เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาผมมีโอกาสเดินทางไปที่กรุงบากู (Baku) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศอาเซอร์ไบจาน (Azerbaijan) ประเทศขนาดไม่ใหญ่นักบนรอยต่อระหว่างภูมิภาคเอเชียและยุโรป กรุงบากูเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบแคสเปียน มีทัศนียภาพที่สวยงาม และเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่บรรยากาศดีที่สุดเมืองหนึ่งที่ผมเคยได้ไปเยือนเลยทีเดียว
ผมได้ยินชื่อเมืองบากูครั้งแรกจากเพื่อนชาวอาหรับคนหนึ่งที่ประเทศจอร์แดน เพื่อนคนนี้บอกกับผมว่า หากเปรียบเทียบกันในหมู่เมืองใหญ่ของประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามด้วยกันแล้ว กรุงบากูอาจเปรียบได้กับมหานครปารีสแห่งโลกมุสลิม เพราะด้วยความที่อาเซอร์ไบจานเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต และปัจจุบันอาเซอร์ไบจานก็นับตนเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของทวีปยุโรป จึงทำให้สภาพบ้านเมืองของบากูนั้นมีกลิ่นอายของความเป็นยุโรปอย่างเต็มที่
นอกจากนี้การที่กรุงบากูตั้งอยู่ริมทะเลสาบแคสเปียน จึงทำให้บากูมีทางเดินเลียบริมทะเลสาบ (Boulevard) ที่ยาวที่สุดในโลกด้วย ผืนน้ำของทะเลสาบแคสเปียนที่ตัดกับตึกรามบ้านช่องแบบยุโรปจึงทำให้บากูเป็นเมืองที่ทรงเสน่ห์ และอาจเปรียบได้กับมหานครปารีสแห่งโลกมุสลิมด้วยเหตุผลนี้
ผมโดน “ป้ายยา” เรื่องบากูไว้ครั้งแรกเมื่อประมาณสิบห้าปีก่อน และหมายมั่นปั้นมือว่าหากมีโอกาสผมจะต้องแวะไปเยือนเมืองแห่งนี้ให้ได้สักครั้ง และแล้วโอกาสก็มาถึง เมื่อกลุ่มเพื่อน ๆ ชวนให้ผมจัดทริปเที่ยวประเทศจอร์เจียกัน และจอร์เจียนั้นก็เป็นเพื่อนบ้านของอาเซอร์ไบจานพอดี เพราะฉะนั้นหลังจากที่จบทริปจอร์เจียและส่งเพื่อน ๆ ขึ้นเครื่องบินกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว ผมก็แบกเป้ขึ้นบ่าเดินทางไปลุยเดี่ยวใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอาเซอร์ไบจานอีกสามวัน
การเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมได้พบกับแง่มุมทางการท่องเที่ยวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่าสนใจ และอยากนำมาเล่าสู่กันฟัง

ขุมทรัพย์ใต้ผืนทราย
อาเซอร์ไบจานเป็นประเทศที่มีพื้นที่ราว 86,600 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรอยู่ราว 10,100,000 คนเศษ ในจำนวนประชากรทั้งหมดนี้ ประมาณ 40% อาศัยอยู่ในกรุงบากู พื้นที่ประมาณสองในสามของประเทศอุดมไปด้วยน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ โดยอาเซอร์ไบจานถือเป็นแหล่งผลิตแก๊สธรรมชาติที่สำคัญของภูมิภาค เพราะได้มีการส่งออกแก๊สธรรมชาติให้แก่ประเทศข้างเคียงรวมถึงภูมิภาคยุโรปด้วย เส้นทางขนส่งแก๊สที่สำคัญมากคือ The South Caucasus Pipeline ซึ่งส่งแก๊สธรรมชาติจากริมทะเลสาบแคสเปียนของอาเซอร์ไบจานผ่านจอร์เจีย เข้าสู่ตุรกี เพื่อเข้าสู่ยุโรป
แก๊สธรรมชาติของอาเซอร์ไบจานมีเหลือเฟือถึงขนาดที่ว่าครั้งหนึ่งจอร์เจียเคยประสบภัยหนาว อาเซอร์ไบจานสามารถส่งแก๊สให้จอร์เจียใช้ตลอดฤดูหนาวอันทรมานในปีนั้นได้ นี่สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของอาเซอร์ไบจานในฐานะประเทศผู้ผลิตแหล่งพลังงานหลักของภูมิภาค และเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจอร์เจียและอาเซอร์ไบจานแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
หากเราใช้เวลานั่งรถออกไปรอบ ๆ กรุงบากู เราจะเห็นแท่นขุดเจาะน้ำมันขนาดเล็กกำลังปั๊มน้ำมันจากใต้ดินขึ้นเพื่อนำไปเข้าสู่กระบวนการกลั่นอยู่เรียงรายตลอดทาง หรือหากเรายืนอยู่ที่ริมทะเลสาบแคสเปียน มองออกไปไกล ๆ จากชายฝั่งเราก็จะเห็นแท่นขุดเจาะน้ำมันและแก๊สธรรมชาติอยู่บนผืนน้ำไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา

ประเทศอาเซอร์ไบจานมีพื้นที่ที่เป็นที่ราบสามารถทำเกษตรกรรมได้ประมาณ 54% แต่การเกษตรกรรมของอาเซอร์ไบจานก็เต็มไปด้วยข้อจำกัด เพราะด้วยความที่ดินของอาเซอร์ไบจานเต็มไปด้วยหินและทราย จนมองดูเผิน ๆ มีสภาพใกล้เคียงกับทะเลทราย จึงทำให้พื้นที่เกษตรกรรมที่ใช้งานได้จริงมีค่อนข้างน้อย อีกทั้งการที่ใต้ผืนดินของอาเซอร์ไบจานเป็นแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ จึงทำให้ดินไม่อยู่ในเงื่อนไขที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก รายได้หลักของอาเซอร์ไบจานจึงมาจากการค้าพลังงานเป็นหลัก
“พระเจ้าจัดสรรสิ่งต่าง ๆ อย่างยุติธรรมเสมอ ไม่มีแผ่นดินผืนไหนได้อะไรไปหมดทุกอย่างหรอก เรามีน้ำมัน เรามีแก๊ส เราก็เลยต้องมีพื้นที่เพาะปลูกน้อยหน่อย” มัคคุเทศก์ท้องถิ่นชาวอาเซอร์ไบจานที่เคยทำงานเป็นวิศวกรบนแท่นขุดเจาะน้ำมันในทะเลสาบแคสเปียนบอกกับผมอย่างนั้น “แต่ตอนนี้อีกเรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่คือเรื่องน้ำ น้ำแพงมาก และหลายครอบครัวไม่ได้มีเงินมากพอที่จะซื้อน้ำมาใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพระเจ้า แต่เกี่ยวกับผลกระทบจากการดำรงชีวิตของมนุษย์เรานี่แหละ”
ก็เห็นจะจริงอย่างนั้น เพราะอาเซอร์ไบจานมีแหล่งทรัพยากรน้ำจืดอยู่ไม่มากนัก บางส่วนได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล และบางส่วนก็กำลังเสื่อมโทรมลงจากการโหมใช้ทรัพยากรในชีวิตประจำวันของมนุษย์

อันที่จริงแล้วบากูเป็นเมืองที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก ถ้าจะท่องเที่ยวเฉพาะในตัวเมืองบากูจริง ๆ เดินยังไม่ทันจะเมื่อยก็สามารถเก็บสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญได้ครบแล้ว เพราะว่าย่านเมืองเก่า (Icherisheher) ทางเดินริมทะเลสาบแคสเปียน และถนนคนเดินสายสำคัญล้วนแล้วแต่อยู่ในระยะที่เดินถึงกันทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นนักท่องเที่ยวมาเยือนบากูก็สามารถใช้เวลาเพียงวันเดียวในเมืองแห่งนี้ได้
แต่นักท่องเที่ยวส่วนมากกลับเลือกใช้ชีวิตอยู่ในบากูมากกว่าหนึ่งวัน เพราะแม้ว่าโดยรอบของกรุงบากูจะเต็มไปด้วยผืนทรายและความเวิ้งว้าง แต่ภาครัฐของอาเซอร์ไบจานสามารถที่จะประชาสัมพันธ์สิ่งละอันพันละน้อยท่ามกลางพื้นที่เหล่านั้นให้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในแผนการเดินทางของผู้ที่มาเยือนบากูได้เป็นอย่างดี รวมถึงผมด้วยเช่นกัน ทันทีที่วางแผนการเดินทางมายังบากู ผมก็ตกลงใจว่าผมจะใช้เวลาหนึ่งวันเต็มสำหรับการย่ำเท้าอยู่ในเมืองเก่าของบากู และใช้เวลาอีกหนึ่งวันไปกับพื้นที่รอบ ๆ บากูตามที่ได้รับแรงดึงดูดจากสื่อประชาสัมพันธ์

