เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเป็นเดือนแรกที่น่าจะนับได้ว่าประเทศไทยได้มีการผ่อนปรนมาตรการต่าง ๆ เกี่ยวกับโรคโควิด–19 กัน (จนเกือบ) สมบูรณ์ หนึ่งในกลุ่มผู้ประกอบการที่น่าจะยิ้มออกมากที่สุดในสถานการณ์อย่างนี้ก็คือกลุ่มผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามชุมชนต่าง ๆ ที่ถือได้ว่าเป็นชุมชนท่องเที่ยวทั่วประเทศซึ่งเกิดขึ้นและเติบโตอย่างมากในช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา
ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤต หลายชุมชนที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นรายได้หลักต่างเงียบเหงาและซบเซา ทว่าไม่ใช่สำหรับ “ชุมชนริมน้ำจันทบูร” นั่นเป็นเพราะว่า
“เราเป็นชุมชน เราไม่ใช่ตลาดค่ะ”
อาจารย์ประภาพรรณ ฉัตรมาลัย อดีตข้าราชการครูศึกษานิเทศวัยเกษียณบอกกับผมอย่างเสียงดังฟังชัดและอารมณ์ดี เมื่อผมมีโอกาสได้นั่งลงพูดคุยกับอาจารย์อย่างเป็นกันเองภายในชุมชนริมน้ำจันทบูร อาจารย์ประภาพรรณเป็นผู้นำที่ปลุกปั้นชุมชนแห่งนี้ขึ้นมา จากเดิมที่เป็นชุมชนที่คนอาศัยอยู่กันอย่างธรรมดา ๆ ให้กลายเป็นต้นแบบของชุมชนท่องเที่ยวจนถึงทุกวันนี้

สร้างโดยไม่ต้องสร้าง
ผมขอให้อาจารย์ประภาพรรณช่วยขยายความว่าการเป็นชุมชนกับการเป็นตลาดนั้นแตกต่างกันอย่างไร เพราะโดยทั่วไปเมื่อเราพูดถึงการท่องเที่ยวชุมชน เราก็มักจะนึกถึงการที่จะต้องมีตลาด มีถนนคนเดิน และการประดิดประดอยอะไรมากมายเพื่อให้ชุมชนนั้นมา “เสิร์ฟ” การท่องเที่ยวมวลชนให้ได้
“ที่เราบอกว่าเราเป็นชุมชน เราไม่ใช่ตลาดนั่นก็เป็นเพราะว่า ที่นี่เราอยู่กันแบบชุมชนจริง ๆ บ้านที่อยู่นี่ก็คือบ้านของแต่ละคนไม่ได้ให้ใครย้ายจากไหนไปไหน เขาประกอบอาชีพอะไรก็ประกอบอาชีพอย่างนั้น ของที่วางขายอยู่ที่นี่ส่วนมากก็เป็นของที่คนในชุมชนของเราซื้อหากันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ใช้ชีวิตของเราอย่างเป็นปกติ เพียงแต่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในชุมชนของเราแล้วก็ผสมกลมกลืนไปกับวิถีที่เราเป็นอยู่เท่านั้น พูดง่าย ๆ ก็คือนักท่องเที่ยวไม่มา เราก็อยู่ได้ ทุกอย่างก็กลับไปเท่าทุนเหมือนเดิม แต่ถ้านักท่องเที่ยวมา เราก็มีรายได้เสริม”

ภาพ: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
นี่จึงอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ชุมชนริมน้ำจันทบูรได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด–19 ที่ผ่านมาไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับชุมชนอื่น ๆ ส่วนตัวผมเองมีโอกาสเดินทางมาที่จังหวัดจันทบุรีระหว่างที่โรคโควิดกำลังระบาดอย่างน่ากลัวครั้งหนึ่ง ผมก็พบว่าชุมชนแห่งนี้แม้จะไม่มีนักท่องเที่ยวแต่ก็ยังคงมีชีวิต เพราะชาวชุมชนยังคงซื้อขายของกันเองตามปกติเหมือนที่เคยมีมาก่อนพัฒนาเป็นชุมชนท่องเที่ยว
และเมื่อได้มีโอกาสกลับมาเยือนใหม่พร้อมกับการถ่ายทำรายการโทรทัศน์หลังจากสถานการณ์คลี่คลายลง ผมก็สังเกตว่าชุมชนแห่งนี้มี “ของประดิษฐ์” หรือของใหม่สำหรับการท่องเที่ยวน้อยมาก และนี่เองที่ถือว่าเป็นจุดแข็งสำคัญที่ทำให้ชุมชนแห่งนี้ยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลางวิกฤตที่เกิดขึ้นทั่วโลก ด้วยการไม่ทำลายของเก่าและเห่อเหิมไปตามกระแสของใหม่นั่นเอง


