เมื่อพูดถึงย่านที่ยังคงกลิ่นอายความเก่าแก่และมีที่มาที่ไปอย่างยาวนาน เรามักนึกถึงถนนเจริญกรุง ทรงวาด จนไปถึงเยาวราช แต่ยังมีถนนอีกเส้นที่คงกลิ่นอายความครึกครื้นภายในย่าน ตั้งแต่สมัยก่อนมาได้จนถึงทุกวันนี้ นั่นคือ ถนนสุรวงศ์ ถนนสายการค้าที่เต็มไปด้วยธุรกิจยุคบุกเบิกและร้านค้าสาขาแรกในหลายแบรนด์ ทำให้ย่านนี้ยังคงกลิ่นอายความเป็นไทย-จีนท่ามกลางสถาปัตยกรรมคลาสสิกร่วมสมัย
บ้านสุริยาศัย บ้านเรือนไทยสไตล์โคโลเนียลผสมวิคตอเรียนท่ามกลางถนนสายธุรกิจ อันเป็นมรดกตกทอดของย่านนี้มากว่า 100 ปี
ความเป็นมรดกของบ้านหลังนี้ไม่ได้มีเพียงแค่อายุที่เพิ่มขึ้นในทุกปี แต่หน้าประวัติศาสตร์ของย่านที่บ้านหลังนี้ได้บันทึกไว้ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
หน้าประวัติศาสตร์เริ่มตั้งแต่โต บุนนาค (เจ้าพระยาสุรวงศ์วัฒนศักดิ์) ผู้สร้างบ้านหลังนี้ ก่อนจะริเริ่มตัดถนนสุรวงศ์และถนนเดโช ถนนที่ตัดเข้าถนนสายเจริญกรุงและเป็นถนนคู่ขนานกับถนนสีลม
วันนี้เราจึงมาที่บ้านเก่าอายุ 100 ปีเพื่อพูดคุยกับคุณแซม-ไพศาล อ่าวสถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิสโตร เอเชีย จำกัด ที่ได้ร่วมบันทึกอีกหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของบ้านหลังนี้
ด้วยการเปิดร้านอาหารไทย

บ้าน “สุริยะ” เพื่อ “อาศัย”
เครือบิสโตรเอเชีย (Bistro Asia) ประกอบไปด้วย 6 แบรนด์ ตั้งแต่หม่านฟู่หยวน ร้านอาหารจีนสไตล์กวางตุ้งชื่อ ร้านอาหารสไตล์ตะวันตกชื่อ Hyde & Seek Athenee, ร้านอาหารเอเชียอย่าง SO Asean : Cafe & Restaurant โครงการ The Street, ฟู้ดคอร์ทในชื่อ Food Street, ธุรกิจ F&B ในสนามกอล์ฟสโมสรราชพฤกษ์ และสุดท้ายคือ บ้านสุริยาศัย ร้านอาหารไทยที่เราตั้งใจมาคุยกันในวันนี้

คุณแซมเล่าให้เราฟังว่า คุณโต บุนนาค หรือ เจ้าพระยาสุรวงศ์วัฒนศักดิ์ เป็นผู้ให้สร้างบ้านหลังนี้เพื่ออยู่อาศัย ก่อนจะได้สร้างถนนหน้าบ้าน แล้วจึงมอบให้ถนนเส้นนี้เป็นถนนหลวง และได้ตั้งชื่อตามฐานันดรศักดิ์ของท่านคือเจ้าพระยาสุรวงศ์ จนกลายมาเป็นชื่อถนนสุรวงศ์ ต่อมาจึงได้ให้สร้างถนนอีกเส้นหนึ่ง โดยนำสมณศักดิ์ของท่านผู้หญิงตลับสีหราชเดโช ภรรยาของท่านโต บุนนาค มาใช้เป็นชื่อ ถนนเดโช จนถึงทุกวันนี้
โดยชื่อบ้านสุริยาศัยเกิดจากสกุลของบ้านบุนนาคที่มี 2 สาย คือสายสุริยะและสายจันทรา ซึ่งบ้านหลังนี้เป็นบ้านสายสุริยะ จึงได้นำคำว่า “สุริยะ” และ “อาศัย” มาสมาสกันจนเกิดเป็นคำว่า “สุริยาศัย” ที่แปลว่า บ้านที่พักของตระกูลสุริยะนั่นเอง

