“ในจุดที่เรายังลืมไม่ได้ มันมีความคิดที่ผุดขึ้นมาว่า… ถ้าเราทำอะไรไม่ได้ก็แค่คิดถึงไปก่อนเดี๋ยวก็ลืม เพราะสุดท้ายแล้วเมื่อเราโตขึ้น ชีวิตเราก็จะเดินไปข้างหน้าเพื่อพบเจออะไรบางอย่างที่มันทำให้เราลืมได้เอง”

เต้ นักร้องนำจากวง Bomb at Track บอกเล่าและเผยที่มาของแรงบันดาลใจในการทำเพลง “คิดถึงไปก่อน” บทเพลงที่อยู่เคียงข้างคนฟัง ที่เพลงนี้ได้อีกหนึ่งแรงฮีลใจจาก “เอ Alien-Safeplanet” มาร่วม featuring พร้อมปลอบประโลมและเยียวยาคนฟังไปด้วยกัน 

“Bomb at Track” ประกอบด้วยสมาชิก เต้- วงศกร เตมายัง (ร้องนำ), ปุ้ย-ปราชญานนท์ ยุงกลาง(กีตาร์), ข้น- ศาสตร์ พรมุณีสุนทร (เบส), เมษ-ภควรรษ ประเสิร์ฐศักดิ์ (กีตาร์) และ นิล-สิรภพ เลิศชวลิต (กลอง) วงร็อกที่เป็นตัวเองกับมุมมองที่แตกต่างแต่ลงตัว กลุ่มเพื่อนที่เลือกมาทำวงดนตรีและเติบโตด้วยกันจนสามารถยกให้ safe zone  

‘ทำไมช่วงหลังมานี้ Bomb at Track มีแต่เพลงเศร้า’ หนึ่งในคำถามจากทางบ้านที่ทำให้ Rhythm ยกมาคุยกับ Bomb at Track ผ่านบทความนี้ด้วย ซึ่งไม่ใช่แค่การพูดคุยเรื่องสไตล์เพลงที่เป็นอิสระของ Bomb at Track เพียงเท่านั้น แต่ Bomb at Track ยังเล่าเรื่องราวตั้งแต่การไปทัวร์คอนเสิร์ตต่างประเทศ คุยเรื่องระหว่างทางของการทำเพลงล่าสุดอย่าง “คิดถึงไปก่อน” จนไปถึงข้อความที่เขาอยากฝากถึงเหล่า BAT กลุ่มแฟนคลับที่ให้การสนับสนุน Bomb at Track เสมอมา ทั้งหมดนี้ถูกบันทึกไว้ผ่านบทความด้านล่างนี้เรียบร้อยแล้ว

คำถามยอดฮิต ทำไมชื่อวงถึงต้องเป็น Bomb at Track

ข้น : ตอนแรกชื่อวงจะเป็น Bomb the System เป็นชื่อจากหนัง แต่เราอยากได้ชื่อวงแค่ 3 พยางค์ เลยปิ๊งคำว่า Bomb Attack แล้วก็ปรับจนมาเป็น Bomb at Track ครับ 

เมษ : ซึ่ง “Bomb The System” ก็เป็นชื่ออัลบั้มล่าสุดของพวกเราด้วยนะครับ

อยู่ด้วยกันมา 8  ปีแล้ว จำได้ไหมว่าทุกคนเจอกันได้ยังไง

เมษ : เราเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันครับ มีแค่ปุ้ยที่เรียนคนละมหาวิทยาลัย แต่ปุ้ยเคยทำวงกับนิลตอนมัธยมฯ ตอนนั้นก็ปาร์ตี้สังสรรค์ด้วยกัน เมาครับเลยได้เจอกัน (หัวเราะ) 