หลายชุมชนเลือกใช้วิธีการประดิดประดอยของใหม่ขึ้นมาเพื่อหวังจะเสิร์ฟนักท่องเที่ยวมาที่มาเยือน โดยลืมไปว่าของใหม่ที่ประดิษฐ์ขึ้นนั้นหลายอย่างเป็นของสำเร็จรูป เช่น ซุ้มถ่ายรูป ร้านกาแฟ หรือแลนด์มาร์กสมัยใหม่ต่าง ๆ ซึ่งทำให้แต่ละชุมชนขาดเอกลักษณ์ ทุกชุมชนออกมาเหมือน ๆ กันไม่มีจุดเด่น อันที่จริงแล้วเป้าประสงค์หนึ่งของการออกเดินทางท่องเที่ยวของผู้คนนั่นก็คือการหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ถ้าแต่ละชุมชนพยายามเอาความ “ทันสมัย” เข้ามาปะปนจนเอิกเกริกเกินไปจนกระทั่งทำลายเอกลักษณ์ ทำให้ทุกชุมชนเหมือนกันไปหมด ชุมชนแห่งนั้นก็จะไม่มีอะไรโดดเด่นที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกต่อไป นี่คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้การท่องเที่ยวชุมชนในหลายพื้นที่รวมถึงการผลักดันเชิงนโยบายจากภาครัฐไม่ประสบความสำเร็จ
ชุมชนริมน้ำจันทบูรเป็นชุมชนที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่มาตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นอย่างน้อย โดยปรากฏหลักฐานสำคัญตั้งแต่เมื่อครั้งรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เนื่องจากตั้งอยู่ริมแม่น้ำจันทบุรีซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมค้าขาย มีชาวจีนและชาวญวนอพยพมาอยู่อาศัยที่นี่กันมากมาย บริเวณนี้จึงเป็นบริเวณพหุวัฒนธรรม มีทั้งชาวไทยพื้นถิ่น ชาวไทยเชื้อสายจีน และชาวไทยเชื้อสายญวนอาศัยอยู่ภายในพื้นที่เดียวกัน บริเวณนี้จึงมีทั้งวัดไทย วัดญวน (พระพุทธศาสนาอนัมนิกาย) และโบสถ์คริสต์ คืออาสนวิหารพระแม่มารีอาปฏิสนธินิรมลซึ่งเป็นโบสถ์คาทอลิกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย โดยชาวคริสต์ส่วนมากจะเป็นคนไทยเชื้อสายญวนที่บรรพบุรุษหนีร้อนมาพึ่งเย็นในช่วงที่แผ่นดินญวนเกิดการกีดกันคริสต์ศาสนา

ภาพ: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ชุมชนแห่งนี้มีท่าเรืออยู่หลายท่าอันเป็นธรรมดาของชุมชนริมน้ำ แต่ท่าเรือที่สำคัญที่สุดคือ “ท่าหลวง” ซึ่งเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของชุมชน และชุมชนท่าหลวงแห่งนี้เองที่เป็นพื้นที่รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองจันทบุรี ต่อมาจันทบุรีได้กลายเป็นหนึ่งในพื้นที่พิพาทกับฝรั่งเศส เนื่องจากฝรั่งเศสได้เข้ามายึดเมืองจันทบุรีเอาไว้เพื่อยื่นคำขาดให้สยามต้องยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงหรือประเทศลาวเกือบทั้งหมดในปัจจุบันนี้ให้ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
เหตุการณ์นี้เรียกว่าวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 (พ.ศ.2436) หลังจากที่สถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายลง ฝรั่งเศสถอนกำลังออกจากจันทบุรี ทำให้เมืองจันทบุรีที่กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของสยามโดยสมบูรณ์เกิดการพัฒนาอย่างกว้างขวาง ตัวเมืองขยายออกจากพื้นที่ริมน้ำไปสู่พื้นที่อื่น ๆ การคมนาคมทางน้ำซบเซาลงเปลี่ยนไปเป็นการคมนาคมทางบกแทน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชุมชนแห่งนี้ค่อย ๆ ซบเซาลงเรื่อย ๆ บริเวณพื้นที่นี้กลายเป็นพื้นที่ที่คนพื้นที่เรียกกันติดปากว่า “ชุมชนริมน้ำ” และกลายเป็นชุมชนเก่า ๆ ที่สปอตไลต์ไม่เคยส่องไปถึง
จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดการประชุมของชาวบ้านในพื้นที่ขึ้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นพลิกฟื้นชุมชนแห่งนี้