“บ้านหลังนี้เรียกได้ว่าเป็นบ้านที่อยู่ในประวัติศาสตร์ชาติไทยนะครับ สร้างมาตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 5 ในปีค.ศ. 1922 ซึ่งปีนี้ก็ครบ 100 ปีพอดี”
บ้านหลังนี้มีข้อสันนิษฐานว่า ผู้สร้างอาจเป็นคนเดียวกันกับผู้สร้าง พระที่นั่งอนันตสมาคม (ท้องพระโรงเดิมของพระราชวังดุสิต) สังเกตได้จากลายไม้ของบ้านที่คล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปที่มีในช่วงรัชกาลที่ 5 ด้วยความที่บ้านหลังนี้ถูกสร้างมานาน สมเด็จพระเทพฯ จึงพระราชทานให้บ้านหลังนี้เป็นอาคารอนุรักษ์ดีเด่นเลยทีเดียว
“หมายความว่าบ้านหลังนี้จะถูกเก็บไว้เป็นมรดกของชาติ ปัจจุบันไม่สามารถทำลาย หรือไม่สามารถรื้อถอนได้ ดังนั้นสิ่งที่เราเข้ามาทำคือ ปรับปรุงบ้านเพื่อให้กลับอยู่สภาพเดิมให้ได้มากที่สุด”


บ้านใหม่ไม่ทิ้งกลิ่นอายบ้านเก่า
แม้ว่าบ้านหลังนี้ถูกยกให้เป็นบ้านอนุรักษ์ที่รื้อถอนไม่ได้ แต่คุณแซมอยากให้บ้านหลังนี้เป็นอีกพื้นที่ให้คนได้เปิดเข้ามาสัมผัสบรรยากาศความเป็นชาววัง ผ่านอาหารรสละมุนละไม ร้านอาหารไทยในบ้านเก่าจึงเริ่มต้นจากตรงนี้
“บ้านโบราณหลังนี้เป็นโครงสร้างเก่า การจะทำให้บ้านอยู่ในสภาพเดิม เลยเป็นความยากเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ยิ่งช่วงหน้าฝน หนักหนาสาหัสเลย ก็เลยเป็นที่มาว่า ทำไมเราใช้เงินเยอะมากกับบ้าน”
ความท้าทายเหล่านั้นทำให้เกิดเป็นบ้านสุริยาศัยที่แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก โดยในสามส่วนหลักที่คุณแซมกำลังเล่าให้เราฟังนั้น ได้รวมตัวบ้านใหญ่ที่เคยเป็นที่พักอาศัยเข้าไปด้วย
“เดิมทีบ้านหลังนี้เป็นแบบที่มีหลายห้อง เพราะว่าสมัยก่อนเขาอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ เพราะงั้นบ้านก็จะเป็นห้องพักเสียเยอะเลย”
ส่วนแรกคือ ตัวบ้านใหญ่ (Suriyasai Cuisine) เป็นส่วนหลักที่ถูกใช้เป็นร้านอาหาร บ้านไม้สีขาวที่มีลวดลายผสมผสานกับสถาปัตยกรรมตะวันตกที่คงกลิ่นอายแห่งยุคย่านการค้าเก่าได้ดี ทำให้การเดินเข้าร้านอาหารให้บรรยากาศเหมือนเดินเข้าเรือนฉบับชาววัง

