เชื่อเหลือเกินว่าเวลาเข้าช่วงปีใหม่ก็อยากมีเป้าหมายที่อยากจะทำในปีนี้กัน บางคนอยากลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำหรือพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
แต่จะเป็นอย่างไรเมื่อผู้เขียนที่ทั้งชีวิตไปแต่คอนเสิร์ตวงร็อกหรือเทศกาลดนตรีในบ้านเราอยากออกจากเซฟโซนในปี 2023 นั่นคือการไปคอนเสิร์ตเกาหลีครั้งแรกอย่าง BLACKPINK WORLD TOUR [BORN PINK] BANGKOK ที่เพิ่งปิดฉากไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ที่เรียกว่าผู้เขียนตื่นเต้นกับสิ่งที่จะเจอตั้งแต่วันกดบัตรยันวันจริงกันเลย

ภาพ: Live Nation Tero
ก่อนจะไปงานทั้งทีต้องกดบัตรซะก่อน
เชื่อว่าแฟนคลับเมื่อเจอชื่อผู้จัดและเห็นแผนผังคอนเสิร์ต รวมไปถึงสถานที่จัดงานก็ต้องกุมขมับตามๆ กัน
ผู้เขียนก็ด้วยแหละครับ
แต่พอเห็นว่ามีโอกาสทั้งทีและก็แอบกังวลแง่เรื่องการหมดสัญญาในครึ่งปีหลัง 2023 ก็เลยกลั้นใจกดไปที่โซน B ในรอบทั่วไป แง่หนึ่งก็รู้สึกว่าราคาบัตรมันช่างเฟ้อเกินไปหรือเปล่า แต่ก็เอาวะ ไม่รู้จะมีโอกาสได้ดูอีกมั้ย ก็ต้องลองดู
เช่นเดียวกับผู้เล่นหน้าใหม่ ตัวผู้เขียนไม่เคยไปคอนเสิร์ตวงเกาหลีสักงาน ถึงแม้จะผ่านยุคของ BIGBANG และ Super Junior แม้กระทั่ง Rain มาแล้วก็ตาม แต่ยอมรับตามตรงว่าช่วงนั้นก็เป็นวัยเรียน เลยไม่มีโอกาสได้ไปงานคอนเสิร์ตแนวนี้ และความที่เป็นคนชอบเพลงร็อกหรือชอบเพลงที่มีความสนุกเยอะๆ ก็ดันไปตรงจริตกับเพลงของ BLACKPINK

ภาพ: Live Nation Tero
และต้องบอกตรงๆ ว่าผู้เขียนพลาดคอนเสิร์ตใหญ่เมื่อปี 2019 ไปอย่างน่าเสียดาย เพราะการแข่งขันกดบัตรที่สูง แต่สิ่งที่ผู้เขียนไปเจอตามแฮชแท๊กวงที่มีทั้งความน่ารักและเสน่ห์ของสมาชิกวงแล้วนั้น อีกสิ่งที่น่าสนใจมากคือ นักดนตรี Backup ที่วงนำเล่นให้หลายๆ เพลงที่เราฟังในมาสเตอร์มาเป็นดนตรีสดแบบวง มันช่างเย้ายวนตัวผู้เขียนที่ชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ก็เลยเป็นหมุดหมายสำคัญในชีวิตที่อยากดูสักครั้งกับตา หรือต่อให้ยืนอยู่ไกลเวทีแค่ได้ยินเสียงให้ชัดก็พอ
สุดท้ายก็มาลงเอยที่โซน B ที่ถึงแม้จะกดในวันแรกๆ แต่ใจก็แอบหวั่นไม่ใช่น้อยที่ทำไมบัตรไม่ Sold Out ซักที แต่นั่นกลับไม่เกิดขึ้น ยิ่งมีการงอกที่นั่งเพิ่มเติม ซึ่งเรียกได้ว่าช่างน่าปวดหัวและมีเสียงก่นด่าตามกันมา นี่ยังไม่นับการแบ่งรอบกดบัตรที่จะให้สิทธิ์สมาชิก Blink Membership ให้กดบัตรก่อน แต่กลายเป็นว่าถ้าไม่นับบัตรที่นั่งและ VIP แล้วนั้น บัตรยืนสามารถกดได้เรื่อยๆ จนถึงวันงานกันเลยทีเดียว