ภาพ: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ปั้นชุมชนแบบมวยวัด
“แต่ก่อนอาจารย์ไม่ค่อยได้ไปพูดคุยกับใครในชุมชนเลย และไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนอะไรเลย เพราะเราเป็นข้าราชการครู เราก็ทำงานของเราไป จนกระทั่งวันที่รู้ว่าเขาจะมีการประชุมนั่นแหละ ก็เลยเห็นว่าตัวเราเองเกษียณแล้วว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เราก็ไปนั่งประชุมกับเขา แล้วก็เหมือนตกกระไดพลอยโจน เพราะเขาบอกว่าจะพัฒนาชุมชนนี้กันขึ้นมา จะเลือกใครขึ้นมาเป็นประธาน คนก็เลยเลือกเรา เราก็เลยลุกขึ้นมาทำ อันที่จริงเดิมทีไม่เคยมีความรู้เรื่องเหล่านี้เลย อย่างเช่นประวัติศาสตร์ สมัยก่อนเราก็เรียนรู้แค่ตามในหลักสูตร แต่พอมาศึกษาแล้วลงรายละเอียดลึกซึ้งไปเรื่อย ๆ เราก็พบว่าประวัติศาสตร์ในพื้นที่นี้มีรายละเอียดที่น่าทึ่งมาก”
อาจารย์ประภาพรรณบอกกับผมว่าในช่วงแรกของการทำงานนั้นเหมือนมวยวัด เพราะสถานที่ทำงานก็ไม่มี เป็นการจับพลัดจับผลูมาทำ ก็เลยคิดร่วมกับคนในชุมชนที่อยากจะลงมือพัฒนาชุมชน พอเวลาผ่านไปประมาณ 1 ปีก็เริ่มจับทิศทางได้ อาจารย์เล่าว่าเป็นเพราะเริ่มมี “ตัวป่วน” เข้ามาเกี่ยวข้องจึงทำให้เกิดแรงฮึดขึ้นมา
“ตัวป่วนนี่ก็คือระบบราชการระดับท้องถิ่น พอเราเริ่มจะพัฒนาชุมชน เขาก็พยายามจะมาเข้ามาชี้นิ้วสั่งให้เราทำโน่นทำนี่ ไอ้นั่นก็ทำไม่ได้ ไอ้นี่ก็ทำไม่ได้ แล้วเขาพูดจาแบบนักเลงโตมาก พอมาร่วมประชุมกับชาวบ้าน สิ่งที่เราพูดแล้วเขาไม่พอใจ เขาก็เดินออกจากที่ประชุมไปเฉย ๆ แบบไม่มีมารยาทเลย