ส่วนที่ต่อมาถูกปรับให้เป็นบาร์เพื่อนั่งจิบเครื่องดื่ม (Content Bar) เป็นส่วนริมระเบียงชั้น 2 ที่แยกตัวออกมาเป็นรูปตัวแอล และส่วนสุดท้ายคือ ห้องจิบชา (Tea Room) คุณแซมเล่าว่าในส่วนนี้เปิดมาเพื่อให้คนที่อยากเข้ามาชมบ้าน ได้เข้ามาลองชาเบลนด์ที่มีหลากหลายกลิ่นให้ได้เลือกจิบกัน นั่งพักผ่อนหย่อนใจชมสวน ดื่มกาแฟไปพร้อมกับรับประทานขนมนมเนยสไตล์ฝรั่งอย่างครัวซองต์
แต่ Signature ของที่นี่ที่ไม่ควรพลาดคือ กาแฟลอดช่อง และขนมไทยที่คนอาจจะไม่รู้จักกันไปแล้วอย่างโสมนัส

นอกจากนี้ยังมีส่วนที่เพิ่มเติมภายในบ้านเข้ามาอีกเรื่อยๆ นั่นคือส่วนของร้าน Retail
“เราจะมีอาคารเพิ่มเติมขึ้นมาเป็นร้าน Retail เป็นโครงการของประชารัฐรักสามัคคี ซึ่งเป็นการช่วยเหลือชาวบ้านที่มีผลงาน โดยเราผลงานนำมาจัดแสดงที่นี่ แล้วขายให้เขาโดยที่เราไม่ได้กำไร มันคล้ายๆ OTOP อะไรที่เราช่วยได้ก็ช่วย”
อีกส่วนที่เพิ่มเข้ามาอีกคือ Cooking Studio อยู่ถัดจากห้อง Tea Room ไปส่วนนี้เป็นพื้นที่สำหรับผู้ชื่นชอบและอยากเรียนรู้การทำอาหารไทย
นอกจากส่วนของตัวบ้านแล้ว รอบๆ บ้านสุริยาศัยยังคงกลิ่นอายความเป็น “บ้านบุนนาค” ไว้อีกด้วย เพราะภายในตัวบ้านยังคงมีต้น บุนนาค ต้นไม้ประจำตระกูลยืนต้นอยู่หนึ่งต้น คุณแซมบอกว่าเราว่าไม่มั่นใจเรื่องอายุ แต่ต้นบุนนาคต้นนี้เป็นต้นที่อยู่คู่กับตัวบ้านมาตั้งแต่แรกแล้ว
ต้นบุนนาคถือเป็นต้นไม้มงคลที่คนสมัยก่อนนิยมนำมาตั้งเป็นชื่อ มีสรรพคุณเป็นสมุนไพรทั้งในส่วนของใบ ราก และดอก
“ตั้งแต่เรามาอยู่ที่นี่ เราไม่เคยเห็นดอกนะ สันนิษฐานว่าต้นมันไม่มีคู่ เราเลยไม่เคยเห็นดอก และความจริงต้นบุนนาคก็ให้ดอกยากมาก รอ 6 ปีถึงจะให้ดอก 1 ครั้งเท่านั้น หาดูยากเหมือนกัน เราเลยมีการทำจำลองดอกบุนนาคขึ้นมาด้วยการใช้นักปั้นมาปั้นดินให้เป็นดอกบุนนาคขึ้นมา”