แค่เริ่มต้นก็หวั่นใจกันซะแล้ว


วันที่รอคอยก็มาถึง
ผู้เขียนยอมรับตามตรงว่าตื่นเต้นกับคอนเสิร์ตจากฝั่งเกาหลีมาก เพราะด้วยฐานแฟนคลับที่มีเยอะ มีกิจกรรม มี Giveaway ให้สะสม รวมไปถึงการมีบึลพิ้งค์บง Light Stick ที่สามารถโบกเชียร์วงตัวเองก็ดูน่าดึงดูดชนิดที่ตอนแรกผู้เขียนไม่ยอมซื้อ ก็ต้องซื้อหน้างานเสียอย่างนั้น
ผู้เขียนไปดูคอนเสิร์ตวันที่ 2 ดูจะไม่เจอปัญหาเท่าวันแรกที่มีทั้งการเรียงคิวเข้าเวที การเปิดเพลง Opening แล้วมีเสียงโห่ (วันนี้ไม่มีแล้วครับ) แต่ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น เพราะแอบสงสัยในการเรียงคิวและการนั่งรอเข้าเวทีว่าทำไมต้องนั่งตากแดดกันด้วยทั้งที่ควรจะมีเต้นท์รองรับ ถึงจะบอกว่าโชคดีที่อากาศ ณ วันงานไม่ได้รู้สึกร้อนสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์สโตรกในช่วงสี่โมงเย็นที่ประกาศให้เริ่มเข้าพื้นที่ มันก็ดูเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างยิ่ง
ประกอบกับการที่ไม่มีคิวการเข้างานชัดเจนเพราะใช้ระบบ First Come First Serve (มาก่อนได้ก่อน) ก็ดูช่างน่าวุ่นวายมากๆ รวมไปถึงความหนาแน่นของในพื้นที่ Standing ที่รู้สึกว่าแน่นไป เพราะมีฟีดแบคจากผู้ชมวันแรกว่า มีคนเป็นลมและการผลักกัน


ส่วนเรื่องราคา Merchandise นับว่าอยู่ในเรตทั่วไปในหลายๆ สินค้า แต่แท่งไฟแอบแพงกว่าพรีออเดอร์นิดหน่อย แต่ตัวผู้เขียนก็ไม่ได้วางแผนเรื่องนี้ และสุดท้ายก็ต้องซื้อหน้างานอยู่ดี อีกเรื่องคือราคาของอาหารที่ส่วนตัวไม่ได้ไปซื้อ แต่ก็แอบเห็นราคาแล้วรู้สึกมันเฟ้อเกินไปหรือเปล่า
ส่วนห้องน้ำก็ตามสไตล์งาน Festival กลางแจ้งแหละครับ แต่คิดว่าถ้าใส่ใจเรื่องนี้กว่านี้อีก การออกแบบก็จะดูดีกว่านี้มากๆ
หลังจากเราบ่นกันมาขนาดนี้ใช้ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่แย่นะครับ ข้อดีมันก็มีคือ การเห็นแฟชั่นจากกลุ่มแฟนคลับที่เราจะเรียกติดปากว่า Blink มาดูคอนเสิร์ตนี้ ทุกคนต่างแต่งกายตาม Dress Code ของวงอย่าง BLACKPINK ที่ต้องมีสีดำและสีชมพู ผลลัพธ์คือ สไตล์ของแฟนๆ แต่ละคนที่จัดจ้าน ราวกับแฟชั่นโชว์ มันทำให้งานดูสนุกขึ้นมาหลายเท่าตัว
และยังมีของขายหน้างานที่มีทั้งแบบ Official และ Fanmade ก็ดูจะมีการซื้อขายกันอย่างคึกคัก หลาย ๆ คนก็จะมีการซื้อ Merch ให้เพื่อให้กำลังใจสมาชิกทั้งวง หรือคนใดคนหนึ่งที่ชื่นชอบที่สุดหรือที่เขาเรียกกันว่าเมนหลัก
พูดมาขนาดนี้แอบสงสัยใช่มั้ยครับว่าผมน่ะเมนใคร?