เล่าประสบการณ์ตอนไปเล่นดนตรีที่ต่างประเทศให้ฟังหน่อย

เต้ : เราเคยไปเล่นที่ไต้หวัน เกาหลี ฮ่องกง  

เมษ : ล่าสุดเป็นสิงคโปร์ 

เต้ : สนุกดีครับ มันต่างจากเวลาเล่นคอนเสิร์ตที่ไทย ด้วยความที่เราไปเล่นเพลงเป็นภาษาไทย แต่เขาฟังไม่รู้เรื่อง การสื่อสารมันเลยค่อนข้างที่จะมีความท้าทาย เราต้องสื่อสารผ่านดนตรี ท่วงท่าหรือสื่อสารผ่านแววตาออกไป ส่วนสิ่งที่เราได้รับคือเขาไนซ์กับเรามาก เขาสนุกไปกับดนตรีของพวกเรา ต่อให้เขาฟังไม่ออกก็ตาม แต่สุดท้ายตอนที่เราขอให้เขากระโดด เขาก็กระโดดไปกับพวกเราด้วยครับ

คนที่มาดูคอนเสิร์ตเราในแต่ละประเทศต่างกันไหม

เต้ : ต่างนะครับ ผมจำได้ว่าตอนไปเล่นที่ฮ่องกง การเล่นที่นั่นกลับมีมุมที่เราคิดไม่ถึง เพราะวงเราเล่นเป็นวงสุดท้าย เราก็ชวนทุกคนเล่นและกระโดด ภาพที่มองลงไปมีทั้งผู้หญิง ทั้งคนแก่ มีป้าๆ ลุงๆ ภาพที่เห็นมันไม่ใช่แก๊งวัยรุ่นหรือชายฉกรรจ์ คนที่มาดูกลับมีทุกวัย แต่เขามาร่วมสนุกด้วยกันทุกคนเลย 

เมษ : หรืออย่างตอนที่ไปเล่นที่สิงคโปร์ มีคนสิงค์โปร์เขาร้องเพลงวงเราได้ ทั้งที่เขาพูดไทยไม่ได้ด้วยซ้ำ 

นิล : เสริมตอนที่เราไปเล่นกันที่ไต้หวัน ที่นั่นเราไปกันเกือบเดือนเนอะ ซึ่งมีแฟนคลับคนหนึ่งเป็นผู้หญิง เขามาดูเราตั้งแต่วันแรก แล้วก็ตามดูเรายาวจนวันสุดท้ายของไต้หวัน ตอนที่คอนเสิร์ตจบ เขาเหมือนเสียใจ จะร้องไห้ ความรู้สึกเหมือนเขาดูเรามาเป็นปีๆ เลย เป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์ดี 

แล้วประทับใจการไปเล่นคอนเสิร์ตที่ประเทศไหนที่สุด

ปุ้ย : ผมชอบเกาหลีนะ ตอนไปเล่นที่ปูซาน ชอบโซจู (หัวเราะ) ชอบบรรยากาศ เวทีใหญ่ด้วย แดดไม่แรง อากาศดี 

เต้ : ชอบเกาหลีเหมือนกันครับ เพราะเวทีสเกลใหญ่ ตอนนั้นเราพึ่งทำวงได้ปีเดียว ต้องไปเจอเวทีใหญ่ อันนั้นเป็นบทเรียนสำหรับผมเลย ด้วยความที่เป็นเวทีใหญ่ ในมุมของผมในงานนั้น ผมผิดพลาดเยอะประมาณหนึ่งเลย เพราะตื่นเวทีบวกกับอุปกรณ์ของเราไม่เสถียร แต่สุดท้ายแล้วพอผ่านงานนั้นมา มันทำให้เราฉุกคิดได้ เราเริ่มใส่ใจในมุมมองและรายละเอียดหลายๆ อย่าง มันเป็นบทเรียนที่ดีในการทัวร์คอนเสิร์ตเลย

ข้น : ผมชอบเกาหลีเหมือนกัน ผมชอบบรรยากาศ จำได้ว่าตอนลงรถผมดิ่งไปซื้อเครื่องดื่มจุบจิบเลย ผมจำได้แม่น ประทับใจมาก สนุกมากครับ แล้วคนก็มาดูเยอะมาก

นิล : ชอบไต้หวันครับ เพราะเราใช้เวลาที่นั่นค่อนข้างนาน กิจกรรมค่อนข้างเยอะ เรามีทำเพลงแล้วก็มีสังสรรค์กันนิดหน่อย เวลาไปเล่นที่ไหนต้องขนของกันเอง รู้สึกว่าวีรกรรมเยอะมาก เลยชื่นชอบที่นี่ครับ