เราเดินเข้ามาที่นี่ นอกจากต้นบุนนาคแล้ว เรายังเห็นน้ำพุตั้งตระหง่าน จนมาทราบภายหลังว่า เดิมทีแล้วที่นี่ไม่มีน้ำพุ
“ฮวงจุ้ยของบ้านคือหัวใจของบ้าน น้ำพุเลยเปรียบเสมือนหัวใจของบ้าน การมีน้ำพุเลยกลายเป็นหัวใจที่มีการเต้นอยู่ตลอดเวลา”
เมื่อพูดถึงเรื่องฮวงจุ้ยและความเป็นศิริมงคล คุณแซมจึงแอบเล่าเรื่องสิ่งที่มองไม่เห็นให้เราฟัง
“อาจารย์แต่ละท่านที่มาแล้วสัมผัสได้ เขาจะรู้ว่า บริเวณลานน้ำพุน่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย เพราะเดิมทีตรงนี้เป็นที่ตั้งของศาลพระภูมิ แล้วก็มีท่านหนึ่งบอกว่าเคยเห็นพญานาค อันนี้แล้วแต่ความเชื่อ แต่ถามว่าคนในบ้านนี้เคยเห็นอะไรไหม ไม่เคยเห็นอะไรนะครับ”
บ้านสุริยาศัยจึงเป็นบ้านที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศบ้านเก่า ที่ยังมีชีวิต แม้จะถูกปรับให้เป็นร้านอาหารและพื้นที่อื่นๆ แล้ว แต่หากเดินขึ้นไปชั้นบนแล้วมองลงมาข้างล่าง เราจะเห็นว่าบ้านหลังนี้ยังคงสภาพความเป็นที่อยู่อาศัยได้อย่างสงบร่มรื่น

เสิร์ฟรสชาติต้นตำรับในบ้านชาววัง
ก่อนจะชวนไปลิ้มลองอาหารรสชาววังของที่นี่ คงต้องท้าวความถึงอาหารการกินในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 – 6 กันเล็กน้อย วิถีของการกินของคนในยุคนั้นเรียกได้ว่าเป็นยุคที่เจริญรุ่งเรืองทางอาหาร เพราะเป็นช่วงที่ไทยติดต่อค้าขายกับต่างชาติมากขึ้น ได้รับอิทธิพลจากต่างชาติ อาหารการกินจึงเพิ่มขึ้น การผสมผสานวัตถุดิบและกรรมวิธีจากฝั่งตะวันตกและเอเชียจึงเริ่มต้นที่ตรงนี้
“อย่างแกงพะแนง ฝรั่งเขามีวิธีการ Smoke เนื้อ แต่คนไทยไม่มี เราก็เลยอบควันเทียนแทน เพื่อให้มีความหอมเหมือนกับการ Smoke ด้วยวิธีของฝรั่ง แล้วค่อยมาทำแกง การอบด้วยควันเทียนจึงต้องอบนานมาก เพราะกว่าจะให้ควันหรือกลิ่นซึมเข้าไปในเนื้อต้องใช้เวลา 4-6 ชั่วโมง แล้วเอามาทำแกงอีก 4 ชั่วโมง ฉะนั้นเทคนิคในสมัยนั้นมีความซับซ้อนพอสมควร เราได้เรียนรู้เรื่องราวพวกนี้ แล้วก็ถ่ายทอดออกมาเป็นอาหารในแต่ละยุคแต่ละสมัย”


“เราจึงรวบรวมตำรับของสายหม่อมหลวงแต่ละสาย แล้วเราก็มาคัดเลือกว่าเมนูไหนที่เราอยากจะมานำเสนอที่นี่ เป็นการผสมผสานของหลายสกุลหลายสายที่สะท้อนกลับไปถึงในยุครัชกาลที่ 5-6 ว่าเวลาเขารับประทานอาหารกันมันจะเป็นประมาณไหน”
คุณแซมบอกกับเราว่า ตำราที่รวบรวมก็เป็นกระดาษเก่าๆ ที่บางแผ่นก็ยุ่ยไปบ้างแล้ว บางแผ่นก็ถูกเคลือบไว้ด้วยพลาสติก เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ใกล้เคียงกับความเป็นต้นตำรับมากที่สุด
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้บ้านสุริยาศัย เสิร์ฟเป็น Royal Food หรือเรียกง่ายๆ ว่า เสิร์ฟเป็นอาหารไทยเดิมฉบับชาววัง ไม่ใช่อาหารไทยเดิมฉบับชาวบ้านหรือ Local Food