ภาพ: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
“เราเลยมานั่งคุยกันว่าเราปล่อยให้วิธีคิดแบบนั้นเข้ามาครอบงำเราไม่ได้ เพราะเขาจะมาสั่งเราว่า เฮ้ย ถ้าคุณจะทำชุมชนท่องเที่ยวคุณต้องมีที่จอดรถนะ คุณต้องทำถนนคนเดินนะ คุณต้องทำตลาดน้ำนะ เราก็ถามกลับเลยว่าเราจะไปทำตลาดน้ำได้ยังไง ในเมื่อที่นี่ไม่เคยเป็นตลาดน้ำ เราเป็นชุมชนริมน้ำเฉย ๆ บ้านทุกหลังที่นี่ก็หันหน้าเข้าถนนแต่หลังบ้านติดน้ำ ถ้าบ้านไหนไม่ติดน้ำอยู่อีกฟากหนึ่งของถนนเขาก็จะมีบ่ออยู่หลังบ้าน เราไม่เคยเป็นตลาดน้ำ จู่ ๆ จะมาให้เราเป็นตลาดน้ำไม่ได้”
อาจารย์ประภาพรรณเล่าว่าเดิมทีในช่วงนั้นมีนักศึกษาจากสถาบันอาศรมศิลป์เข้ามาศึกษาพื้นที่ในชุมชนแห่งนี้อยู่แล้ว จึงเริ่มเกิดการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ แต่คำถามก็คือจะทำอย่างไรให้เกิดการมีส่วนร่วมของผู้คนกับชุมชนแห่งนี้ กิจกรรมแรกที่ชุมชนช่วยกันคิดขึ้นมานั่นก็คือการประกวดตั้งชื่อชุมชน เพราะชุมชนแห่งนี้เดิมทีไม่เคยไม่มีชื่อ และชื่อที่ชนะเลิศก็คือชื่อที่เรียบง่ายที่สุด นั่นคือ “ชุมชนริมน้ำจันทบูร” พร้อมกับสโลแกนว่า “ย้อนวิถีจันท์ สร้างสรรค์วิถีไทย” ซึ่งสื่อความได้อย่างชัดเจน เพราะหมายถึงการนำเรื่องราวประวัติศาสตร์ในพื้นที่มาใช้ประโยชน์เพื่อเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์สำหรับคนในชุมชน
เมื่อการพัฒนาชุมชนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นด้วยความร่วมมือของกลุ่มชาวบ้านและสถาบันอาศรมศิลป์ คนในชุมชนก็เริ่มให้ความร่วมมือมากขึ้น และเด็ก ๆ ในชุมชนก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับกิจกรรมของชุมชนด้วย
“หลังจากนั้นก็เริ่มมีการประกวดภาพถ่ายในชุมชน นั่นแหละเราหลังจากนั้นชุมชนเราก็ดังขึ้นมา”

ภาพ: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
อาจารย์ประภาพรรณเล่าให้ฟังต่อไปว่า เมื่อตั้งใจว่าจะพัฒนาชุมชนให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นมาแล้ว ก็ต้อง “เลือกบ้าน” ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมต่อการจัดการการท่องเที่ยวโดยตรง บ้านที่ได้รับการเลือกนั้นก็จะต้องเข้าเกณฑ์สามอย่าง หนึ่งคือการมี Storytelling หรือเรื่องเล่าของตนเอง สองคือการมีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและน่าสนใจ และสามคือจะต้องมีการค้า ซึ่งในระยะแรกก็มีบ้านที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวประมาณสิบหลัง
“ทีนี้ก็มีบ้านอื่น ๆ เขาเห็นว่าพวกเราทำแล้วดีเขาก็อยากจะมาร่วมกับเราด้วย เราก็เข้าไปช่วยแนะนำเขาว่าเขาควรจะต้องทำอะไรบ้าง เช่น ตู้วางของใช้เก่า ๆ ที่น่าสนใจเดิมทีเคยอยู่ในบ้านก็เอาออกมาวางไว้ในจุดที่คนเห็นได้ คนเขาสนใจเขาก็จะมาขอดู นักท่องเที่ยวต่างชาติก็มาขอดู บางบ้านเขาก็ถามว่าเอ๊ะ ! จัดของแบบนี้แล้วคนจะอยากเข้ามาดูหรือ เราก็บอกเขาไปว่าเธอก็ไปทำเป็นยืนดู ๆ ของในบ้านของเธอ เดี๋ยวนักท่องเที่ยวเขามาเขาก็อยากดูบ้างตามไปเองนั่นแหละ เราก็พูดกันง่าย ๆ ทำกันง่าย ๆ แบบนั้นเลย”
นับจากวันนั้นถึงวันนี้ที่ชุมชนริมน้ำจันทบูรได้เติบโตและพลิกฟื้นคืนชีวิตในฐานะชุมชนท่องเที่ยวมา ได้รับความร่วมมือจากคนในชุมชนทุกเพศทุกวัย และได้รับการยอมรับให้เป็นโมเดลของความสำเร็จที่ไม่ยึดติดกับกรอบตามตำรา ผมถามอาจารย์ประภาพรรณว่าวันนี้อาจารย์ยังเป็นห่วงอะไรในชุมชนนี้อีกบ้าง
“ก็เป็นห่วงเรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะว่าระยะหลังการจัดการน้ำของจังหวัดไม่เหมือนแต่ก่อน มีการขุดคลองเพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าแม่น้ำจันทบุรีลดน้อยลง พอน้ำไหลมาน้อยลงก็ทำให้น้ำไม่เกิดการระบาย ก็เสี่ยงต่อการเน่าเสียและมีกลิ่นเหม็น ถ้าระดับน้ำในแม่น้ำมันลดลงไปเรื่อย ๆ ตรงนี้ก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน เวลาที่มีประชุมอาจารย์ก็พูดตลอดนะ ว่าทางจังหวัดต้องเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการน้ำ ไม่ใช่ว่าแก้น้ำท่วมภายในตัวจังหวัดได้แต่น้ำตรงนี้เน่าเสีย มันก็ไม่คุ้มกัน”