บอกเลยว่าละกันว่าเป็นมีเมนหลักเป็น Jisoo ที่เป็นพี่ใหญ่ของวงที่ด้วยความสวยและความน่ารักที่มีทั้งมุมที่สวยและมุมที่ตลกก็เรียกว่าขโมยใจผู้เขียนไปหมดเลย แต่สมาชิกที่เหลือก็ชอบเหมือนกันนะครับ เพราะคาแรคเตอร์แต่ละคนชัดเจนมาก ๆ ก็แอบมีเมนรองอย่าง Rosé ที่ผู้ชอบเสียงร้องและสไตล์การแต่งตัวแบบมากๆ


ได้ดูวงที่อยากดูเล่นซักที
ผู้เขียนเข้าไปถึงประมาณ 17.00 น. โชคดีที่อยู่แถวหน้า ๆ ของโซน B เมื่อลองสังเกตเวทีอะไรต่างๆ ก็แอบคิดเล่นๆ ว่าถ้าปิดอัฒจันทร์โซนหลังสุด และให้เวทียกสูงกับเข้ามาใกล้ มันก็แบ่งโซน B ให้มีระยะซ้ายและขวาชัดเจนเพราะอยู่หลัง Front of House หรือจุดคอนโทรล มันก็น่าจะสะดวกต่อการรับชมเวทีจริง เพราะพอมีจอตรงจุดนี้ก็มีข้อดีคือ คนที่อยู่โซน B ซึ่งเห็นภาพชัดเจน แต่ข้อเสียคือ บังคับให้จุดความสนใจเราไปที่จอทันทีซึ่งได้อรรถรสอาจไม่เต็มที่เท่าไหร่สำหรับแฟนๆ บางคน
ผู้เขียนไม่ได้ติดใจเรื่องนี้ แต่รู้สึกว่าถ้าทางผู้จัดใส่ใจเรื่องผังเวทีที่ทำให้คนดูสามารถรับชมกันได้อย่างทั่วถึงก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะเอาเข้าจริงตัวสนามศุภชลาสัยก็ไม่ใช่สถานที่ที่ไม่เหมาะกับการจัดคอนเสิร์ตซะทีเดียว ในแง่ความสะดวกที่มีทั้งระบบขนส่งมวลชน และอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้าและโรงแรม ก็ดูเป็นจุดแข็งอย่างมาก
แต่การดีไซน์ที่ทำให้ผู้ชมมีส่วนร่วมกันทุกคนก็ดูโจทย์ใหม่ที่น่าท้าทายเช่นกัน ประกอบภาพที่เผยแพร่ในสื่อโซเชียลที่เห็นความทรุดโทรมของสถานที่ แม้ตอนไปเห็นกับตาก็ยังไม่ได้รู้สึกว่ามันโทรมจนรับไม่ได้ แต่ทางที่ดีก็ควรจะปรับปรุงสถานที่เพื่อให้บรรยากาศในการเข้ามารับชมงานในวันนั้นมันดีขึ้นครับ
พูดมากันขนาดนี้แล้ว พอใกล้ถึงเวลาโชว์ก็มีการเปิดมิวสิกวิดีโอผสมกับโฆษณาเพื่อเป็นการ Warm Up คนดู ซึ่งภาพที่ผู้เขียนเห็นคือชาว Blink พร้อมใจกันร้องเพลงคลอระหว่างรอวงจะขึ้นมาแสดง ถือว่าเป็นโมเมนต์ที่สนุกมากๆ


และแล้วการแสดงก็เริ่มต้นขึ้นในเวลา 19.30 น. ที่เลทจากประกาศในตารางไปครึ่งชั่วโมง ภาพ 4 สาวที่มี Interlude ของแต่ละช่วง และมีวิดีโอสไตล์ VCR มาประกอบกัน ก็สร้างความน่าตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว
พอเพลงแรกที่เปิดโชว์ขึ้นมาอย่าง How You Like That ที่มาพร้อมกับสมาชิกทั้ง 4 คนก็เรียกได้ว่าทำเอาผู้เขียนที่ไม่ค่อยแหกปากกรี๊ดตอนดูคอนเสิร์ตร็อก ได้ใช้เสียงกรี๊ดต่อ Member ทั้ง 4 คนที่แทบจะหมดโควต้าการกรี๊ดในทั้งชีวิตที่ผ่านมา
ยิ่งการมีดนตรีสดจากทีม Backup ระดับอาจารย์มันทำให้ความสนุกของเพลงแต่ละเพลงยิ่งทวีคูณความเดือดขึ้นมา พอศิลปินใส่พลังมาเท่าไหร่ คนดูก็เชียร์กันอย่างเต็มที่ ชนิดที่เป็นประสบการณ์ของการดูคอนเสิร์ต K-POP ครั้งแรกของตัวผู้เขียน ที่ประทับใจในการที่ทั้งศิลปินและคนดูเอ็นจอยในการโดด การส่งเสียงกรี๊ดกัน ชนิดที่ผู้เขียนเสียงแหบและปวดขากันเลย
โชว์ทั้งหมดจะประมาณ 2 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็น 4 องก์รวม Encore ด้วย ซึ่งทางวงก็ขนมาทั้งเพลงฮิตอย่าง Kill This Love, DDU-DU DDU-Du, Whistle รวมไปถึงเพลงในอัลบั้มใหม่อย่าง Pink Venom, Shutdown และก็ยังไม่พอ ในโชว์นี้ก็มีแบ่งให้ในสมาชิกแต่ละคนได้โชว์ Solo ตัวเอง ที่โชว์ศักยภาพของแต่ละคนอย่างเต็มที่


ถ้าให้รีวิวแต่ละคนก็สามารถพูดได้เต็มปากว่าทั้ง 4 คนมีของชัดเจน Lisa ที่มีสกิลการแรปและการเต้นที่ดุดันไม่เกรงใจใคร ซึ่งการเอา Lalisa และ Money มาเล่นที่นอกจากการ Perform ที่สุดยอดแล้ว งานเสียงคือดีมากชนิดที่ Sub Bass ทำพื้นสะเทือนจนผู้เขียนรู้สึกเต็มอิ่มและสะใจมาก
ต่อกับ Jennie ที่มีทั้งการแรป และการร้องที่ดี (มาก) รวมถึงเสน่ห์เวลาอยู่บนเวทีคือดีมากๆ จนผู้เขียนโดนตกแบบเต็มหัวใจ
ส่วน Jisoo ที่เป็น Visual ของวง และเมนหลักผู้เขียนก็ใช้สวยได้สิ้นเปลืองมาก สวยแบบตะโกน สวยแบบ “ส๊วยยยย” แถมทักทายคนดูด้วยภาษาไทยอีกด้วย สุดท้ายกับ Rosé ก็เป็นคนที่มีน้ำเสียงที่ดี ยิ่งไปกว่านั้นคือออร่าจับมาก เล่นเอาผมใจบางเลย
สิ่งที่น่าสนใจในการเปลี่ยนองก์ที่มีทั้ง VCR ที่เป็น Video Concept ให้เห็นสมาชิกและมี Interlude ที่ทำมาสอดคล้องกับเพลงแต่ละช่วงแล้วนั้น ยังมีพื้นที่ในทั้งทีมเบื้องหลังทั้ง Backup และ Dancer มาปล่อยของกัน อันนี้เป็นสิ่งที่ผู้เขียนประทับใจในแง่การให้ความสำคัญกับทีมเบื้องหลังที่สร้างงานแต่ละโชว์ที่เกิดขึ้นให้สำเร็จขึ้นมา ต้องยอมรับว่าทุกคนย่อมเป็นส่วนสำคัญทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ถือว่าเป็นออกแบบโชว์ที่ทำให้ทุกฝ่ายมีส่วนสำคัญอย่างชัดเจนและซื่อตรงอย่างมาก