“อาหารไทยมีความโดดเด่นเรื่องความเผ็ดร้อนและความจัดจ้านของอาหาร อย่างอาหารชาวบ้านจะทานจนเหงื่อซก นั่งซี๊ดซ๊าดกันยังไงก็ได้ แต่ในกุลสตรีหรือเจ้านายในราชวัง ไม่สามารถแสดงกริยาอะไรแบบชาวบ้านได้ เราเลยต้องปรับอาหารสายสกุลทุกสายที่อยู่ในวัง นำมาปรับให้มันละมุนขึ้น จึงเป็นที่มาว่าทำไมมันมีความยาก”
พูดถึงความละมุนของรสชาติ ทำให้เรานึกถึงเหล่าผักผลไม้ชาววังที่มักแกะสลักสวยงาม เพื่อให้รับประทานได้อย่างพอดีคำ อาหารฉบับชาววังจึงเป็นอาหารเพื่อมารยาท รับประทานแล้วดูสุภาพและละเมียดละไม
แม้อาหารชาววังจะมีรสชาติที่ไม่จัดจ้าน แต่คุณแซมบอกเราว่าอาหารชาววังมีเสน่ห์อยู่ในตัว
“เสน่ห์ของมันคือ บางเมนูเราไม่เคยรู้จักมาก่อนครับ แต่ว่าพอได้เข้าใจเรื่องราว เทคนิค และรสชาติของยุคนั้น มันทำให้เราอ๋อว่า ประวัติศาสตร์และเรื่องราวมันถ่ายทอดออกมาเป็นอาหาร นอกจากเราจะรับรู้เรื่องราวจาการดูภาพหรืออ่านจากตัวหนังสือ แต่อาหารก็สามารถเล่าเรื่องได้เช่นกัน”



“ฉะนั้นเราย้อนยุคได้ด้วยการเรียนรู้ผ่านอาหาร หรือที่เรียกว่า Experience True Food เรียนรู้ว่าอาหารไทยในยุคนั้นเขากินกันแบบนี้นะ เสิร์ฟกันแบบนี้นะ ทำไมรสชาติเป็นแบบนี้ เรารู้สึกว่าเสน่ห์มันอยู่ตรงที่ อาหารชาววังกว่าจะได้จานแต่ละจาน กว่าจะได้เนื้อแต่ละชิ้น ไม่ได้มาด้วยวิธีง่ายๆ”
และแน่นอนว่า กินคาวก็ต้องกินหวานตามสไตล์ของชาววัง บ้านสุริยาศัยไม่ได้เสิร์ฟแค่ต้นตำรับอาหารคาว แต่ยังเสิร์ฟของหวานในรสชาติแบบไทยๆ และรสชาติแบบฝรั่งฉบับยุครัชกาลที่ 5-6 ด้วย

โดยปกติแล้วเรามักเห็นชุด Tea Break ถูกเสิร์ฟกับขนมเพียงอย่างเดียว เราเลยสงสัยว่าทำไมบ้านสุริยาศัยถึงเลือกเสิร์ฟทั้งเครื่องคาวและเครื่องหวานมาด้วยกัน
“บอกก่อนว่า Tea Time กับ High Tea มีความแตกต่างกัน อาหารที่ทานแล้วอิ่มหน่อยก็จะเรียก High Tea แต่ถ้าอาหารเป็นอาหารเซ็ตเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องมีของหนักเรียกว่า Tea Time ซึ่งที่นี่จัดเป็น High Tea มี 2 เซต คือเซตแบบไทยและแบบฝรั่ง ซึ่งแบบฝรั่งเราก็ยังคงรูปแบบการเสิร์ฟในสไตล์ยุครัชกาลที่ 5 เหมือนกันครับ”
High Tea ของที่นี่เรียงลำดับของคาวไว้ที่ชั้นบนสุด ไต่ระดับลงมาเป็นของว่างแล้วตบท้ายด้วยของหวานชั้นล่างสุด