สิ่งละอันพันละน้อยบนผืนทราย
โปรแกรมเดินทางออกไปรอบกรุงบากูของผมเป็นโปรแกรมท่องเที่ยวที่สุดแสนจะธรรมดา ทุกบริษัทที่ขายทัวร์แบบ One – day trip ก็มักจะขายทัวร์แบบนี้เหมือนกันทั้งหมด คือเราจะใช้เวลาช่วงเช้าไปชมภาพเขียนและภาพสลักสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกที่แหล่งโบราณคดีโกบัสตาน (Gobustan Historical and Cultural Reserve) ต่อด้วยการไปชมบ่อโคลนปะทุ (Mud volcanoes) ซึ่งพบเจอได้กลางทะเลทราย หลังจากนั้นในช่วงบ่ายเราจะไปชมวิหารบูชาไฟของศาสนาโซโรอัสเตอร์ (Ateshgah Fire Temple) และไปชมพื้นที่ที่มีเปลวไฟลุกขึ้นมาจากบนผิวดินได้เองที่เนินเขายานาร์ดัก (Yanar Dag Fire Mountain)
หลังจากที่เรานั่งรถออกไปท่ามกลางความเวิ้งว้างของทะเลทรายได้ราวหนึ่งชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึงจุดหมายแรกของเราคือแหล่งโบราณคดีโกบัสตาน ซึ่งเป็นที่อยู่ของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ กำหนดอายุย้อนกลับไปได้ไม่น้อยกว่า 20,000 ปี และเป็นพื้นที่ที่มีคนอาศัยอยู่อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ภาพเขียนและภาพสลักที่มีการค้นพบและอนุรักษ์เอาไว้มีจำนวนไม่น้อยกว่า 6,000 ภาพ แต่ละภาพนั้นมีอายุไม่เท่ากัน บางภาพมีอายุมากกว่า 20,000 ปี ในขณะที่บางภาพอาจมีอายุเพียงไม่กี่พันปีเท่านั้น


ความแตกต่างของภาพเหล่านี้สังเกตได้จากท่วงทำนองของการวาดหรือการสลักภาพ ความสมบูรณ์ และความประณีตของการสร้างภาพ หากภาพใดที่ที่มีฝีมือในการแกะสลักภาพประณีตกว่า หรือหลงเหลือสมบูรณ์กว่า ก็มีแนวโน้มที่ภาพนั้นจะมีอายุน้อยกว่าภาพอื่น ๆ เมื่อเปรียบเทียบกัน
ภาพที่ปรากฏอยู่ในแหล่งโบราณคดีโกบัสตานนั้นมีทั้งภาพคน สัตว์ และสิ่งของ ซึ่งแทรกตัวกระจัดกระจายอยู่ตามโพรงหินและชะง่อนผา เนื่องจากเป็นภาพที่ทำขึ้นโดยมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ บางภาพจึงลบเลือนมากและต้องอาศัยการตั้งใจมองและจินตนาการอย่างสูงจึงจะสามารถมองออกได้ว่าภาพนั้นเป็นภาพอะไร ผิดกับภาพที่อยู่บนโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของทางการที่ได้รับการปรับแต่งให้คมชัดเป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวในคณะเดียวกันกับผมจึงออกอาการผิดหวังนิดหน่อย
ในขณะที่ผมอมยิ้มให้กับสิ่งที่เห็นไปตลอดทางเพราะทราบมาตั้งแต่แรกแล้วว่าเราไม่สามารถคาดหวังความอลังการจากการมาชมงานศิลปะของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้มากนัก และนี่ก็คือความงามโดยธรรมชาติที่เราควรจะสัมผัสได้จากแหล่งโบราณคดีแห่งนี้