เมษ : ฮ่องกงครับ ที่นี่คือเราไปประกวด เป็นการประกวดกับ Show case ด้วย ตอนนั้นเราไม่ได้คาดหวังว่าจะชนะเลย คิดว่าจะไม่ได้อันดับด้วยซ้ำ ตอนประกาศผลเราก็ดีใจกัน แล้วก็มันจะมีวันที่ชอบที่สุดในการไปฮ่องกงคือ วันที่เจอวงอื่นที่เป็นวงของประเทศอื่นๆ ครับ เราได้ผูกมิตรกันในช่วงเวลา 3 วัน เราสนิทกันมาก สนุกมากเลยครับ (หัวเราะ) 

ถ้าให้นิยามสไตล์เพลงของวง จะนิยามสไตล์เพลงของตัวเองว่าอะไร

เมษ : เรานิยามมันว่าแนว “Bomb at Track” ครับ เพราะวงเรามันเป็นไปได้หลากหลาย มีตั้งแต่เพลงหนักยันเบา แต่ทุกอย่างมันออกมาจากตัวเราทั้งหมดเลย มีความผสมผสานเยอะมาก เลยขอเรียกว่าเป็น “Bomb at Track” แล้วกัน

ข้น :  ณ ตอนนี้ จุดที่ยืนอยู่อาจจะต่างจากตอนแรกที่เริ่มมานิดหนึ่ง บางคนมันอาจจะไม่ชินหรือตกใจ แต่ก็อยากให้เข้าใจว่าสิ่งที่เรานิยามตัวเองในตอนนี้ เราอยากทำดนตรีที่คนทั่วโลกสามารถเข้าใจเราได้ โดยไม่ต้องจำกัดว่าชอบแนวไหนเป็นพิเศษ และเราอยากจะพูดสื่อสารว่า ในชีวิตการเป็นศิลปินของพวกเรา มีหลายเรื่องราวที่เราอยากจะพูดกับคนฟัง แน่นอนว่ามันต้องมีการเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ อยากให้ทุกคนลองเปิดใจดูครับ 

ปุ้ย : ผมว่ามันตามการเติบโตของวง เราทำเพลงที่มันหนักมาค่อนข้างเยอะ เราพูดหลายๆ อย่างออกไปเยอะมากแล้ว พอโตขึ้นเราก็อยากพูดอะไรที่มันอยู่ใกล้ตัว และเป็นสิ่งที่สามารถอยู่กับคนฟังได้ตลอด เพราะมันอาจจะช่วยให้เขาได้รู้สึกดีขึ้น หรือให้อะไรกับเขาสักอย่าง ผมว่ามันน่าจะเป็นความรู้สึกที่ดีเหมือนกัน แล้วก็เป็นสิ่งที่วงแฮปปี้ที่จะทำในตอนนี้ ทุกคนโอเคที่จะทำในตอนนี้ แต่ถ้าถามว่ามันจะมีเพลงที่หนักอีกมั้ย ในอนาคตมันอาจจะมี อยู่ที่ว่าเราอยากถ่ายทอดอะไรออกมา ณ ตอนนั้น เพราะว่าเพลงมันคือ งานศิลปะ

แรงบันดาลใจในการทำเพลง “คิดถึงไปก่อน” 

ปุ้ย : ตอนนั้นแมวเสีย ไม่รู้จะไประบายกับใครก็เลยไประบายกับเต้ ตอนนั้นก็พูดไปเรื่อย เต้ก็ปลอบผม แต่ว่ามีประโยคนึงที่เต้พูดมาว่า “ถ้ามึงยังลืมไม่ได้ มึงก็คิดถึงไปก่อน”

เต้ : แต่ในตอนนั้นผมไม่ได้ตั้งใจ ผมแค่พูดประโยคนี้ออกไป ในตอนนั้นปุ้ยก็ยังคงระบายต่อ แต่ผมไม่ได้ฟังปุ้ยระบายแล้ว (หัวเราะ) ผมจดใส่มือถือเลย เลยเป็นที่มาของเพลงนี้ครับ