และด้วยความที่บ้านสุริยาศัยเสิร์ฟอาหารไทย High Tea ชั้นบนก็จะเป็นอาหารหนักขึ้นมาหน่อย อย่างหมูสะเต๊ะ เกี๊ยวทอด แตงโมปลาแห้งซึ่งถูกห่อด้วยกระทงดิน เป็นกระทงที่ทำจากชาโคลกินได้ทั้งคำพร้อมกับกลีบบัวออร์แกนิก เพิ่มรสชาติฝาดที่กลมกล่อมได้อย่างพอดิบพอดี
ชั้นล่างถัดจากของคาวก็ถึงคิวของของว่างเอาไว้รับประทานเล่นอย่าง เมี่ยงคำ ม้าฮ่อ หลายคนอาจจะไม่รู้จักม้าฮ่อ ม้าฮ่อเป็นขนมคล้ายกับสาคู เพียงแต่ไม่มีตัวสาคูแล้วนำมากินกับสับปะรด ต่อมาคือหมี่กรอบ เป็นอาหารที่ยุคก่อนไม่ได้กินเป็นของหวาน แต่สมัยนั้นหมี่กรอบถูกกินเป็นของว่างเพื่อตัดความเลี่ยน คล้ายกับกิมจิของเกาหลี และน้ำมะนาวของฝรั่ง อีกตัวที่ช่วยตัดเลี่ยนคือ แตงโมปลาแห้ง เราตัดเลี่ยนด้วยอาหารว่างล้างปากเพื่อมาลิ้มรสกับของหวานในชั้นล่างสุด


“ของหวานก็มีหลากหลายมาก แต่จริงๆ แล้วแต่คนกิน เราไม่ได้เจาะจงครับ บางคนชอบกินของหวานก่อนก็กินเลยครับ เพราะการจัดเรียงเขาก็แค่จัดกันแบบนี้ แต่ว่าเวลาทานจริงจะทำจากบนลงล่างหรือจากล่างขึ้นบนก็แล้วแต่นะครับ ตราบใดที่คนทานเเล้วยังเกิดสุนทรีย์กับการกินได้”
ในเมื่อเรากำลังพูดถึงชุดชา สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็ต้องเป็นชาตามสไตล์บ้านสุริยาศัย
“ชาที่นี่เป็นชาเบลนด์หลายตัว มีหลากหลายกลิ่น ที่ลูกค้าเข้ามาเลือกกลิ่นได้ ดมปุ๊บ ได้กลิ่นผ่านแมสก์ปั๊บ นอกจากเลือกดื่มได้แล้วลูกค้ายังเลือกกระป๋องชาเองได้ กระป๋องก็เป็นการออกแบบขึ้นมาใหม่ให้เหมือนในยุคนั้นเลยครับ เช่นกระป๋องแบบมงคล ก็ต้องมีเหลี่ยมอะไรอย่างนี้ ฉะนั้นมันจะเป็นรูปทรงในแบบยุคนั้นเลย”