เคล็ดไม่ลับแห่งความสำเร็จ
แน่นอนว่าด้วยความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมของชุมชนริมน้ำจันทบูรย่อมทำให้ใครต่อใครอยากจะเข้ามาดูงานที่นี่ เพื่อที่จะได้นำพาแรงบันดาลใจแห่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้กลับไปสู่ท้องถิ่นของตนเองบ้าง ผมจึงขอให้อาจารย์ประภาพรรณช่วยเล่าเคล็ดลับของความสำเร็จให้ฟัง
“เข้าใจ – เข้าถึง – พัฒนา ค่ะ” อาจารย์ประภาพรรณตอบพร้อมกับอมยิ้ม “หลักการนี้เป็นแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 หลักการนี้ไม่ยากเลย แต่ต้องลงมือปฏิบัติ”
ผมขอให้อาจารย์ช่วยขยายความว่าการเข้าใจ – เข้าถึง – พัฒนา ของชุมชนริมน้ำจันทบูรเป็นอย่างไร
“การเข้าใจนั่นก็คือการที่เราต้องรู้เรื่องราวของเราอย่างถ่องแท้ อย่างเช่นที่นี่มีประวัติศาสตร์ มีผู้คน มีวิถีชีวิต เราก็ต้องหาตัวตนของเราให้เจอก่อนว่าเราเป็นใคร มีที่มาที่ไปอย่างไร เราจะได้พัฒนาบนพื้นฐานของสิ่งที่เรามี พอเข้าใจแล้วเราก็ต้องเข้าถึง เดี๋ยวนี้คนในชุมชนรู้จักกันหมด อาจารย์เดินไปไหนก็ทักคนได้หัวซอยยันท้ายซอย มีอะไรเขาก็มาหาเรา นี่คือการเข้าถึง เมื่อเข้าใจและเข้าถึงแล้วการพัฒนามันก็จะเดินต่อไปได้เพราะได้รับความร่วมมือ บางชที่เขาไม่ได้ทำอย่างนี้ เขามาถึงเขาก็จะสั่งนั่นสั่งนี่ เอาคำสั่งลงมาโดยไม่ได้ทำความเข้าใจและเข้าถึงชาวบ้านเลย แล้วจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร”

ในศตวรรษที่ 21 เราพูดถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับสากล ไม่ใช่เพียงแค่เฉพาะการจัดทำนโยบายในเชิงมหภาคเท่านั้น แต่ในระดับจุลภาคอย่างชุมชนเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ก็สามารถนำเอาหลักการของความยั่งยืนมาสร้างสรรค์ให้กลายเป็นตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ได้ นั่นคือการพัฒนาบนรากฐานโดยไม่ทิ้งอัตลักษณ์และความเป็นตัวตน ไม่วิ่งตามไขว่คว้ากระแสนิยมฉาบฉวยเพียงเพื่อให้ตัวเองทันสมัย แต่คำนึงถึงรากเหง้าประวัติศาสตร์ความเป็นมาของตนเอง ผสานกับความร่วมมือร่วมใจกันและความมุ่งมั่นตั้งใจจริงของคนในชุมชน ชุมชนก็สามารถประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนได้
“เราเป็นชุมชน เราไม่ใช่ตลาดค่ะ”

Contributors
Contributors
ครูสอนวิชาภาษาไทยและสังคมศึกษาที่รักการเดินทางเพื่อเรียนรู้โลกกว้างเป็นชีวิตจิตใจ เพราะชีวิตคือการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม มนุษยสัมพันธ์ และการเดินทางจึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเติบโตไปพร้อมกันเสมอ