สถานที่ต่อไปคือภูเขาไฟโคลน หรือที่ผมอยากจะเรียกว่าเป็นบ่อโคลนปะทุมากกว่า เนื่องจากเมื่อพูดว่าภูเขาไฟโคลนแล้ว นักท่องเที่ยวส่วนมากจะนึกถึงภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่มีโคลนเดือดมากมายพร้อมกันปะทุผุดพุ่งอยู่รายล้อมรอบตัว แต่สำหรับที่นี่แล้ว โคลนที่ปะทุขึ้นมานั้นเป็นเพียงบ่อโคลนเล็ก ๆ เท่านั้น และโคลนที่ปะทุขึ้นมาก็ไม่ได้มีอุณหภูมิสูง ทว่าด้วยพื้นฐานทางธรณีสัณฐานและพลังงานความร้อนที่สะสมอยู่ใต้พิภพ จึงทำให้โคลนที่ปะทุขึ้นมานั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของมนุษย์ ทางการอาเซอร์ไบจานจึงพยายามที่จะพัฒนาพื้นที่บริเวณนี้ให้กลายเป็น “คลัสเตอร์” สำหรับการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ภายใต้ชื่อโครงการ Baku – Gobustan – Mud Volcanoes tourism cluster
หลังจากที่เดินทางท่องเที่ยวมาประมาณครึ่งวัน ผมต้องยอมรับว่าสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสองแห่งที่ได้ไปนั้นไม่มีอะไรหวือหวาเลย และออกจะเป็นสถานที่ที่ “เล็ก” และ “เรียบ” ด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับสถานที่อื่น ๆ แต่นี่คือทรัพยากรทางการท่องเที่ยวเท่าที่มีอยู่ของอาเซอร์ไบจาน เพราะฉะนั้นรัฐบาลอาเซอร์ไบจานจึงต้องพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะต้องปั้นพื้นบริเวณนี้ขึ้นมาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ได้ เราจึงเห็นโครงการก่อสร้างมากมายบริเวณที่ใกล้กับบ่อโคลนปะทุ ทั้งการสร้างทางขี่รถ ATV (Quad Bike Path) หรือการสร้างบ่ออาบโคลนเพื่อสุขภาพ (Therapeutic Bath)
สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่เราไปชมในช่วงบ่ายคือวิหารบูชาไฟ (Ateshgah Fire Temple) ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 17 – 18 เพื่อใช้เป็นสถานที่บูชาไฟอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้ที่นับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนานี้ถือเป็นหนึ่งในศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดของโลก มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอิหร่าน และมีอายุเก่าแก่ยิ่งไปกว่าพระพุทธศาสนาเสียอีก การบูชาไฟถือเป็นพิธีกรรมสำคัญของผู้ที่นับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ เพราะเชื่อว่าไฟคือสัญลักษณ์แห่งการชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ วิหารแห่งนี้ขนาดไม่ใหญ่ห้องหับสำหรับใช้สอยอยู่เพียงไม่กี่ห้อง และมีแท่นบูชาไฟสัณฐานคล้ายปราสาทขนาดเล็กอยู่ตรงกลาง สิ่งที่น่าสนใจสำหรับวิหารบูชาไฟแห่งนี้คือเป็นสถานที่ที่ชาวฮินดูและชาวซิกข์ก็สามารถมาใช้สอยเพื่อปฏิบัติศาสนกิจของตนได้ด้วย ปัจจุบันวิหารแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

จุดหมายสุดท้ายของเราในวันนี้คือเนินเขายาร์นาดัก ตั้งอยู่บริเวณ Absheron District ซึ่งเป็นเนินเขาที่มีไฟลุกโชติช่วงขึ้นมาจากผิวดินตลอดเวลาโดยธรรมชาติ ไฟนั้นโหมลุกขึ้นตลอดเวลาโดยไม่มีทีท่าว่าจะดับลง ในวันที่เราไปถึงอากาศค่อนข้างหนาวเย็นและมีฝนพรำ การเข้าไปนั่งอยู่ใกล้ ๆ กองไฟที่ปะทุขึ้นมาตามธรรมชาตินั้นจึงเป็นความสุขพิเศษอย่างยิ่งของเรา ปัจจุบันรัฐบาลอาเซอร์ไบจานพยายามที่จะพัฒนาพื้นที่บริเวณเขต Absheron ให้กลายเป็นคลัสเตอร์ของการท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน โดยใช้ชื่อโครงการว่า Yanar Dag State Historical, Cultural and Natural Reserve
การปะทุของเปลวไฟอันชัดเจนคือสัญลักษณ์อันเป็นรูปธรรมที่สอดคล้องกับแหล่งพลังงานธรรมชาติจำนวนมหาศาลใต้ผิวดิน ทำให้อาเซอร์ไบจานได้รับการขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่งไฟ (The labd of Fire) และมี “เปลวไฟ” เป็นสัญลักษณ์อันสำคัญและเป็นความภูมิใจของชาวอาเซอร์ไบจานมาจนถึงปัจจุบัน