ชาเบลนด์กลิ่น Signature คือ Oriental Beauty
“ชายอดนิยมที่สุดเป็น Oriental Beauty เป็นชาที่ดื่มตอนไหนก็ได้ ดื่มแล้วได้อารมณ์สุนทรีย์แล้วมันมีความหอมของข้าวหอมมะลิที่มันคั่วอยู่ แล้วมันก็มีกลิ่นใบเตยอ่อนๆ และตัวชาใช้ชาเขียวอยู่แล้ว ซึ่งมันเพิ่มอรรถรสในการดื่มมากขึ้น”
อีกตัวที่รสชาติดีมากคือ กลิ่น Minty Beast เป็นชารสมินต์ที่เหมาะกับการดื่มหลังรับประทานอาหาร
ดังนั้นชาเบลนด์ของที่นี่ ล้วนเกิดจากการกลั่นกรองไอเดียมาแล้วว่า เป็นชาที่คู่ควรกับบ้านหลังนี้
“พอเราทำอาหารแล้ว จึงเลือกชาที่มันเหมาะกับรสชาติอาหารของที่นี่ เพื่อให้การดื่มการกินมันมีรสชาติที่ดีขึ้น คัดเลือกด้วยการใช้นักชิมชามาช่วยคัดเลือกว่า ชาตัวไหนที่ควรดื่มหลังอาหาร อย่าง Minty Beast จะช่วยทำให้รู้สึกย่อยง่ายขึ้น แต่สำหรับคนที่อยากทานขนมหวานต่อก็จะแนะนำ Oriental Beauty เพื่อให้กินได้อรรถรสร่วมกับของหวาน”
นอกจากความพิถีพิถันทั้งอาหารคาวและหวานแล้ว ในส่วนของเหล่าถ้วยชามทั้งหมด คุณแซมบอกเลยว่า ที่นี่ใช้เครื่องชามที่สั่งพิเศษตรงมาจากแบรนด์ของญี่ปุ่นอย่าง โนริตาเกะ (Noritake) ซึ่งเป็นแบรนด์จานชามกระเบื้องเคลือบที่โด่งดังที่สุดของญี่ปุ่น โดยนำเหล่าเครื่องชามชั้นเลิศมาประทับตราบ้านสุริยาศัยไว้ด้วย


บ้านที่บันทึกอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
จากที่เราคุยกับคุณแซมมาสักพัก คุณแซมเล่าว่า มีการลงทุนลงแรงไปเยอะกับการเปลี่ยนบ้านเก่าให้กลายเป็นร้านอาหารไทยสไตล์ Fine dining เราเลยสงสัยว่าคุณแซมและ Bristro Asia มองเห็นการเติบโตหรือโอกาสไหนในธุรกิจอาหาร จนต้องกระโดดเข้ามาลงทุนกับบ้านหลังนี้ท่ามกลางวิกฤตค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
“จริงๆ เราไม่ได้กระโดดลงมา แต่เป็นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เรามีอยู่มากกว่า อย่างเช่นบ้านหลังนี้ท่านประธานเจริญได้มา ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร แค่การอนุรักษ์บ้านเอาไว้ก็มันยังไม่ได้ใช้ประโยชน์เต็มที่ เพราะเราต้องทำให้คนรู้จักว่าบ้านหลังนี้มีความสำคัญยังไง มีที่มาที่ไปอะไรที่หลายคนไม่ทราบ”
ก่อนหน้าการปรับปรุงบ้านให้เป็นร้านอาหาร บ้านสุริยาศัยเป็นบ้านที่มีไว้เพื่อรองรับแขกอยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่แขกทั้งในและต่างประเทศ คุณแซมเล่าให้เราฟังต่อว่า ตั้งแต่เปิดบ้านหลังนี้เพื่อรองรับแขกนั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูงอยู่แล้วด้วย

“ผมมองว่าแค่การเปิดบ้านมา การดูแลรักษาบ้านหลังนี้ก็ใช้ค่าใช้จ่ายสูงเหมือนกัน ดังนั้นไหนๆ ก็เปิดบ้านแล้ว ก็ให้คนทุกรุ่นทุกวัยสามารถเข้าถึงได้ด้วยดีกว่า ถือเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมของไทย ผ่านอาหารการกินจนถึงสถาปัตยกรรมในยุคนั้นเลยด้วย”
เห็นว่าตอนนี้มีคนรู้จักบ้านสุริยาศัยเยอะขึ้นและเข้ามาเยี่ยมเยือนกันอยู่ไม่น้อยเลย
“ผมอยากเผยแพร่ความเป็นไทยและอาหารไทย ถ้าวันนึงอาหารไทยเริ่มโด่งดังจนไปแข่งขันกับต่างประเทศได้ อาหารไทยอาจจะเริ่มทำอาหารสำเร็จรูปที่สามารถขายทั่วโลกได้ เป็นอาหารไทยชาววังที่สามารถทำแบบเดียวกัน แล้วเอาไปขายในต่างประเทศได้ ไม่ต้องมาที่เมืองไทยหรือไม่ต้องมาที่บ้านสุริยาศัยก็สามารถได้ลิ้มรสฝีมือสายสกุลต่างๆ ในแบบชาววังได้ จึงเป็นอีกที่มาว่า เราอยากจะเริ่มพัฒนาธุรกิจร้านอาหารแบบนั้น”


