยากสื่อสารไหม” กันขยายความต่อจากบัตร

            พวกเขาทำตั้งแต่การมานั่งเรียบเรียงเพลงแต่ละเพลง เช่นการนั่งคิดอย่างถี่ถ้วนว่าเพลงไหนควรอยู่ลำดับที่หนึ่งหรือลำดับที่สองของอัลบั้ม เพราะหากสลับลำดับเพลงใดเพลงหนึ่งของอัลบั้มไป ความรู้สึกที่อยากสื่อสารผ่านอัลบั้มนี้อาจไม่ตรงตามที่ความรู้สึกที่พวกเขาอยากส่งต่อ

            “สิ่งหนึ่งที่เราพยายามเลยคือ การกรีดหัวใจตัวเอง เราเลือกเอาความรู้สึกที่เคยเจ็บปวดมามัดรวมกันไว้ในอัลบั้มนี้ เพราะสิ่งที่เราเขียนไป เราเองก็ไม่ได้ผ่านประสบการณ์นี้มามันก็ มันจะกลายเป็นว่า ตัวเราเองนั่นแหละที่เราไม่รู้สึก เพราะงั้นเราเลยพยายามเอาเรื่องที่พวกเราเคยผ่านกันมา มาเล่าผ่านอัลบั้มนี้ครับ” 

ฟันเฟืองแห่งชีวิต

ทุกข์ สุข เศร้า เหงา คือดนตรี

            คุยกันมาจนถึงตอนนี้เรายิ่งเห็นความหลงใหลและความรักในดนตรี เราเลยแอบถามพวกเขาถึงเรื่องอิทธิพลดนตรีในวัยเด็กเสียหน่อย

            “ดนตรีมันอยู่ในชีวิตของผมตั้งแต่เกิดจนมาถึงตอนนี้เลย สมัยเด็กๆ เราฟังเพลงร้องเพลงกันตลอดเวลา พอขึ้นรถพ่อแม่ก็เปิดเพลงที เปิดเทปที เปิดวิทยุที เราได้ฟังตั้งแต่วันนั้นจนถึงทุกวันนี้ มันเลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว”

            แน่นอนว่าสมาชิกของวงทุกคนก็มีดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเช่นเดียวกับบัตร

            “ผมก็รู้สึกแบบเพื่อนๆ ว่าดนตรีมันก็คือทั้งชีวิตของเราแล้ว แต่ถ้าจะให้นิยามมันอีกแบบคือ ผมรู้สึกว่าดนตรีเป็นเหมือนบ้าน เวลาที่เราแย่ที่สุด เราก็ฟังเพลงเพื่อให้เราได้ไปอยู่อีกโลกหนึ่ง เพราะเรื่องบางเรื่องเราไม่สามารถบอกใครได้เลย แต่แค่เราฟังเพลง เพลงมันได้พูดทุกสิ่งที่อยู่ในใจเราออกไปหมดแล้ว มันเหมือนบ้านเราให้เราได้ทิ้งตัว มันเป็นเซฟโซนของพวกเราครับ” กันเสริม

            ในเมื่อเพลงถือเป็นบ้านที่มีพื้นที่เซฟโซน แล้วใครกันบ้าง ผู้เป็นศิลปินคนโปรดที่ได้อยู่ในเซฟโซน และได้อยู่ในความทรงจำวัยเด็กของ Clockwork Motionless

            “Linkin Park ครับ” บัตรตอบ

            “ในยุคนั้น มันเปลี่ยนการฟังเพลงของผมไปเลย ตอนนั้นผมเพิ่งเริ่มต้นฟังเพลงสากลแรกๆ ด้วยครับ เพราะเมื่อก่อนแต่เพลงไทย พอได้ฟังเพลงสากลก็เริ่มต้นที่วงนี้ ผมเลยรู้สึกว่าผมชอบมาก และตอนนี้ก็ยังชอบอยู่ด้วย”

            ตามมาด้วยกันที่ชอบวง Bodyslam และวง Clash เช่นกันกับตูมที่ชอบวง Clash แต่ห้อยตามมาด้วยศิลปินสุดคลาสสิกของไทยอย่างเสก โลโซ