ปุ้ย : จังหวะที่เต้พูดมาผมก็อึ้งไปนิดหนึ่ง เพราะว่ามันไม่ค่อยมีใครพูดอะไรแบบนี้

นอกจากปุ้ยที่ต้องเสียน้องแมวไป เพลงนี้มีผลต่อใจทุกคนในวงแบบไหนบ้าง

ปุ้ย : ผมรู้สึกว่ามันช่วยทำให้เราไปต่อด้วย

เต้ : ผมว่าประโยคนี้มันเป็นแอบแฮ็กชีวิตผมนะ ประมาณว่าเราไม่เคยมีมุมมองแบบนี้มาก่อนในชีวิต อย่างตอนที่เรายังลืมคนคนๆ หนึ่งไม่ได้ เรามักคิดว่าถ้าอยากลืมต้องไม่คิดถึง แต่พอมาคิดว่า ให้ตัวเราคิดถึงไปก่อน เดี๋ยวก็ลืมผมเลยรู้สึกว่าประโยคนี้มันมีความเข้าใจอยู่ในนั้น มันคือการที่ทำอะไรไม่ได้ ฉะนั้นก็แค่คิดถึงไปก่อน สุดท้ายแล้วเมื่อเราโตขึ้น เราก็จะเจอชีวิตที่มีอะไรบางอย่างทำให้เราลืมเขาได้ 

เมษ : ปกติเราเคยทำเพลงที่ฟังแล้วทำให้คนมีแรงใช้ชีวตต่อ แต่พอเป็นเพลงนี้ มันเล่าในมุมมองหนึ่งที่มีคนปลอบอยู่ข้างๆ ยิ่งมีพี่เอ Safeplanet มาด้วย เลยทำให้เหมือนมีคนปลอบสองคน ซึ่งสุดท้ายเพลงนี้มันก็กลับมาปลอบผมเองด้วยจริงๆ 

นิล : เพลงนี้มีผลต่อผมที่ไม่ใช่ในเรื่องของเรื่องความรักด้วยซ้ำ บางทีเหนื่อยจากการทำงานหรือว่าท้อกับบางสิ่ง เพลงนี้ก็ช่วยผมเหมือนกัน เพราะว่าเพลงนี้พูดถึง การที่เมื่อเราทนไม่ได้ ก็ให้คิดถึงไปก่อน ประมาณว่าคุณกลัวอะไร ก็กลัวไปก่อน เดี๋ยวทุกอย่างที่คุณกลัวมันก็จะดีขึ้นเองเรื่อยๆ เอง

อยากให้คนที่ฟัง “คิดถึงไปก่อน” รู้สึกแบบไหน

เต้ : ตามชื่อเพลงเลยว่า “ถ้ายังลืมไม่ได้ก็คิดถึงไปก่อน” เพราะสุดท้ายแล้วเราไม่สามารถบังคับความรู้สึกหรือสถานการณ์ในชีวิตของตัวเองได้ สุดท้ายแล้วพอเราเจอเรื่องราวที่เราไม่สามารถเอามันออกไปจากใจเราตอนนี้ได้ หรือเราไม่สามารถที่จะทำให้ตัวเองดีขึ้น ณ ตอนนั้น เราก็แค่อยู่กับมัน เรียนรู้กับมัน เพื่อให้เข้าใจอะไรบางอย่าง เพื่อที่วันนึงเราจะได้เดินต่อไปข้างหน้า

โมเมนต์ไหนที่ประทับใจที่สุดระหว่างการทำเพลงนี้

เต้ : ถ้าของผมเป็นตอนที่พี่เอส่ง demo กับท่อนร้องของเขามา ซึ่งในเพลงนี้ผมเขียนตั้งแต่ verse 1 จนถึง ท่อนฮุกจบไปแล้ว และผมรู้สึกว่าเพิ่มอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ผมก็เลยอยากให้มีคนอื่นมาเติมเต็มในมุมมองที่ผมกำลังเขียนอยู่ แล้วพอพี่เอเขียนมา ทุกอย่างมันจบ มันดีมากๆ เพลงมันใช่เลยและเพลงมันจบได้เลยครับ

เมษ : ผมประทับใจตอนที่เพลงนี้เกิดขึ้นมา เพราะว่าเพลงนี้เป็นโมเมนต์ที่ออกในตอนที่วงผ่านอะไรหลายๆ อย่าง เพลงยิ่งทำให้รู้สึกหมือนทุกอย่างของวงเรามันอยู่ในจุดที่เราสามารถไปต่อกันได้เสมอ เพลงนี้เราทำไวมาก นั่งทำด้วยกันไม่กี่ครั้งก็เสร็จแล้ว แทบไม่แก้เลย ผมเลยรู้สึกสนุกมากๆ กับการทำเพลงนี้เพราะทุกอย่างมันราบรื่นหมดเลย