ย้อนดูตัว
จากการเดินทางไปรอบ ๆ กรุงบากูตลอดทั้งวัน พวกเราที่ร่วมเดินทางไปในหมู่คณะเดียวกันลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าโปรแกรมท่องเที่ยวในวันนี้แสนจะธรรมดาและไม่มีอะไรโดดเด่นมากมายนัก ซึ่งในความเป็นจริงก็คงเป็นเช่นนั้น เพราะหากเปรียบเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวประเภทแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ บ่อโคลนปะทุ วิหาร หรือแหล่งท่องเที่ยวประเภทปรากฏการณ์ทางธรรมชาติแล้ว แหล่งท่องเที่ยวรองกรุงบากูที่อาเซอร์ไบจานมีอยู่ในมือถือว่าเป็นต้นทุนที่น้อยมาก แต่สำหรับผมแล้ว สิ่งที่เราเห็นได้จากการท่องเที่ยวครั้งนี้ก็คือ ความพยายามในการพัฒนาและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของภาครัฐอาเซอร์ไบจานบนพื้นฐานเท่าที่พวกเขามีอยู่ และการเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางการท่องเที่ยวให้กับประเทศของตนเอง
อย่างน้อยอาเซอร์ไบจานก็ทำสำเร็จ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสี่แห่งนั้นได้กลายเป็นมาตรฐานปกติสำหรับการท่องเที่ยวกรุงบากูไปแล้ว ผู้ที่เดินทางมายังเมืองแห่งนี้จึงไม่อาจจะพักอยู่ในเมืองแห่งนี้เพียงวันเดียวได้ ส่วนมากแล้วก็จะต้องเพิ่มโปรแกรมเข้าไปอีกวันหนึ่งเป็นอย่างน้อยเพื่อไปตามชมสิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้ในท้องทะเลทรายอันเวิ้งว้าง และนั่นก็นำมาซึ่งรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นของประเทศอาเซอร์ไบจาน

ผมมองดูสิ่งที่ได้พบเห็นในอาเซอร์ไบจานแล้วก็รู้สึกว่าประเทศไทยของเราอันมีกรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวเป็นประเทศที่พึ่งพาการท่องเที่ยวสูง เพราะฉะนั้นเราจึงยิ่งต้องตระหนักในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพื้นที่โดยรอบแหล่งท่องเที่ยวหลัก เพื่อเป็นการกระจายรายได้และเพิ่มระยะเวลาที่ผู้มาเยือนจะใช้เพื่อการท่องเที่ยวมากขึ้น
ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่มีทรัพยากรทางการท่องเที่ยวมากอยู่แล้ว ดูอย่างประเทศที่แทบไม่มีทรัพยากรทางการท่องเที่ยวมากนักยังพยายามสร้างการท่องเที่ยวบนความเวิ้งว้างให้เกิดขึ้นมา เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วคนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการท่องเที่ยวยิ่งต้องตระหนักและมีกำลังใจว่า เรามีต้นทุนที่ได้เปรียบในหลายด้านอยู่แล้ว
หากเรามีวิสัยทัศน์และตั้งใจจริง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยย่อมจะสามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืนแน่นอน

Contributors
Contributors
ครูสอนวิชาภาษาไทยและสังคมศึกษาที่รักการเดินทางเพื่อเรียนรู้โลกกว้างเป็นชีวิตจิตใจ เพราะชีวิตคือการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม มนุษยสัมพันธ์ และการเดินทางจึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเติบโตไปพร้อมกันเสมอ