            “ผมโตมากับพี่เสก โลโซ (เสกสรรค์ ศุขภิมาย) ครับ แต่จริงๆ ตอนเด็กๆ โรงเรียนผมมันต้องเดินผ่านตลาดก่อนที่จะมาถึงโรงเรียนครับ ผมก็เลยลองนึกดูว่าถ้าหากเพลงที่เปิดอยู่ แล้วเสียงกลองที่ได้ยินในตอนนั้น มัจเป็นกลองที่ตัวเองตี เราจะดีใจแค่ไหน แล้วเพลงที่เขาเปิดอยู่ตอนนั้นคือเพลงเสียงอีสานครับผม” เม่นเรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคนอีกครั้ง ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มเล่าต่อถึงสิ่งประกอบสร้าง ที่ก่อร่างความเป็นตัวตนของพวกเขาจากการฟังเพลงในวัยเด็ก

            “เพลงในวัยเด็กค่อนข้างมีอิทธิพลกับเราเยอะครับ เพราะเราเห็นเขาแล้วก็อยากเป็นแบบคนๆ นั้น มันก็เลยทำให้เราพยายามที่จะทำ พยายามที่จะเป็นแบบนั้นอยู่ ในตอนนี้ก็ยังพยายามอยู่ครับ ถึงจะได้อยู่ค่ายแล้วก็ยังพยายามทำงานเหมือนเดิมครับ” ตูมอธิบาย

            “ผมชอบพี่เสก ผมก็อยากมีเพลงเยอะๆ ดังๆ แบบพี่เสกเขา แต่จริงๆ คนที่จุดประกายจนทำให้อยากเป็นศิลปินจริงๆ คือพี่อ๊อฟ Big Ass (พูนศักดิ์ จตุระบุล) ตอนที่เขาเล่นคอนเสิร์ตเปิดพรหมลิขิต (2550) แล้วเขาเดินสะพายกีต้าร์ออกมาตรงหน้าคนดูเยอะๆ ผมก็ดูแล้วก็อยากเป็นแบบนั้นมาก มาถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เลิกพยายามที่จะไปถึงจุดนั้นเลยครับ” 

            เม่นย้ำกับเราอีกรอบว่า ถึงแม้ในวันนี้จะยังไม่ถึงจุดสูงสุดแบบศิลปินคนโปรด แต่ทุกคนก็ยังไม่หยุดพยายามบนเส้นทางนี้

จากแต่ไม่จบ

            เชื่อว่าศิลปินทุกคนที่มีเพลงในหัวใจ มักฟังเพลงมากกว่าคนทั่วไปและต้องฟังเพลงในทุกๆ วัน เราเลยลองแอบถามเสียหน่อยว่าเพลงล่าสุดที่ฟังในวันนี้คือเพลงอะไร

            “วัตถุทึบแสงแน่นอนครับ”

            กันพูดจบ ทุกคนต่างหัวเราะและพยักหน้าเห็นด้วย 

            เพลงทึบแสงเป็นเพลงแรกของอัลบั้ม Leave ที่จะพาคนฟังดำดิ่งไปกับการแผดเผาความทรงจำด้วยความเจ็บปวด ซึ่งอัลบั้มนี้ยังไม่เสร็จสิ้นดีว่าจะมีกี่แทร็คหรือกี่เพลง แต่กันยืนยันว่าอัลบั้มนี้ไม่ต่ำกว่า 5 เพลงแน่นอน และปลายทางอัลบั้มนี้จะเป็นอีกของขวัญชิ้นหนึ่งที่พวกเขาอยากมอบให้กับแฟนคลับและมอบให้กับเหล่านแฟนเพลงของพวกเขาด้วย 

            “ปลายทางของอัลบั้มนี้คือ อยากยกระดับวงให้ไต่บันไดไปอีกขั้น แล้วก็อยากให้วงเป็นที่รู้จักต่อสาธารณะชนมากขึ้น อยากมีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเองครับ” เม่นอธิบายก่อนบัตรจะเสริมต่อ

            “จริงๆ พวกเราไม่ได้คาดหวังอะไรขนาดนั้น ก็อย่างที่ทุกคนบอก คือเราอยากให้อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของเรา และเป็นอัลบั้มเราชอบที่สุดเหมือนกัน หวังว่าคนที่ได้ฟังอัลบั้มนี้จะชอบแบบที่เราชอบ ผมหวังว่าคนฟังจะชอบอัลบั้มนี้เหมือนกันครับ”

Contributors

Contributors

เด็กมนุษย์ฯ ผู้ชื่นชอบการออกไปเดินเที่ยวคนเดียว เอนจอยกับการเต้นและการกิน ปัจจุบันกำลังพยายามใช้ชีวิตแบบ Slow Life อยู่

นักเล่าเรื่องที่ใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมือและศรัทธาในพลังของงานเขียน ผู้ชอบตัวเองตอนนั่งสัมภาษณ์ผู้คนที่สุด