ยิ่งกว่าการมองผ่านเลนส์ธุรกิจแล้ว คุณแซมยังเน้นย้ำอีกความตั้งใจจริงของการเปิดบ้านสุริยาศัยอีกครั้ง
“ต้องบอกว่าที่นี่เป็นบ้านที่อนุรักษ์ วัตถุประสงค์คือเพื่ออนุรักษ์บ้าน แต่จะสร้างประโยชน์อย่างไรให้คนรุ่นใหม่ เพราะหลายๆคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีบ้านโบราณอยู่ตรงนี้ เราอยากให้บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ถ่ายทอดเรื่องราวดีๆ ของตระกูลบุนนาค เพราะเชื่อว่าหลายๆ คนก็ยังไม่รู้จักตระกูลบุนนาค”
ก่อนหน้านี้คุณแซมเองก็ไม่รู้จักตระกูลบุนนาคมากนัก กระทั่งเข้ามาลงทุนลงแรงกับบ้านสุริยาศัยถึงได้เห็นความสำคัญและเรื่องราวดีๆ ของตระกูลบุนนาคอย่างการให้สร้างและถวายถนนหลวงทั้งสองเส้น คุณแซมจึงอยากให้บ้านหลังนี้ส่งความเป็นวัฒนธรรมและเรื่องราวดีๆ ต่อไปในหน้าบันทึกประวัติศาสตร์แห่งอนาคต
“อยากจะให้บ้านหลังนี้ถ่ายทอดต่อไป มันน่าเสียดาย ถ้าบ้านหลังนี้อยู่มาเป็นร้อยปีแต่ไม่มีใครรู้จัก ถามว่าอาหารที่นี่แพงอย่างที่คิดไหม ก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิด หลายๆ คนพอเห็นบ้านนี้ก็กลัวราคา ไม่กล้าเข้า จริงๆ หลักร้อยก็เข้ามาทานได้แล้ว มานั่งจิบชากาแฟในหลักสิบก็ชมบ้านได้แล้ว”
บ้านสุริยาศัยทำให้เราเห็นถึงการปรับบ้านเก่าให้เป็นร้านอาหารได้อย่างกลมกลืน เพราะความเป็นบ้านเก่าไม่จำเป็นต้องแปลกแยกหรือถูกทุบทิ้ง บ้านหลังนี้จึงเป็นบ้านโบราณที่ยังไปต่อและอยู่ท่ามกลางสถาปัตยกรรมใหม่ๆ ได้อย่างไม่เคอะเขิน อาจเรียกได้ว่าที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์และอีกหน้าบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิตอยู่เลยก็ว่าได้
แวะเข้าไปชมบ้านสุริยาศัย หย่อนตัวนั่งเล่นในสวน จิบชาหรือกาแฟกันได้
แต่อย่าลืมแต่งกายสุภาพ และไปสัมผัสรสชาติและกลิ่นอายชาววังต้นตำรับได้แล้วทุกวัน

บ้านสุริยาศัย (Baan Suriyasai) ที่ตั้ง : 174 ถนนสุรวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร เปิดทำการทุกวัน
Suriyasai Cuisine เวลา 12.00 น. – 14.30 น. และ 18.00 น. – 22.00 น.
Suriyasai Tea Room เวลา 10.00 น. – 18.00 น.
Suriyasai Content Bar เวลา 18.00 น. – 01.00 น.
เว็บไซต์ : http://www.baansuriyasai.com/