เพลงไหนคือเพลงโปรดของวงสำหรับแต่ละคน 

นิล : เพลง “จาก” ครับ เพราะเป็นเพลงที่ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างง่ายลง ไม่ใช่เชิงว่าการทำงานมันง่ายลง แต่หมายถึงว่าเพลงดูฟังง่ายขึ้น แต่เบื้องหลังแล้วเราคิดเยอะกว่าเพลงที่ผ่านๆ มาด้วยซ้ำไป พอเราตั้งใจทำเพลงที่เชื่อว่าทุกคนฟังได้ เพลงนั้นมันยิ่งไพเราะ เป็นเพลงที่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องเทคนิคการทำเพลง แต่เป็นเพลงที่คนฟังฟังแล้วรู้สึกอะไรบางอย่างจากมัน เพลง “จาก” เลยเป็นเพลงที่ดีสำหรับผมมากๆ ครับ

ปุ้ย : “คิดถึงไปก่อน” ผมชอบตรงไปตรงมาและความสบายๆ ของมัน เพราะเราก็ทำเพลงเดือดๆ กันมาเยอะแล้ว 

เต้ : ผมก็ชอบ “คิดถึงไปก่อน” เหมือนกันครับ ทั้งในเรื่องมุมมองของการเขียนเพลง ทั้งเรื่องของดนตรีหรือเมโลดี้ ทุกอย่างมันค่อนข้างที่จะถูกสเปกตัวผมในตอนนี้ 

ข้น : ผมก็ชอบเพลงล่าสุด “คิดถึงไปก่อน” เหมือนกันครับ แต่ก็ยังแอบคิดถึงเพลงเก่าๆ ที่ทำมาทั้งหมด แล้วก็คิดไปอีกจนกระทั่ง ถ้าในอนาคตให้กลับมาทำเพลงแนวเก่าๆ เราน่าจะมีอะไรบางอย่างที่มันจะเจ๋งกว่าเดิม แล้วก็เพลงล่าสุด หรือเพลงต่อไป ผมว่ามันจะยิ่งมีอะไรบางอย่างที่เรามีของเยอะขึ้น เรามีสกิลเยอะขึ้น น่าจะชอบอันล่าสุดไปเรื่อยๆ เลยครับ

แต่ละคนมีไอดอลในดวงใจมั้ย

เมษ : Linkin Park ล่าสุดเขาเพิ่งกลับมาฟอร์มวงอีกรอบ แทบร้องไห้เลยครับ (หัวเราะ)

เต้ : Linkin Park เหมือนกันครับ 

ปุ้ย : ถ้าที่อินอยู่ในตอนนี้คงเป็น Turnstile ตอนนี้ชอบมาก 

นิล : Grabbitz เพราะดนตรีถูกใจและทัชใจผมครับ 

ข้น : Trent Reznor’s ครับ

Bomb at Track มีความหมายกับแต่ละคนยังไงบ้าง

ข้น : มีความหมายมากครับ แต่จะพยายามพูดไม่ให้มันซึ้งมากครับ เขิน (หัวเราะ) สมัยมัธยมฯ ก็จะอยากทำวงดนตรี อยากมีเพลงเป็นของตัวเอง จนโตขึ้นมาหน่อยผมได้เรียนดนตรี แล้วก็มาเจอเพื่อนๆ ได้ทำวงและได้มีเพลงเป็นของตัวเองแล้ว ตอนนี้มันกลายเป็นอาชีพของเรา จนถึงวันนี้ก็ 8 ปีแล้ว นานกว่าแฟนคนที่คบกันนานๆ ด้วยซ้ำ (หัวเราะ) เรียกได้ว่าแทบจะทั้งช่วงหนึ่งของชีวิต ถ้าตอนแก่ได้เล่าให้ลูกฟังว่าพ่อคือใคร พ่อเคยทำอะไรมา สิ่งที่นึกออกก็คือทำวงดนตรี มันสำคัญกับผมมากๆ ครับ