ก็เรียกได้ว่าเต็มอิ่มราวกับว่า 2 ชั่วโมงมันหายไปไวมาก ประกอบกับยิ่งการที่ศิลปิน Service แฟนคลับและโชว์อย่างเต็มที่ รวมไปถึงคนดูที่สนุกอย่างเต็มที่แล้วนั้น มันทำให้ประสบการณ์ในการดูคอนเสิร์ตวงเกาหลีที่ผู้เขียนไปครั้งแรกมันอิ่มเอมใจมาก ชนิดที่ถ้าในปีนี้ผู้เขียนโชคร้ายได้ดูแค่คอนเสิร์ตเดียวในปีนี้นั้น BLACKPINK ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมมาก ๆ (แต่เอาเป็นอวยพรให้เขียนได้ไปคอนเสิร์ตอีกนะครับ จะได้นำมาเล่ากันบ่อยๆ)
แทรกซักเล็กน้อยว่า ในแต่ละช่วงของโชว์ก็จะมีการทักทายแฟนคลับ สิ่งที่เกิดขึ้นคือผู้เขียนดันเจอ “เหนือเมน” หรือศิลปินที่เราแอบเผลอใจไปหลงรักนั่นก็คือ Jennie นั่นเอง ถึงแม้ตอนแรกผู้เขียนยังไม่ได้ชื่นชอบเท่ากับเมนหลักอย่าง Jisoo แต่พอเจอความเห็นเล่นหูเล่นตา จริตท่าทางและเสน่ห์ที่มีเยอะมากๆ ตลอดทั้งโชว์ก็เรียกได้ว่าผู้เขียนชื่นชอบในตัว Jennie อย่างไม่ปฏิเสธชนิดที่เรียกได้ว่ามาดูรูปย้อนหลังก็มีแต่ Jennie ซะงั้น แต่บอกเลยถ้าสำหรับหน้าใหม่ที่อยากรู้จักวงนี้ และดูด้วยตาตัวเองสักครั้งคุณจะรักทั้ง 4 คนเลย ผู้เขียนก็รักทั้ง 4 เช่นกัน


Final Thoughts
หลังจากจบคอนเสิร์ตนี้ประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง ด้วยความที่คนแออัดทำให้ผู้คนต้องเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ และเบียดเสียดกัน บางคนก็อัพสตอรี่หวีดกันในไอจี (ผู้เขียนก็ด้วย) สำหรับภาพรวมในคอนเสิร์ตนี้ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีงามและเหมาะสมกับการเปิดปี 2023 ด้วยการทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำอย่างที่ผู้เขียนตั้งเป้าไว้ อย่างการไปคอนเสิร์ตศิลปินเกาหลีเป็นครั้งแรก มันอิ่มเอมใจและเป็นประสบการณ์โชว์ที่ดีมาก ๆ ทั้งตัวศิลปิน แสง สี และเสียง
แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าผู้จัดใส่ใจในการอำนวยความสะดวกให้ดีกว่านี้ ทั้งแผนผัง สถานที่ รวมไปถึงราคาบัตรที่เรารู้สึกว่ามันเฟ้อมากเกินกว่าที่จะเป็น เมื่อเทียบกับค่าครองชีพและค่าบัตรในยุคก่อนโควิด ส่วนหนึ่งก็เข้าใจต้นทุนที่พุ่งสูงอันมีผลมาจาก Covid-19 ซึ่งถ้าไม่สามารถลดราคาบัตรได้ ก็ต้องทำให้ประสบการณ์ระหว่างการรอชมคอนเสิร์ตมันดีกว่านี้ ทั้งแง่การระบายคนเข้า-ออก สิ่งอำนวยความสะดวก ราคาสินค้า แม้กระทั่งราคาอาหาร เพราะการที่เราต้องจ่ายราคาบัตรที่แพงขนาดนี้แต่ได้ประสบการณ์ระหว่างรอชมไม่ดี มันทำให้ผู้บริโภคไม่กล้าตัดสินใจเสียเงินอีก ซ้ำร้ายมันจะผลักให้ผู้คนห่างจากคอนเสิร์ตและดนตรีไปอีก
จากมูลค่าของบัตรที่แพงเกินจำเป็นแต่ไม่คุ้มค่าในราคาที่จ่าย ก็จริงอยู่ที่ระยะสั้นมันกอบโกยได้ แต่แง่ระยะยาวอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ถ้าผู้คนเริ่มไม่สนใจที่จะดูคอนเสิร์ต ซึ่งเราก็พบเห็นได้จากการดูภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์มันลดน้อยลงเพราะราคาตั๋วมันเฟ้อเกิน จนทำให้คนหันไปใช้บริการ Streaming เพราะแค่หนังออกจากโรงประมาณ 1 เดือนก็สามารถมาดูที่มือถือได้แล้ว แม้อาจจะไม่ได้ผลกระทบเท่าโรงภาพยนตร์ แต่สภาพเศรษฐกิจในบ้านเรา ณ ตอนนี้มันก็สามารถพูดได้เต็มปากว่า “อะไรมันก็เกิดขึ้นได้”
ท้ายที่สุดก็อยากชักชวนผู้อ่านที่ในปีใหม่นี้มีเป้าหมายอะไรใหม่ ๆ ที่อยากทำ ถ้ามีทุนมีกำลังกายและมีเวลามากพออยากให้ทำเลยเพราะเราไม่รู้จะมีโอกาสได้ทำอีกเมื่อไหร่ สำหรับผมในการที่เปิดประสบการณ์ครั้งแรกในการดูคอนเสิร์ตวงเกาหลีเป็นสิ่งที่ดีมากๆ (แม้จะทำให้กระเป๋าแห้งไปเยอะก็เถอะ) หลังจากนี้ผู้เขียนจะพยายามมาแชร์ประสบการณ์ที่ไปคอนเสิร์ตต่างให้ผู้อ่านลองมาอ่านดู
และสำหรับทุกคนที่รักศิลปิน แม้คุณจะไม่มีทุนทรัพย์ที่เยอะ แต่ก็อยากให้ซัพพอร์ตศิลปินเท่าที่เป็นไปได้ เชื่อเลยว่าการดูคอนเสิร์ตกับวงที่ชอบสักครั้งหนึ่งมันทำให้ได้อิ่มเอมใจมากแค่ไหน ถ้ามีโอกาสก็ขอให้ลองสักครั้ง แต่ที่แน่ๆ ผู้เขียนก็อยากไปดูคอนเสิร์ต BLACKPINK อีกแล้วอ่ะสิ หวังว่าจะกลับมาไทยไม่ก็มีเงินเก็บที่จะบินไปดูที่ต่างประเทศไม่ว่าอย่างไรก็ช่วยอวยพรให้ผู้เขียนนะครับ
เอาเป็นว่านี่คือการเปิดปี 2023 ที่ดีมากๆ อย่างไรถ้ามีคอนเสิร์ตวงเกาหลีที่ผมชอบผมก็จะไปร่วมสนุกกันอีก
อย่างไรก็ขอฝากตัวเป็นชาว Blink อีกหนึ่งคนด้วยนะครับ
Contributors
Contributors
พนักงานออฟฟิศที่ชอบเข้างานเลทแต่เลิกงานตรงเวลา หลงรักเสียงดนตรีแสงสี งานภาพยนตร์มากกว่าบัญชีรายรับรายจ่าย เป็นคนสู้งานแต่งานสู้กลับจนบ่นปวดหลังในทุกๆ วัน