เต้ : มันคือชีวิตผมครับ ผมว่าชีวิตผมไม่น่าจะไปทำอย่างอื่นแล้ว ถ้าวงนี้ยังไม่แตกมันก็คงจะทำเพลง จะร้องเพลงให้กับวงวงนี้ไปเรื่อยๆ เพราะว่ามันคือชีวิตผม

ปุ้ย : Bomb at Track มันคือเพื่อนที่มาเจอกัน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอด 8 ปี ร่วมกันมาก็หลายเรื่องราว เป็นเหตุการณ์ที่มีความหมายกับชีวิตครับ 

เมษ : Bomb at Track เป็นเซฟโซนของผมครับ พออยู่กับเพื่อนแล้วลืมทุกอย่างได้เลยเพราะโฟกัสแค่อยู่กับเพื่อน เพราะว่าผมไม่ต้องคาดเดาหรือคาดหวังว่าจะต้องเจออะไรข้างหน้า แค่อยู่ตรงนี้มันก็สนุกแล้ว 8 ปีที่ผ่านมา เราได้เจออะไรที่มันพิเศษด้วยเยอะมากจริงๆ ครับ 

นิล : คล้ายๆ กับทุกคนครับ Bomb at Track คือเพื่อน เราเริ่มจากเพื่อน เราเริ่มจากการที่ทำอะไรด้วยกันสนุกๆ เราค่อยๆ ขยับกันไป จนกระทั่งมาเจอชีวิตจริงจนปัจจุบัน เชื่อว่าเราก็คงจะยังทำแบบนี้กันต่อไปและเราอยู่ด้วยกันไปตลอดครับ

วาดภาพในอนาคตของ Bomb at Track ไว้ว่าอย่างไร 

นิล : พวกเราก็อยากเติบโตไปเรื่อยๆ อยากอยู่ด้วยกันยาวๆ แล้วก็อยากที่จะได้เป็นตัวของตัวเอง ได้ทำงานเพลงที่เราซื่อสัตย์กับมัน 

ข้น : ชีวิตและครอบครัวของแต่ละคน เหตุการณ์ ไม่เท่ากัน เลยอยากให้ตรงนี้ เป็นจุดรวมพล หาอะไรจากมันให้ได้ และยึดให้มันมั่นคงให้ได้มากๆ ซึ่งตอนนี้วงเราก็เริ่มเป็นไปตามนั้น ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีครับ

อยากฝากอะไรกับชาว BAT บ้างไหม

ปุ้ย : คงไม่พ้นคำว่า “ขอบคุณ” ถ้าไม่มีพวกเขา วงก็คงไม่ได้เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่แรกจนถึงวันนี้ ผมมองว่าแฟนคลับเป็นส่วนสำคัญมากๆ ที่คอยให้กำลังใจพวกเรา เพราะเวลาที่เราไปเล่นดนตรี เราส่งให้เขา แล้วเขาก็ส่งให้พวกเรากลับมา มันมีความหมายกับพวกเราเยอะ ขอบคุณครับ

เมษ : ถ้าความหมายของ Bomb at Track เป็นเซฟโซน ชาว BAT ก็เช่นกัน ไม่ว่าคนฟังจะเจอเรื่องอะไรมา ทั้งดีหรือไม่ดี แต่เวลาเรามาเจอกัน คนฟังมาฟังเพลงที่เราเล่น ส่วนเราได้เล่นให้เขาฟัง เป็นการแลกเปลี่ยนพลังงานดีๆ ให้กันตลอด ทุกครั้งที่มีการเล่นคอนเสิร์ตและมีการเชื่อมโยงถึงกัน วันนั้นจะเป็นวันที่ดีมากๆ ในทุกๆ ครั้งเลยจริงๆ ขอบคุณ BAT ทุกคนครับ

ข้น : สำหรับใครที่มีปัญหา ต้องการอะไรบางอย่าง แล้วเรามีคอนเสิร์ต ก็สามารถมาดูได้ มาซัพพอร์ตกันเหมือนมาหาเพื่อน เพราะว่าแม้กระทั่งตัวเราเองที่ทำเพลงออกมา เราก็เยียวยาตัวเองด้วยเพลงของเราเองเหมือนกัน  และเราก็พยายามเยียวยาทุกคนเหมือนกันครับ